ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ BETWEEN US ✖ [SF/OS l KAIHUN ft. EXO]

    ลำดับตอนที่ #13 : OS :: My Wish 100%

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 60








    My Wish

     

     

    หิมะที่โปรยปรายจากนอกหน้าต่างตรึงสายตาปรือปรอยเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง เปลือกตาสีอ่อนกระพริบช้า ๆ ก่อนหลับค้างไว้อีกครั้งเมื่อความง่วงยังไม่จางหาย เมื่อคืนเขานอนดึกเพราะมัวแต่รอใครบางคนกลับห้อง แต่ตอนนี้เข็มนาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาแปดโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่รอคอย

    ภายในหอพักเล็ก ๆ เงียบเชียบให้ความรู้สึกเย็นเฉียบยิ่งกว่าเดิมเมื่อคนที่คอยให้ความอบอุ่นไม่อยู่ข้างกาย บนเตียงคู่ขนาดไม่ใหญ่และที่นอนไม่นุ่มว่างเปล่าไร้คนขี้เซาที่ควรหลับจะนอนเป็นหมีจำศีลอย่างในทุก ๆ เช้า คงมีแต่รอยยับจากอีกฟากของเตียงที่พอให้รู้สึกใจชื้นว่าคนที่นอนประจำตรงนั้นกลับเข้ามาแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เจ้าตัวคงวุ่นวายอยู่มุมไหนสักแห่งของห้องอยู่

    เซฮุนเหยียดขาลงจากเตียง ทว่าพอเท้าสัมผัสกับพื้นเย็นเฉียบก็ต้องสะดุ้ง ตาที่ไม่อยากจะเปิดต้องหรี่ขึ้นมองหาสลิปเปอร์แล้วเขี่ยมันมาใกล้เตียงก่อนสอดเท้าลงไป เดินลากขาจนเสียงพื้นรองเท้าเสียดสีกับพื้นส่งเสียงชวนหนวกหู ถ้าคุณหมีนอนอยู่บนเตียงนั่นต้องโดนดุแน่ ๆ ที่เดินเสียงดัง แต่เอาเถอะ ตอนนี้เขาอยู่คนเดียวนี่นา

    วันคริสมาสต์เพิ่งผ่านไปและวันปีใหม่กำลังจะมาถึง เซฮุนไม่ได้รับของขวัญอะไรจากคุณซานต้า ไม่ได้รับจากคนร่วมห้องด้วยเช่นกัน เขาไม่ได้นึกน้อยใจที่มันเป็นอย่างนั้น แต่น้อยใจในโชคชะตามากกว่าที่ทำให้เด็กที่เคยอยู่บนกองเงินกองทองอย่างเขาตกระกำลำบากมาตลอดหลายปี ร่างบางไม่กล้าเอ่ยขอสิ่งใด ของแพงที่เคยใช้ แบรนด์เนมที่มีจนล้นถูกขายเพื่อเอามาเป็นเงินให้พอประทังชีวิตไปวัน ๆ

    8 ปีก่อนตอนที่เซฮุนเพิ่งขึ้นม.ปลายปีแรก เขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อรู้ว่าครอบครัวของตัวเองล้มละลาย ชีวิตหรูหราอู้ฟู่ บ้านหลังใหญ่ ความสุขสบายหายไปในชั่วข้ามคืนเมื่อมีหมายจากศาลแปะตอกย้ำที่ประตูรั้วหน้าบ้านว่าคำพูดของแม่เป็นเรื่องจริง แม้แต่พ่อผู้เป็นผู้นำของบ้านยังเสียหลักทำอะไรไม่ถูก ครอบครัวเราต้องย้ายไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ญาติที่มีหายหน้าไปหมดเมื่อรู้ข่าว ไม่เคยแวะมาเยี่ยมเยียนปั้นหน้าพูดเรื่องธุรกิจหรือกระชับความสัมพันธ์อย่างตอนที่มีเงินทองให้ใช้ ถึงคราวตกต่ำก็ไม่เห็นจะมีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้

    ครอบครัวเขาต้องย้ายมาอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ เงินก้อนสุดท้ายที่มีพ่อใช้มันไปกับการซื้อตั๋วเพื่อบินไปทำงานที่บริษัทของเพื่อนที่ไต้หวัน แม่ต้องกลายเป็นพนักงานออฟฟิศกินเงินเดือนน้อยนิด หาเงินส่งให้เขาเรียนและให้พอใช้ในแต่ละวัน ครึ่งปีกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเป็นชีวิตที่ทรมานอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อน เด็กหนุ่มร่างบางโหนรถเมล์ไปเรียนโรงเรียนทั่วไปที่ไม่ใช่เอกชนสุดหรู สังคมแตกต่างจากที่เคยอยู่ อาหารหน้าตาบ้าน ๆ ที่ไม่รู้ว่าสะอาดหรือเปล่า มันดูคล้ายกับเอาวัตถุดิบมาคลุกรวมกัน ไม่สวยงามและน่าทานเหมือนอาหารฟูลคอร์ส

    ไม่นานแม่ก็ตามไปทำงานที่ไต้หวันกับพ่อ เซฮุนต้องอยู่คนเดียวในห้องแคบ ๆ นั่น ร้องไห้ทุกคืนวันกับสิ่งที่ต้องพบเจอ เขาอยากให้เรื่องนี้เป็นแค่ความฝัน เขาแทบทนอยู่กับความอับจนหนทางนี้ไม่ได้ เกือบปีที่เขายังคงใช้ชีวิตอู้ฟู่ กอดของแบรนด์เนมของตัวเองแล้วเที่ยวโกหกเพื่อนในโรงเรียนใหม่ว่าเราเป็นลูกเศรษฐีที่ย้ายมาใหม่ทั้งที่มันเป็นเพียงอดีต เซฮุนเป็นที่รักของเพื่อนมากมาย ทว่าความลับและเรื่องโกหกมักถูกปิดบังได้ไม่นาน เมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผย เพื่อนเหล่านั้นก็หายไปหมด เขาถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามและถูกรังแกเพียงเพราะไม่ได้เป็นลูกคนรวยอย่างที่บอก

    เขาอยากให้พ่อกับแม่โทรมาบอกว่านี่เป็นเพียงแค่การลงโทษที่เขาเอาแต่ใจและดัดนิสัยที่ชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย อยากให้พวกท่านบอกว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องโกหก เราไม่ได้ล้มละลาย และเขาไม่ต้องโดนลงโทษอีกต่อไปแล้ว

    แต่มันก็คงเป็นได้แค่ในละครเท่านั้น นี่คือเรื่องจริง คือความจริงที่โอเซฮุนหลีกหนีไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิต บอบช้ำทั้งร่างกายจากการที่ถูกเด็กที่โรงเรียนทำร้าย บอบช้ำทั้งจิตใจกับความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าธุรกิจที่พ่อกับแม่มักแสดงให้เห็นว่ามันไปได้ดีนั้นกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ทว่าใบแจ้งหนี้ที่มียอดเงินหลักล้านบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าธุรกิจที่บ้านเขาไม่ได้ดีอย่างที่เห็น พวกท่านพยายามกู้เงินมายื้อมันไว้จนนั่นกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เงินพอกพูนขึ้นกับกิจการที่แย่ลงทำให้บริษัทต้องปิดตัวลงในที่สุด

    เป็นช่วงตกต่ำที่สุดในชีวิตจนเขาคิดอยากหาวิธีให้ตัวเองหายไปจากโลกที่โหดร้ายใบนี้ สะพานสูงใหญ่ที่มีผืนน้ำอยู่เบื้องล่างสะท้อนเงาคนขี้แพ้อย่างเขา แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อยากมองจนต้องโยนหินลงไปให้กระทบกับผิวน้ำจนคลื่นวงกลมกลืนภาพสะท้อนของเขาไป

    ตายไปเลยดีไหมเรื่องจะได้จบ ๆ เขาคิดขณะที่พาตัวเองขึ้นไปนั่งห้อยขาบนราวสะพาน ท่วงท่าแสนอันตรายที่หากพลาดไปนิดเดียวก็สามารถตกลงไปด้านล่างได้ และคนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างโอเซฮุนก็คงได้ตายอย่างเดียวดายในแม่น้ำกว้างใหญ่สมใจ

    ทว่าจิตใจที่ดำดิ่งของเขากลับถูกฉุดรั้งขึ้นมาเพราะใครบางคน มือหนาคว้าแขนเขาเอาไว้พร้อมใช้กำลังที่มีดึงจนเขาร่วงลงไปกองกับพื้น วินาทีที่ร่างลอยหวือไปด้านหลังแล้วก้นกระแทกลงบนพื้นมันเจ็บสุด ๆ หากแต่ชั่วขณะนั้นความกลัวก็แทรกเข้ามาในจิตใจ

    อยากตายเหรอ? ชีวิตบัดซบให้ได้เท่าฉันก่อนค่อยคิดจะตายเซฮุนมองเด็กหนุ่มที่ลากเขาลงมาจากราวสะพานพลางขมวดคิ้วมุ่น

    ไม่รู้หรอกว่าชีวิตของคนที่สวมชุดเครื่องแบบนักเรียนแบบเดียวกันกับเขาบัดซบแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาเจ็บก้นจนแทบทนไม่ไหว ในวินาทีนั้นก็ได้แต่นึกย้อนถามตัวเองว่าเขาอยากตายจริง ๆ หรือ? เซฮุนไม่แน่ใจในคำตอบ แต่ผู้ชายคนนั้นมองมาราวกับต้องการสั่งสอนว่าการมีชีวิตอยู่มันดีกว่ายังไง

     

    .

