ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 จางเว่ยโหว

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทที่ 5 จางเว่ยโหว

     

    “ปีนี้หลินเอ๋อร์อายุสิบหกแล้ว”

    “เพคะ นางอายุสิบหกแล้ว”

    สุรเสียงของสตรีที่พูดขัดขึ้นทำเอาคนเริ่มประเด็นสนทนาตวัดหางตามอง พระองค์ถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวกับคนรักของตนอย่างตรงไปตรงมา

    “ดูเหมือนคหบดีจ้านจะเรียกค่าเสียหายครั้งนี้มาเยอะเลยเชียว”

    “ฝ่าบาทจะกังวลพระทัยอันใดกัน” สตรีนางนั้นตรัสพลางก้มหน้าลงเช็ดกระบี่ในมือพลาง “หากท่านกลัวว่าท้องพระคลังจะร่อยหรอ ให้ตระกูลเยี่ยนจัดการให้แทนก็ได้”

    “โถฮองเฮายอดรักของเรา ประเด็นคือมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงินเสียหน่อย” ฮ่องเต้หยางซ่งทำตาละห้อย นึกอยากจะขยับเข้าไปนั่งใกล้นางมากกว่าเดิมแต่ก็เกรงกลัวกระบี่ในมือที่อีกฝ่ายกำลังถืออยู่เหลือเกิน ... หวนนึกตอนที่พระองค์กำลังเกี้ยวพานางที่มีฐานะศักดิ์เป็นธิดาของตงหยวนอ๋องคนเก่าใหม่ ๆ ตอนนั้นนางถึงขั้นอาละวาด ยกกระบี่ขึ้นมาไล่ล่าพระองค์แทบตาย กว่าจะมีนางเคียงข้างได้ไม่ง่ายจริง ๆ

    เยี่ยนฮองเฮายินก็ตวัดหางตามองสวามี “แล้วปัญหามันอยู่ที่ใดกันเพคะ”

    พอเห็นว่าคนรักเริ่มรับฟังตนแล้วฮ่องเต้ก็ตรัสต่อ “ตอนนี้ชื่อเสียงของหลินเอ๋อร์เหมือนจะฉาวโฉ่ขึ้นมาอีกแล้ว”

    “เหตุใดจู่ ๆ ฝ่าบาทถึงได้หันมาสนใจชื่อเสียงของหลินเอ๋อร์กัน” เยี่ยนฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่ย ด้วยปกติแล้วธิดาคนที่ห้าของพวกเขาจะกระทำการก่อเรื่องอันใดก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แม้ครั้งนี้อาจจะหนักหน่วงไปหน่อยเพราะหลินเอ๋อร์ถึงขั้นบุกเข้าไปกระทืบคนถึงในหอนางโลมก็ตาม ...

    ฮ่องเต้ถอนหายใจเล็กน้อย “พวกเขาจะมาแล้ว”

    “ใคร”

    “พวกแคว้นหรง”

    “...”

    “เราต้องรีบส่งให้หลินเอ๋อร์แต่งงานออกไป”

    เยี่ยนฮองเฮาฟังก็เก็บกระบี่เข้าฝัก เงยหน้าขึ้นสบตากับสวามีที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามโดยมีโต๊ะน้ำชาคั่นกลาง “นางไม่ยินยอมแน่”

    “และเราก็ไม่ยินยอมให้หลินเอ๋อร์ต้องไปอยู่แคว้นหรงด้วยเช่นกัน ฮองเฮา เจ้าลืมเรื่องของเจียวซิ่นไปแล้วหรือ?”

    “...”

    ครั้นฮ่องเต้ตรัสคำว่า ‘เจียวซิ่น’ ซึ่งเป็นพระนามขององค์หญิงใหญ่ออกมา เยี่ยนฮองเฮาก็เผลอกัดริมฝีปากเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว แคว้นมู่อันกับแคว้นหรง ... ถือเป็นสองแคว้นที่มีกำลังทหารพอกัน ดังนั้นหนทางที่จะสงบศึกได้ดีที่สุดคือการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ สามปีก่อนองค์หญิงใหญ่ที่ประสูติจากสนมขั้นผินนางหนึ่งถูกส่งไปสมรสยังแคว้นหรง ทว่าได้เพียงแค่ปีกว่าก็สิ้นใจอย่างปริศนาพร้อมกับบุตรในครรภ์ ครั้งนี้แคว้นหรงจะส่งราชทูตมายังมู่อันอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็พอเดารู้ว่าต้องการเจ้าสาวคนใหม่

    “ท่านดูใครไว้?” ท้ายที่สุดฮองเฮาก็ยอมแพ้แล้วเอ่ยถามขึ้น เพราะบางทีตนอาจจะช่วยสวามีโน้มน้าวบุตรสาวได้

    “ชิงเฉิน”

    “หม่อมฉันจะถือว่าท่านไม่เคยตรัสชื่อนี้ออกมา”​ เยี่ยนฮองเฮายกมือขึ้นปรามอย่างไว “ชิงเฉินมีบาดแผลในใจเยอะมากพอแล้ว เขาไม่ควรถูกดึงเข้ามาแบบนี้”

    “เรารู้แล้วว่าฮองเฮาจะกล่าวเช่นนี้ ดังนั้นเราจึงมีอีกหนึ่งทางเลือก”

    “ทางเลือก?” เยี่ยนฮองเฮากะพริบตาปริบ “คิดว่าหลินเอ๋อร์จะยอมได้หรือเปล่าเพคะ?”

