ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 บุตรสาวของซือหลี่ปั๋ว

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทที่ 1 บุตรสาวของซือหลี่ปั๋ว

     

    “จะว่าไป ปีนี้คุณหนูหลันก็อายุสิบแปดแล้วใช่หรือไม่?”

    พลันจู่ ๆ ในวงสนทนาอันแสนน่าเบื่อหน่ายก็มีคนหันไปให้ความสนใจกับคุณหนูสกุลหลันเข้า เซียวลู่หลินเองเมื่อเห็นว่าใกล้จะได้ฟังเรื่องสนุกก็ยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อย จรดตามองไปยังหลันเซวียนตามคุณหนูคนอื่น

    หลันเซวียนยินก็ยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว ปีนี้ข้าอายุสิบแปด”

    “ท่านโหวได้หาคู่หมายไว้ให้คุณหนูหลันหรือยัง?” สตรีอีกคนพูดบ้าง เซียวลู่หลินได้ฟังก็แค่นหัวเราะในใจ ที่แท้ก็กำลังรวมหัวกันกลั่นแกล้งให้หลันเซวียนอับอายอยู่นี่เอง

    ในแคว้นมู่อันแห่งนี้ อายุที่เหมาะสมสำหรับการสมรสคือสิบสี่ถึงสิบหก สิบเจ็ดนับว่าช้า สิบแปดเรียกว่าแก่ใกล้เทื้อแล้ว หลันเซวียนเป็นถึงบุตรสาวคนโตของจางเว่ยโหว ตามหลักการนางไม่ควรครองตัวเป็นโสดมาจนถึงอายุเท่านี้ เพราะนั่นนับเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติในฐานะสตรียิ่ง

    “ไม่มีหรอก” หลันเซวียนเอนศีรษะ “ข้าอายุปูนนี้แล้วแต่ก็ยังมิสามารถออกไปไหนได้นาน ๆ ท่านหมอก็วินิจฉัยแล้วว่าข้าอาจมิสามารถตั้งครรภ์ให้กับสามีได้ ดังนั้นท่านพ่อจึงตัดสินใจให้ข้าครองตัวอยู่เป็นโสดไปเรื่อย ๆ ยังดีกว่าจะทำให้บ้านสามีอับอาย”

    “แท้จริงแล้ว ... คุณหนูหลันก็เป็นพวกประเภทบกพร่องนี่เอง?”

    และใครจะไปนึกกันว่าจู่ ๆ ภายในงานเลี้ยงที่มีเชื้อพระวงศ์อย่างเซียวลู่หลินนั่งอยู่ด้วย จะมีคุณหนูตระกูลใหญ่ใจกล้าพูดพ่นคำกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ออกมา

    หลันเซวียนเขม็งตามองไปยังสตรีที่พูดขึ้นเมื่อครู่โดยไว แม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์โกรธ ทว่าก็เดาออกได้อย่างชัดเจนว่าคุกกรุ่นไม่น้อย บรรยากาศโดยรอบจู่ ๆ ก็อึ้มครื้มอย่างรวดเร็ว ยินเพียงแค่เสียงลมที่พัดผ่านกระทบกับกิ่งดอกอิงในช่วงฤดูวสันต์เท่านั้น

    “เห ... บุตรสาวของซือหลี่ปั๋วนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”

    ในที่สุดเซียวลู่หลินก็อดที่จะพูดไม่ได้ นางยกมือทั้งสองขึ้นกอดอก เหลือบมองหลันเซวียนหนึ่งครั้งเป็นเชิงบอกว่าข้าจัดการเอง แล้วก็หันไปมองบุตรของซือหลี่ปั๋วที่กล่าวเหน็บแนมขึ้นเมื่อครู่

    ทว่าอีกฝ่ายนั้นก็แลดูหยิ่งผยองไม่น้อยกว่ากัน ขนาดโดนเซียวลู่หลินพูดเช่นนี้ใส่ยังหัวเราะได้ “องค์หญิงทรงจดจำหม่อมฉันได้ นับเป็นเกียรติยิ่งเพคะ”

    เซียวลู่หลินเดาะลิ้น “ใครมันจะไปอยากจำกันนักกันหนาเล่า ถ้าไม่ติดว่าเรื่องของเจ้ามันฉาวโฉ่ไปทั่วหยางจิน เล่นเอากลบชื่อเสียงอันธพาลของข้าไปพักหนึ่งเลยล่ะ”

    ไม่พูดเปล่า องค์หญิงห้าก็ยกเล็บสีชมพูอ่อนที่นางกำนัลของตนเพิ่งทาให้เมื่อครู่ขึ้นมาดู ไม่แม้แต่จะเหลือบไปมองบุตรของซือหลี่ปั๋วว่าบัดนี้มีสีหน้ามืดครึ้มเพียงใด

    “องค์หญิงตรัสอันใด ขอให้มีมูลน่าเชื่อถือด้วยเพคะ!”