    .

    "เซฮุน เฮ้!" เงามือที่ปัดผ่านระดับสายตาเรียกให้คนเหม่อลอยกลับเข้าสู่ปัจจุบัน ดวงตากลมละจากหิมะขาวโพลนนอกหน้าต่างก่อนหันไปหาเจ้าของมือหนา

    ใบหน้าคมเป็นสิ่งแรกเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา จงอินชะโงกหน้ามาใกล้พร้อมตำหนิทางสายตาว่าเขาเหม่ออะไรนักหนา ทว่าคนโดนดุกลับไม่สนใจ เซฮุนคลี่ยิ้ม ยกมือขึ้นคล้องลำคอแกร่งพลางโถมกายเข้าหา เบียดใบหน้ายู่ยับเนื่องจากเพิ่งตื่นกับไหล่หนาอันเป็นที่พึ่งพิงให้เขาได้เสมอ

    ร่างหนาทำท่าจะดันเขาออก แต่พอเซฮุนส่งเสียงอู้อี้ในลำคอแสดงอาการงอแง ทั้งยังกอดเกาะอีกฝ่ายหนึบยิ่งกว่าลูกลิง มือหนาก็เปลี่ยนไปวางที่บั้นเอวเขาทันที

    "เมื่อคืนกลับกี่โมง" ร่างบางถามเสียงออดอ้อน เรียกให้อีกฝ่ายต้องจูบขมับก่อนคนในอ้อมกอดจะงอแงมากไปกว่านี้

    "เที่ยงคืน เมื่อคืนลูกค้าเยอะเลยต้องอยู่ช่วยจนปิดร้าน" คนฟังรอบถอนหายใจก่อนจรดริมฝีปากสีพีชกับซอกคอคนรัก พูดถึงเรื่องนี้ทีไรเขาก็รู้สึกเหนื่อยแทนจงอินทุกที

    "วันนี้มีเรียนบ่ายไม่ใช่หรอ ทำไมตื่นเช้า" ถามพลางเงยหน้าจูบปลายคางผ่าราวกับหวังว่าสัมผัสจากเขาจะช่วยทุเลาความเหนื่อยล้าที่จงอินไม่เคยแสดงออกให้เห็นได้บ้าง

    "ไปส่งนมกับหนังสือพิมพ์แทนลุงข้างห้องน่ะ แกป่วยก็เลยให้ช่วยไปส่งแทน"

    คนตัวบางพยักหน้าหงึกเมื่อจงอินพูดถึงเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องติดกัน คุณลุงกับคุณป้าข้างห้องอยู่ด้วยกันเพียงสองคน เวลาทำอาหารอะไรก็มักจะเผื่อแผ่มาถึงพวกเขาเสมอ เพราะฉะนั้นพอมีเรื่องไหว้วานอะไรให้ช่วยพวกเขาจึงไม่รีรอที่จะช่วยทันที

    "ไปอาบน้ำไป เหม็น" คนที่เพิ่งหอมแก้มเขาดังฟอดย่นจมูกใส่จนต้องยอมเลิกเกาะแกะเป็นลูกลิงแล้วไปอาบน้ำตามที่อีกคนบอก

    แม้ห้องพักจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วแต่เซฮุนก็ไม่ได้อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณนานด้วยกลัวว่าจะเป็นต้นเหตุให้ค่าน้ำขึ้นอีก เซฮุนหยิบสเวทเตอร์คอเต่าที่จงอินเพิ่งซื้อให้มาใส่ ตอนได้รับเขาไม่ได้ดีใจเลย เพราะอีกฝ่ายต้องเอาเงินที่ต้องกินต้องใช้มาจับจ่ายกับอะไรแบบนี้ แต่พอจงอินบอกว่าอยากให้ร่างกายของเขาอบอุ่นจะได้ไม่ป่วย เซฮุนจึงต้องยอม

    คนตัวผอมไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองที่ใช้จ่ายอย่างประหยัดและรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นยังไง แต่คิมจงอินเปลี่ยนเด็กที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างเขาได้ เปลี่ยนทุกอย่างจนเป็นโอเซฮุนทนอยู่กับความลำบากโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนได้อย่างทุกวันนี้

    "หอมจัง ทำอะไรกินเหรอ" ออกมาจากห้องนอนกลิ่นหอมฉุยของอาหารพื้นบ้านก็ตีเข้าหน้าจนต้องรีบถลาไปกลางห้องด้วยความหิว

    จงอินใช้โต๊ะพับญี่ปุ่นมากางออกแล้วจัดแจงวางซุปกิมจิ หมูผัดซอส แล้วหันไปรับบิบิมบับถ้วยใหญ่จากคุณป้าที่ถือรออยู่หน้าประตู เซฮุนโค้งตัวขอบคุณเธอมากกว่าเก้าสิบองศา ก่อนจะได้รับสายตาเอ็นจากหญิงสูงวัย

    "มานั่งเร็ว"

    คนตัวผอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนผิวแทนก่อนจดจ้องอาหารเบื้องหน้าตาเป็นประกายราวกับแมวน้อยที่เจอปลาทู วันนี้กับข้าวบนโต๊ะเยอะเป็นพิเศษแม้จะมีเพียงสามอย่างก็เถอะ ปกติแล้วพวกเขาจะทำกับข้าวอย่างเดียวแล้วแบ่งกันกิน เขาอยากช่วยประหยัดในทุก ๆ ทางแต่บางครั้งเจ้าตัวก็ไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ อย่างเช่นการสั่งพิซซ่ามากินด้วยเหตุผลว่าอยากขุนคนผอมแห้งให้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง

    จงอินมักเสียเงินไปอย่างไร้ประโยชน์โดยมีเขาเป็นสาเหตุอยู่บ่อย ๆ

    “ฉันไปสมัครงานพาร์ทไทม์ไว้ ดูเหมือนผู้จัดการร้านจะรับด้วยล่ะ” เซฮุนชำเลืองมองมือหนาที่ชะงักค้างในขณะที่คลุกบิบิมบับให้เข้ากันอยู่

    “ทำที่ไหน” เสียงทุ้มคล้ายจะต่ำลงอีกระดับ เซฮุนรู้ดีว่าจงอินไม่อยากให้เขาทำงานเท่าไหร่ แต่เงินที่พ่อแม่ส่งให้ใช้จะไปพออะไร แถมจงอินเองก็ยังทำงานพาร์ทไทม์ตั้งหลายที่ อีกอย่างเราก็ตกลงกันแล้วว่าจะช่วยกันออกค่าใช้จ่ายระหว่างที่อยู่ด้วยกัน

    “ที่เดียวกับจงอินนั่นแหละ ดีไหมเราจะได้ไม่ทำให้จงอินเป็นห่วงด้วย”

    “ห่วงว่าจะไม่มีสมาธิทำงานน่ะสิ” ใบหน้าหวานงอง้ำก่อนยื่นมือไปรับถ้วยข้าวยำที่จงอินแบ่งคนละครึ่ง ซึ่งดูแล้วอีกฝ่ายแบ่งมาให้เขาเยอะกว่าส่วนของตัวเองด้วยซ้ำ “พี่มินซอกรับแล้วหรอ แอบไปสมัครเมื่อไหร่กัน”

    “อื้อ เราไปสมัครตอนที่จงอินไปเรียนอ่ะ” ตอบทั้งที่แก้มอูมอัดแน่นไปด้วยเม็ดข้าว คนตัวผอมตักกับข้าวใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

    เห็นแล้วก็ทำให้หนุ่มผิวแทนอดนึกย้อนไปถึงช่วงที่รู้จักกันแรก ๆ ไม่ได้ เซฮุนแทบไม่แตะอาหารพวกนี้ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูตกกระป๋องจำต้องกินเพราะฐานะความเป็นอยู่ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ ทว่าดูตอนนี้สิ กลายเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายไปเสียแล้ว

