ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 เจรจาผูกมิตร

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทที่ 4 เจรจาผูกมิตร

     

    หลังกลับจากงานเลี้ยงที่จวนสกุลอี้ หลันเซวียนก็ได้เดินเข้าเรือนของตนไปพร้อมกับสาวใช้โดยไว และสิ่งแรกที่ได้เห็นคือมารดาที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ภายในห้องนอนของตน

    “ท่านแม่”

    หลันเซวียนร้องเรียกขึ้นพลางถอดม่านไหมที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นริมฝีปากงามได้รูปที่ถูกซ่อนเอาไว้ ระหว่างนั้นก็ยกแขนทั้งสองขึ้นให้สาวใช้สองนางช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า

    “งานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง” สวีฮูหยินถามบุตรของตนด้วยรอยยิ้มแต่งแต้ม รอยยิ้มของผู้เป็นมารดานั้นงดงามที่สุดในสายตาผู้ที่ถูกถาม แม้จะมีความเศร้าหมองเจืออยู่ราวหนึ่งในสามส่วน ทว่าก็ยิ่งทำให้คนมองลุ่มหลงอยากปกป้อง

    “ก็ดีขอรับ มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นเยอะแยะเลย”

    ครั้นพอปลอดคนนอก ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของ ‘เขา’ จะเข้มขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก

    หลันเซวียนแท้จริงแล้วเป็นบุรุษ ... แต่เพราะฮูหยินใหญ่ไม่ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ในฐานะนั้น มารดาจึงจำใจต้องเลี้ยงดูให้เขาเติบใหญ่เป็นสตรี โชคดีที่เขามีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับมารดา ส่วนสูงก็ไม่ถือว่าสูงมากหากเทียบกับพี่ชายต่างมารดา แต่ก็ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับส่วนสูงของสตรีอื่น ๆ ดังนั้นนอกจากส่วนสูงแล้ว อย่างอื่นก็ค่อนข้างแนบเนียนในระดับหนึ่ง

    “แม่ได้ข่าวว่าวันนี้องค์หญิงห้าเสด็จไปเข้าร่วมด้วย”

    “ขอรับ สมคำร่ำลือเลยเชียว”

    พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเขาก็เดินอ้อมไปนั่งตรงข้ามกับมารดา “ว่าแต่ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือ?”

    สวีจื่อจานส่ายศีรษะ “แค่เป็นห่วงเจ้าเลยมาดูสักหน่อย”

    คำว่า ‘เป็นห่วง’ นี้ก็คงหมายถึงเกรงว่าความลับของเขาจะถูกเปิดเผย เดิมเขาไม่อยากจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เท่าใดนัก ทว่าเขาเองก็ใช้ข้ออ้างในการป่วยปฏิเสธเทียบเชิญงานเลี้ยงไปหลายครั้งหลายครา เกรงว่าจะถูกฮูหยินใหญ่จับสังเกตพิรุธเอาได้ ครั้งนี้จึงได้ตัดสินใจเสี่ยงที่จะออกไปข้างนอก

    “ข้าไม่เป็นไรขอรับ ... ท่านแม่อย่าได้คิดมากไป”

    “ตอนนี้รอเพียงแค่ซื่อจื่อมีอำนาจฐานะมั่นคงเท่านั้น ... ไทเฮาจึงจะสามารถเปิดเผยและรับรองฐานะแท้จริงของเจ้าได้ อดทนอีกนิดหนึ่งนะ” สวีฮูหยินพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงและแววตาละห้อย หลันเซวียนจึงได้เอื้อมมือไปกุมมือมารดาไว้ ยิ้มบาง ๆ ให้กับนางด้วยความอ่อนโยน

    “ข้าทนมาสิบแปดปีแล้ว จะทนต่ออีกสิบปีหรือยี่สิบปีก็ช่างมันปะไร”

    “แม่เองก็หวังว่าสักวัน ... เจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างบุรุษอยู่ในจวนแห่งนี้อย่างภาคภูมิ แต่งภรรยาดี ๆ สักคนให้แม่ได้อุ้มหลาน นอกจากนี้แม่ก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว”

    “ท่านแม่วางใจเถิด” ชายหนุ่มบีบมือมารดาแน่นกว่าเก่า “วันนั้นต้องมาถึงแน่”

     