    “ข้ามีสหายอยู่หนึ่งคน อายุมากกว่าข้านิดหน่อย เอ่อ ... มากกว่าข้าหกปีกระมัง ข้าเรียกเขาว่าชิงเฉิน แต่บางครั้งก็เรียกว่าเจ้าบ้าชิงเฉินแล้วแต่สถานการณ์ อ้อ ใช่ ๆ ดูเหมือนพวกเจ้าจะเรียกเขาว่าตงหยวนอ๋องซื่อจื่อ”

    “องค์หญิงทรงตรัสถึงตงหยวนอ๋องซื่อจื่อเช่นนี้ ... ต้องการจะสื่ออันใดกันแน่เพคะ?” ในที่สุดอี้ฉีเจินก็เข้าร่วมวงสนทนาด้วย ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อ นามเยี่ยนชิงเฉิน คือญาติผู้พี่ขององค์หญิงห้าหว่านฮว๋า หากองค์หญิงห้าคืออันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์ ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อก็คืออันธพาลแห่งอ๋องนอกสกุล หากสองคนนี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ความวายวอดก็จะเกิดขึ้นมากกว่าเดิมสองถึงสามเท่า

    “จิ๊ ๆ ที่ข้าจะสื่อก็คือ ...” เซียวลู่หลินยกนิ้วชี้ขึ้นมาโบก “พี่ชิงเฉินเดินเข้าออกหอนางโลมแถวย่านโคมเขียวบ่อยแทบไม่เว้นวัน พวกข่าวสารข่าวกรองจากในนั้นข้าก็ฟังมาจากเขาทั้งหมด แล้วรู้หรือไม่ว่าเขาเกี่ยวอันใดกับเรื่องของซือหลี่ปั๋วตระกูลว่าน ก็เพราะคู่หมั้นของคุณหนูว่านเย่ซือ ...”

    พูดถึงตรงนี้นางก็หรี่ตามองไปยังว่านเย่ซือ กรีดยิ้มออกมาเล็กน้อยพอเป็นพิธี “เข้าออกหอนางโลมบ่อยราวกับไม่มีคู่หมั้นอย่างไรอย่างนั้น”

    “...!”

    ฟังคำตรัสขององค์หญิงจบ ว่านเย่ซือก็หน้าซีดเผือดจนคล้ายกระดาษ มืออันสั่นเทาทั้งสองข้ากำชายกระโปรงจนยับยู่ยี่ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับสายตาแห่งความดูแคลนจากคุณหนูสกุลอื่นมากมาย ชวนให้อับอายจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป

    “องค์หญิงนำเรื่องคู่หมั้นของหม่อมฉันมาตรัสเช่นนี้ ... แล้วเรื่องของตงหยวนอ๋องซื่อจื่อเล่าเพคะ?” ว่านเย่ซือยังคงไม่ยอมแพ้ ส่งสายตาสั่นระริกมองไปยังองค์หญิงห้าอย่างไม่เกรงกลัว เซียวลู่หลินจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

    “ตงหยวนอ๋องซื่อจื่อยังไม่มีคู่หมั้นหมายอย่างเป็นทางการ เขาจะเดินเข้าออกหอนางโลมไยต้องสนคำคน ไม่เหมือนคู่หมั้นของเจ้าสักนิด ไอหยา คิดแล้วข้าก็สงสารเจ้ายิ่งนัก อุตส่าห์มีวาสนาเกิดมาในตระกูลสูงส่ง กลับกลายเป็นต้องหมั้นหมายกับผู้ชายพรรค์นี้เสียได้ แล้วทีนี้เกียรติของซือหลี่ปั๋วจะเอาไปไว้ที่ไหนกัน?”

    “หุบปาก! พอได้แล้ว!”

    “คุณหนูว่านระวังคำพูดคำจาด้วย”

    เมื่อเห็นว่าว่านเย่ซือเริ่มขาดสติ อี้ฉีเจินก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ หากแต่ว่านเย่ซือก็ไม่สนใจอีกต่อไป รีบวิ่งหายออกจากงานเลี้ยงไปอย่างรวดเร็ว

    บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

    เมื่อครู่องค์หญิงห้าช่วยพูดแทนหลันเซวียนให้ ด้วยใครต่อใครต่างก็ทราบดีว่าคุณหนูหลันผู้นี้ไม่เก่งด้านพูดโต้เถียงกับผู้ใด ครั้งนี้คงจะต้องขอบคุณองค์หญิงห้าเสียหน่อย แม้คำตรัสของนางนั้นอาจจะแรงแทงใจดำบ้างไปหน่อยก็ตาม

    “ข้าเองก็คงต้องขอตัวกลับเช่นกัน พอดีมีธุระน่ะ” 

    “หม่อมฉันไปส่งองค์หญิงเองเพคะ”

    พอองค์หญิงห้าตรัสว่าจะเสด็จกลับ อี้ฉีเจินก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไว หากแต่เซียวลู่หลินก็ทำเพียงแค่ยิ้ม

    “คุณหนูอี้ไม่ต้องส่งหรอก งานเลี้ยงวันนี้สนุกมาก ขอบคุณที่เชิญ”

    ตรัสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นี้ พริบตาเดียวสตรีในชุดสีเขียวหยกแต้มฟ้าก็เดินหายลับไป