    “มาทำงานอะไรเอาตอนปี 4 เรียนจะจบอยู่แล้ว แถมต้องยุ่งกับโปรเจคจบอีก” จงอินบอกด้วยความเป็นห่วง เด็กพาร์ทไทม์หลายคนก็ลาออกช่วงที่ขึ้นปีสุดท้ายของชีวิตมหาลัยทั้งนั้น โปรเจคจบที่ต้องทำมันทั้งวุ่นวายและสูบพลังงานจนแทบไม่มีแรงไปทำอะไรต่อ

    “เราไม่อยากให้จงอินเหนื่อยคนเดียว เราอยากช่วย”

    “เอาเป็นว่าตอนนี้ช่วยกินเข้าไปเยอะ ๆ ก่อนแล้วกัน ผอมจะตายอยู่แล้วเซฮุน”

    “เรากินเยอะแล้ว” ริมฝีปากอิ่มยู่ยื่นก่อนตักอาหารให้คนตรงหน้าบ้าง เอาแต่ตักใส่ถ้วยเขาอยู่ได้ ตอนนี้มองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้ว จงอินนั่นที่ต้องกินเยอะ

    ห่วงคนอื่นเป็นอยู่คนเดียวหรือไง เซฮุนก็ห่วงจงอินมากไม่ต่างกันนั่นแหละ...

     

     

     

     

    --- MY WISH ---

     

     

     

     

    เสียงตุบตับจากการถูกทุบตีสร้างความรำคาญใจให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนต้นไม้จนต้องเปิดตาขึ้นมาดู เบื้องล่างปรากฏเด็กหนุ่มผิวขาวจัด รูปร่างสูงโปร่งทว่าดูบอบบางจนกลัวว่าร่างจะหักหากถูกทำร้ายรุนแรงเข้า หมอนั่นถูกผู้หญิงสามสี่คนห้อมล้อม พวกเธอไม่ได้แสดงท่าทีปลาบปลื้มหรือชื่นชม แต่ดูแล้วเหมือนกำลังจะเอาเรื่องคนที่ยืนอยู่ตรงกลางวงมากกว่า

    คิมจงอินแปลกใจอยู่หน่อยที่เห็นเด็กใหม่คนนั้นกลายเป็นเหยื่อที่โดนรังแก ทั้งที่ตอนเข้ามาใหม่ ๆ นั้นเป็นที่รักของเพื่อน ทั้งยังเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นมาก ๆ ในโรงเรียน

    เขาไม่อยากจะสนใจปัญหาบ้าบอคอแตกที่ไม่ควรยื่นขาเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่พวกเธอส่งเสียงน่ารำคาญทั้งยังตบแก้มคนตัวผอมให้เห็นจะ ๆ ถึงสองครั้ง จงอินเหยียดแขนไปเด็ดกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุด ก่อนจงใจปาลงไปให้โดนหัวใครสักคน และฝีมือเขาจัดว่าเข้าขั้นเลยทีเดียว เด็กสาวคนหนึ่งหวีดร้องลั่นเมื่อถูกกิ่งไม้นั้นหล่นลงกลางหัวราวกับจับวาง ดวงตาคมปราดมองพวกเธอที่เงยหน้าขึ้นมาหาต้นเหตุอย่างเขาพร้อมแสดงสีหน้าไม่พอใจ

    “ทำอะไรของแก”

    “พวกเธอนั่นแหละทำอะไร จะไปตบกันก็ไปที่อื่น คนจะนอน” เขาว่าแค่นั้นก่อนเอนหลังนอนไปอีกครั้ง

    ไม่นานเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็เดินตึงตังออกไป ก่อนจะได้ยินเสียงเบาหวิวลอยมาตามลมว่าขอบคุณ จงอินไม่ได้ลุกขึ้นมาตอบรับคนเอ่ยประโยคนั้น แต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น...

    เรื่องราวในวันนั้นเขาแทบลืมมันไปแล้ว ทว่ามันกลับวิ่งย้อนเข้ามาในหัวราวกับม้วนฟิล์มตอนที่เห็นคนตัวผอมนั่งอยู่บนขอบสะพานด้วยท่วงท่าแสนอันตราย คิมจงอินไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับใครแต่ตอนอยู่ที่โรงเรียนผู้ชายคนนี้ก็เข้ามาอยู่ในกรอบสายตาให้รู้สึกรำคาญได้ตลอด เขาไม่รู้ว่าชีวิตของคนรวยที่ตกอับมันแย่ขนาดไหน แต่การหาทางออกโดยการฆ่าตัวตายมันงี่เง่าสิ้นดี

    เขาวิ่งไปคว้าแขนที่บางจนน่าใจหายเอาไว้ กระชากลงจากราวสะพานจนคนตัวผอมถลาลงมาก้นจ้ำเบ้ากับพื้น เขาไม่ขอโทษกับสิ่งที่ทำไปหรอก เพราะถือว่าได้ช่วยอีกคนไว้แล้ว แม้ว่าร่างบางดูจะไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วก็เถอะ

    อยากตายเหรอ? ชีวิตบัดซบให้ได้เท่าฉันก่อนค่อยคิดจะตาย ใบหน้าหวานที่เบะราวกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสาร

    มือหนาคว้าแขนอีกคนให้ลุกขึ้นก่อนลากให้เดินไปด้วยกัน เห็นทีคงต้องคุยกันหน่อยว่าชีวิตมันเลวร้ายขนาดไหน ถ้ามันบัดซบกว่าชีวิตของเขาจริง ๆ จะยอมกระโดดน้ำตามไปด้วยเลย

    เราเดินไปตามทางที่ผู้คนเริ่มบางตาด้วยความไม่เต็มใจของคนตัวผอม สุดท้ายก็มาจบที่สวนสาธารณะโง่ใกล้ห้องเช่ารังหนูของเขา และบังเอิญเหลือเกินที่ไม่ไกลจากห้องของเซฮุนด้วยเช่นกัน

    เกือบชั่วโมงที่เรานั่งข้างกันแล้วปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่อย่างนั้น เขาปล่อยให้คนที่ความรู้สึกดำดิ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่ถามถึงสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้อีกคนอยากหยุดหายใจไปตลอดกาล

    เขาถอนหายใจ ก่อนเริ่มเล่าเรื่องเฮ็งซวยในชีวิตของตัวเองก่อน ถึงแม้อีกฝ่ายอาจจะไม่อยากรู้ แต่เขาถือว่าอยากเล่าเผื่อว่าเซฮุนจะยอมเปิดใจระบายความทุกข์ของตัวเองให้ฟังบ้าง

    "ฉันพยายามนึกว่าจะเล่าเรื่องความวายป่วงในชีวิตของตัวเองเรื่องไหนก่อน เพราะในชีวิตฉันมันไม่เคยมีเรื่องราวดี ๆ เลย"

    ร่างหนาเอนกายพิงกับพนักของม้านั่งไม้แข็ง ๆ ก่อนทอดสายตามองไปบนฟ้าที่มืดสนิทไร้หมู่ดาว

    "ฉันใช้ชีวิตลำพังตั้งแต่เด็ก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พออายุได้ซัก 10 ขวบแม่ก็ทิ้งให้ป้าเป็นคนดูแล ถึงเคยฟังนิทานเรื่องซินเดอเรลล่าแค่ครั้งเดียวแต่เชื่อเถอะว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดี"

    ป้าของเขาไม่ต่างจากแม่เลี้ยงใจร้าย ส่วนลูกสาวของเธอก็คอยกลั่นแกล้งปั่นหัวให้เขาโดนป้าทั้งด่าทั้งตีอยู่ตลอด เด็กน้อยวัย 10 ขวบที่โดนพ่อแม่ทิ้งขังตัวอยู่แต่ในห้องใต้รังคาแคบ ๆ ที่เคยเป็นห้องเก็บของ แต่เจียดพื้นที่ไว้ให้เขาได้ซุกหัวนอน จงอินไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กเพราะถูกป้ามหาประลัยนั่นจิกหัวใช้ยิ่งกว่าทาส เอาเรื่องที่เลี้ยงดู ให้ที่ซุกหัวนอน ทั้งข้าวปลาที่เหลือเดนจากครอบครัวนั้นให้เขากิน ยกเอามาเป็นบุญคุณให้รู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ได้ยิน

    เงินที่แม่ส่งให้ตกมาถึงเขาไม่กี่วอนเพราะไหลเข้ากระเป๋าป้าไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้ จงอินอยู่อย่างโดดเดี่ยวและใช้ชีวิตลำเค็ญแบบนั้นเกือบ 4 ปี

