ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ผู้อาวุโสสูงสุดพรรคขอทาน (2) (100%)
หากมีการกล่าวขวัญถึงยอดฝีมือในยุทธภพแดนสยามรอบ100-200ปี �ที่ผ่านมา �1ในนั้นต้อง
มีชื่อ"ยายสำอาง"นับรวมลงไปด้วย �มิเพียงพลังฝีมือหากแต่ชาติกำเนิดของยายสำอางก็มิ
ธรรมดา �ผู้ที่ทราบเรื่องราวล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า"แกมีชะตากรรมอาภัพอับโชค"
ดั่งเหมือนบุพเพหรือแรงกรรม �มิมีผู้ใดสามารถบอกกล่าวได้ยายสำอางกับบ่าวหนุ่มในบ้าน
�
"ชีวิตเราผู้เฒ่าล้วนเป็นท่านเก็บกู้ �เราไม่ตอบแทนล้วนผิดวิสัย"
หลังการดื่มกินผ่านไป �ยายสำอางขอตัวกับขอทานเฒ่า �นั่งบำเพ็ญเดินลมปราณทบทวนวิชา
ยามดึกคืนนั้นยายสำอาง �นั่งกำหนดจิตเข้าสู่ภาวะลืมตัวตนพลันเกิดไอสีขาวกระจายออกราย
ล้อมรอบตัว �ยิ่งนานไอสีขาวกลับลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ �ขอทานหนุ่มบุญโทน �ที่นอน
หลับอยู่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติสะดุ้งตัวตื่น
�
"อันมนุษย์เรานั้นเมื่อกำเนิดเกิดมานั้นมีองค์ประกอบในตัวตนอยู่3ส่วน �คือ ร่างกาย จิตใจ
�วิญญาณ �ส่วนแรกที่เกิดขึ้นเราเรียก ร่างกาย ส่วนนี้จะใช้เวลาสร้างในครรภ์ของสตรี
�ส่วนที่สองเราเรียก จิตใจ ส่วนนี้จะมีเมื่อใกล้คลอดออกจากครรภ์ของสตรี
�
�ส่วนที่สามเราเรียก วิญญาณ ส่วนนี้จะมีเมื่อออกมาจากครรภ์ของสตรี
�ร่างกายเป็นกายหยาบ �จิตใจเป็นกายทิพย์ �2ส่วนนี้มิอาจอยู่ร่วมกันได้จึงต้องมีตัวเชื่อม
�ผสานมิให้กายหยาบกับกายทิพย์แยกออกจากกัน �คือ วิญญาณ"
�
มีชื่อ"ยายสำอาง"นับรวมลงไปด้วย �มิเพียงพลังฝีมือหากแต่ชาติกำเนิดของยายสำอางก็มิ
ธรรมดา �ผู้ที่ทราบเรื่องราวล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า"แกมีชะตากรรมอาภัพอับโชค"
�
�
ย้อนไปในวัยสาว ยายสำอางเป็นถึงลูกสาวของเศรษฐีเมืองสุพรรณบุรีด้วยที่ตัวท่านเศรษฐี
�
�
นั้นหวงลูกสาวอย่างมากสาเหตุมาจากเป็นลูกคนสุดท้อง �ยายสำอางจึงถูกพ่อตนเองห้ามมิให้
ออกไปไหนอยู่แต่เพียงในเรือนชาน �พบเจอแต่บ่าวไพร่ข้าทาสผู้คนภายนอกก็มิเคยพบพาน
ออกไปไหนอยู่แต่เพียงในเรือนชาน �พบเจอแต่บ่าวไพร่ข้าทาสผู้คนภายนอกก็มิเคยพบพาน
ดั่งเหมือนบุพเพหรือแรงกรรม �มิมีผู้ใดสามารถบอกกล่าวได้ยายสำอางกับบ่าวหนุ่มในบ้าน
�
กลับเกิดความรักใคร่สิเน่หา �จึงพากันหลบหนีออกมาจากบ้านของเศรษฐี �เดินทางไปยังเมือง