    ฮ่องเต้เหยียนซ่งเห็นท่าทีเช่นนั้นของภรรยาก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ไม่หรอก นางจะค้านหัวชนฝาเลยแหละ”

     

    “คารวะฝ่าบาท”

    ราวสามวันถัดมาหลังจากที่องค์หญิงห้าก่อเรื่องจนฉาวโฉ่ไปทั่วเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็ได้ทรงเรียกจางเว่ยโหวสกุลหลัน พร้อมด้วยจางเว่ยโหวซื่อจื่อเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สองพ่อลูกโค้งศีรษะคารวะพร้อมกัน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น

    “จางเว่ยโหว รู้หรือไม่ว่าเราเรียกเจ้ามาในวันนี้ด้วยเหตุใด?” ฮ่องเต้ตรัสถาม

    บุรุษวัยกลางคนยินก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย “กระหม่อมโง่เขลามิอาจคาดถึงพระทัยฝ่าบาทได้ ขอฝ่าบาทพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    “ที่จริงเมื่อราวสามวันก่อน เราได้ข่าวว่าบุตรสาวของเจ้าได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่สกุลอี้ด้วย”

    “พ่ะย่ะค่ะ นาน ๆ ทีเซวียนเอ๋อร์นึกอยากจะออกจากจวน ทั้ง ๆ ที่ปกตินางจะชอบเก็บตัวอยู่ในจวนไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” หลันช่างหย่งพยักหน้า แม้ในใจจะมีคำถามมากมายว่าเหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงได้ตรัสเรื่องของบุตรสาวคนโตขึ้นมา

    “บังเอิญยิ่งนักที่งานเลี้ยงในวันนั้นธิดาของเราก็เข้าร่วมด้วย เจ้าคงจะรู้จักหว่านฮว๋า ชื่อเสียงนางไม่ธรรมดาเลยเชียว” ฮ่องเต้หัวเราะเล็กน้อย “ตรงกันข้ามกับบุตรสาวของเจ้ายิ่งนัก หากธิดาของเราได้เรียนรู้จากบุตรสาวของเจ้าบ้างก็คงจะดี”

    “ฝะ ... ฝ่าบาททรงหมายถึง?” หลันช่างหย่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าโดยมีโต๊ะทรงพระอักษรคั่นกลาง

    “ส่วนตัวเราคิดว่าหากให้หว่านฮว๋าได้เรียนรู้จากบุตรสาวของเจ้าคงไม่เลว กระไร เรื่องนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสพลางก้มลงเขียนหนังสือบางอย่าง หลันช่างหย่งแทบจะไม่ต้องคิดเยอะในเรื่องนี้ แม้องค์หญิงห้าจะมีชื่อเสียงเรียงนามฉาวโฉ่เพียงใด ทว่าการที่ฮ่องเต้จะให้นางมาอยู่ที่จวนสกุลหลันก็เท่ากับทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักได้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และจวนจางเว่ยโหว ไม่เห็นจะมีอะไรขาดทุนเลยสักนิด

    อีกอย่างหนึ่ง ... การที่พระองค์ทรงเรียกทั้งเขาทั้งบุตรชายมาเข้าเฝ้าครั้งนี้ ลึก ๆ แล้วอาจมีพระประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ด้วย

    “ได้รับเกียรติให้ดูแลองค์หญิงห้า นับเป็นเกียรติสำหรับสกุลหลันยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” หลันช่างหย่งประสานมือคารวะอีกฝ่าย

    “ดี เช่นนั้นมาเอาสิ่งนี้ไป” หลังจากทำการประทับพระราชลัญจกรณ์เรียบร้อยดีแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงยื่นม้วนฎีกาให้กับจางเว่ยโหว คุยกันต่อสักสองสามประโยคฮ่องเต้ก็ทรงส่งพวกเขากลับออกมา

    ระหว่างเดินออกมาจากตำหนักเพื่อหาเกี้ยวออกไปนอกวัง จางเว่ยโหวซื่อจื่อที่เงียบมาตั้งแต่เริ่มก็ได้ถามบิดาขึ้น

    “ท่านพ่อ เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องทรงเรียกข้ามาเข้าเฝ้าด้วยกัน?”

