ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 หอสดับบุปผา

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทที่ 2 หอสดับบุปผา

     

    การปรากฏตัวของอันธพาลหว่านฮว๋าที่ถนนฝั่งตะวันตกนั้นเป็นเรื่องคุ้นเคยที่ใครต่อใครต่างก็ชินตาและเลิกสนใจกันไปแล้ว

    เซียวลู่หลินเดินนำอินผิงมาหยุดหน้าหอนางโลมแห่งหนึ่ง เงยขึ้นมองก็พบป้ายที่เขียนว่า ‘หอสดับบุปผา’ เด่นตระหง่าน

    “ตามข้ามา”

    “อะ ...​ องค์หญิง เข้าไปข้างในไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” 

    ไม่ทันที่เซียวลู่หลินจะได้ก้าวขาเข้าไป จู่ ๆ บ่าวของหอสดับบุปผาสองนายก็รีบปรี่เข้ามาขวางไว้ทั้งเหงื่อเย็นไหลเต็มผาก

    “หอสดับบุปผามิใช่สถานที่ ๆ องค์หญิงจะเสด็จเข้ามาหรอกพ่ะย่ะค่ะ ... มิสู้องค์หญิงเสด็จไป ... ที่ ... อื่น ...”

    บ่าวผู้นั้นพูดไม่ทันจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อตนได้เผลอสบประสานเข้ากับสายตาอันเย็นเยียบดุจคมมีดน้ำแข็งของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงองค์หญิง สกุลเยี่ยนของฮองเฮานั้นเป็นตระกูลแม่ทัพใหญ่ มีความดีชอบจึงได้ฮ่องเต้รัชสมัยก่อนแต่งตั้งเป็นอ๋องนอกสกุล ปกปักษ์รักษาเขตแดนตงหยวนของแคว้นมู่อัน ตงหยวนอ๋องคือท่านลุงขององค์หญิงห้า ไม่แปลกที่สายเลือดนักรบตระกูลเยี่ยนจะถูกส่งทอดมาถึงนาง ทำให้สตรีตัวเล็กตรงหน้านี้ดูน่ายำเกรงราวกับพญาราชสีห์ตัวโตที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ตลอดเวลา

    “ก็ว่าอยู่ว่าผู้ใดกันมายืนแผ่ไอสังหารอยู่หน้าหอสดับบุปผา ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”

    เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่ดังขึ้นจากด้านในเป็นราวกับเสียงสวรรค์ที่ช่วยบ่าวสองคนนั้นไว้ เขาเดินก้าวขาออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแต่งแต้ม ชุดสีม่วงเข้มแสดงให้เห็นถึงฐานะของเขาชัดเจนว่าร่ำรวยมากแค่ไหน

    ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อ เยี่ยนชิงเฉิน

    บุรุษร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย มีรอยยิ้มกะล่อนประทับอยู่บนนั้นตลอดเวลา จอมเสเพลแห่งจวนตงหยวนอ๋องที่ใครต่อใครต่างก็ไม่ต้องการให้เขาเป็นซื่อจื่อ

    ช่างเข้ากันได้ดีกับเซียวลู่หลินโดยแท้

    “แล้ว ... แม่สาวน้อยอันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์พยายามจะเข้าไปข้างในเพื่ออะไรกัน?” ถามพลางคลี่พัดจีบสีดำในมือของตนมาโบกเล่น

    เซียวลู่หลินกลอกตา “มาหาท่าน”

    เยี่ยนชิงเฉินเบิกตาเล็กน้อย “มีเรื่องอันใด?”

    “จ้านชิวอยู่ข้างในหรือไม่?”

