คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 ดัดประพฤติ
สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page
หลังม่านบุปผางาม
บทที่ 6 ดัดประพฤติ
วันนี้เซียวลู่หลินนึกว่างอยากออกมายิงธนูเล่น ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สักพักกลับถูกเสด็จพ่อรับสั่งให้เข้าเฝ้า
หลังแยกจากจางเว่ยโหวและบุตรชายของเขาแล้ว นางก็กึ่งเดินกึ่งกระโดดไปยังตำหนักหยางซินอย่างอารมณ์ดี โบกมือทักทายทหารราชองครักษ์ใบหน้าคุ้นเคยรอบตำหนักไปทั่วด้วยรอยยิ้มสุขสันต์ กระทั่งเท้าย่างถึงปลายบันไดขั้นสุดท้าย จึงได้ยื่นคันและศรธนูไปฝากฟู่กงกงไว้แล้วเดินเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่อ เรียกหาลูกหรือเพคะ” นางถามด้วยสุรเสียงหวานใส หากแต่วันนี้บรรยากาศกลับผิดแผกนัก หากเป็นปกติแล้วบิดานางควรจะยิ้มรับตอบ กวักมือไปใกล้ ๆ แล้วเลื่อนจานขนมให้มิใช่หรือ ทว่าวันนี้อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งอยู่ตรงเก้าอี้ราวกับกำลังใช้ความคิด พักตร์ฉายความอึดอัดลังเลใจถึงสามในสี่ส่วน
เห็นเช่นนั้นเซียวลู่หลินจึงหุบยิ้มลง ยืนนิ่ง ๆ รอให้พระองค์ตรัสขึ้นมาก่อน
“เมื่อครู่เจ้าคงจะได้พบกับจางเว่ยโหวแล้ว”
“ไม่แต่งเพคะ” เซียวลู่หลินขัดทันควัน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ... นางน่าจะคิดได้ตั้งแต่ตอนที่พบกับจางเว่ยโหวซื่อจื่อเมื่อครู่แล้ว
“พ่อมิได้จะให้เจ้าแต่งกับจางเว่ยโหวซื่อจื่อเสียหน่อย” ฮ่องเต้ถอนหายใจ “เพียงแค่ทราบมาว่าเจ้าเคยพบกับคุณหนูใหญ่สกุลหลันแล้ว หลังจากนี้ก็ไปอยู่กับนางสักพักเถิด”
“...”
เซียวลู่หลินชะงักค้างไปพักใหญ่ สีหน้าฉายความสับสนมึนงงออกมาอย่างเห็นได้ชัด บิดาของนางหมายความว่าอย่างไรกัน ไปอยู่กับคุณหนูใหญ่สกุลหลัน ... อยู่เพื่ออันใด?