    รุ่งเช้าวันต่อมา หนังสือถอนหมั้นจากจวนคหบดีจ้านก็ถูกส่งไปยังจวนซือหลี่ปั๋วอย่างรวดเร็ว

    ครั้นซือหลี่ปั๋วอ่านข้อความในหนังสือจนจบ สีหน้ากลับฉายความมืดครึ้มออกมาถนัดตา ไม่เหมือนกับผู้เป็นบุตรสาวที่มีสีหน้าโล่งใจคล้ายเพิ่งจะได้ยกภูเขาออกจากอก

    “ครั้งนี้เป็นองค์หญิงห้าที่ช่วยเหลือลูกไว้ ... ลูกต้องไปขอบคุณนาง”

    “ช่วยเหลือ? ฮึ!”​ ว่านเฉางตงถอนลมหายใจแรง “ซือเอ๋อร์ เจ้าน่ะอ่อนต่อโลกเกินไปแล้ว!”

    “แต่ว่า ...” ว่านเย่ซืออึกอักเถียงบิดาไม่ออก แต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่นางประพฤติตนอยู่ในโอวาทมาเสมอ กระทั่งถูกบิดาขายให้กับคหบดีบ้าน ๆ นางก็ไม่ได้ปริปากบ่นหรือคัดค้านเลยแม้แต่คำเดียว ครั้งนี้อุตส่าห์ได้เป็นอิสระทั้งที แม้องค์หญิงห้าผู้ได้ชื่อว่าอันธพาลผู้นั้นจะมีอะไรอยู่ในใจนางก็ไม่สนหรอก

    เห็นสีหน้าสับสนของบุตรสาว ว่านเฉาตงก็กำหนังสือถอนหมั้นในมือเสียจนยับยู่ยี่ กรามฟันขบเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บแค้นในอก ฮ่องเต้หยางซ่ง ... องค์หญิงห้า แท้จริงแล้วก็เป็นพวกเสือหมอบมังกรซ่อน ลงมือเอิกเกริกเพียงครั้งเดียวก็ตัดโอกาสของเขาทิ้งไปหมด ที่เหลือไว้ให้มีเพียงแค่การสวามิภักดิ์เท่านั้น ซึ่งเขาก็ดื้อรั้นหัวชนฝามายี่สิบกว่าปีแล้ว!

    “วันนี้ได้รับหนังสือถอนหมั้น ซือหลี่ปั๋วควรจะดีใจมิใช่หรือ?” 

    หากแต่ไม่ทันจะได้รวบรวมความคิดเพื่อหาทางออก เสียงใสของสตรีผู้หนึ่งก็แว่วดังมาจากทางประตู นางผู้นั้นสวมเสื้อทรงกระบอกสีแดงเลือดหมูดูทะมัดทะแมง เส้นผมสีดำขลับดุจย้อมด้วยหมึกรวบเอาไว้ครึ่งหนึ่งแล้วปักด้วยปิ่นเงินง่าย ๆ พักตร์เกลี้ยงเกลาไร้เครื่องประทินโฉม ทว่ากลับแลดูงดงามทะนงศักดิ์มั่นคง ทั้งคิ้วโก่งดุจคันศรนั่นก็ดี ทั้งดวงตาเมล็ดซิ่งนั่นก็ดี ยามริมฝีปากได้รูปสีชมพูบางนั้นผุดยิ้ม ก็เป็นราวกับนางพญาผู้มีความง่าและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

    “องค์ ... องค์หญิง”

    ว่านเย่ซือได้สติก่อนบิดา ทำทีจะคุกเข่าลงกับพื้นทว่าก็ถูกเซียวลู่หลินยกแขนห้ามไว้

    “ที่นี่เป็นจวนของพวกเจ้า ดังนั้นไม่ต้องมากพิธีไป”​ พูดพลางยกมือทั้งสองขึ้นไพล่หลัง จรดสายตามองไปยังซือหลี่ปั๋วแล้วเอียงคอตาใส “กระไร ซือหลี่ปั๋วไม่พอใจที่ข้ายกเลิกการหมั้นหมายของคุณหนูว่านกระนั้นหรือ?”

