คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ผู้เดินทาง (แก้ไข+อัพ45%)
ขอบคุณทุกคนสำหรับ โอกาส "ครั้งแรก" ของข้าพเจ้า
อยากให้ทุกท่านได้อ่านแม้สักครั้ง
แม้จะไม่ใช่เรื่องราวที่ยอดเยี่ยม
แต่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าตั้งใจแต่งจากใจจริง
ตอนนี้เริ่มรู้สึก "รัก" การเขียนมากขึ้นเรื่อยๆ แปลกใจที่เป็นคนไม่เคยตั้งใจทำอะไรให้สำเร็จสักที
อยากให้ฝันเป็นตัวตนกับคนอื่นเค้าบ้าง
ภาษาก็จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อยๆ
ขอบคุณ mawmeow ผู้ที่ให้คำแนะนำดีๆจากใจจริงค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ไม่ว่าท่านจะเม้นหรือไม่ก็ตามที
ขอเพียงกวาดสายตาจนถึงตรงนี้ ก็ดีใจแล้วค่ะ ^ ^
ขอบคุณจากใจจริง
....petite chiene....
-------------------------------------------------------------------------
“ฟู่...” เสียงถอนหายใจยาวจากชายหนุ่มร่างสูงดังขึ้น ดาบเล่มใหญ่ถูกตวักเข้าฝักอย่างเรียบร้อย พร้อมกับเสียงปัดมือเรียบง่ายพอเป็นพิธี
นัยน์ตาฟ้ากวาดมองพื้นในบริเวณ แสงแดดจ้าสะท้อนกับของเหลวสีแดงสดบนพื้น สายลมแผ่วพัดกลิ่นคาวเลือดฟุ้งไปทั่วจนน่าสะอิดสะเอียน ร่างไร้วิญญาณบนแผ่นหินเย็นเยีบยถูกย่ำและก้าวผ่านอย่างไม่ใยดี
“ไม่ปลอดภัยแล้วสินะ”เสียงแหลมเล็กของสตรีร่างเล็กจากขั้นบันไดริมทางเอ่ยขึ้นกลบความเงียบที่โรยตัว ใบหน้าหน้ามนเงยขึ้นสูงจากเดิม เส้นผมดำไหวตามแรงลมช้าๆ แต่นัยน์ตาครามยังคงสงบนิ่งราวกับไม่เห็นภาพศพตรงหน้า
“เวลา..... เหลือน้อยลงทุกที” สตรีเจ้าของวลีชันกายลุกขึ้นเดินไปตามทางของแผ่นหิน ก่อนหันกายกลับไปอีกทาง “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วใช่มั้ย รีเมย์?”
ร่างของชายหนุ่มเจ้าของนามหันตามต้นเสียงที่ยังยืนรอคำตอบ “เจ้าเองก็น่าจะรู้ โซเวีย”
สีหน้าของเด็กสาวดูซีดและเหม่อลอยอย่างผิดปกติ...
“
..อืม.... ข้ารู้ดี”น้ำเสียงสงบนิ่งตอบกลับ
โซเวียหันกลับไปมองผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายอีกครั้ง สีหน้าเฉยชา กับนัยน์ตาคู่งาม ไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดเหมือนเช่นเคย หญิงสาวกระชับดาบในมือแน่นขึ้นก่อนถอนหายใจยาว
“ข้าจะไปเวนเทลตามที่ท่านสั่ง” เสียงแผ่วเบาดังลอดผ่านลำคอ เข้าสู่โสตประสาทของผู้ฟัง
........แม้จะไม่แสดงออก......แต่เขารู้ดี.........สิ่งที่อยู่ในใจของ เด็กสาวตรงหน้าคืออะไร
ดวงตะวันยังฉายแสงแดดที่ร้อนผ่าวผ่านใบไม้หนาเป็นแสงสลัว โซเวียเดินออกไปไกลตามทางเข้าสู่วิหารที่เปรียบดั่งบ้านที่เธอเติบโตมาตลอด เกือบ10ปี ในหัวมีเพียงเรื่องภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้ลุล่วง
ไม่ว่าจะอย่าไรก็ตาม
...ในฐานะตัวแทน...