    “วันนี้คุณหนูหลันรอดได้เพราะองค์หญิงห้าเลยนะ”

    พ้นเงาองค์หญิงไปแล้ว บทสนทนาก็หันไปให้ความสนใจกับคุณหนูสกุลหลันอีกครั้ง

    หลันเซวียนฟังก็หัวเราะในลำคอ “ใช่ ข้าควรจะหาโอกาสขอบคุณพระองค์เสียหน่อย”

     

    เซียวลู่หลินไม่ชอบแต่งกายด้วยชุดรุ่มร่าม กระโปรงยาวเฟื้อยลากดินพร้อมไปด้วยเครื่องประดับหนัก ๆ บนหัว

    ดังนั้นสิ่งแรกที่นางทำหลังจากขึ้นรถม้าออกจากจวนสกุลอี้มาแล้วคือดึงปิ่นปักผมออกเหลือเพียงแค่อันเดียว จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวโยนทิ้งไปด้วยอากัปกิริยาเกียจคร้าน

    “บอกชางหย่งให้ไปถนนตะวันตกของเมืองหลวง”

    “ถนนตะวันตกอีกแล้วหรือเพคะ” อินผิง นางกำนัลคนสนิทที่นั่งรถม้ามาด้วยร้องขึ้น ถนนตะวันตกนั้นอยู่ใกล้กับหอโคมเขียว องค์หญิงของนางเดินเข้าไปเฉียดมันจนแทบจะเป็นบ้านอยู่แล้ว

    “ข้าจะไปหาชิงเฉิน” เซียวลู่หลินตอบอย่างไม่ใส่ใจ ท้ายที่สุดอินผิงก็ยอมเคาะผนังรถม้าบอกชางหย่งที่กำลังทำหน้าที่สารถีอยู่ให้ ระหว่างนั้นเซียวลู่หลินก็เปิดม่านออกเล็กน้อยแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก

    “เจ้าจำตอนที่พี่หญิงสามไปเจียงหนานได้หรือไม่?”

    “... จำได้เพคะ” อินผิงรับคำไม่ค่อยเต็มปาก องค์หญิงสามเจียงเจี๋ยคือพระเชษฐภคินีแท้ ๆ ขององค์หญิงห้า สองปีก่อนพระองค์อายุได้สิบหกชันษา ถูกฮ่องเต้ส่งไปสมรสกับเจียงหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งเจียงหนาน นานครั้งจะส่งข่าวคราวกลับมาเมืองหลวง “องค์หญิงคิดถึงองค์หญิงสามหรือเพคะ? มิเช่นนั้นไม่สู้พวกเราไปเจียงหนาน ...”

    “เมื่อครู่ในงานเลี้ยง บุตรสาวของซือหลี่ปั๋วพูดว่าเพราะคุณหนูใหญ่สกุลหลันบกพร่องก็เลยไม่สามารถมีสามีได้ ทั้ง ๆ ปีนี้ก็อายุสิบแปดแล้ว” เซียวลู่หลินพูดทั้งไม่มองหน้าคู่สนทนา ดวงตาหงส์ว่างเปล่าเพียงแค่มองทิวทัศน์ด้านนอกที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ “ตอนพี่หญิงสามแต่งไปเจียงหนาน นางอายุสิบหก ตอนนี้ข้าเองก็สิบหกแล้ว เจ้าว่าเสด็จพ่อจะส่งข้าไปที่ใดกัน?”

    “หม่อมฉัน ...”

    อินผิงไม่กล้าพูด เพียงแค่ก้มหน้าแล้วกำชายกระโปรงของตนด้วยมือทั้งสองข้าง ชะตาขององค์หญิงแต่ละพระองค์ที่มิอาจเลี่ยงได้คือการสมรสเชื่อมสัมพันธ์ ตั้งแต่องค์หญิงใหญ่ถึงองค์หญิงสี่ต่างก็ถูกส่งออกไปหมดแล้ว คงเหลือก็เพียงแค่องค์หญิงห้าเท่านั้นที่ยังไร้ซึ่งวี่แวว

    “เรื่องนี้ช่างมันเถิด” เมื่อเห็นว่าตนทำให้นางกำนัลลำบากใจก็ปิดม่านลงแล้วหันไปยิ้มให้ “ข้าเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อคงไม่กล้าส่งข้าไปให้มู่อันอับอายหรอก”

    “หม่อมฉันเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเพคะ”

    “องค์หญิง! ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

    นั่งพูดอะไรกันอยู่เพลิน ๆ ชางหย่งก็ตะโกนจากด้านนอก เซียวลู่หลินอมยิ้ม พูดกับอินผิง

    “ไปกันเถิด”

    อินผิงเอียงคอสงสัย เพราะโดยปกติแล้วองค์หญิงจะชอบเดินเที่ยวเล่นเพียงลำพังแล้วให้นางรออยู่ที่รถม้ามากกว่า “ให้หม่อมฉันไปด้วยหรือเพคะ?”

    “แน่นอน” เซียวลู่หลินพูดพลางยักไหล่ “จะไปอัดคน ต้องมีเจ้าร่วมแจมอยู่แล้ว”

    “...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×