ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [E-Book] หลังม่านบุปผางาม

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ อันธพาลแห่งราชวงศ์สกุลเซียว

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 65


    สั่งซื้อรูปเล่มได้ที่ เว็บไซต์สำนักพิมพ์ หรือ FB Page

    E-book https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjc5NDA5NSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjE5NTA3MyI7fQ

    หลังม่านบุปผางาม

    บทนำ อันธพาลแห่งราชวงศ์สกุลเซียว

     

    แคว้นมู่อัน รัชศกซินเหว่ยปีที่เจ็ด เมืองหลวงหยางจิน

    “ฮูหยิน! เบ่งอีกนิดหนึ่งเจ้าค่ะ บ่าวเห็นหัวเด็กแล้ว!”

    “อึก ...”

    สตรีที่กำลังนอนอยู่บนเตียงพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดของตนไว้ เหงื่อกาฬที่หลั่งรินเต็มหน้าผากงามโดยมีสาวใช้ผู้อื่นคอยเช็ดให้เป็นระยะเป็นสัญญาณบ่งได้ดีว่านางกำลังทุกข์ทรมานมากมายเพียงใด มือทั้งสองของนางที่จิกผ้าไว้แน่นคลับคล้ายจะออกแรงลงในอีกไม่ช้า ก่อนที่สุดท้ายแล้วบุตรของนางก็สามารถคลอดออกมาจากครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

    “นำผ้าชุบน้ำอุ่นมา เร็วเข้า!” หมอตำแยรีบสั่งผู้ช่วยของตน เมื่อได้ของที่ต้องการมาแล้วก็เช็ดคราบโลหิตที่ติดอยู่บนใบหน้าและลำตัวของทารกน้อยออกอย่างแผ่วมือ

    “เป็น ... สตรีหรือบุรุษ ...”​ ผู้เป็นมารดารวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถามขึ้น หมอตำแยวัยกลางคนจึงได้หน้าถอดสีเล็กน้อย อุ้มบุตรของสวีฮูหยินไปวางใกล้ ๆ นาง

    “เป็น ... บุรุษเจ้าค่ะ”

    “ไม่ได้นะ!” ฮูหยินรองแซ่สวีแผดเสียงลั่น ดวงหน้าซีดเผือดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว พร้อมกันนั้นก็มีสาวใช้อีกคนรีบวิ่งเข้ามารายงาน

    “ฮูหยินรอง ฮูหยินใหญ่กำลังจะมาแล้วเจ้าค่ะ”

    “...”​ ยินคำว่าฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองสกุลหลันก็ยิ่งเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมากกว่าเดิม ท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ ชันกายขึ้นนั่ง ป้าฟ่าน หญิงรับใช้คนสนิทของสวีฮูหยินเห็นก็รู้งาน รีบหยิบยาบางอย่างออกมาแล้วป้อนให้เด็กอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกใจของหมอตำแย ไม่ทันได้ถามอะไรก็มีหญิงรับใช้เดินเข้ามารายงานอีกครั้ง

    “ฮูหยิน ฮูหยินใหญ่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” 

    “เชิญนางเข้ามา” 

    ฮูหยินรองสกุลหลันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ครั้นดวงตาคู่งามดุจหงส์มองเห็นสตรีอีกคนเดินเข้ามาภายในห้องก็เงยหน้าขึ้น

    ฮูหยินใหญ่กวาดสายตามองไปโดยรอบหนึ่งครั้งก่อนถาม

    “บุตรของเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี?”

