ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 คหบดีจ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทที่ 3 คหบดีจ้าน

     

    “ฝ่าบาท! องค์หญิงห้าก่อเรื่องอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

    ครั้นพอทราบรายงานที่เกิดขึ้นในหอสดับบุปผา ขันทีอาวุโสข้างกายโอรสสวรรค์ก็รีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปในห้องทรงพระอักษรโดยไว ส่วนเจ้าของห้องบัดนี้กำลังเอนกายไปกับเก้าอี้ไม้ประดูสลักมังกรเก้ากรงเล็บ มือหนึ่งถือหนังสือปรัชญาครองคน อีกมือหนึ่งหยิบขนมดอกกุ้ยบนโต๊ะเสวยอย่างอารมณ์ดีไม่ทุกข์ร้อน

    “ครานี้ที่ใดกันล่ะ”

    ฟู่กงกงนั้นคุ้นชินกับภาพตรงหน้าไปแล้วจึงเลิกจะใส่ใจ รีบตอบว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นหอสดับบุปผาพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าทรงทำร้ายร่างกายบุตรชายของคหบดีจ้าน ตอนนี้คหบดีจ้านกำลังนั่งคุกเข่าร้องทุกข์อยู่หน้าวังพ่ะย่ะค่ะ”

    “ปล่อยไว้เช่นนั้นแหละ เมื่อยขาเดี๋ยวก็กลับไปเอง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่ใส่ใจ ดวงเนตรมังกรยังคงจรดอ่านข้อความในหนังสืออยู่

    “แต่ว่า ... บุตรชายของคหบดีจ้านคือคู่หมั้นของคุณหนูว่าน บุตรสาวของซือหลี่ปั๋วเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงยังคงไม่ยอมถอย หาฝ่าบาทจะยังรั้นตามพระทัยองค์หญิงห้าไปมากกว่านี้ นานวันเข้าชาวบ้านจะพากันเสื่อมศรัทธาเชื้อพระวงศ์เอาได้

    “หว่านฮว๋าจะทุบตีใครนางล้วนมีเหตุผลของนางอยู่แล้ว” ฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วพับปิดหนังสือลง “แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด?”

    “หลังจากทำร้ายบุตรชายของคหบดีจ้านเสร็จ ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเสด็จออกไปเดินเล่นกับตงหยวนอ๋องซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”

    ฟังคำตอบฮ่องเต้ก็ทรงครุ่นคิดเล็กน้อย ... การกระทำของหว่านฮว๋าวันนี้เห็นชัดว่าตั้งใจทำให้เอิกเกริกเพื่อให้เชื้อพระวงศ์กับสกุลจ้านมีปัญหากัน เหล่านั้นก็เพื่อช่วยเหลือสกุลว่านที่อาจล้มลงได้ทุกเมื่อยามขาดแรงสนับสนุนจากเศรษฐีสกุลจ้าน

    ท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงรับสั่ง

    “อนุญาตให้คหบดีจ้านเข้าเฝ้า เรียกหว่านฮว๋ากลับมาด้วย”

    “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไปเดี๋ยวนี้”

    พอเห็นว่าครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ทรงปล่อยองค์หญิงไปเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา ฟู่กงกงก็ดีใจจนแทบข่มกลั้นอาการไว้ไม่อยู่ รีบวิ่งออกไปทำตามกระแสรับสั่งโดยทันที

     

    ผ่านไปราวชั่วยามกว่า ๆ เจ้าตัวที่เป็นคนก่อเรื่องก็เพิ่งจะมาถึงห้องทรงพระอักษร

    เซียวลู่หลินเดินยืดอกนำเยี่ยนชิงเฉินเข้าไปด้านใน ประสานมือคารวะราชบิดาของตนแบบส่ง ๆ แล้วหรี่ตามองไปยังชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังคุกเข่าอยู่ ดูจากที่เนื้อตัวสั่นเทาเช่นนี้ ตะคริวคงจะกินท่อนขาเบื้องล่างไปหมดแล้ว

    “เสด็จพ่อ ... นี่คือผู้ใด?” นางแสร้งถามแม้ในใจจะมีคำตอบอยู่แล้วก็ตอบ

    “คหบดีจ้าน บิดาของผู้ที่เจ้าเพิ่งไปกระทืบมา” ฮ่องเต้ตรัสตอบพลางยักไหล่ เซียวลู่หลินจึงแสร้งเบิกตาตกใจ หันไปถามคหบดีจ้าน

    “กระดูกหักกี่ซี่?”

    หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจนาง โค้งโขกศีรษะไปทางโอรสสวรรค์รัว ๆ “ฝ่าบาท พระองค์ต้องคืนความยุติธรรมให้กับบุตรชายของกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ! ชิวเอ๋อร์เป็นบุรุษ ไม่แปลกที่เขาจะเข้าหอนางโลมเพื่อหาความสำราญให้กับตนเอง แต่วันนี้องค์หญิงห้ากลับเสด็จไปทำร้ายเขาถึงข้างในทั้ง ๆ ที่เขาไม่ผิด! หากฝ่าบาทไม่คืนความยุติธรรมให้ กระหม่อมจะวิ่งเอาหัวไปโขกเสาตายเดี๋ยวนี้”

    “ก็โขกเลยสิ”

    “...”

    คหบดีจ้านคล้ายจะฟังไม่ถนัดหู จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมององค์หญิงห้าที่กำลังยืนกอดอกอยู่ ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เมื่อครู่องค์หญิงทรงตรัสว่าเช่นไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”

    “ก็บอกว่าให้โขกเลย” เซียวลู่หลินเอียงคอเล็กน้อย มือข้างหนึ่งผายไปยังเสาต้นใหญ่ภายในห้องทรงพระอักษร “คหบดีจ้านต้องการเสาต้นใดก็วิ่งเข้าใส่ได้เลย ไม่มีใครขัดหรอกนะ”

    คนฟังได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำด้วยความโมหะกว่าเก่า แผดเสียงดังลั่นไปทั่วว่า “ฝ่าบาท! ขนาดอยู่ต่อหน้าเบื้องพักตร์องค์หญิงห้ายังทรงพระทัยกล้าเช่นนี้ แล้วต่อไปผู้ใดจะเลื่อมใสในเชื้อพระวงศ์อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ!”

    “หุบปากได้แล้ว”

    ผู้ที่ตรัสเสียงเย็นเยียบนี้หาใช่โอรสสวรรค์ แต่กลับเป็นองค์หญิงห้าหว่านฮว๋าคนเดิม

    เซียวลู่หลินหรี่ตากดเสียงลงต่ำ มองคหบดีจ้านด้วยความดูหมิ่นแคลน “คหบดีจ้านยังมีหน้ามาห่วงชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์ ทั้ง ๆ ที่บุตรชายของเจ้ากระทำการหน้าไม่อายหลายสิ่ง ทำให้ซือหลี่ปั๋วและคนสกุลว่านทั้งหมดต้องอับอายจนแทบไม่กล้าออกไปไหน ข้ายังไว้ชีวิตบุตรของเจ้าไว้ก็ถือว่าเป็นบุญหนักหนาแล้ว”

    คหบดีจ้านเผลอเงยหน้าขึ้นสบประสานสายตานางเข้า และเพียงพริบตาก็ถูกแรงกดดันนั้นทำให้ต้องหลุบตาหนีโดยไว เขากัดฟันแน่น เถียงคำไม่ตกฟากตามเดิม “บะ ... บุตรชายของกระหม่อมมีพันธะหมั้นหมายกับคุณหนูสกุลว่าน ทั้งคนสกุลว่านยังคงต้องพึ่งสกุลจ้านของกระหม่อม วันนี้องค์หญิงทรงทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้ตระกูลว่านตกที่นั่งลำบากมากกว่าเดิม”

    “เจ้ากำลังกล่าวว่าสิ่งที่องค์หญิงอย่างข้าทำไปทั้งหมดมันผิดกระนั้นหรือ!”