    จนเขาอายุ 14 ทั้งเพื่อนที่เจอทั้งสังคมในบ้านหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนก้าวร้าว ไม่ยุ่งและไม่สุงสิงกับใคร แต่เวลาโดนหาเรื่องก็ใช่ว่าเขาจะยอม ด้วยลุคภายนอกเหมือนพวกขี้แพ้ทำให้มีคนอยากจะเอาเรื่องอยู่บ่อย ๆ ทว่าเมื่อต้องประทะจริง ๆ คนที่มีแผลบนหน้ามากกว่ากลับเป็นพวกมันนั่นแหละ

    ยิ่งครอบครัวของป้ามหาภัยร้ายกับเขาเท่าไหร่เขาก็ยิ่งแข็งข้อมากขึ้นเท่านั้น หนักสุดก็คงจะเป็นปีที่แล้วที่เขาโดนป้าหอบสมบัติอันน้อยนิดอย่างเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนของเขาโยนออกไปนอกบ้าน พร้อมกับไล่ตะเพิดให้เขาไปหาที่ซุกหัวนอนที่อื่น ต้นเหตุก็เพราะลูกสาวตัวดีของหล่อนเข้ามาในห้องของเขา ลื้อค้นกระเป๋าตอนที่เขาไม่อยู่เพราะจะหาเรื่องแกล้ง ทว่ากลับไปเจอเม็ดยาสีฉูดฉาดที่ไอ้พวกเวรนั่นบอกให้เขาลอง จำได้ว่าตอนนั้นปฏิเสธมันไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายแอบยัดใส่กระเป๋าเขาอยู่ดี

    เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าเป้ตัวเองมาถือไว้ เก็บของที่กระจายอยู่เต็มพื้นยัดลงไปก่อนผินหน้ามองบ้านที่อยู่เพราะไม่มีที่ไปมา 4 ปีเต็ม ป้ายังยืนส่งสายตาเหยียดหยามและขับไล่ไสส่งอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ กันก็มีลูกสาวของหล่อนที่ทำหน้าเยาะเย้ยใส่เขาอยู่

    เหอะ นิ้วกลางที่เขายื่นให้สองแม่ลูกคู่นั้นเป็นสิ่งสุดท้ายแทนคำจากลา ก่อนที่เขาจะหันหลังให้แล้วไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย

    "แล้วนายไปอยู่ที่ไหนล่ะ" จงอินระบายยิ้มราวกับโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตเขามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ

    "จะไปอยู่ที่ไหนได้นอกจากข้างถนน ก็คนไม่มีที่ไปนี่นะ"

    "นายนอนข้างถนนจริง ๆ หรอ ทำไมไม่โทรหาแม่ล่ะ" สีหน้าหดหู่ที่แสดงออกมาสลับกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างทำให้จงอินเผลอจ้องมองอย่างช่วยไม่ได้

    ตอนนี้เซฮุนอาจกำลังสงสารเขาหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาไม่สนใจหรอก การที่อีกฝ่ายลืมไปแล้วว่าไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้คิดจะฆ่าตัวตายต่างหากที่ทำให้เขาโล่งใจ

    อย่างน้อยเรื่องบรรลัยในชีวิตเขาก็ทำให้คนที่กำลังตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนคิดได้... ว่ายังมีใครอีกหลายคนต้องพบเจอเรื่องที่โหดร้ายกว่า

    "อย่างที่บอกว่าแม่ไปมีครอบครัวใหม่ ลูกของแม่กับผัวใหม่นั่นก็กำลังอยู่ในวัยเตาะแตะจนต้องประคบประหงมเป็นพิเศษ" จงอินว่าพลางหัวเราะในลำคอ เขาไม่รู้หรอกว่าแม่กับครอบครัวใหม่เป็นยังไงบ้าง แต่แม่ดูมีความสุขมากกว่าตอนอยู่กับเขาและพ่ออย่างเห็นได้ชัด "พอป้าพูดใส่สีตีไข่ว่าฉันเล่นยา แม่ที่คงหาจังหวะมานานก็ตัดหางปล่อยวัดฉันทันที"

    "..."

    "แม่ไม่สนใจเลยว่าฉันจะกินอะไร จะมีซุกหัวนอนหรือเปล่า ยังดีที่ยังจ่ายค่าเทอมให้จนกว่าจะจบม.ปลาย มารู้เมื่อกี่วันก่อนว่าครูประจำชั้นขอเอาไว้ ครูคงเวทนาน่าดูถ้าชีวิตฉันมันจะอัปยศไปมากกว่านี้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ"

    คิดแล้วก็น่าน้อยใจชะมัด แม่เรียกเขาว่าไอ้ลูกเวรมากกว่าจงอินลูกรักเสียอีก...

    เด็กหนุ่มผิวแทนยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ค่อนขอดโชคชะตาของตัวเอง ความรู้สึกหิวไส้แทบขาด ความรู้สึกหนาวเหน็บตอนที่นอนขดตัวอยู่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่งมันเป็นยังไงเขายังจำได้ดี ความหิวโหยและอับจนหนทางทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดชั่วร้ายวิ่งเข้ามาในหัวแว๊บหนึ่ง เดินไปต่อยใครสักคนให้หน้าแหกจนเขาเรียกตำรวจจับดีไหม อย่างน้อยก็ให้ตารางเป็นที่พักชั่วคราว แถมยังมีอาหารให้กิน

    ทว่าชายคนหนึ่งกลับหยุดความคิดชั่ววูบของเขาเอาไว้ ท่ามกลางพนักงานร้านที่พากันขับไล่ให้เด็กเหลือขออย่างเขาไปนอนที่อื่น กลับมีชายหนุ่มผิวขาวจัดรูปร่างหน้าตาและทุกอิริยาบทบ่งบอกว่าเป็นผู้ดีมีเงิน ชายคนนั้นเดินมาหาเขา พาเข้าไปในร้านและให้กินอาหารที่ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้กิน

    จงอินคิดไม่ผิด ผู้ชายที่ชื่อคิมจุมมยอนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนที่เขานั่งอยู่ทั้งที่อายุเพียง 25 ปี เด็กหนุ่มผิวแทนถูกซักประวัติจนรู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรจะให้เล่าอีกแล้ว พร้อม ๆ กับสปาเก็ตตี้จานที่สามที่หมดลงพอดี เขาไม่รู้ว่าจุนมยอนจะเชื่อที่เขาพูดหรือเปล่า แต่อีกฝ่ายกลับยื่นโอกาสที่เด็กผู้จนตรอกอย่างเขาไม่กล้าปฏิเสธ

    เงิน ห้องพักและอาหารแต่ต้องแลกกับการทำงานในร้านเหมือนกับพนักงานคนอื่น ๆ ซึ่งคนที่ถูกจิกหัวใช้ทำงานเยี่ยงทาสมาตลอดก็ตอบตกลงในทันที อาจจะผิดกฎหมายการจ้างงานสำหรับเด็กอายุเพียง 14 แต่จงอินรู้สึกขอบคุณจุนมยอนอยู่ตลอดที่จ้างเขาทำงาน แล้วยังให้ที่พักสำหรับพนักงานกับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขาอีก

    “แล้วนายยังทำงานที่นั่นอยู่ไหม” คนที่ตั้งใจฟังราวกับนี่เป็นนิทานเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่าชีวิตของเด็กหนุ่มแสนรันทดคนนี้จะลงเอยอย่างไร

    “อืม ถ้าฉันไม่ทำงานที่นั่นแล้วจะเอาอะไรกินล่ะ จริงไหม”

    จงอินไม่ได้ต้องการคำตอบ เรื่องเล่าชีวิตของจงอินจบลงที่เขาต้องหาทางเอาตัวรอดและเลี้ยงตัวเองโดยการงานที่ร้านอาหารตั้งแต่นั้นมา -- เป็นเวลา 1 ปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดียว เพราะนี่ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กทีตอนจบซินเดอเรลล่าจะได้คู่กับเจ้าชายแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่นี่คือหนังชีวิต... คือโลกแห่งความจริงที่ต้องอดทนดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้

    “ทั้งที่เราอายุเท่ากันแต่ทำไมนายถึงได้เข้มแข็งขนาดนี้” เสียงใสเอ่ยผะแผ่วคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าจะถามเขา “เรารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและโง่จริง ๆ ที่เกือบทำแบบนั้นลงไป”

    “นายไม่ได้โง่หรอก... แล้วนายก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย”

    หากเรื่องที่ได้ยินมาว่าเซฮุนเคยเป็นลูกคนรวยมาก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นคุณหนูตกกระป๋องเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าคนตัวผอมก็มีความเข้มแข็งอยู่พอตัว