    คำถามที่เอ่ยออกมานั้นเย็นเยียบจนพลอยให้คนฟังรู้สึกวาบหวิว ครั้นพอเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยอีกฝ่ายก็เป็นราวกับปีศาจร้ายที่พร้อมจะขย้ำตนและบุตรให้ตายได้โดยทันที

    ฮูหยินใหญ่สกุลหลัน ... นางเป็นถึงบุตรสาวของเจ้าเมืองหยวนหมิง ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะสามารถกดดันฮูหยินรองที่อดีตเป็นเพียงแค่นางกำนัลในวังหลังให้หวาดกลัวได้

    “เรียนฮูหยินใหญ่ ... เป็นแฝดชายหญิงเจ้าค่ะ ทว่าแฝดชายคนโตนั้นพอคลอดออกมาก็สิ้นลมแล้ว ฮูหยินใหญ่ตรวจสอบดูได้” พูดพลางสวีฮูหยินก็ผายมือไปยังเด็กทารกที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง “ส่วนบุตรสาว ... เมื่อครู่ข้าได้สั่งให้คนนำนางไปชำระกายเพราะมีเลือดเปรอะติดตัวเยอะ เช็ดอย่างไรก็ไม่ออกเสียที หวังว่าฮูหยินใหญ่จะเข้าใจ”

    ไป๋หรงฮูหยินได้ฟังก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ... หันไปส่งสัญญาณให้หญิงรับใช้ของตนเข้าไปตรวจสอบศพเด็กทารก พอยืนยันแล้วว่าทารกที่เป็นบุรุษนั้นไม่มีลมหายใจแล้วจริง ๆ ก็ได้กรีดยิ้มน่าเดียดฉันท์ออกมา พร้อม ๆ กันนั้นก็ยกมือขึ้นกอดอก

    “สวีจื่อจาน ... เจ้าช่างโชคดียิ่งนักที่บุตรชายชิงตายไปเสียก่อน ... มิเช่นนั้นเจ้าก็คงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาได้เติบใหญ่ขึ้นมา ส่วนบุตรสาวของเจ้า ... ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถมีบุตรสาวให้กับนายท่านได้ เจ้าก็เลี้ยงดูนางดี ๆ หน่อยก็แล้วกัน เผื่อในอนาคตข้าอาจจะเห็นใจสงสารขึ้นมาได้บ้าง”

    คำพูดคำจาของไป๋หรงฮูหยินยิ่งทำให้สวีฮูหยินรู้สึกคับแค้นในอก ทว่าก็ทำอันใดไม่ได้นอกเสียจากพยักหน้ารับแล้วลอบกำมือเอาไว้ข้างหลังเงียบ ๆ ไป๋หรงฮูหยินมีฐานะสูงส่ง ส่วนนางเมื่อก่อนก็เป็นแค่นางกำนัลข้างกายไทเฮาที่ไปต้องตานายท่านเข้า จึงได้ไทเฮาพระราชทานสมรสให้นางที่มีฐานะศักดิ์ต่ำต้อยได้เป็นถึงนายหญิงรองแห่งจวนจางเว่ยโหว แม้เบื้องหลังจะมีไทเฮาคอยช่วย แต่การที่จะไม่ทำให้ไทเฮาและจางเว่ยโหวต้องลำบากใจคือสิ่งที่นางสมควรทำ

    “เจ้าค่ะ ...”​

    “พักผ่อนให้ดีหน่อยก็แล้วกัน อีกไม่นานนายท่านก็จะกลับมาแล้ว”

    ไป๋หรงฮูหยินทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ก่อนจะสะบัดชายแขนอาภรณ์แล้วเดินจากไป ท่ามกลางรัตติกาลอันเงียบสงัดในค่ำคืนฤดูวสันต์ ผ่านไปราวเค่อกว่าทารกน้อยในห่อผ้าก็ส่งเสียงร้องขึ้น

    “แอ๊! แอ๊!”