    “...” ว่านเฉาตงไม่พูดอะไร เพียงแค่ใช้หางตาตวัดมองไปยังองค์หญิงราวกับพยัคฆ์ที่ต้องการขู่ขวัญ ทว่าพยัคฆ์แม้จะแก่กล้าน่ายำเกรงเพียงใด ก็พ่ายแพ้ให้กับบุตรมังกรตัวน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบอยู่ดี

    เซียวลู่หลินจ้องกลับอย่างไม่หวาดกลัว ดวงตาหงส์คู่งามที่ถอดแบบมาจากบิดาเกือบทุกส่วนเล่นเอาว่านเฉาตงสับสนไปพักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็เป็นเขาที่ถอนสายตาออกไปก่อน 

    “วันนี้ข้ามาที่นี่ มีเรื่องหลัก ๆ อยู่สามข้อ” เซียวลู่หลินยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ข้อแรก วันนี้มาขอโทษคุณหนูว่านที่เมื่อวานพูดจาไม่ดีใส่”

    “หม่อมฉัน ... หม่อมฉันต่างหากเล่าเพคะที่ต้องขอโทษ” ว่านเย่ซือรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนก่อเมื่อวาน หากแต่เซียวลู่หลินก็ไม่ได้ใส่ใจ พูดต่อว่า

    “ข้อสอง ข้ากระทืบจ้านชิวให้แล้ว นับแต่วันนี้ไปอีกสามเดือนเขาจะไม่มีวันมาคุกคามรังแกคุณหนูว่านได้ ส่วนข้อสาม ...”

    หญิงสาวเว้นช่วงคำพูดเล็กน้อย หรี่ตาลงต่ำ “คุณหนูว่านอาจไม่สะดวกฟังเท่าใดนัก”

    “เช่นนั้น ... หม่อมฉันขอตัวเพคะ”

    ว่านเย่ซือรู้ดีว่าองค์หญิงคงมีข้อราชการที่จะพูดกับบิดา นางที่เป็นคุณหนูในห้องหอไม่ประสาจึงไม่ควรที่จะเสียมารยาทอยู่ฟัง ลุกขึ้นยอบกายให้กับบิดาและองค์หญิงเสร็จก็เดินออกไป

    พอเท้าของว่านเย่ซือพ้นธรณีประตูไปแล้ว เซียวลู่หลินก็เปลี่ยนอากัปท่าที ทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวที่ว่านเย่ซือนั่งเมื่อครู่ จัดการรินชาลงในจอกให้กับตนเองเสร็จสรรพโดยไม่สนธรรมเนียม

    “องค์หญิงมีอันใดอยากตรัสก็ตรัสมา อย่าได้อ้อมค้อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”

    “รอสักครู่ ขอจิบชาสักอึก” เซียวลู่หลินปรามอีกฝ่าย จากนั้นจึงได้ยกชาขึ้นจิบแล้ววางลง “เรื่องที่ข้าจะพูด ข้ารับรองว่าเป็นผลดีต่อท่านแน่นอน”

    “เรื่องที่ว่าจะให้กระหม่อมสวามิภักดิ์ต่อเชื้อพระวงศ์น่ะหรือ?” ว่านเฉาตงถามอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรเสียเขาก็เป็นไม้แก่ ยอมหักไม่ยอมงออยู่แล้ว วันนี้คนตรงหน้าจะพูดอันใดเขาก็ไม่สนใจเด็ดขาด 

    “ความจงรักภักดีของท่านมิได้มีไว้เพื่อเสด็จพ่อ และมันเป็นเช่นนี้มายี่สิบห้าปีแล้ว” เซียวลู่หลินหัวเราะเล็กน้อย “ข้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ”

    “เช่นนั้นแล้วองค์หญิงทรงมีสิ่งใดอยากจะตรัสอีกหรือ? ในเมื่อก็ทราบอยู่แก่พระทัยแล้วว่ากระหม่อมไม่มีทางสวามิภักดิ์ง่าย ๆ”

    “ก็ไม่ต้องสวามิภักดิ์ต่อเสด็จพ่อ” องค์หญิงห้ายิ้ม “สวามิภักดิ์แค่ข้าก็พอ”

    “... องค์หญิงทรงตรัสว่าอย่างไรนะ”

    เพียงพริบตาเดียวสีหน้าของว่านเฉาตงก็เปลี่ยนสี หากแต่เซียวลู่หลินยังคงมีท่าทีสบาย ๆ หยิบจอกชาบนโต๊ะมาโคลงเล่นไปมา

    “สวามิภักดิ์ต่อข้า ตงหยวนอ๋องตระกูลเยี่ยนจะช่วยเหลือท่านให้คงฐานะศักดิ์มั่นคงได้ตามเดิม งานนี้ท่านมีแต่ได้”