    "แล้วก็ไอ้เพื่อนเสแสร้งพวกนั้นน่ะ ไม่ต้องไปแคร์มันหรอกว่ามันจะมองนายยังไง" ชุดนักเรียนแบบเดียวกันที่จงอินใส่ไม่ได้ทำให้เซฮุนสงสัยว่าอีกคนรู้เรื่องของเขาได้ยังไง แต่มันทำให้รู้ว่าคนพวกนั้นเอาเขาไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ มากแค่ไหนต่างหาก "นายไม่จำเป็นต้องยิ้มทั้งที่อยากร้องไห้ ไม่จำเป็นต้องอายกับฐานะที่เป็นอยู่ แค่เป็นตัวของตัวเองไม่ต้องคอยแต่งเรื่องเพื่อให้คนพวกนั้นยอมเป็นเพื่อนกับนาย"

    "..." คนตัวผอมแทบเก็บน้ำตาแห่งความอ่อนแอเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องที่จงอินพูดนั้นมันจริงทั้งหมด และเขาเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องคอยแสดงด้านนั้นให้คนอื่นเห็นอยู่ตลอดเวลา

    "ฉันเป็นให้นายได้นะ เพื่อนที่จริงใจน่ะ"

    น้ำตาร่วงเผาะ ไม่อาจเก็บความรู้สึกที่กักกลั้นต่อไปได้ไหว เซฮุนคิดว่าชีวิตเขาคงไม่มีทางได้พบเจอเรื่องดี ๆ อีกแล้ว ผู้คนกลั่นแกล้ง โลกช่างโหดร้าย ไม่มีใครจริงใจกับเขาสักคน แต่ผู้ชายคนนี้กลับคว้ามือของเขาเอาไว้ตอนที่เกือบจะทิ้งตัวด่ำดิ่งลงไปในเหวลึก เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ  ที่ได้รู้จักคนผิวแทนผ่านเรื่องเล่าแสนรันทด แม้จะไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน แต่เขาก็เชื่อไปแล้ว น่าประหลาดใจเหลือเกินที่เซฮุนรู้สึกไว้ใจ และปลอดภัยเพียงเพราะได้ฟังคำพูดชวนอบอุ่นหัวใจจากผู้ชายคนนี้...

     

     

    .

    .

    “จงอินเหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก” ชายหนุ่มผิวแทนกระพริบตาถี่ ก่อนจะปรากฏให้เห็นใบหน้าหวานของคนรักที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

    “อ--อ่อ ไปสิ” มือหนาเตรียมเอื้อมไปคว้ากระเป๋าเป้มาสะพาย ทว่าคนที่กอบใบหน้าเขาเอาไว้สองมือกลับบังคับให้หันไปมองกันเสียก่อน

    “เหนื่อยเหรอ ทำไมช่วงนี้เหม่อบ่อยจัง”

    “ว่าแต่คนอื่น นายก็เหมือนกันนั่นแหละ” จงอินแตะจมูกรั้นของคนตัวผอมเบา ๆ จนโดนเจ้าตัวย่นจมูกใส่

    “ฉันแค่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ น่ะ” คนตัวผอมตอบเสียงค่อย ก่อนเลื่อนมือที่โอบใบหน้าคมไปคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้แทน

    “ฉันก็เหมือนกัน แต่คิดเรื่องอื่นด้วยนิดหน่อย” มือสากจากการทำงานหนักลากไปวางพักไว้ที่เอวคอดพร้อมกับมองดวงหน้าหล่อปนหวานด้วยสายตาหวานเชื่อม

    “ไม่ได้คิดเรื่องลามกอยู่ใช่ไหม” แรงกัดที่ไหล่ทำให้จงอินหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าเซฮุนอยากลงโทษหากเขาคิดเรื่องลามกอยู่จริง ๆ หรือแค่กำลังเขินกันแน่

    “เรื่องแบบนั้นฉันไม่คิดหรอก ฉันชอบทำเลยมากกว่า นายก็รู้” จงอินทำหน้าเจ้าเล่ห์จนคราวนี้โดนเซฮุนกัดซ้ำรอยเดิมแบบไม่ออมแรงเลยสักนิด

    “ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันจะไปเรียน” ใบหน้าแดงก่ำมาพร้อมกับแรงผลักที่อกจนคนที่โอบเอวอยู่ต้องยอมปล่อย ก่อนที่เซฮุนจะเขินจนตัวแตกไปเสียก่อน

    ถึงอย่างนั้นร่างหนาก็ยังไม่วาย ดึงข้อมือเล็กให้หันกลับไปหา แล้วโน้มลงมาประกบริมฝีปากสีพีชอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังจุ๊บก่อนเดินนำออกจากห้องไปอย่างหน้าตาเฉย ทิ้งให้เซฮุนยืนเขินอยู่ตรงนั้นเกือบนาที ถึงได้มีสติวิ่งตามคนขี้แกล้งออกไป

    ให้ตายสิ ผู้ชายคนนี้จะทำให้เขาเขินไปถึงไหน

     

    ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็ปั่นจักรยานมาถึงมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากหอพักนัก  เรามีจักรยานอยู่คันเดียว เพราะฉะนั้นคนปั่นก็หนีไม่พ้นจงอินนั่นแหละ เซฮุนเคยพูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่าจะปั่นให้อีกคนซ้อนบ้าง แต่คนบ้าพลังไม่เคยยอมเลยนี่สิ

    “วันนี้เลิกเรียนแล้วไปทำงานต่อไหม” เซฮุนถามขึ้นระหว่างที่ก้าวลงจากจักรยานเมื่อถึงคณะของตัวเองแล้ว

    “ไป... ทำเก็บชั่วโมงไว้ วันปีใหม่จะได้ลางานแล้วพาคนแถวนี้ไปเที่ยวได้”

    “ได้ยังไงกัน วันเทศกาลได้ค่าจ้าง 2 แรงเลยไม่ใช่หรอ อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวสักหน่อย”

    “ทำงานเยอะก็บ่น ไม่ทำงานก็บ่น จะเอายังไงครับคุณโอเซฮุน”

    “เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้นายน่ะรีบไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก” เซฮุนกวักมือไล่ทั้งใบหน้าบูดบึ้ง ทำเอาคนที่ยืนคล่อมจักรยานอยู่อดไม่ไหว เหยียดแขนไปหยิกแก้มให้สักที

    “เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วจะปั่นจักรยานมาจอดไว้ให้ที่คณะ ขี่กลับบ้านดี ๆ อย่าไปแหกโค้งที่ไหนล่ะ”

    “รู้แล้วน่า ไปเลย”

    หนุ่มผิวแทนยกยิ้มเอ็นดูคนที่เป็นห่วงเขาแต่ชอบแสดงออกด้วยท่าทีงอแง ก่อนโบกมือลาแล้วปั่นจักรยานไปคณะของตัวเอง

    แผ่นหลังกว้างเจ้าของจักรยานคู่ใจคันนั้นหายวับไปแล้ว เซฮุนได้แต่ถอนหายใจก่อนเดินเข้าไปในตึกเรียน -- ที่เขาไม่อยากให้จงอินหยุดงานวันปีใหม่ไม่ใช่เพราะงกหรืออะไร ถ้าจงอินหยุดเพราะอยากพักผ่อนเขาจะไม่ขัดเลย เพราะเขาเองก็เป็นห่วงและไม่อยากให้อีกฝ่ายทำงานหนัก แต่จะมาหยุดในวันที่ได้ค่าจ้างคูณสองเพื่อพาเขาไปเที่ยวมันก็ใช่เรื่อง

    "ไงเซฮุน โปรเจคจบของนายไปถึงไหนแล้ว"

    "เขียนได้เกินครึ่งเล่มแล้วแหละ เหลือเวลาอีกเดือนนึงก็คงเขียนจบพอดี"

    "เก่งจังแฮะ ฉันยังเขียนไม่ถึงไหนเลยอะ"

    "มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ"

    รอยยิ้มเป็นมิตรจากเพื่อนร่วมเมเจอร์อย่างจงแดทำให้เขายิ้มตอบอย่างช่วยไม่ได้ คำพูดที่ว่าเพื่อนมหา'ลัยไม่จริงใจนั้นไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเขาพิสูจน์แล้ว และพบว่าเพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนจิตใจดีและจริงใจยิ่งกว่าใคร

    เซฮุนเรียนอักษรศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ เขาตัดสินใจเรียนคณะนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาชอบอ่านหนังสือ จงอินรักการอ่านมากกว่าเขาเสียอีก แต่คนผิวแทนทำให้เขารู้ว่าตัวเองชอบถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านตัวอักษรมากแค่ไหน