อ่างทองข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา �ไปใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยา �ชีวิตในช่วงแรกก็อยู่อย่างยาก
ลำบากแต่ด้วยความรักอุปสรรคทุกสิ่งล้วนผ่านพ้น
�
อ่างทองข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา �ไปใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยา �ชีวิตในช่วงแรกก็อยู่อย่างยาก
ลำบากแต่ด้วยความรักอุปสรรคทุกสิ่งล้วนผ่านพ้น
�
พอยายสำอางท้อง �คลอดลูกคนแรกออกมาชีวิตก็ยิ่งขัดสนยากลำบากมากขึ้น �แต่จำ
�
�
ต้องทนอยู่กันต่อไปมิกล้าบากหน้ากลับยังบ้านเศรษฐี �ด้วยกลัวตัวท่านเศรษฐีจะมิยินยอมอภัย
ในสิ่งที่ทั้ง2กระทำ �จวบกระทั่งยายสำอางตั้งท้องลูกคนที่2 �การกินอยู่ยิ่งยากลำบากมากขึ้น
ตามลำดับจึงปรึกษากับสามีว่าจะกลับบ้านที่เมืองสุพรรณบุรี
�
ในสิ่งที่ทั้ง2กระทำ �จวบกระทั่งยายสำอางตั้งท้องลูกคนที่2 �การกินอยู่ยิ่งยากลำบากมากขึ้น
ตามลำดับจึงปรึกษากับสามีว่าจะกลับบ้านที่เมืองสุพรรณบุรี
�
สองสามีภรรยาตกลงใจกันแล้วจึงเก็บข้าวของออกเดินทางกลับไปขอขมาท่านเศรษฐี �
�
�
ยามนั้นเมฆฝนเริ่มตั้งเค้า �ระหว่างทางที่กลับเกิดมีฝนตกหนักจึงพากันไปหลบฝนยังกระท่อมริม
ทาง �ยายสำอางพลันเจ็บท้องจะคลอดลูก �สามีเห็นท่าทางแล้วคงคลอดแน่จึงบอกยายสำอาง
รออยู่ในกระท่อมตนเองจะออกไปหาหยูกยา �สามีออกไปได้ไม่นาน ยายสำอางทนมิไหวจึง
คลอดลูกออกมาทั้งที่สามียังหายาอยู่
�
ทาง �ยายสำอางพลันเจ็บท้องจะคลอดลูก �สามีเห็นท่าทางแล้วคงคลอดแน่จึงบอกยายสำอาง
รออยู่ในกระท่อมตนเองจะออกไปหาหยูกยา �สามีออกไปได้ไม่นาน ยายสำอางทนมิไหวจึง
คลอดลูกออกมาทั้งที่สามียังหายาอยู่
�
ฝ่ายสามีเดินหายาด้วยความที่มองเห็นไม่ค่อยถนัดกลับถูกงูกัดตาย �อยู่ห่าง
�
�
จากกระท่อมไม่ไกลนัก �ฟ้าสางสว่างดีแล้วยายสำอางฟื้นตื่นจากการคลอดลูกเห็นสามียังไม่
กลับมา �จึงเช็ดตัวลูกน้อยที่เพิ่งคลอดแล้วห่อผ้าอุ้มเดินหาสามี �ยายสำอางเดินออกจาก
กระท่อมไม่นานก็พบเจอสามีนอนตาย �ยายสำอางร้องไห้อยู่ข้างศพสามีจนไม่มีน้ำตา �จึงขุด
หลุมฝังศพสามี �จัดแจงทุกอย่างจนเสร็จก้มกราบลาที่หน้าหลุมศพสามี �แล้วออกเดินทาง
�
กลับมา �จึงเช็ดตัวลูกน้อยที่เพิ่งคลอดแล้วห่อผ้าอุ้มเดินหาสามี �ยายสำอางเดินออกจาก