    “หว่านฮว๋า”

    เซียวลู่หลินใช้มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อของคหบดีจ้านขึ้น ส่วนอีกมือก็เงื้อมหมัดพร้อมจะทุบลงไปบนปากของอีกฝ่ายให้เงียบลง ทว่าก็ถูกสุรเสียงคำสั่งของฮ่องเต้ปรามไว้เสียก่อน

    ท้ายที่สุดนางก็ยอมปล่อยมือ พ่นลมหายใจ “ฮึ” ออกมาหนึ่งที

    “คหบดีจ้าน เอาเป็นว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เจ้าต้องการสื่อ และสิ่งที่หว่านฮว๋าทำทั้งหมดแล้ว ซือหลี่ปั๋วเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก การกระทำของบุตรชายเจ้าทำให้ซือหลี่ปั๋วได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก เราขอสั่งให้เจ้าส่งหนังสือขอถอนหมั้นไปยังจวนสกุลว่านเสีย”

    “ฝ่าบาท!” คหบดีจ้านร้องแย้ง “หากขาดแรงสนับสนุนของกระหม่อมไป คนสกุลว่านจะแย่เอานะพ่ะย่ะค่ะ! พวกเขาต้องไม่ยืนยอมเป็นแน่!”

    “เช่นนั้นคหบดีจ้านจะขัดขวางคำสั่งของเรากระนั้นหรือ?”

    สุรเสียงของฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสสวรรค์นั้นเย็นเยียบจนทำให้คนฟังเกือบลืมหายใจ ทุกคำพูดทั้งหมดคล้ายจะถูกดันให้กลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น ท้ายที่สุดคหบดีจ้านก็ยอมแพ้ รีบโค้งศีรษะแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรไป

    กระทั่งพ้นเงาของอีกฝ่ายแล้ว พักตร์นิ่งขรึมเมื่อครู่ของฮ่องเต้ก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส

    “หลินเอ๋อร์ลูกรัก! ไหนเล่าให้พ่อคนนี้ฟังซิว่าวันนี้เจ้าอัดบุตรชายของคหบดีจ้านไปอย่างไร”

    เซียวลู่หลินเองก็ยิ้มตอบ กึ่งเดินกึ่งกระโดดเข้าไปหาราชบิดา ยกหมัดทั้งสองมาต่อยอากาศ “ลูกกระทืบเขาไปราวยี่สิบหน ชกหน้าอีกราวสิบห้า ภายในสามเดือนไม่มีทางลุกไหวแน่นอน”

    พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเสร็จแล้วก็ทุบอกตนด้วยท่าทีคึกคะนอง ฮ่องเต้จึงได้หัวเราะแย้มสรวล

    “สมแล้วที่เป็นธิดาของพ่อ! โอ้ นั่นชิงเฉินมิใช่หรือ?”

    ดูเหมือนฮ่องเต้จะลืมไปแล้วว่าในห้องนี้นอกจากตนกับธิดา ยังมีหลานชายกับฟู่กงกงยืนอยู่ด้วย เยี่ยนชิงเฉินยิ้มแห้งเล็กน้อย ประสานมือคารวะอีกฝ่าย

    “คารวะฝ่าบาท สบายดีนะพ่ะย่ะค่ะ?”

    “สบายดี ยังอยู่ดูหลินเอ๋อร์กระทืบคนได้อีกนาน” คำตรัสนี้คล้ายกับว่าตรัสเล่น แต่ลึก ๆ ในใจของเยี่ยนชิงเฉินก็รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสด้วยความจริงจังมากมายเพียงใด ...

    “พ่ะย่ะค่ะ ... เช่นนั้นวันนี้กระหม่อมไม่ขอรบกวนฝ่าบาทแล้ว ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”

    “ข้าไม่ส่งนะ” เซียวลู่หลินโบกมือลาแล้วส่งอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตา พอพ้นเงาของตงหยวนอ๋องซื่อจื่อแล้ว ฟู่กงกงก็รู้งานอย่างดี รีบออกไปตาม ๆ กัน

    “เอาล่ะ ไม่มีคนนอกแล้ว เล่ามา”

    “ให้เล่าตั้งแต่เรื่องไหนดีเพคะ” เซียวลู่หลินยิ้มบาง ลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับราชบิดา “ตั้งแต่ที่ลูกเข้าไปในหอนางโลมได้อย่างไร ดีหรือไม่?”