“เฮ้พ่อหนุ่ม จะนอนตรงนั้นอีกนานมั้ย ใกล้จะถึงเวนเทลแล้วนะ”เสียงตะโกนของชายชรา ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของรถม้า
บรรยายกาศวุ่นวายของตลาดชานเมือง กับกลิ่นอายของฟางและกลิ่นเหม็นเขียวลอยฟุ้งไปทั่ว
“หา ถึงแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดงยุ่งเหยิงจนดูน่าขันยันกายขึ้นจากกองฟางใหญ่บนเกวียนขนของ ใบหน้าอ่อนวัยมีสีหน้ากวนอารมณ์ พอกับดวงตาสีน้ำตาลแสดที่ฉายประกายเป็นมิตร
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นบัดเศษฟางออกจากหัวอย่างลวกๆ พลางหันซ้ายขวากวาดสายสำรวจไปทั่วบริเวณที่ไม่คุ้นตา
“นี่อยู่แถวไหนแล้วน่ะลุง” ผู้ถูกเรียกหันตามเสียง ก่อนจะเอ่ยคำตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“แถวชานเมือง.... ถ้าจะเข้าไปเวนเทล ก็คงต้องเดินต่อไปเอง ทางในเมืองมันไม่กว้างนักหรอกนะ”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูง ก่อนกระโดดลงจากเกวียนอย่างคล่องแคล่ว “ขอบใจนะลุง ไว้เจอกันคราวหน้าข้าจะตอบแทนท่านบ้าง” ว่าพลางจัดแจงปัดฝุ่นออกจากเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เปื้อนฝุ่นทรายแล้วหันมายิ้มยิงฟันด้วยดวงหน้าอารมณ์ดี
ชายแก่หัวเราะเบาๆพร้อมกับส่ายหัวพลาง “ไว้คราวหน้าน่ะนะ หึๆ บางทีข้าอาจจะตายแก่ตายก่อนได้เจอเจ้าอีกครั้งก็ได้....... เอาเป็นว่าข้าถามชื่อเจ้าไว้ก่อนดีมั้ย”
ฝ่ายคนได้รับคำตอบก็ยักไหล่เนิบๆ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยชื่อของตนอย่างว่าง่าย
“ยูรัส เซเฟอร์ ” ชายชราผงกหัวอย่างพอใจในความซื่อของบุรุษตรงหน้า รอยยิ้มสบายๆปรากฎบนใบหน้าคล้ำและเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ “ข้าจะจำไว้”
ยูรัสหันกายไปทางเข้าสู่เมืองก่อนจะโบกมืออำลาแล้วกล่าวคำขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานนัก ร่างสูงโปร่งก็หายลับไปในฝูงชน...