    สวีฮูหยินเห็นบุตรชายของตนกลับมาร้องได้อีกครั้งหลังจากหยุดหายใจไปก็โล่งอก รีบยกบุตรขึ้นมาอุ้มปลอบขวัญพลาง สั่งการคนของตนที่อยู่โดยรอบพลาง

    คนของนางส่วนมากล้วนเป็นคนของไทเฮา นั่นคือสิ่งที่ไป๋หรงฮูหยินไม่ทราบ

    “ส่งคนไปทูลแจ้งไทเฮาเสีย ... ว่าข้าได้บุตรชาย ทว่าสถานะของเขาคือบุตรสาวคนโตของจวนจางเว่ยโหว ... เพียงเท่านั้นพระนางก็คงจะเข้าใจ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาไทเฮาก็จะสามารถรับรองสถานะของเขาได้”

    “เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ที่ถูกสั่งรับคำแล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ สวีฮูหยินหรี่ตาลงมองบุตรในอ้อมอกอีกครั้งด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือด ... ไป๋หรงฮูหยินไม่ปรารถนาให้นางมีบุตรชาย เพราะเกรงว่าฐานะจางเว่ยโหวซื่อจื่อของคุณชายใหญ่จะสั่นคลอน และนางก็ทราบอีกด้วยว่าไป๋หรงฮูหยินสามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บุตรชายของนางหายไป เช่นนั้นแล้ว ... นางก็จะขอเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นมาเป็นสตรีตามที่อีกฝ่ายต้องการ

    “ขอโทษ ... แม่ขอโทษ” 

    สวีฮูหยินกลืนก้อนสะอึกลงคอ กล้ำกลืนความเจ็บปวดภายในอกของตนแล้วกอดกระชับบุตรชายแน่นขึ้นกว่าเดิม

     

    สิบแปดปีต่อมา ...

    “ตอนนี้เหลือเพียงแค่องค์หญิงห้าใช่หรือไม่เจ้าคะที่ยังไม่เสด็จมา?”

    “จากรายชื่อแล้ว ... น่าจะใช่เจ้าค่ะ”

    คนถูกถามพยักหน้าแล้วเหลือบสายตามองไปยังเก้าอี้ตัวว่างหนึ่งตัว วันนี้ที่จวนตระกูลอี้มีงานเลี้ยงน้ำชาสังสรรค์ขึ้นในหมู่สตรีชนชั้นสูงของหยางจิน เจ้าภาพคือคุณหนูใหญ่สกุลอี้ นามฉีเจิน คราแรกอี้ฉีเจินไม่ได้นึกอยากจะเชิญองค์หญิงห้ามาสักนิด แต่เพราะบิดาคะยั้นคะยอให้นางส่งเทียบเชิญไปให้ได้เพื่อที่จะได้ผูกมิตรกับเชื้อพระวงศ์ นางจึงจำต้องยอมเขียนเทียบเชิญส่ง ๆ ไป ผู้ใดจะนึก ... ว่าองค์หญิงห้าผู้ได้ชื่อว่าอันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์นั้นจะตอบรับเทียบเชิญ!

    ‘อันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์’ เดิมคำ ๆ นี้ควรจะต้องไว้เรียกบุรุษที่ทำตัวเสเพล ไม่เอาการเอางานทั้งยังนิสัยไม่ดี ใครจะนึกว่าในช่วงรัชศกซินเหว่ยนี้ ผู้ได้รับฉายาอันธพาลจะเป็นสตรีไปเสียได้ ทั้งสตรีนางนั้นยังเป็นถึงธิดาที่ประสูติจากเยี่ยนฮองเฮาอีกต่างหาก!

    องค์หญิงห้าหว่านฮว๋า ... ย่ำเท้าไปที่ใดล้วนเกิดหายนะที่นั่น วันนี้นางตอบรับเทียบเชิญงานเลี้ยงสกุลอี้ ไม่แน่ว่าจวนสกุลอี้หลังจากนี้อาจต้องมีการซ่อมแซมแต่งเติมครั้งใหญ่

    “เอานา ... จวนสกุลอี้อยู่ไกลจากวังหลวงค่อนข้างมาก องค์หญิงห้าจะเสด็จมาสายสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ”