    “ไม่ ๆ” ฮ่องเต้ขัด “ก่อนหน้านั้นไปอีก”

    “อืม ...” หญิงสาวลูบคางคิด สักพักก็นึกออก “อ้อ! เรื่องที่ลูกรู้ว่าซือหลี่ปั๋วนั้นหัวแข็งยิ่งกว่าใครในราชสำนัก”

    “ฉลาดเหมือนพ่อตอนอายุเท่าเจ้า เก่งมาก” ตรัสชมพลางเลื่อนจานขนมไปวางตรงหน้าบุตรสาว “ไหนลองพูดมา”

    “ซือหลี่ปั๋ว นามว่านเฉาตง เดิมครั้นศึกชิงบัลลังก์เขาได้สนับสนุนองค์ชายสี่ที่เป็นสหายของเขา ทว่าพอเสด็จพ่อได้สืบราชบัลลังก์ องค์ชายสี่ที่รักในเกียรติของตนยิ่งจึงได้แขวนคอตายไป เดิมซือหลี่ปั๋วควรจะถูกกวาดล้างไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เสด็จพ่อเล่นเก็บเขาไว้เสียนี่” กล่าวพลางยกมือกอดอก ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “หอกข้างแคร่ชัด ๆ”

    “ว่านเฉาตงนั้นเป็นคนเก่ง จะกำจัดทิ้งก็เสียดายนัก” ฮ่องเต้ตรัสตอบ

    “ก็เลยแสร้งทำให้เขาฐานะตกต่ำลงจนฐานะศักดิ์ปั๋วระส่ำสาย จะได้มาสวามิภักดิ์ต่อท่าน” เซียวลู่หลินหรี่ตาลงมองลึกไปยังผู้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เห็นรอยยิ้มที่ส่งกลับมานางก็มั่นใจแล้วว่าตนไม่ได้เข้าใจผิดแม้สักส่วนเดียว

    “ใช่ แต่ว่านเฉาตงนั้นหัวแข็งยิ่งกว่าอะไร เขารู้แล้วว่าพ่อกำลังกลั่นแกล้งแต่ก็ยังดื้อรั้น เลือกไปผูกมิตรเข้ากับคหบดีบ้าน ๆ เสียนี่ เสียดายฐานะศักดิ์หมด”

    “ลูกก็เลยช่วยให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นนิดหน่อย” เซียวลู่หลินม้วนปอยผมตัวเองเล่นพลางขยิบตาหนึ่งข้าง “โชคดีที่คหบดีจ้านมีบุตรชายไม่เอาไหน วันนี้ลูกกระทืบเขา ตอนนี้ในเมืองหลวงคงจะมีข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของลูกกับคุณหนูว่านออกไปแล้ว ทีนี้คุณหนูว่านจะติดหนี้บุญคุณลูก ส่วนซือหลี่ปั๋วก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดในการรักษาฐานะศักดิ์นอกจากต้องสวามิภักดิ์ต่อท่าน เห็นหรือไม่เพคะว่าการกระทืบคนครั้งนี้มีแต่กำไรทั้งนั้น”

    “ครั้งนี้เจ้าถือว่ามีความดีชอบ” ฮ่องเต้ยิ้ม “อยากได้อะไร?”

    “ไม่ได้อยากได้อะไรเพคะ” กล่าวแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “แค่อยากลองทำตัวเป็นผู้พิทักษ์สันติดู ถึงได้รู้ว่ามันสนุกไปอีกแบบ”

    พูดจบนางก็หมุนกายทำทีจะเดินออกไป ทว่าจู่ ๆ เหมือนจะคิดบางอย่างออกจึงได้หันหลังกลับมา พูดทิ้งท้ายไว้อีกหนึ่งประโยคก่อนจะฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินกลับไป

    “อายุเยอะแล้ว อย่าเสวยของหวานเยอะเกินไปเพคะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×