    ว่านเฉาตงหรี่ตา “ข้อแลกเปลี่ยนที่องค์หญิงทรงต้องการคืออะไร”

    “ได้ข่าวมาว่าท่านมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่แถวเจียงหนานจำนวนหนึ่ง คนจะดีหากได้ทำสัญญาซื้อขายกับตงหยวนอ๋อง” เซียวลู่หลินยิ้ม “กล่าวตามตรง นับวันคนของกองทัพตงหยวนนั้นมีแต่จะเพิ่มขึ้น ลำพังแค่เสบียงจากตงหยวนและเมืองหลวงอาจไม่เพียงพอเท่าใดนัก”

    “เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอกล่าวตามตรงด้วยเช่นกัน สกุลว่านมีพื้นที่เพาะปลูกแถวเจียงหนานก็จริง แต่ก็ไม่ได้มากมายพอที่จะเกื้อหนุนกองทัพอันยิ่งใหญ่ของตงหยวนได้” หากฟังดี ๆ ประโยคนี้ของว่านเฉาตงแฝงคำเหน็บแนมไว้หลายส่วน “ดังนั้นองค์หญิงคงจะมาเจรจาเสียเวลาเปล่าแล้ว”

    “ข้าอุตส่าห์คิดว่าท่านจะคิดได้ลึกซึ้ง พูดแค่นี้ก็เข้าใจเสียอีก” เซียวลู่หลินถอนหายใจ ยกขาขึ้นไขว้ห้างอย่างวางมาด “ท่านคิดว่ากองทัพตงหยวนจะต้องการเสบียงจากพื้นที่เพาะปลูกของท่านจริงหรือ? ไม่เลยซือหลี่ปั๋ว นี่เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเท่านั้น” พูดแล้วก็ยกนิ้วขึ้นมาคิดคำนวณ “อืม ... สองปีแล้วที่พี่หญิงสามของข้าสมรสกับเจียงหนานอ๋องซื่อจื่อ ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ข้าได้รับจดหมายจากนางแทบจะนับครั้งได้ ยืนยันชัดดีเลยว่าทางเจียงหนานไม่ค่อยอยากติดต่อกับเมืองหลวงเท่าใดนัก ครั้งนี้ข้าช่วยท่าน กล่าวตามตรงว่าต้องการใช้ข้ออ้างเรื่องพื้นที่เพาะปลูกในการขยับเข้าหาเจียงหนานให้มากขึ้น ข้ากล่าวเช่นนี้แล้วซือหลี่ปั๋วยังมีข้อใดไม่เข้าใจอีก?”

    พูดยาวเหยียดจบประโยคนางก็จิบชาเพิ่มอีกหนึ่งอึก ว่านเฉาตงรีบดีดลูกคิดรางแก้วในใจ ... หากเขายอมรับข้อเสนอนี้ขององค์หญิงห้า เขาก็ไม่ต้องสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้โดยตรง ภายนอกดูเหมือนว่าจะสวามิภักดิ์ไปแล้วแต่ความจริงผู้ที่เขาผูกมิตรด้วยคือตระกูลเยี่ยน ทั้งครั้งนี้ยังทำให้ตระกูลว่านหลุดพ้นจากคหบดีจ้านได้อีกต่างหาก ยอมรับเลยว่าหมากกระดานนี้ไม่ได้มีหนทางจบที่สวยหรูหากเขาปฏิเสธ

    “ซือหลี่ปั๋วคิดดี ๆ แล้วค่อยส่งคำตอบไปให้ข้าก็แล้วกัน”​ พอนั่งนาน ๆ เซียวลู่หลินก็รู้สึกเมื่อยนักจึงได้ลุกขึ้น “ขอตัวก่อน ไม่ต้องส่ง อ้อ ... ฝากบอกบุตรสาวท่านด้วยว่าหากต้องการขอโทษ ให้ไปขอโทษคุณหนูหลันไม่ใช่ข้า”

    กล่าวทิ้งท้ายจบ สตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงลำดับที่ห้าแห่งราชวงศ์สกุลเซียวก็เดินยืดอกไพล่หลังจากไป ว่านเฉาตงมองแผ่นหลังของนางที่ไกลออกไปจนลับสายตา หลังจากนี้คงมิอาจมองว่านางเป็นเพียงแค่อันธพาลคนหนึ่งได้อีกต่อไปแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×