นัยน์ตาสีเข้มมองภาพด้านหน้าอย่างหงุดหงิด ตลาดยามบ่ายคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน เสียงตะโกนจากทางเดินทั้งสองฝั่งดังจนน่ารำคาญ เท่านั้นยังไม่พอ ทั้งแสงแดดที่สร้างความร้อนอย่างไม่มีคำว่าปราณี ทางเดินยาวผ่านกลางเมืองไม่มีแม้แต่เงาของผืนผ้าใบ
ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไร้เงาเมฆจะเคลื่อนตัวมาบังแสงอันอบอ้าว ไม่ว่าดูตรงไหน ก็ไม่มีวี่แววจะเป็นเมืองใหญ่อันเป็นอันดับ2ในซิลล่า ‘เวลมาร์ช’
ในที่สุดความอดทนที่มีน้อยนิดก็หมดลง ยูรัสตัดสินใจปลีกตัวออกจากทางเดินกลางตลาดเข้ามาที่ทิ้งกายลงที่ข้างทางเดิน หยาดเหงื่อเม็ดโตไหลอาบใบหน้า เด็กหนุ่มเปิดกระเป๋าเดินทางของตนออก พร้อมยื่นมือเข้าไปหยิบขวดบรรจุน้ำออกมาดื่มดับกระหาย
“ให้ตายเถอะ แย่ชะมัด”เขาสถบกับตัวเองเบาๆ อากาศร้อน พื้นก็ร้อน น้ำก็ร้อน อารมณ์ก็เลยไปตามอุณหภูมิสภาพแวดล้อมที่รายล้อมกาย
แย่จริง! ให้ตายสิพ่อบ้า ลูกชายจะออกเดินทางทั้งที ไม่มีแม้แต่ม้าซักตัว ข้าวของก็ให้ซื้อเอง งบก็มีหน่อยเดียว แม้แต่ตอนส่งยังไม่มีคำอวยพรซักนิด
“อย่าทำชาวบ้านเค้าเดือดร้อนอีกล่ะ ไอ้ลูกบ้า”
ประโยคอำลาของผู้เป็นพ่อดังขึ้นในห้วงความคิด ทำเอาอารมณ์ที่เริ่มสงบนิ่งประทุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
นี่ถ้าไม่ได้เจอคุณลุงคนนั้น ป่านนี้เขาอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้วด้วยซ้ำ ไอ้สัมภาระบ้าๆนี่ก็คอยฉุดแรงทุกครั้งที่ก้าวเดินจนขาสั่นแทบจะหมดแรงตายคาข้างทาง เรื่องแรงไม่ใช่ว่าไม่มี แต่จะให้เดินข้ามประเทศใน3วัน มันเกินกำลังคนธรรมดาเดินดิน ต้องกินต้องนอนอย่างเขา
เด็กหนุ่มบ่นในใจก่อนจะเอนกายพิงกับกำแพงด้านหลัง พร้อมปราดสายตามองภาพด้านหน้าอย่างชั่งใจ
ไว้คนน้อยลง ค่อยเดินเข้าไปอีกทีละกัน...
ในขณะที่กำลังจะเลื่อนลอยเข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ดังฉุดสติกลับคืน
“ไอ้หนู
.ไอ้หนู” เสียงเรียกที่ทำเอาสะดุ้งตื่นอย่างไม่ทันตั้งตัว ยูรัสหันหน้ามองไปรอบๆกาย ก่อนจะสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อภาพตรงหน้าคืนชายหนุ่มร่างใหญ่ กำยำ และรอยแผลเป็นยาวบากหน้าจนให้ความรู้สึกสยองอย่างไม่ต้องสงสัย
“คะ....ครับ”ว่าพลางฉีกยิ้มแห้งๆ
ให้ตายสิ วันนี้ไม่ได้นอนเต็มอิ่มซะที!
“แกน่ะ....เข้าเมืองมาเมื่อกี๊ใช่มั้ย?”ตาลุงหน้าโหดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่กลับฟังไม่น่าเป็นมิตรสักนิด ดวงตาของบุรุษด้านหน้าดูน่าหวั่นเกรง แต่ว่าเขากลับชินชากับเรื่องแบบนี้ แน่ล่ะลูกบลั๊ฟเบบี้อ่อนเชิงแบบนี้เจอมานักต่อนักแล้ว
“ครับ ทำไมครับ”เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าสงสัย พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า ชายร่างใหญ่มองดูเขาอย่างพินิจแล้วมองปราดต่อไปที่กระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ข้างๆ
“มาสมัครเรียนใช้มั้ย” ยูรัสนิ่งไปกับคำถามที่ถูกต้องอย่างน่าตกใจ ชายร่างใหญ่เหมือนจะดูสีหน้าออกว่าตนเดาถูก ก็ยิงคำถามถามต่อแบบชนิดว่าไม่เหลือเวลาให้ยิงคำถามกลับ
“เฟเรเซียใช่มั้ย โรงเรียนเวทชื่อดังอันดับ1ของซิลล่าที่มีลูกเจ้าลูกนายเค้าเรียนกัน แล้วก็ลือกันว่าสอบเข้ายากเป็นที่หนึ่ง แกน่ะจะไปสมัครใช่มั้ย?”