กระท่อมไม่นานก็พบเจอสามีนอนตาย �ยายสำอางร้องไห้อยู่ข้างศพสามีจนไม่มีน้ำตา �จึงขุด
หลุมฝังศพสามี �จัดแจงทุกอย่างจนเสร็จก้มกราบลาที่หน้าหลุมศพสามี �แล้วออกเดินทาง
�
การเดินทางกลับบ้าน �ยายสำอางเดินทางไปสะอื้นไห้ไปตลอดการเดินทาง
�
�
ยายสำอางอุ้มคนจูงคนสภาพทุลักทุเล �ตัดป่าออกทุ่งพะรุงพะรังจนมาถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา �
ยายสำอางหันไปสั่งลูกคนโตให้รอยายสำอางอยู่ที่ตรงนี้อย่าไปไหนเดี๋ยวจะรีบมารับ �ว่าแล้วก็
ยกลูกคนเล็กเหนือหัวตนเอง �ลุยลอยข้ามแม่น้ำแม้ลำบากก็พอทนไหว �ครั้นถึงฝั่งด้วยความรีบ
ร้อนจึงวางลูกคนเล็กไว้ตรงริมฝั่งเพราะอีกใจก็เป็นห่วงลูกคนโต �รีบลุยน้ำย้อนกลับโดยเร็ว
�
ยายสำอางหันไปสั่งลูกคนโตให้รอยายสำอางอยู่ที่ตรงนี้อย่าไปไหนเดี๋ยวจะรีบมารับ �ว่าแล้วก็
ยกลูกคนเล็กเหนือหัวตนเอง �ลุยลอยข้ามแม่น้ำแม้ลำบากก็พอทนไหว �ครั้นถึงฝั่งด้วยความรีบ
ร้อนจึงวางลูกคนเล็กไว้ตรงริมฝั่งเพราะอีกใจก็เป็นห่วงลูกคนโต �รีบลุยน้ำย้อนกลับโดยเร็ว
�
สัตว์โลกล้วนเกิดมาชดใช้กรรม �มิผิดจากที่กล่าวไม่มีใครหลีกหนีพ้นเวรกรรม �
�
�
ยายสำอางก็เฉกเช่นเดียวกัน �ยายสำอางลุยน้ำมาถึงกลางแม่น้ำ �พลันได้ยินเสียงนกเหยี่ยวดัง
ก้องหู �ด้วยความตกใจกลัวจึงหันกลับไปริมฝั่งที่ตนเองวางลูกคนเล็กไว้ �นกเหยี่ยวก็บินโฉบลง
มาโฉบพาลูกคนเล็กยายสำอางไป �ยายสำอางทำอะไรไม่ถูกพลันยกไม้ยกมือร้องตะโกน
�
ก้องหู �ด้วยความตกใจกลัวจึงหันกลับไปริมฝั่งที่ตนเองวางลูกคนเล็กไว้ �นกเหยี่ยวก็บินโฉบลง
มาโฉบพาลูกคนเล็กยายสำอางไป �ยายสำอางทำอะไรไม่ถูกพลันยกไม้ยกมือร้องตะโกน
�
ลูกคนโตยืนดูอยู่ที่ริมฝั่ง �ไม่รู้ความกลับเห็นยายสำอางโบกไม้โบกมือร่ำร้อง
�
�
ตะโกน �ด้วยความเป็นเด็กก็คิดว่าแม่เรียกให้ไปหา �จึงก้าวเท้าเดินลงน้ำลูกคนโตยายสำอางก็
ถึงแก่ความตาย �ยายสำอางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด �ก็ร้องสุดเสียงร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งกลางแม่น้ำ
�
ถึงแก่ความตาย �ยายสำอางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด �ก็ร้องสุดเสียงร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งกลางแม่น้ำ
�
พอยายสำอางขึ้นฝั่งที่ลูกคนเล็กโดนเหยี่ยวโฉบ �ก็เดินทางกลับไปยังบ้าน
�
�
ระหว่างทางก็ร้องไห้ตลอดเวลา �คิดในใจจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง �จวบจนยาย
สำอางเดินทางมาถึงยังหน้าบ้าน �กลับพบเจอแต่ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกเต็มบ้าน �ตัวเรือนก็มิมีเห็น
แต่เพียงเสาบ้านสีดำ �ไร้ผู้คนยืนอยู่สักพักมีคนเดินผ่านทางมาจึงเข้าไปสอบถาม �จึงรับรู้เรื่องที่
สะเทือนจิตใจอีกครั้ง
�
สำอางเดินทางมาถึงยังหน้าบ้าน �กลับพบเจอแต่ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกเต็มบ้าน �ตัวเรือนก็มิมีเห็น
แต่เพียงเสาบ้านสีดำ �ไร้ผู้คนยืนอยู่สักพักมีคนเดินผ่านทางมาจึงเข้าไปสอบถาม �จึงรับรู้เรื่องที่
สะเทือนจิตใจอีกครั้ง
�
"น้องสาว �บ้านท่านเศรษฐีถูกโจรปล้น �ฆ่าตายยกครัวกวาดทรัพย์พร้อมเผาบ้าน �บ่าวไพร่
ข้าทาสบ้างตายบ้างหลบหนี �ที่นี่ถูกปล่อยรกร้างมาเป็นแรมปี �แม้ท่านเจ้าเมืองส่งทหาร
ออกติดตามจับโจรมาได้ก็สั่งประหารชีวิตให้ตายตกตามกันจบสิ้นคดีความแล้ว"
�
ข้าทาสบ้างตายบ้างหลบหนี �ที่นี่ถูกปล่อยรกร้างมาเป็นแรมปี �แม้ท่านเจ้าเมืองส่งทหาร
ออกติดตามจับโจรมาได้ก็สั่งประหารชีวิตให้ตายตกตามกันจบสิ้นคดีความแล้ว"
�
ยายสำอางพอทราบเรื่องราวทั้งหมด �บวกกับที่ตนเองประสบเคราะห์กรรม �
�
�
ทำให้ยายสำอางหมดสิ้นความอดทนอดกลั้น �กลายเป็นคนเสียสติบัดนั้นเป็นต้นมา � � � � � � � �
�
�
เมืองสุพรรณบุรี �ยามนั้นมีแม่ชีเดินทางแสวงบุญผ่านทางมาพร้อมกับลูกศิษย์
�
�
พบเจอยายสำอาง �แม่ชีผู้นั้นนาม"แม่ชีมาลัยพร" �เป็นผู้สำเร็จธรรมชั้นสูงเพียบพร้อมด้วย
ปัญญาบารมีและวิชาการต่อสู้ �แม่ชีมาลัยพรสอบถามผู้คนเกี่ยวกับยายสำอางจนทราบเรื่องราว
�
ปัญญาบารมีและวิชาการต่อสู้ �แม่ชีมาลัยพรสอบถามผู้คนเกี่ยวกับยายสำอางจนทราบเรื่องราว
�
แม่ชีมาลัยพร �เกิดความสงสารขึ้นในใจจึงตั้งจิตสำรวมคิดถึงเรื่องเวรกรรม
�
�
ทำบุญร่วมชาติกันมา �จึงได้มาพบพานกับยายสำอาง �แม่ชีมาลัยพรจึงกระทำการฝืนชะตาฟ้า
ใช้กำลังภายในพลังลมปราณเมตตาบารมี �ถ่ายทอดสู่ยายสำอาง
�
ใช้กำลังภายในพลังลมปราณเมตตาบารมี �ถ่ายทอดสู่ยายสำอาง
�
พลังลมปราณเมตตาบารมี �ดั่งน้ำทิพย์ชะโลมจืตใจยายสำอาง �ทำให้สติที่หาย
�
�
ไปของยายสำอางกลับมาอีกครั้ง �พูดจารับฟังรู้เรื่องเหมือนคนปกติ �แม่ชีมาลัยพรจึงสนทนากับ
ยายสำอาง �พร้อมรับตัวยายสำอางเ้ป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชาธรรมะและการต่อสู้ �
�
ยายสำอาง �พร้อมรับตัวยายสำอางเ้ป็นศิษย์ถ่ายทอดวิชาธรรมะและการต่อสู้ �
�
ยายสำอาง แม้สำเร็จวิชาจากแม่ชีมาลัยพร �แต่ด้วยผลกรรมยายสำอางแต่ปาง
�
�
ก่อนมีมากล้น �จึงจำต้องชดใช้คราวหนึ่งยายสำอางผ่านทางพบเจอขอทานเฒ่ากับขอทานหนุ่ม �
ละแวกชายป่าไผ่แถวเมืองสุพรรณบุรีใกล้เมืองอยุธยา �ขอทานเฒ่าถูกงูกัดยายสำอางเห็นแล้ว
คิดถึงคราวที่สามีถูกงูกัดตาย �ยายสำอางใช้ลมปราณเมตตาบารมีรวมรั้งพิษงูขับดันออกมาทาง
รอยงูกัด �แต่พิษตกค้างมากยายสำอางต้องการช่วยเหลือจึงก้มลงดูดพิษงูทันที
�
ละแวกชายป่าไผ่แถวเมืองสุพรรณบุรีใกล้เมืองอยุธยา �ขอทานเฒ่าถูกงูกัดยายสำอางเห็นแล้ว
คิดถึงคราวที่สามีถูกงูกัดตาย �ยายสำอางใช้ลมปราณเมตตาบารมีรวมรั้งพิษงูขับดันออกมาทาง
รอยงูกัด �แต่พิษตกค้างมากยายสำอางต้องการช่วยเหลือจึงก้มลงดูดพิษงูทันที
�
พอขอทานเฒ่าได้สตินางจึงส่งยาลูกกลอนให้กิน �เพื่อฟื้นฟูร่างกายที่
�
�
อ่อนเพลียจากพิษงู �ขอทานหนุ่มเอ่ยขอบคุณยายสำอาง �แต่ยายสำอางได้ยินเพียงเสียงดวงตา
กลับมองมิเห็นขอทานหนุ่ม �จึงเอ่ยถามขอทานหนุ่มว่า
�
กลับมองมิเห็นขอทานหนุ่ม �จึงเอ่ยถามขอทานหนุ่มว่า
�
"มืดค่ำแล้วหรือขอทานน้อย"
"ยังเพลอยู่เลย �ท่านป้า"
�
"ยังเพลอยู่เลย �ท่านป้า"
�
ยายสำอางพอทราบคำตอบพลันทอดถอนใจ �ปลงอาลัยต่อชะตาชีวิตของตนเอง ที่เกิดมามี
กรรมมากล้น �จึงกล่าวอย่างท้อใจว่า
�
กรรมมากล้น �จึงกล่าวอย่างท้อใจว่า
�
"ขอทานน้อย �ป้าคนนี้คงต้องพิษงูตาบอดแล้ว"
�
�
ขอทานเฒ่าทราบเรื่องก็ตกใจ �แต่ยายสำอางกลับไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิด บอกแก่ขอทานเฒ่า
�
�
"ขอท่านอย่าคิดกระไรเลย �ชั่วชีวิตของข้าพบเจอเรื่องเลวร้ายมามากแล้ว �เพิ่มอีกเรื่องคง
ไม่เลวร้ายกระไร"
�
ไม่เลวร้ายกระไร"
�
ขอทานเฒ่ารับฟังยายสำอางจบจึงกล่าวขึ้นว่า
"ชีวิตเราผู้เฒ่าล้วนเป็นท่านเก็บกู้ �เราไม่ตอบแทนล้วนผิดวิสัย"
�
�
--------------------------------------------------------------------- � � �มาต่อกัน(2)
�
�
ยายสำอาง ไม่รอฟังที่ขอทานเฒ่าเอ่ยเตรียมตัวจะออกเดินทางทันที �ขอทาน
�
�
เฒ่าจึงร้องเรียกยายสำอางอีกรอบ พร้อมสั่งให้ขอทานหนุ่มหาไม้เท้ากับกระสอบป่านมา3ใบ
ขอทานเฒ่ารีบแนะนำตัวว่าเป็น ประมุขพรรคขอทาน มีนามว่า"บุญธรรม" �ส่วนขอทานหนุ่มเป็น
ศิษย์ของตนชื่อ "บุญโทน"
�
ขอทานเฒ่ารีบแนะนำตัวว่าเป็น ประมุขพรรคขอทาน มีนามว่า"บุญธรรม" �ส่วนขอทานหนุ่มเป็น
ศิษย์ของตนชื่อ "บุญโทน"
�
ขอทานเฒ่าบุญธรรม �สอบถามความเป็นมาของยายสำอาง �ยายสำอางเล่า
�
�
เรื่องราวของตนเองแก่ขอทานเฒ่าบุญธรรม พอทราบความเป็นมาของยายสำอาง ขอทานเฒ่า
จิตใจพลันร้อนระอุบอกกล่าวแก่ยายสำอางว่า
�
จิตใจพลันร้อนระอุบอกกล่าวแก่ยายสำอางว่า
�
"หากแม่นางไม่ถือสา �ตัวข้าขอสาบานเป็นพี่น้องกับท่าน �นับแต่นี้จงคิดว่าข้าเป็นพี่ชาย
�ของแม่นาง"
�
�ของแม่นาง"
�
ยายสำอาง อยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ยามนี้ตนเองกลับมีพี่ชายภายในใจล้วนเกิดความยินดี
ขอทานเฒ่าบุญธรรม �เรียกศิษย์ของตนให้มาคารวะอาจาร์ยอาหญิง
�
ขอทานเฒ่าบุญธรรม �เรียกศิษย์ของตนให้มาคารวะอาจาร์ยอาหญิง
�
บุญโทน �ปฏิบัติตามที่อาจาร์ยสั่งตรงเข้ามาคารวะยายสำอางพร้อมเรียกหา
�
�
ว่า"อาจาร์ยอาหญิง" �คารวะเสร็จจึงหันไปกล่าวกับอาจาร์ยตนว่า
�
�
"ท่านอาจาร์ย มีเรื่องมงคลควรฉลองรับขวัญอาจาร์ยอาหญิง �ข้าจะออกไปหาอาหารและ
�สุรา �ท่านทั้ง2โปรดรอข้ากลับมา"
"ดี ดี ความคิดดีมากศิษย์รัก �ฮ่า ฮ่า"
�สุรา �ท่านทั้ง2โปรดรอข้ากลับมา"
"ดี ดี ความคิดดีมากศิษย์รัก �ฮ่า ฮ่า"
หลังการดื่มกินผ่านไป �ยายสำอางขอตัวกับขอทานเฒ่า �นั่งบำเพ็ญเดินลมปราณทบทวนวิชา
ยามดึกคืนนั้นยายสำอาง �นั่งกำหนดจิตเข้าสู่ภาวะลืมตัวตนพลันเกิดไอสีขาวกระจายออกราย
ล้อมรอบตัว �ยิ่งนานไอสีขาวกลับลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ �ขอทานหนุ่มบุญโทน �ที่นอน
หลับอยู่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติสะดุ้งตัวตื่น
�
พอตั้งสติได้สายตากลับมองเห็นแต่ไอสีขาวปกคลุมทั่วบริเวณ �จึงรีบตรง
�
�
เข้าหาอาจาร์ยของตนเองทันที �ขอทานเฒ่าตื่นมานั่งมองยายสำอางอยู่นานแล้ว �ก่อนที่ศิษย์
ตนจะตื่นเสียอีก �เห็นบุณโทนเดินเข้ามา �รีบบอกแก่ลูกศิษย์ว่า
�
ตนจะตื่นเสียอีก �เห็นบุณโทนเดินเข้ามา �รีบบอกแก่ลูกศิษย์ว่า
�
"เจ้าจงอย่าส่งเสียงรบกวน �อาจาร์ยอาหญิงของเจ้า �จิตของนางกำลังทะลุเข้าสู่วิญญาณ �
�หากผ่านพ้นไปได้ �ตัวของนางจะก่อเกิดพลังจิตที่ใช้บังคับพลังธาตุทั้ง4"
�
�หากผ่านพ้นไปได้ �ตัวของนางจะก่อเกิดพลังจิตที่ใช้บังคับพลังธาตุทั้ง4"
�
บุญโทน รับฟังสิ่งที่อาจาร์ยบอกกล่าวด้วยสีหน้างุนงง �เอ่ยถามอย่างสงสัยใจว่า
�
�
"ท่านอาจาร์ย เคยบอกกล่าวแก่ศิษย์ว่า ปล่อยจิตว่างมิต้องใส่ใจ �หากโชควาสนานำพาจิต
�จะทะลุเข้าสู่จิตใจ �ก่อกำเนิดพลังภายในซึ่งศิษย์ก็ทำสำเร็จเหตุใดจึงมีวิญญาณอีก"
�
�จะทะลุเข้าสู่จิตใจ �ก่อกำเนิดพลังภายในซึ่งศิษย์ก็ทำสำเร็จเหตุใดจึงมีวิญญาณอีก"
�
ขอทานเฒ่าบุญธรรม �ฟังคำถามที่ลูกศิษย์กล่าวขึ้นอย่างสงสัย �จึงอธิบายรายละเอียดแก่ศิษย์
ของตนว่า
ของตนว่า
"อันมนุษย์เรานั้นเมื่อกำเนิดเกิดมานั้นมีองค์ประกอบในตัวตนอยู่3ส่วน �คือ ร่างกาย จิตใจ
�วิญญาณ �ส่วนแรกที่เกิดขึ้นเราเรียก ร่างกาย ส่วนนี้จะใช้เวลาสร้างในครรภ์ของสตรี
�ส่วนที่สองเราเรียก จิตใจ ส่วนนี้จะมีเมื่อใกล้คลอดออกจากครรภ์ของสตรี
�
�ส่วนที่สามเราเรียก วิญญาณ ส่วนนี้จะมีเมื่อออกมาจากครรภ์ของสตรี
�ร่างกายเป็นกายหยาบ �จิตใจเป็นกายทิพย์ �2ส่วนนี้มิอาจอยู่ร่วมกันได้จึงต้องมีตัวเชื่อม
�ผสานมิให้กายหยาบกับกายทิพย์แยกออกจากกัน �คือ วิญญาณ"
�
ขอทานเฒ่า ระหว่างอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังก็หันไปมองยังยายสำอาง �ที่เวลานี้ตามเนื้อตัวล้วน
โปร่งแสง �เห็นเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มด้วยความยินดีแก่น้องสาวร่วมสาบานของตน �ก่อนจะกล่าวต่อ
�
โปร่งแสง �เห็นเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มด้วยความยินดีแก่น้องสาวร่วมสาบานของตน �ก่อนจะกล่าวต่อ
�
"หากมองโดยนึกภาพตาม � �ชั้นที่1ของเราเป็นร่างกาย � � ชั้นที่2ของเราเป็นจิตใจ � � �
�ชั้นที่3ของเราเป็นวิญญาณ �หากไร้ซึ่งวิญญาณหรือวิญญาณดับสูญ �ร่างกายและจิตใจก็
�จะค่อยๆดับสูญตามวิญญาณ �ชาวยุทธที่ฝึกฝีมือจนถึงขั้นสุดสูงล้วนปรารถนาบังคับจิต
�เข้าสู่วิญญาณแต่ก็ทำได้ยากยิ่ง �โดยมากจะหยุดอยู่แค่การรวมกายใจแต่หากหลอมรวม
�กาย ใจ และวิญญาณ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จึงจะไร้ที่สิ้นสุด"
�ชั้นที่3ของเราเป็นวิญญาณ �หากไร้ซึ่งวิญญาณหรือวิญญาณดับสูญ �ร่างกายและจิตใจก็
�จะค่อยๆดับสูญตามวิญญาณ �ชาวยุทธที่ฝึกฝีมือจนถึงขั้นสุดสูงล้วนปรารถนาบังคับจิต
�เข้าสู่วิญญาณแต่ก็ทำได้ยากยิ่ง �โดยมากจะหยุดอยู่แค่การรวมกายใจแต่หากหลอมรวม
�กาย ใจ และวิญญาณ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จึงจะไร้ที่สิ้นสุด"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น