    พลันจู่ ๆ สตรีนางหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้น เรียกความสนใจคุณหนูสกุลใหญ่คนอื่นให้หันไปมองเป็นตาเดียว ... ผิวกายขาวผ่อง ดวงตาหยักโค้งเปล่งประกายดุจรวบดวงดาราทั้งผืนฟ้ามาเก็บไว้ เส้นผมดำขลับราวไหมทอชั้นเลิศ แม้ใบหน้าตั้งแต่สันจมูกลงไปจะถูกปิดบังด้วยม่านไหมสีเงินก็มิอาจปกปิดความงดงามที่ฉายออกมาได้

    บุปผางามบอบบางแห่งหยางจิน ... คุณหนูใหญ่สกุลหลัน หลันเซวียน

    “ข้าแค่รู้สึกผิดกับคุณหนูหลันน่ะ ...” อี้ฉีเจินยิ้ม “วันนี้ได้คุณหนูหลันตอบรับเทียบเชิญมาเข้าร่วม ข้าจึงดีใจมาก ยากนักที่จะได้พบเจอกับคุณหนูหลัน ... ทว่าพอองค์หญิงห้าเสด็จมาช้าเช่นนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไม่ได้น่ะสิ”

    คุณหนูใหญ่สกุลหลันนั้นเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินรองของจวนจางเว่ยโหว ตั้งแต่แรกคลอดก็มีโรคประจำตัว ป่วยออด ๆ แอด ๆ เก็บตัวอยู่แต่ในจวนนานครั้งจะได้ออกมาสังสรรค์สักที ครั้นพอออกมายังต้องสวมม่านปิดบังใบหน้าอีกต่างหาก วันนี้งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นกลางสวน ไม่แปลกหากอี้ฉีเจินจะกังวลแทนคุณหนูหลันที่ต้องรอเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโดนลมนาน ๆ จนป่วยไข้

    “คุณหนูอี้คิดมากไปแล้ว” ใบหน้างามใต้ม่านไหมหยักยิ้มพลางเอียงคอเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นไร รอสักหน่อยก็ได้”

    “คุณหนูหลันช่างมีจิตใจงดงามยิ่ง” จู่ ๆ สตรีนางหนึ่งในโต๊ะสนทนาก็พูดขึ้นพลางคลี่พัดจีบมาป้องปากตน “หากเทียบกับอันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์นางนั้นแล้ว ...”

    “อันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์นั้นทำไมหรือ?”

    “!”

    สตรีนางนั้นไหล่สะดุ้งจนเกือบลืมหายใจ พอรวบรวมสติได้ก็ค่อย ๆ หันไปมองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของตน

    ฝีเท้าของอีกฝ่ายช่างเบาหวิว ไม่รู้เลยสักนิดว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด

    “อะ ... องค์หญิง เสด็จมาแล้วหรือเพคะ”​ อี้ฉีเจินรีบกอบกู้สถานการณ์ ลุกขึ้นยืนแล้วยอบกายทำความเคารพอีกฝ่ายหนึ่งครั้งก่อนจะผายมือไปยังเก้าอี้ตัวว่าง “เชิญองค์หญิงประทับลงได้เลยเพคะ”

    องค์หญิงห้าที่เพิ่งเสด็จมาไม่พูดอะไรตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้อย่างว่าง่าย ขาข้างหนึ่งยกขึ้นไขว้ มือทั้งสองจัดการรินชาให้ตนเองโดยไม่รอให้สาวใช้เข้ามาจัดการให้ ระหว่างนั้นก็ตรัสพลาง

    “เมื่อครู่ใครจะพูดอะไร ไยไม่พูดให้จบกันเล่า องค์หญิงอย่างข้าฟังอยู่นะ”

    “...”