“ขอถามเหตุผลเพคะ” นางกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนถาม หวังเพียงว่าคำตอบคงจะไม่ใช่อย่างที่ตนกำลังคิดอยู่ในใจ
“หลินเอ๋อร์ ถึงพ่อกับแม่เจ้าจะตามใจเจ้าและไม่เคยดุว่าเจ้าสักครั้งก็ตามยามทำผิด แต่ครั้งนี้ก็เกินไปนัก เจ้าเป็นถึงธิดาของโอรสสวรรค์ จะประพฤติกระทำสิ่งใดย่อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอาณาประชาราษฎร์ พ่อกับแม่เจ้าแสร้งหลับหูข้างปิดตาข้างมานานแล้ว ถึงคราวที่เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้อื่นเสียที”
“เรียนรู้จากผู้อื่น? ... ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เซียวลู่หลินนึกอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ไม่นึกเลยว่าท้ายที่สุดแล้วบิดาก็ช่างหาข้อกล่าวอ้างมาตรัสเพื่อให้นางไปอยู่จวนจางเว่ยโหวให้ได้ นางก่อเรื่องมาตั้งกี่หนกี่คราวแล้วไม่เห็นจะเคยส่งนางไปดัดความประพฤติ เห็นท่าว่าตอนนี้คงเป็นเพราะนางอายุถึงคราวสมรสได้แล้วสิท่า พอดัดนิสัยเสร็จก็จะได้จับมัดขึ้นเกี้ยวถวายให้กับผู้อื่นโดยเร็ว
“ความทรงจำแรกที่ลูกจำได้ไม่ลืม คือตอนที่พี่หญิงใหญ่แต่งออกไปเป็นผู้แรก” จู่ ๆ นางก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อนปนสั่นเครือเล็กน้อย “ตอนนั้นลูกอายุสิบสาม เห็นนางสวมภัสตราภรณ์งดงามสีแดงสด ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามอย่างสมเกียรติไปยังแคว้นหรง แต่สุดท้ายนางก็เหลือเพียงป้ายวิญญาณและเถ้าอัฐิส่งกลับมามู่อัน”
กล่าวถึงตรงนี้หญิงสาวก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เงยหน้าขึ้นมองเพดานกว้างพลางกะพริบตาปริบ “ครั้งที่สองเป็นพี่หญิงรอง ครั้งต่อมาก็เป็นพี่หญิงสามที่แต่งไปเจียงหนาน ครั้งล่าสุดนี้ก็เป็นพี่หญิงสี่”
ดวงตาสั่นระริกคู่งามค่อย ๆ ก้มลงตามเดิมพลางจรดมองไปยังบิดาที่นั่งอยู่ “ไปหมดแล้ว ... ทุกคนไปหมดแล้วเพคะ”
เนตรหงส์ขององค์หญิงห้าบัดนี้แดงก่ำและเจิ่งไปด้วยหยาดน้ำใส มือทั้งสองของนางกำเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ ทว่าในใจก็ยังคงรั้นอยากจะพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในอกออกไปทั้งหมด “พวกนางทิ้งสี่คน ... มีใครบ้างที่ได้สมรสออกไปอย่างมีความสุขเหมือนสตรีอื่น ไม่มีเลย และครั้งนี้ก็จะเป็นลูกด้วยใช่หรือไม่ที่ต้องมีชะตาเช่นนั้น เสด็จพ่อ ท่านไม่มีบทเรียนเลยหรือ?”
“พอได้แล้ว!”
เมื่อถูกฮ่องเต้ขึ้นเสียงใส่ เซียวลู่หลินก็กลืนก้อนสะอึกลงคอไปหนึ่งครั้ง นางเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมารดแก้ม หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบ
“ทราบแล้วเพคะ ลูกจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้”
นางทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะค่อย ๆ หมุนกายเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร
ฟู่กงกงที่ถือธนูของนางรออยู่หน้าตำหนัก เมื่อเห็นว่านางออกมาแล้วก็ทำทีจะคืนของในมือให้ ทว่าพอเห็นท่าทางขององค์หญิงห้าก็อึกอัก ท้ายที่สุดก็ยอมให้นางเดินลงบันไดไปอย่างเงียบ ๆ
เซียวลู่หลินเดินเหม่อลอยออกมาจากห้องทรงพระอักษร หยาดน้ำตารื้นเต็มเบ้าจนทางข้างหน้าพร่ามัวไปหมด ท้ายที่สุดก็ทิ้งกายลงนั่งตรงเก้าอี้ไม้ยาวแถว ๆ นั้นอย่างหมดแรงล้า มือหนึ่งปาดน้ำตา มือหนึ่งถูจมูกจนขึ้นสี
นางเกลียดการแต่งงาน เกลียดการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบเป็นที่สุด บิดาของนางเป็นผู้พระทัยดีนางเองก็ทราบ แต่เรื่องที่พระองค์ไม่เคยลดหย่อนผ่อนเบาหรือมีบทเรียนเลยสักครั้งคือการที่บังคับให้ธิดาของตนทุกคนต้องสมรสกับผู้ที่ตนไม่ได้ชอบพอด้วย ตอนนั้นที่เถ้าอัฐิของพี่หญิงใหญ่ส่งกลับมา ... ม่านผินมารดาของพี่หญิงใหญ่ร้องไห้เจียนขาดใจ ท้ายที่สุดก็ตรอมใจตายไปกับบุตรสาว มู่อันตกอยู่ในความโศกเศร้าเกือบครึ่งปี
ตอนนั้นเซียวลู่หลินคิด หลังจากนี้เสด็จพ่อของตนคงจะไม่กระทำเช่นนี้อีกแล้ว แต่เปล่าเลย พี่หญิงรอง พี่หญิงสาม พี่หญิงสี่ ทุกคนต่างก็ค่อย ๆ ทยอยจากนางไปจนหมด โดยเฉพาะพี่หญิงสามที่เป็นเชษฐภคินีร่วมอุทรของนาง ตอนนี้อีกฝ่ายก็แต่งไปอยู่ไกลถึงดินแดนเจียงหนาน เจียงหนานอ๋องนั้นเดิมเคยเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์มังกร ดังนั้นพอพี่หญิงสามแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้เจียงหนานอ๋อง เซียวลู่หลินก็ทราบข่าวคราวนางผ่านจดหมายแทบจะนับครั้งได้ เป็นตายร้ายดียังไงไม่แม้แต่จะรู้ นั่นคือเหตุผลที่นางต้องการให้สกุลเยี่ยนผูกสัมพันธ์การค้ากับสกุลว่านที่มีพื้นที่เพาะปลูกแถบเจียงหนาน เพื่อที่นางจะได้ใช้ข้ออ้างไปหาพี่สาวได้อย่างไม่มีปัญหา
“โอ๊ะ มีเด็กขี้แยอยู่ตรงนี้ด้วย”
นั่งเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่พักหนึ่งก็ยินเสียงคนคุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายสวมชุดสีทะเลสดใส ใบหน้าเปื้อนยิ้ม พัดจีบในมือยังคงกรีดโบกอยู่แม้ลมจะกรรโชกแรงแค่ไหนก็ตาม
“ทำตงหยวนอ๋องซื่อจื่อเป็นห่วงเสียแล้ว” นางกลอกตา เยี่ยนชิงเฉินจึงหัวเราะแล้วนั่งลงใกล้ ๆ
“กระไร ทะเลาะกับฝ่าบาทมาหรือ”
“เสด็จพ่อไล่ข้าออกจากบ้านแล้ว”
“ไล่ออกจากบ้าน?” เยี่ยนชิงเฉินทำตาโต “อ๋อ ... ประมาณว่าส่งไปดัดสัน--...”
“ท่านพูดคำนั้นออกมาข้าตีท่านแน่!” เซียวลู่หลินเงื้อมมือขึ้นหันไปทางอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่ากำลังจะหลุดคำหยาบ เยี่ยนชิงเฉินรีบเอี่ยวตัวหนีโดยไว
“หยอกเล่นนา ๆ แล้วพระองค์จะส่งเจ้าไปที่ใดกัน?”
“จวนจางเว่ยโหว”
“จางเว่ยโหว เอ ...” ชายหนุ่มลูบคางคิดอีกรอบ “ที่ข้าจำได้ ดูเหมือนจางเว่ยโหวซื่อจื่อจะยังไม่สมรสนะ?”