    “จ้านชิว? อ้อ” เยี่ยนชิงเฉินเหมือนจะนึกขึ้นได้ “บุตรชายของคหบดีจ้านน่ะหรือ อยู่สิ เมื่อคืนก็ค้างอยู่ที่นี่ทั้งคืนเลย”

    “เหมือนกับท่านน่ะหรือ?” เซียวลู่หลินยกมือขึ้นกอดอกพลางกล่าวสัพยอก ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อไม่วายหัวเราะ

    “ข้าเป็นบุรุษ การจะหาความสำราญให้กับตนเองหาใช่เรื่องผิดแผกไม่ เจ้าต่างหากเล่า ข้าก็รู้อยู่ว่าเจ้ามันไม่สนประเพณี แต่แต่งกายอย่างนี้ริอาจจะเดินเข้าหอนางโลม ใครผ่านไปมาคงคิดว่าเชื้อพระวงศ์ขายเจ้าให้กับหอสดับบุปผาเสียแล้ว”

    “นี่ ...!” เซียวลู่หลินยกฝ่ายมือขึ้นคล้ายจะตีคนสูงกว่าตรงหน้าให้ตาย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเพิ่งจะกลับมาจากจวนสกุลอี้ ก้มลงมองตัวเองก็พบกับชุดตามแบบสตรีชั้นสูงที่ใส่เข้าร่วมงานเลี้ยงปกติทั่วไป เป็นอย่างที่เขากล่าว หากนางเดินเข้าไปทั้งสภาพแบบนี้คนคงคิดว่านางมา ... ทำอย่างว่า

    “จิ๊” หญิงสาวเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจแล้วลดมือลงมาลูบคางคิดแทน จากที่นี่ไปยังวังหลวงค่อนข้างไกลหากจะไปเปลี่ยนชุด นึกแล้วนึกอีกในที่สุดก็คิดออก

    “ข้าจะเข้าไปทั้งอย่างนี้แหละ”

    “หะ?” เยี่ยนชิงเฉินขมวดคิ้วฉงน “ข้าว่าข้าก็กล่าวกับเจ้าชัดเจนแล้วนะเมื่อครู่”

    “เอานา ท่านพาข้าเข้าไปข้างในก็พอ เร็วเข้า”

    ไม่พูดเปล่า เซียวลู่หลินก็ใช้มือทั้งสองข้างดันอีกฝ่ายให้เดินนำเข้าไปข้างในก่อน บ่าวรับใช้ของหอสดับบุปผาทั้งสองคนเมื่อครู่พอได้เห็นก็แทบสิ้นสติ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีข้าวของภายในหอเสียหายเลย ...

     

    ภายในหอสดับบุปผานั้นบรรยากาศมืดสลัวอยู่ตลอดเวลาไม่เว้นกระทั่งกลางวัน แสงไฟสีแดงอมส้มที่สะท้อนมาจากโคมให้ความรู้สึกวาบหวิว กลิ่นของสุราหลากหลายรสชาติลอยคลุ้งปะปนไปทั่วพร้อม ๆ กับกลิ่นเครื่องหอมของสตรี หากไม่นับว่าเดินผ่านบ่อยครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวลู่หลินได้เข้ามาข้างใน

    “ซื่อจื่อ เมื่อครู่จู่ ๆ ท่านก็ออกไป มีเรื่องอันใดหรือเพคะ?”

    เดินเข้ามาได้ไม่ถึงสิบก้าว รอบตัวเยี่ยนชิงเฉินก็รายล้อมไปด้วยสตรีใบหน้าโฉมสะคราญมากมาย เขาเป็นบุรุษหน้าตาดีทั้งยังมีฐานะสูงส่ง ไม่แปลกที่จะเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นางโลม

    “เอ่อ ... ข้าไปรับน้องสาวมาน่ะ” เยี่ยนชิงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก

    “น้องสาว?” นางโลมคนหนึ่งสงสัย เหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นได้ว่านอกจากเยี่ยนชิงเฉินแล้วยังมีคนอื่นยืนอยู่ด้วย “อะ ...​ องค์หญิง!?”