    เพียงการปรากฏตัวขององค์หญิงหว่านฮว๋า บรรยากาศก็พลันอึดอัดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละคนต่างก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยกเว้นก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลันที่มีความกล้าสบตากับองค์หญิงโดยตรง

    พอเห็นเช่นนั้น ‘เซียวลู่หลิน’ ก็ยกยิ้มมุมปาก ยกชาขึ้นจิบหนึ่งอึกแล้ววางลง

    “นี่คงจะเป็นบุตรสาวคนโตของจางเว่ยโหวสิท่า ... คนในหยางจินเรียกเจ้าว่ากระไรนะ อ้อ ... บุปผางามบอบบางแห่งหยางจิน?”

    “คำกล่าวไร้สาระพวกนั้น หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้หรอกเพคะ” หลันเซวียนยิ้มกลับ เห็นแววตาของอีกฝ่ายเซียวลู่หลินก็นึกเอือมนัก แค่นหัวเราะหนึ่งครั้งแล้วพูด

    “ได้อย่างไรกัน ขนาดคำที่พูดว่า ‘อันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์’ ข้ายังกล้ารับไว้เลย”

    ไม่พูดเปล่า หางตาของนางยังเหลือบมองไปยังสตรีที่ตีฉินตนลับหลังเมื่อครู่ด้วย

    “มะ ... หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอองค์หญิงโปรดให้อภัยด้วยเพคะ!”

    พอรู้ตัวสตรีนางนั้นก็รีบทิ้งเข่าลงกับพื้นพลางโค้งโขกศีรษะด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ...​ องค์หญิงห้าผู้นี้ใครต่อใครต่างก็ทราบดีว่านางคือหมาบ้า หากนึกอยากจะกำจัดผู้ที่ตนไม่ชอบก็ง่ายราวดีดนิ้ว

    “อะไรกัน ข้าแค่พูดจาขำขันกับคุณหนูหลันเอง เจ้าจะคิดมากไปไย?” เซียวลู่หลินเอียงคอตาใส “อย่างไรเสียข้าก็ยืดอกรับคำเรียกขานนี้อย่างภาคภูมิ ใครจะพูดจะกล่าวข้าก็ไม่สนใจหรอก วันนี้คุณหนูอี้อุตส่าห์จัดงานเลี้ยงรื่นเริง เจ้าจะมาขออภัยข้าให้เสียบรรยากาศไปเพื่อเหตุใด”

    “มะ ... หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”

    พอสตรีที่ลงไปคุกเข่าเมื่อครู่กลับขึ้นมานั่งที่เดิม บรรยากาศก็กลับมาดีขึ้นตามลำดับ ไม่นานทุกคนก็เริ่มเลิกให้ความสนใจกับผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ พากันจับกลุ่มสนทนาแล้วค่อย ๆ ลืมเลือนไปทีละน้อย

    หากแต่เซียวลู่หลินก็ไม่สนใจ นางทำเพียงโคลงเคลงจอกชาในมือเล่นไปมา งานเลี้ยงน้ำชาพรรค์นี้น่าเบื่อจะตายชัก หากเสด็จแม่ฮองเฮาไม่บังคับให้นางตอบรับนางก็คงจะไม่มาหรอก สู้เอาเวลาไปเดินเล่นในเมืองหลวงยังจะดีกว่าเสียอีก

    ทว่าเซียวลู่หลินกลับไม่รู้ตัว ... ว่าตอนที่ตนกำลังทำหน้าซังกะตายเบื่อโลกอยู่นั้นได้มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องตนอยู่

    เพียงพริบตาไม่มีผู้ใดเห็น แววตาคู่งามของคุณหนูใหญ่แซ่หลันหรี่ลงต่ำเล็กน้อย คลับคล้ายว่าจะมีอะไรในใจยามได้มองไปยังองค์หญิงห้าผู้นั้น

    อันธพาลแห่งเชื้อพระวงศ์ ... กับบุปผางามบอบบางแห่งหยางจินกระนั้นหรือ

    ฟังดูแล้วก็เข้ากันดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×