“ท่านเองก็คิดเหมือนข้า” นางถอนหายใจ เอนกายไปกับพนักเก้าอี้แล้วเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง “ท้ายที่สุดแล้วชะตาขององค์หญิงทุกพระองค์ก็เป็นเช่นนี้ ร่ำรวยแล้วอย่างไร สุขสบายแล้วอย่างไร ในเมื่อกระทั่งคู่สมรสก็มิอาจเลือกได้ตามใจของตน”
“...” เยี่ยนชิงเฉินนิ่งเงียบไป ด้วยไม่รู้จะเริ่มปลอบญาติผู้น้องของตนจากตรงไหนดี นางเป็นผู้มีบาดแผลในใจเกี่ยวกับการจากไปของพี่สาว ส่วนเขาเองก็มีบาดแผลในใจเช่นเดียวกับนาง ... บางครั้งอาจจะหนักหนากว่าด้วยซ้ำไป และเพราะบาดแผลนั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เพราะคนรักษาไม่อยู่แล้ว จึงได้ปล่อยให้มันยังคงเป็นรอยกรีดอยู่อย่างนั้น เลือกที่จะสร้างภาพลักษณ์อื่นขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอในจิตใจ พร้อม ๆ กันนั้นทั้งเขาและนางก็ช่วยกันโอบอุ้มมันไว้ไม่ให้สลายหายไป
ทว่าตอนนี้ ... ดูเหมือนว่าบาดแผลจะถูกสะกิดให้รู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาเสียแล้ว
“พี่ชิงเฉิน ข้าน่ะไม่เคยหวังอะไรมากหรอกนะ” นานครั้งเซียวลู่หลินจะเรียกผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ นี้ว่าพี่ นางกล่าวพลางก้มหน้าลงต่ำมองเท้าของตน “วันหนึ่งหวังเพียงแค่ได้กินอิ่มนอนหลับ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวและคนรู้ใจ ไม่เคยมีผู้ปรามให้ข้าทำสิ่งใด ไม่ต้องกลัวว่าหากทำพลาดไปแล้วจะมีคนผิดหวัง ข้าเห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่?”
“มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว” เยี่ยนชิงเฉินโขกพัดในมือลงบนศีรษะของนางอย่างนึกมันเขี้ยว “เจ้าเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งมู่อัน จะเอาแต่ใจ จะทำตัวไร้มารยาทกว่านี้ก็ได้ ผู้ใดว่าเจ้ากองทัพตงหยวนอ๋องจะปกป้องเจ้าเอง”
“เช่นนั้นถ้าเสด็จพ่อว่าข้าเล่า ท่านจะนำทัพตงหยวนก่อกบฏหรือ” เซียวลู่หลินหัวเราะร่วน เยี่ยนชิงเฉินเองก็หัวเราะตาม เห็นนางยิ้มได้แล้วเขาก็โล่งใจขึ้นมา
“เว้นฝ่าบาทไว้หนึ่งคน ๆ ข้ายังรักตัวกลัวตายอยู่” ชายหนุ่มยิ้ม “เอาล่ะ เจ้าก็รีบกลับตำหนักไปเก็บข้าวของเสีย ประเดี๋ยววันย้ายไปอยู่จวนจางเว่ยโหวข้าไปส่งเอง”
“อืม ว่าแต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเข้าวังมาด้วยเหตุใด?”
“ด้วยสิ่งนี้” ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อล้วงซองจดหมายจากในกระเป๋าอกเสื้อมาโบกให้นางดู “จดหมายจากตงหยวนถึงฮองเฮา”
“จากท่านลุงหรือ!” พลันนัยน์ตาขององค์หญิงห้าก็เปล่งประกายอย่างรวดเร็วคลับคล้ายว่าเมื่อกี้ไม่ได้ร้องไห้อยู่ ตงหยวนอ๋องท่านลุงของนางนั้นเดิมเคยเป็นอาจารย์ฝึกวรยุทธให้นาง นางจึงได้สนิทกับอีกฝ่ายมาก
“อาหะ อาจมีของเจ้าด้วย เช่นนั้นก็ไปตำหนักคุนหนิงพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”
“ได้เลย” เซียวลู่หลินรับคำด้วยรอยยิ้ม ลุกจากที่นั่งแล้วหมุนกายเดินนำญาติผู้พี่ของตนไปก่อนอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น