    พอสตรีนางนั้นร้องขึ้น อีกหลายคนที่เหลือก็พร้อมใจกันปล่อยมือออกจากเยี่ยนชิงเฉินโดยไว เซียวลู่หลินยกมือขึ้นกอดอก เอียงคอเล็กน้อยแล้วถาม

    “ในหมู่พวกเจ้า ผู้ใดมีอำนาจมากที่สุด?”

    สตรีนางเดิมยกมือขึ้น “... หม่อมฉันเพคะ”

    เซียวลู่หลินได้ฟังก็ยิ้ม “ดี ช่วยอะไรข้าสักอย่างก็แล้วกัน” 

     

    “พวกเจ้า! ไปเติมเหล้าอีก!”

    “ได้เลยเจ้าค่ะ คุณชายโปรดรอสักครู่”

    ที่นั่งชั้นสองของหอสดับบุปผาค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว แม้จะไม่ถึงขั้นว่าเป็นห้อง แต่ในแต่ละโต๊ะก็จะถูกกั้นด้วยม่านไหมสีแดงสดเอาไว้เพื่อให้มองเห็นโต๊ะอื่นได้แค่ราง ๆ ตอนนี้เป้าหมายของเซียวลู่หลินนั้นกำลังนั่งเมามายอยู่ท่ามกลางนางโลมประมาณสามคน ตนจึงไม่รอช้าที่จะยืนดักรอนางโลมที่ออกไปเติมสุรา เห็นอีกฝ่ายเดินกลับมาแล้วก็แย่งไหสุราไปอย่างรวดเร็ว

    “ข้าทำเอง”

    “ดะ ...!” 

    นางโลมผู้นั้นพยายามจะคัดค้าน ทว่าก็ถูกตงหยวนอ๋องซื่อจื่อรั้งแขนไว้ก่อนจึงได้ยอมเงียบ

    “องค์หญิงของเจ้าจะทำอะไร” ระหว่างยืนรออยู่จากที่ไกล ๆ เยี่ยนชิงเฉินก็ถามอินผิงขึ้น

    “อัดคนเพคะ”

    “อ๋อ ... อัดคน ... หะ!?”

    เยี่ยนชิงเฉินแผดเสียงดังลั่นชั้นสอง หากแต่อินผิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดั่งเดิม พยักหน้าแล้วพูดซ้ำ

    “เพคะ องค์หญิงมาอัดคน”

     

    “เจ้า! มาเร็วเข้า รินสุราให้ข้า!”

    “คุณชายได้โปรดอย่ารีบร้อนเกินไปเจ้าค่ะ”

    พอเดินเข้ามาข้างในแล้ว เซียวลู่หลินก็หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้กับนางโลมทั้งสามที่ปรนนิบัติเขาอยู่ พอเห็นว่าสตรีที่เข้ามาแทนนี้เป็นใคร ที่เหลือก็ค่อย ๆ กระเถิบออกห่างจากจ้านชิวไปอย่างเงียบเชียบ

    “เจ้า ... อึก มิใช่คนเมื่อครู่นี่?”

    แม้จ้านชิวจะสติไม่เต็มร้อยในตอนนี้ แต่เขาก็จำได้ดีว่านางโลมที่เดินออกไปเมื่อครู่สวมชุดสีชมพู แต่สตรีนางนี้สวมชุดสีเขียวหยกแต้มฟ้า เมื่อนัยน์ตาปรือเงยขึ้นมองก็เห็นใบหน้าของนางเพียงแค่ราง ๆ แต่ถึงกระนั้นก็มองออกว่างดงามกว่าสตรีเมื่อครู่เป็นอย่างมาก

    “นางให้ข้ามาปรนนิบัติคุณชายแทนเจ้าค่ะ ด้วยนางเกรงว่าคุณชายจะเบื่อ” พูดพลางนางก็ยกจอกสุราที่ตนเพิ่งรินเสร็จเมื่อครู่ขึ้นแล้วเดินอ้อมไปนั่งข้าง ๆ เขา