    คนที่ไม่เชื่อในตัวเองและเคยสิ้นหวังมาก่อนอย่างเขาฝันอยากเขียนหนังสือสักเล่ม เพื่อสร้างแรงบันดานใจให้กับที่ได้อ่านมัน โดยที่แรงบันดานใจเหล่านั้นเขาก็ได้รับจากคนรักมาอีกที

    ส่วนจงอินเรียนคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ซึ่งคนผิวแทนอยากเอาวิชาความรู้ไปต่อยอดให้กับร้านอาหารของผู้มีพระคุณอย่างคุณจุนมยอนที่คอยให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด เราต่างก็สอบชิงทุนเข้ามหาลัยกันทั้งคู่ และโชคดีเหลือเกินที่เราสอบติด ทำให้ประหยัดค่าเล่าเรียนไปได้อีกมากโข เงินที่พ่อแม่ของเซฮุนส่งมาให้จากไต้หวันเพื่อเป็นค่าเทอม เจ้าตัวจึงเก็บเอาไว้เป็นเงินออมของตัวเอง ที่สำคัญจงอินก็ไม่ต้องวิ่งวุ่นทำงานสามที่เพื่อจ่ายค่าเทอมด้วย

    ชีวิตของเราที่มีกันและกันดูเหมือนจะไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้เรายังต้องเผชิญอยู่กับกับความยากลำบาก ฐานะเราไม่อาจดีขึ้นได้จากการทำงานพาร์ทไทม์ แต่เขาก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเหมือนกับตอนที่เผชิญกับความลำบากอยู่คนเดียวเลยสักนิด มีคิมจงอินอยู่ข้างกายมันดีแค่ไหนคนที่ไม่ได้อยู่ในจุดเขาไม่มีทางเข้าใจได้เลย

    ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแค่การเปลี่ยนจากเด็กนักเรียนไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ความเป็นเพื่อนตลอด 3 ปีในชีวิตม.ปลายก็แปลเปลี่ยนไปด้วยเมื่อหัวใจเราต่างก็เรียกร้องหากันและกัน จากเพื่อนถูกเลื่อนสถานะเป็นคนรักด้วยความเต็มใจของคนทั้งคู่ และในท้ายที่สุด เราก็ตัดสินใจย้ายจากห้องรังหนูมาอยู่หอพักเดียวกันที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้

    ห้องของพวกเขาไม่ได้ใหญ่กว่าเดิมเท่าไหร่นัก ทว่ามันกลับอบอุ่นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเพราะมีคนของหัวใจอาศัยอยู่ร่วมกัน

    4 ปีแล้วที่ทั้งสองคบกันมา ตอนพ่อแม่เขารู้แรก ๆ ก็ไม่ไว้ใจจงอิน ทั้งยังติดเอานิสัยของพวกมีฐานะที่ไม่ไว้ใจให้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาคบหากับลูกของตัวเอง พวกท่านแทบจะบินจากไต้หวันเพื่อมาเด็ดหัวจงอิน ทว่าคนผิวแทนกลับไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด คำพูดที่เซฮุนพร่ำบอกผู้ให้กำเนิดว่าจงอินดีกับเขาขนาดไหนไม่เคยเข้าหูท่าน แต่จงอินใช้เวลาและให้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง และมันได้ผล ตอนนี้พ่อแม่ของเขาไว้ใจจงอินมากเสียยิ่งกว่าลูกตัวเองไปแล้ว ฝากฝังให้ดูแลกันจนเซฮุนรู้สึกเหมือนได้พ่อเพิ่มมาอีกคน

    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แค่จงอินเข้ากับครอบครัวของเขาได้แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว

     

     

     

     

    --- MY WISH ---

     

     

     

     

    8 ปีที่ทำงานในร้านอาหารของคุณจุนมยอนทำให้จงอินได้รับความไว้ใจจากพนักงานและจุนมยอนเองเป็นอย่างมาก จากเด็กล้างจานท้ายครัว เริ่มขยับมาเรียนรู้วิธีการจัดโต๊ะอาหารและการเสิร์ฟอาหารที่ถูกต้อง ทุกตำแหน่งที่ต้องจำว่าอาหารแต่อย่างควรวางตรงไหน อุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องวางในองศาใด สิ่งนั้นสร้างความปวดหัวให้เขาอยู่เป็นเดือน พอทำได้คล่องแคล่วและจำได้ขึ้นใจแล้วในปีต่อมาก็ได้ขยับมาเป็นลูกมือเชฟ ในช่วงแรกก็ได้ทำเพียงแค่ล้างและหั่นวัตถุดิบ ปีก่อนเชฟคงเริ่มเห็นความตั้งใจของเขา จึงเริ่มสอนทำอาหารแบบจริง ๆ จัง ๆ เริ่มจาก L’entree หรืออาหารเรียกน้ำย่อยเป็นอาหารเมนูเบา ๆ เพื่อรองรับก่อนเสิร์ฟอาหารจานหลัก

    “จงอิน สรุปวันสิ้นปีจะลางานหรือเปล่า” ชายหนุ่มผิวแทนครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ลูกค้าจะเยอะเป็นพิเศษ ถ้าเขารับปากว่าจะมาทำงานก็คงไม่ได้ฉลองปีใหม่กับเซฮุนอีกแล้ว แต่ถ้าจะไม่ทำเซฮุนก็ดูเหมือนจะไม่ยอมเหมือนกัน

    “ผม... ขอเลิกหกโมงได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มดูภูมิฐานที่มักจะเห็นเขาอยู่ในชุดสูทจนชินตายกกำปั้นปิดปากขำเมื่อได้ยินคำตอบ

    จงอินก็เป็นอย่างนี้ตลอด ทำงานจนแทบไม่เคยเห็นว่าหยุดพัก นอกเสียจากป่วยหนักจนลุกไปไหนไม่ไหวนั่นแหละถึงจะยอมหยุด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่เคยลางานเลยสักครั้ง 8 ปีจากเด็กอายุ 14 จนตอนนี้เป็นหนุ่มอายุ 22 และใกล้จะเรียนจบแล้ว จุนมยอนเห็นการเติบโตของเด็กคนนี้มาตลอด เขาทั้งอดทน เข้มแข็ง เวลาจะทำสิ่งใดก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจจนน่าเป็นห่วง เพราะบางครั้งก็กดดันตัวเองเกินไป แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจงอินจะต้องประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ตัวเองตั้งใจในสักวันหนึ่ง ตัวเขาเองก็มองว่าจงอินเป็นเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองไปแล้ว ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่เขาไม่พลาดที่จะช่วยหนุนหลังให้เด็กคนนี้ไปได้ไกลอย่างแน่นอน

    “ไม่ได้ฉลองปีใหม่กับเซฮุนมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง อีกอย่างนายก็พักบ้างเถอะ”

    “เจ้าตัวเขาไม่อยากให้ผมหยุดนี่สิ”

    คนอายุมากกว่าส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนเดินมายื่นซองขาวให้ ดูจากสายตาก็รู้เลยว่ามีกระดาษอัดแน่นอยู่ในนั้นจนเป็นปึก ซึ่งมันไม่ใช่จดหมายไล่ออกแน่ ๆ

    “ถือว่าพี่ให้เป็นวันหยุดพิเศษสำหรับนายที่ทำงานหนักมาหลายปีแล้วกันนะ” ซองขาวนั้นถูกวางลงตรงหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มใจดี “ส่วนนี่เป็นโบนัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องปฏิเสธด้วย เพราะพนักงานคนอื่นก็ได้เหมือนกัน”

    ริมฝีปากที่อ้าเตรียมปฏิเสธต้องหุบลงทันทีเพราะถูกดักไว้ก่อนอย่างรู้ทัน จุนมยอนตบบ่าเขาเป็นการปิดท้ายก่อนเดินไปดูความเรียบร้อยส่วนอื่น ๆ ต่อ หนุ่มผิวแทนถอนหายใจก่อนหยิบซองนั่นมาเปิดดู เป็นอย่างที่คาดไว้ว่ามันไม่ใช่จดหมายไล่ออก แต่ก็เกินคาดไปมากเพราะจำนวนธนบัตรหลายใบที่อัดแน่นเรียงกันอยู่ไม่ใช่แค่พันวอนหรือห้าพันวอน แต่เป็นแบงค์ห้าหมื่นวอนต่างหาก

    คุณจุมมยอนให้ตายเถอะ นี่มันมากกว่าเงินเดือน ๆ หนึ่งที่เขาได้รับเสียอีก

     

    .

    .