    “เจ้ายังอ่อนต่อโลกนัก” หลันช่างหย่งทุบฎีกาที่เพิ่งได้รับมาลงบนอกบุตรชายเบา ๆ “เจ้ายังไม่มีคู่หมาย องค์หญิงห้าก็ยังไม่มี”

    พูดจบจางเว่ยโหวก็เดินต่อ กว่าที่หลันลู่เฉิงจะตั้งสติได้ก็กินเวลาไปพักใหญ่ รู้ตัวอีกทีบิดาก็เดินนำไปไกลมากแล้ว

    “ท่านพ่อ แต่ว่าข้าไม่อยากสมรสกับนางนี่!” ชายหนุ่มโวยวาย ด้วยใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่าองค์หญิงห้านั้นนิสัยร้ายกาจเพียงใด เตะต่อยคน ก่อเรื่องเก่งเป็นว่าเล่น ล่าสุดก็กล้าที่จะเดินเข้าหอนางโลมไปอย่างน่าไม่อาย หากเขาได้แต่งกับนางจริง ๆ มีหวังต้องถูกล้อเลียนจนตายแน่

    อีกอย่าง ...​ หากต่อยตีเก่งเช่นนี้ต้องแปลว่าต้องร่างหนา หน้าตาอัปลักษณ์แน่แท้!

    “เรื่องสมรสไม่สมรส ขุนนางอย่างเรา ๆ เคยขัดได้ที่ใดกัน” จางเว่ยโหวถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของบุตรชาย และจู่ ๆ ดวงตาของเขาก็ตวัดไปเห็นสตรีนางหนึ่งที่กำลังเดินสวนเข้ามาใกล้ นางเดินมาเพียงแค่คนเดียวไร้ซึ่งเงาของผู้ติดตาม สวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงคล้ายบุรุษ แผ่นหลังสะพายกระบอกศรธนู มือหนึ่งถือคันศรไว้ หลันลู่เฉิงเองก็มองตามบิดา เมื่อได้เห็นก็ตะลึงจนเกือบลืมหายใจ

    แม้ท่าทางจะแลดูห้าวหาญ ... ทว่าดวงหน้ากลับงามพิลาศยากหาผู้เปรียบเปรยแม้มิได้ประทินโฉม ผิวกายของนางนั้นขาวผ่อง ตรงหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมเล็กน้อย ดวงตาเถรตรงมั่นคง คิ้วโก่งเข้ารูป รับกับจมูกคมสันและริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูจาง ๆ

    “... สุภาพหน่อย” หลันช่างหย่งกระซิบกับบุตรชายแล้วหลีกทางให้นางเล็กน้อย จากนั้นจึงประสานมือคารวะ

    “องค์หญิงห้า”

    “โอ้ ...”​ เซียวลู่หลินที่เกือบจะเดินผ่านพวกเขาไปถึงขั้นหยุดฝีเท้า “จางเว่ยโหวนี่เอง ส่วนท่านชายผู้นี้ ...?”

    “ทูลองค์หญิง คือบุตรชายคนโตของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

    “อืม ...”​ เซียวลู่หลินลูบคาง มองจางเว่ยโหวซื่อจื่อตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “หน้าตาดูดีใช้ได้ มีคู่หมายหรือยัง?”

    คำพูดแทะโลมขององค์หญิงเล่นเอาบุรุษทั้งสองไหล่สะดุ้งพร้อมกัน โดยเฉพาะหลันลู่เฉิงที่บัดนี้ยังคงดึงสติของตนกลับมาแทบจะไม่ได้ เมื่อครู่เขาหมิ่นนางอยู่ในใจแท้ ๆ ว่าคงจะเป็นสตรีร่างหนากำลังเยอะ ... ที่ใดได้ องค์หญิงห้าผู้นั้นกลับเป็นดรุณีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ทั้งยังงดงามเสียเกือบทำให้บุปผาทั้งมวลต้องเบือนหน้าหนีเสียนี่!

    “ทูลองค์หญิง ... บุตรชายของกระหม่อมยังไม่มีคู่หมายพ่ะย่ะค่ะ” จางเว่ยโหวยิ้มใจดีสู้เสือ เซียวลู่หลินไม่วายหัวเราะร่วน

    “หยอกเล่นนา ถ้าข้าชอบคนที่หน้าตาจริง ๆ คงจะสมรสไปตั้งนานแล้ว เช่นนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง พอดีเสด็จพ่อเรียกข้าเข้าเฝ้าน่ะ”

    “น้อมส่งองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ...”

    ตั้งแต่ที่องค์หญิงห้าปรากฏตัว ตลอดจนไปถึงนางเดินกลับไปลับ หลันลู่เฉิงก็คลับคล้ายว่าจะยังคงตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน ได้สติก็ตอนที่บิดาเอาม้วนฎีกาตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรง

    “หากชอบก็ไม่ขัด แต่ข้าไม่ขอให้ จัดการเอาเอง”

    หลันช่างหย่งพ่นลมหายใจแรง แล้วจึงได้เดินทิ้งห่างบุตรชายไปขึ้นเกี้ยวอย่างรวดเร็ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×