คราวนี้น้ำเสียงดูจะหาเรื่องเข้าเต็มร้อย ยูรัสถอนหายใจเนือยๆ
เอาเข้าไป พวกดักสอยนักเรียนเฟเรเซีย นักเลงหัวไม้ที่ชอบอัดนักเรียนที่ต้องการจะเข้าเรียน เฟเรเซียก่อนที่จะมีโอกาสได้สอบ ไม่คิดว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ ถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกัน?
“อันที่จริงก็ถูก แต่ครึ่งเดียว”ผู้ต่ำวัยกว่าฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมจะไปเรียน แต่ไม่ใช่เฟเรเซีย
อันที่จริงเป็นเวนเทล”
คำตอบที่ได้ดูจะถูกใจลุงหน้าบาก ดูจากสีหน้าที่หายบึ้งตึง และรอยยิ้มที่เข้ามาแทนที่
“ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เด็กเวนเทล ว่าแต่เจ้ามาจากไหนล่ะ”
ยูรัสได้แต่ยิ้มรับคำถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าลุงแกเปลี่ยนไปมาก ขนาดจากสรรพนาม ‘แก’เป็น ‘เจ้า’ ได้เร็วขนาดนี้
...นี่ถ้าเขาตอบว่าเป็นนักเรียกเฟเรเซีย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น...
“อาณาจักรทางตะวันตกของซิลล่า ‘คอนเวอร์เซีย’ ”
“อันที่จริงเจ้ารู้มั้ย เฟเรเซียน่ะมีแต่เด็กปวกเปียก”ประโยคเหน็บแนมเฟเรเซียดังออกมาจากปากของตาลุงหน้าบาก
จริงๆตาลุงนี่ไม่คิดจะฟังคำตอบเลยนี่หว่า!! และจะถามไปทำไม คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ใบหน้าก็ยังคงฝืนยิ้มกลบเกลือนความจริง
“เฟเรเซีย น่ะ ถ้าเป็นพวกตระกูลดีพอมีหัวสมองกะเค้าก็เข้าได้แล้วเจ้ารู้มั้ย....เวนเทลน่ะต่างจากไอ้โรงเรียนบ้าเกียรตินี่เยอะ”ชายร่างยักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“หลักสูตรการสอนของเวนเทล ไม่เป็นรองใครแน่นอน เพราะว่า...”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ลุงหน้าบากก็หันมายิ้มโดยรวมแล้ว มันเหมือนกับแสยะมากกว่า ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “ถ้าสอบได้ เดี๋ยวก็รู้เอง หึหึ แต่จะสอบได้รึเปล่านี่อีกประเด็น”
“.....................”ยูรัสได้แต่เงียบ นี่ถ้าเขาสอบไม่ติด คงจะต้องโดนพ่อด่าว่าไร้น้ำยา... แน่นอน มันถือเป็นความเสื่อมเสียสุดๆ เขาไม่มีวันยอมก้มหัวให้พ่อ ไม่มีวัน!
“ยังไงผมก็จะสอบให้ผ่านครับ”
บุรุษหน้าบากเหยียดยิ้มอย่างถูกใจ “ข้าชื่อ โซเอล ไอเอิร์น ยินดีที่ได้รู้จัก”ดูเหมือนว่าตาลุงโซเอลจะยังไม่รู้ตัวว่าไม่รู้จักชื่อเขาทั้งๆที่คุยกันตั้งหลายประโยค
วันนี้นอกจากไม่ได้นอน ยังเจอคนแปลกๆอีก.... เวลมาร์ช มันเป็นเมืองยังไงกันแน่
ถ้าคุณคือคนที่อ่านจนกระทั่งถึงตรงนี้ ก็ขอขอบคุณอีกครั้ง
จริงๆก็อยากถามเหมือนกัน ว่ามันแปลกรึเปล่า เนื้อเรื่องเร่งไปบ้างมั้ย?
(รู้สึกเหมือนตัวเองจะใจร้อน ว้า....แย่จัง)
ความคิดเห็น