    “โอ้ ดูท่าว่านางจะเข้าใจข้าจริงแท้” จ้านชิวหัวเราะร่วน มือไม้ก็เริ่มไต่ไปตามไหล่ลาดของเซียวลู่หลินเบา ๆ ด้วยไม่ทันตั้งตัว รู้สึกตัวอีกทีทั้งศีรษะก็เปียกชุ่มไปด้วยสุราในมือของหญิงสาวเสียแล้ว

    “โอ๊ะ ข้าเผลอมือลั่นไปเสียหน่อย คุณชายอย่าได้โกรธเคืองเลยนะเจ้าคะ” เซียวลู่หลินป้องปากหัวเราะเมื่อเห็นจ้านชิวค่อย ๆ มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้น “มาเถิด ให้ข้าพาท่านไปเปลี่ยนชุด”

    พูดจบเซียวลู่หลินก็จัดการลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อจ้านชิวขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วโยนออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

    โครม!

    “กรี๊ด!”

     

     

    ร่างของชายหนุ่มที่ปลิวออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับหอสดับบุปผาได้เป็นอย่างดี เซียวลู่หลินเดินออกมาหยุดตรงหน้าจ้านชิวที่กำลังพยายามจะชันตัวเองขึ้นยืน ทว่านางก็ใช้เท้ากระทืบเขาซ้ำไม่ต่ำแต่สิบครั้ง เกิดเสียงโครมครามพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเหล่านางโลมดังขึ้นไม่ขาดสาย และดูเหมือนว่าเซียวลู่หลินจะไม่คิดหยุดเลยแม้แต่นิด

    “โอ๊ย! เจ้าเป็นใครกัน! ตระกูลว่านส่งมาหรือ!”

    “ไม่มี! ใครส่ง! ข้ามาทั้งนั้น!” เซียวลู่หลินกระทืบพลางพูดพลาง พอเหนื่อยเท้าแล้วก็ทิ้งตัวลงคุกเข่า มือหนึ่งดึงคอเสื้อ อีกมือใช้กำปั้นชกอีกฝ่ายอีกหลายรอบ พอโดนกำปั้นเข้าเต็มหน้าจ้านชิวจึงได้สร่างเมา แลเห็นผู้ที่กำลังอัดตนอยู่อย่างชัดเจน

    “อะ ... อันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์! โอ๊ย! ท่านทำกับกระหม่อมเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่ากระหม่อมเป็นใคร!”

    “รู้ซิ รู้ดีเลย!”

    ปั๊ก! เสียงกำปั้นทุบลงบนแก้มอีกฝ่ายอย่างรุนแรง

    “ก็แค่ไอ้บ้าที่มีฐานะร่ำรวยนิดหน่อยแต่สมองกลับกลวงโบ๋ อุตส่าห์ได้เป็นถึงคู่หมั้นของบุตรสาวซือหลี่ปั๋ว แต่กลับทำตัวสำมะเลเทเมา ทำให้ตระกูลว่านอับอายจนแทบไม่กล้าโงหัว!”

    ปั๊ก!

    “หมัดนี้ข้าอัดเจ้าแทนว่านเย่ซือ”

    ปั๊ก!

    “หมัดนี้ข้าอัดเจ้าแทนความอับอายของทุกคนในจวนสกุลว่าน!”

    ปั๊ก!

    “และหมัดนี้เป็นคำเตือนให้เจ้าส่งหนังสือไปถอนหมั้นเสีย!”

    “ยอมแล้ว ๆ กระหม่อมยอมแล้ว!”