    แผ่นกระดานข้างป้ายรถเมล์ที่อยู่เบื้องหน้าตรึงสายตาของชายหนุ่มผิวแทนเอาไว้เกือบสิบนาทีแล้ว รถเมล์สายต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าผ่านสถานที่ไหนบ้างทำให้เขาคิดไม่ตก คิ้วหนาขมวดมุ่นระหว่างครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรพาคนรักไปเที่ยวที่ไหนดี

    สุดท้ายเขาก็ถอดใจก่อนคว้าจักรยานคู่ใจแล้วขึ้นคล่อมมันเพื่อขี่กลับหอพัก

    กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลอยเข้าสู่ประสาทสัมผัสทันทีที่ประตูเปิดออก ไม่ต้องถามหาต้นตอก็เห็นว่าเซฮุนกำลังง่วนอยู่กับการยกหม้อทองเหลืองลงจากเตาไฟฟ้าก่อนจะเอามันไปเก็บ จังหวะที่เจ้าตัวหันไปหยิบถ้วยชามนั่นแหละถึงได้เห็นว่าเขายืนมองอยู่พักหนึ่งแล้ว

    “รามยอนเสร็จพอดีเลย กะเวลาเก่งจริง ๆ เลยเรา” รอยยิ้มพร้อมดวงตาหยีเป็นเสี้ยวพระจันทร์ส่งมาให้เขา ก่อนคนตัวผอมจะกวักมือเรียกให้เข้าห้องเสียที

    “บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้กินรามยอน เราไม่ได้ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้วนะที่ต้องพึ่งมันบ่อย ๆ” จงอินบ่นอุบขณะปิดล็อกประตูห้อง

    “วันนี้เราไปซื้อของเขาหอมา แล้วเห็นรามยอนอันนี้เลยนึกถึงตอนที่จงอินให้เราลองกินครั้งแรกนี่นา อีกอย่างเราก็ไม่ได้กินบ่อยสักหน่อย” เซฮุนใช้รอยยิ้มเข้าสู้ขณะอธิบายให้อีกคนฟัง ก่อนวางถ้วยเล็ก ๆ ฝั่งตรงข้ามแล้วเรียกให้จงอินมากินด้วยกัน

    อาหารสารพัดโทษที่แม่เฝ้าบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ทำให้เขาไม่เคยกินมันเลยสักครั้ง จนไม่มีเงินที่จะซื้ออาหารดี ๆ กินนั่นแหละ เขาได้ลิ้มลองอาหารที่มีไว้ประทังชีวิตครั้งแรกตอนที่จงอินแบ่งให้ รสชาติมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น อาจเป็นเพราะร่างหนาใส่ผัก ไข่และเนื้อสัตว์เพิ่มเข้าไปด้วย

    จะว่าไปจงอินเป็นประสบการณ์ครั้งแรกหลาย ๆ อย่างของเขาเลยก็ว่าได้

    “พรุ่งนี้วันสิ้นปีแล้ว” คนที่คาบปลายตะเกียบเอาไว้เหลือบมองแฟนหนุ่มแล้วพยักหน้ารับ “อยากไปเที่ยวไหนไหม?”

    ดวงตากลมกรอกกลิ้งราวกับใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “เราไม่อยากไปไหนหรอก อยากอยู่กับจงอินมากกว่า”

    “อยู่แต่ในห้องไม่เบื่อหรือไง ไม่อยากไปเที่ยวที่สวย ๆ บ้างเหรอ” จงอินถามพลางคีบเส้นบะหมี่ใส่ถ้วยส่งให้คนตัวบางแล้วรอบมองปฏิกิริยาของอีกคนไปด้วย

    “เราไม่อยากไปไหนจริง ๆ นะ เทศกาลแบบนี้ข้างนอกคนก็เยอะ อากาศก็หนาว อยู่ที่ห้องอุ่น ๆ ให้จงอินนอนกอดทั้งวันยังดีกว่าอีก” ร่างหนาหลุดหัวเราะออกมา คำพูดคำจาราวกับกำลังออดอ้อนและริมฝีปากยู่ยื่นแสนน่ารัก เขาคงต้องยอมแพ้และยกเลิกความคิดที่อยากจะพาเซฮุนไปเที่ยวแล้วล่ะมั้ง

    “โอเค ไม่ไปก็ไม่ไป”

    “แล้วพรุ่งนี้จงอินทำงานไหม” ถึงจะบอกว่าไม่อยากให้จงอินหยุด แต่ลึก ๆ แล้วเขาก็อยากใช้เวลาอยู่กับอีกฝ่ายในวันเทศกาล และอยากให้จงอินพักบ้างเหมือนกัน

    “ไม่ทำครับ พี่จุนมยอนให้หยุดน่ะ”

    “อื้อ จงอินจะได้พักผ่อนเนอะ” คนตัวผอมพูดทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารจนแก้มอูม แถมมือก็ยังอุตส่าห์คีบเนื้อหมูใส่ในถ้วยของคนที่ทำงานหนักกว่าตัวเองให้ได้กินเยอะ ๆ อีก เห็นอย่างนั้นแล้วจงอินเลยอดไม่ได้ ต้องเอื้อมไปหยิกแก้มกลมด้วยความหมั่นเขี้ยวเสียหนึ่งที

    “ที่หยุดเพราะอยากนอนกอดคนแถวนี้ทั้งวันต่างหาก”

    “พูดแล้วนะ ใครปล่อยออกก่อนแพ้เลยนะ”

    ตะเกีอบในมือบางชี้เขาขณะพูดเจื้อยแจ้ว จงอินหลุดหัวเราะให้กับคำท้าทายแบบเด็ก ๆ ของคนรัก ก่อนหยัดตัวขึ้นแล้วโน้มไปจูบหน้าผากมนหนัก ๆ เพราะทนความน่ารักของคนตรงหน้าต่อไปไม่ไหว

    “เตรียมตัวแพ้ได้เลยเซฮุน”

    พอได้รับสัมผัสอบอุ่นและคำพูดสบประมาทจากคนรัก คนตัวผอมก็ใช้ตะเกียบในมือไขว้เป็นรูปกากบาทก่อนขยับริมฝีปากยู่ยื่นพึมพำว่าไม่ยอมหรอก ทำท่าทีเหมือนแมวขู่แต่ในสายตาคนมองภาพที่เห็นนั้นน่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่

     

    แล้วแบบนี้จะไม่ให้คิมจงอินรักได้ยังไง

     

     

     

     

    --- MY WISH ---

     

     

     

     

    วันเดือนผ่านไปไวเสมอ เผลอแปปเดียวก็จะผ่านไปอีกปีแล้ว ความรู้สึกเหมือนต้นปีนี้เพิ่งผ่านไปได้นาน แต่วันนี้ก็เป็นวันสิ้นปีที่บ่งบอกว่าปีใหม่ได้บรรจบกลับมาอีกครั้งแล้ว อากาศหนาวเย็นส่งผลให้คนสองคนบดเบียดกายเข้าหากันแนบแน่นยิ่งกว่าเคย

    ร่างบางซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก ตวัดแขนกอดเอวสอบก่อนขยับใบหน้าเบียดหัวไหล่หนาจนแก้มกลมยู่กองอยู่บนนั้น จงอินลืมตาตื่นขึ้นมาดึงผ้านวมผืนหนาขึ้นมาคลุมตัวเราทั้งสองก่อนเพิ่มความอบอุ่นให้ดวงใจของตัวเองโดยการโอบกอดร่างผอมบางไว้แน่น

    จมูกโด่งก้มหอมผมนุ่มราวกับเส้นไหมที่อิงแอบซบไหล่เขาต่างหมอนแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

    ไม่บ่อยนักที่จงอินจะได้นอนตื่นสาย ๆ อย่างที่ต้องการ เพราะต้องดิ้นรนทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเลี้ยงตัวเองตลอด เขาหลับต่อได้อย่างง่ายดายราวกับร่างกายดึงเอาความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานกดให้เขาหลับเป็นตาย

    จงอินตื่นมาอีกทีเข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลขหนึ่งแล้ว แรงกดทับบริเวณหน้าท้องและหน้าอกทำให้ต้องผงกศีรษะขึ้นมาดูตัวต้นเหตุ เป็นเซฮุนที่นั่งคล่อมทับหน้าท้องของเขาเอาไว้ ทั้งยังเอนศีรษะซบอกเขาอีก แมวน้อยส่งเสียงงุ้งงิ้งบอกให้ตื่นได้แล้วพลางถูจมูกโด่งรั้นกับอกเขาไปมาอย่างออดอ้อน ชุดของเซฮุนเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าตัวคงลุกไปอาบน้ำเรียบร้อยและกลิ่นหอมของแชมพูที่อยู่ใต้จมูกเขาก็เป็นคำตอบได้อย่างดี