    กว่าที่จ้านชิวจะพูดคำนี้ออกมาได้ ก็เป็นตอนที่ร่างกายของเขาสะบัดสะบอมจนสภาพดูไม่จืด ... เซียวลู่หลินได้ยินก็ถอนหายใจ ยอมปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวออกอย่างไม่ใส่ใจ

    “โอย ...” จ้านชิวโอดครวญอย่างเจ็บปวด นึกจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น เซียวลู่หลินหรี่ตาลงมองด้วยความเวทนา ไม่นานก็เดินหมุนกายลงชั้นล่างไป เยี่ยนชิงเฉินกับอินผิงเดินตามแทบไม่ทัน

    “อินผิง เจ้าอยู่ที่นี่รอฟังค่าเสียหายด้วย”

    “เพคะ” อินผิงรับฟังคำสั่งแล้วยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ส่วนนางก็เดินออกมาข้างนอกพร้อมกับเยี่ยนชิงเฉิน ทอดกายไปตามถนนใหญ่พลางเอนศีรษะไปมาไล่เมื่อย

    “เมื่อครู่เจ้าอัดจ้านชิวเพราะเรื่องของสกุลว่านกระนั้นหรือ? น่าแปลกนัก เจ้ามิได้สนิทกับสกุลว่านสักหน่อยนี่ อีกอย่างก็เป็นสกุลว่านอีกด้วยที่ยินยอมให้เกิดการหมั้นหมายขึ้นน่ะ”

    ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความฉงนสงสัย ตอนนี้สกุลว่านนั้นกำลังตกต่ำแม้จะเป็นถึงซือหลี่ปั๋ว ทำให้ฐานะของเขากำลังระส่ำส่าย คหบดีจ้านที่เป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ จึงได้ใช้โอกาสนี้ในการส่งเทียบเชิญสู่ขอคุณหนูสกุลว่านให้กับบุตรชาย โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าสกุลจ้านจะคอยช่วยเหลือด้านการเงินที่กำลังย่ำแย่ของสกุลว่าน ซือหลี่ปั๋วไม่มีทางเลือกจึงได้ตอบตกลง คลับคล้ายว่าต้องจำใจขายลูกสาวเพื่อจะได้ดำรงคงฐานะศักดิ์เอาไว้

    “ข้าเจอนางที่งานเลี้ยงสกุลอี้ เผลอปากมากพูดแทงใจดำนางไปนิดหน่อยเลยกะจะไถ่โทษ” เซียวลู่หลินตอบส่ง ๆ

    “เจ้าทำเช่นนี้ยิ่งทำให้คหบดีจ้านโกรธ”

    “เช่นนั้นข้าเลยยิ่งต้องอัดลูกชายของเขา” หญิงสาวหยุดเดินแล้วหมุนกายกลับมามองญาติผู้พี่ของตน “ข้า องค์หญิงห้าหว่านฮว๋า พระธิดาในหยางซ่งฮ่องเต้ วันนี้กระทืบบุตรชายของคหบดีจ้านผู้เป็นคู่หมั้นของว่านเย่ซือแห่งจวนซือหลี่ปั๋วจนสภาพดูไม่ได้ เรื่องนี้ไม่นานคนเขาก็จะพูดกันว่าข้ากับคุณหนูว่านมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพียงแค่นี้ฐานะศักดิ์ของซือหลี่ปั๋วก็จะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหาโดยไม่ต้องพึ่งกำลังทรัพย์ของสกุลจ้านอีกต่อไป แน่นอน คหบดีจ้านไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะมางัดข้อแข่งกับข้า”

    “เพราะคิดเช่นนี้ เจ้าก็เลยอัดเขาเสียเต็มแรง?”

    “แน่นอน”​ เซียวลู่หลินยักไหล่พลางอมยิ้ม “ข้ามันอันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์ จะอัดผู้ใดไยต้องยั้งมือด้วย”

    พูดจบนางก็หมุนกายเดินต่อไป ท่าทางคล้ายนักเลงใหญ่ในตลาดที่พร้อมจะหาเรื่องทุกคนได้ก็มิปาน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×