    “เราไม่แพ้นะ แต่เราหิว เรากลัวจงอินตื่นมาแล้วหิวด้วยเลยไปทำอาหารเอาไว้ให้ มันเย็นแล้วด้วยแต่จงอินก็ไม่ตื่นซักที เรา--”

     

    จุ๊บ

     

    “จงอิน เราไม่แพ้ใช่ไหม”

     

    จุ๊บ

     

    ริมฝีปากอิ่มที่เจื้อยแจ้วถูกปิดด้วยส่วนเดียวกันเมื่อคนฟังหมั่นเขี้ยวจนทนไม่ไหว ยิ่งอีกฝ่ายอธิบายปากยื่นปากยาวก็ยิ่งอยากงับแรง ๆ เสียที แต่ทุกครั้งก็ทำได้แค่จุ๊บเบา ๆ เท่านั้นเพราะกลัวคนรักเจ็บหากเขากัดเข้าให้จริง ๆ ทว่าริ้วแดงระเรื่อที่ปรากฏให้เห็นบนปรางแก้มใสก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่พอตัว

    เซฮุนน่ารักอยู่แล้ว แต่เวลาเขินน่ะเกินบรรยายเลยล่ะ

    “อือ ไม่แพ้หรอก ฉันนี่แหละที่แพ้” แพ้โอเซฮุนราบคาบ

    มือหนาเลื่อนไปโอบเอวคอดเอาไว้ทั้งสองข้าง ก่อนหยัดตัวขึ้นพิงหัวเตียงจนคนที่นั่งทับหน้าท้องอยู่ไหลไปนั่งแหมะอยู่บนตักแกร่งแทน จงอินจับปลายคางเรียวหวังจะให้มารับจูบจากเขา ทว่ากลับโดนมือเรียวยันหน้าเอาไว้เสียก่อน

    “ถ้าจงอินไม่ไปอาบน้ำเราไม่ให้จุ๊บแล้ว เหม็น ๆ” จมูกย่นฟุดฟิดโดนบีบด้วยความหมั่นเขี้ยว ทำเป็นพูดดี ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ยังมาคลอเคลียซุกอยู่บนอกเขาอยู่เลย

    “โอเคยอมแล้ว” ได้ยินเสียงทุ้มที่ติดแหบพร่าเพราะเพิ่งตื่นว่าอย่างนั้นเซฮุนจึงลุกออกมาจากตักของคนขี้เซา ทว่ายังไม่ทันได้หยัดตัวลุกดี ๆ ก็โดนดึงจนเสียหลัก ถลาเข้าหาคนขี้แกล้งก่อนโดนหอมแก้มเสียฟอดใหญ่

    “จงอิน!! ถ้าแกล้งกันอีกเราจะไม่อุ่นกับข้าวให้จริง ๆ ด้วย ให้กินแบบเย็นชืดไปเลย”

    แมวน้อยขู่ฟ่อเสียแล้ว สงครามขนาดย่อมจบลงที่จงอินลุกไปอาบน้ำและเซฮุนก็ไปอุ่นมื้อเช้าควบเที่ยงเอาไว้รอ พอร่างหนาจัดการอาหารจนเกลี้ยงเซฮุนก็เก็บเอาไปล้าง ก่อนทั้งคู่จะพากันมานั่งดูโทรทัศน์หน้าโซฟา แม้ช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้ดูหนังกับคนรักแบบนี้น่าจะหาหนังโรแมนติกดูสักเรื่อง แต่เราก็เลือกที่จะดูหนังฮีโร่ตามความชอบของทั้งคู่มากกว่า

    โซฟากว้างขึ้นถนัดตาเมื่อชายหนุ่มทั้งสองขยับกายเข้ามาใกล้กัน ขนมกรุบกรอบที่จงอินมักซื้อมาไว้ขุนคนตัวผอมอยู่ในมือเจ้าตัว กายบางเอนจนศีรษะแนบชิดหัวไหล่หนาทั้งยังจัดท่าทางให้อีกฝ่ายโอบไหล่ตัวเองเอาไว้ และจงอินก็ทำตามอย่างไม่อิดออด การมีเซฮุนอยู่ใกล้ ๆ มันดีจะตายไป

    “จงอินตัวหนาขึ้นหรือเปล่านะ แอบไปออกกำลังกายมาเหรอ” ใบหน้าคมผินมองเจ้าของเสียงใสที่ถามขึ้นหลังจากสอดแขนกอดเอวเขาเอาไว้ มือบางซุกซนยังลูบหน้าท้องที่ประดับด้วยกล้ามเนื้อเป็นลอนระหว่างรอคำตอบ

    “มันมาเอง นายไม่รู้เหรอ” คนผิวแทนตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เซฮุนไม่แน่ใจว่ามันจริงหรือเปล่า

    ตอนนี้รูปร่างของจงอินต่างจากตอนที่รู้จักกันแรก ๆ มาก คนผิวแทนผอมและตัวแห้งก้างพอ ๆ  กับเขา แต่ตอนนี้กลับตัวหนาขึ้น ไม่ใช่เพราะอ้วนขึ้น แต่รูปร่างกำยำบึกบึนกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าตัว

    “ขี้โกงอ่ะ จงอินเอาแต่ขุนเราจนจะเป็นหมูอยู่แล้ว” มือบางลูบท้องตัวเองให้ดู ซึ่งมันก็ไม่เห็นว่าจะมีพุงยื่นออกมาตรงไหน

    จะมีก็แต่แก้มอีกคนนี่แหละที่กลมน่าบีบน่าฟัดที่สุด คนอะไรกินแล้วไปลงแก้มหมด

    “อ้วนจริงด้วยอะ เหนียงเริ่มออกแล้ว” เขาแกล้งว่าแล้วเลื่อนมือไปเกาคางเรียวอย่างหยอกล้อ

    “จงอินนิสัยไม่ดี” แมวน้อยคว้าข้อมือหนาก่อนไล่งับมือที่แกล้งเกาคางกันเมื่อครู่

    คนถูกไล่งับก็ได้ใจ เลื่อนมือหลบซ้ายทีขวาทีจนคนไล่งับตามไม่ทัน ร่างหนาหัวเราะร่วนเมื่อเซฮุนโถมกายเข้าใส่ก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนแขนเขาเต็มแรง ภายในห้องเล็ก ๆ อบอวลไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ

    หนังที่เปิดไว้เกือบจะถูกเมินไปแล้ว ยังดีที่พอได้แกล้งกันให้หายหมั่นเขี้ยวแล้วจึงกลับไปสนใจกับมันต่อ

    เวลาแห่งความสุขมากจะผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแปปเดียวนาฬิกาเข็มสั้นก็ล่วงถึงเลข 8 แล้ว หนังเรื่องที่สามดำเนินมาจนถึงกลางเรื่อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน คงเป็นพิซซ่ากับไก่ทอดที่เขาโทรสั่งไป จงอินหอมแก้มกลมฟอดใหญ่ก่อนผละจากอ้อมกอดของกันและกันเพื่อไปเปิดประตู

    เป็นอย่างที่คาด เขารับอาหารมาแล้วจ่ายเงินก่อนเดินมาวางอาหารบนตัวโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กตัวเดิม เขายกโต๊ะมาวางหน้าโซฟาพลางเหลือบมองริมฝีปากเล็กที่ขยับบ่นอุบว่าสั่งอาหารสิ้นเปลืองมากินอีกแล้ว

    ก็บอกแล้วไงว่าเขาจะขุนเซฮุนให้อ้วนไปเลย จงอินรู้ว่าเซฮุนกังวลเรื่องรายรับรายจ่ายเพราะฐานะไม่มั่นคงเหมือนแต่ก่อน ตลอดเวลาหลายปีที่ต้องพบเจอกับความลำบากทำให้คุณหนูเซฮุนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยกลายเป็นคนระมัดระวังทุกการใช้จ่าย

    หลายปีก่อนเราลำบากกันมากก็จริง ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ตอนนี้ก็ยังลำบากอยู่แต่เพราะตลอดเวลาพวกเขาต่างช่วยกันเก็บหอมรอมริบจนเริ่มพอกินพอใช้ ไม่ถึงกับต้องตรากตรำอดมื้อกินมื้อแล้ว แถมเซฮุนยังมีเงินที่พ่อแม่ส่งมาให้ทุกเดือนอีก เจ้าตัวก็เก็บออมเอาไว้อย่างดี

    คนตัวผอมไม่ค่อยให้รางวัลตัวเองเท่าไหร่ จะซื้อของอะไรก็เป็นของจำเป็นที่เราใช้ด้วยกันได้ ไม่ค่อยซื้ออาหารสำเร็จรูปเพราะซื้อแบบวัตถุดิบมาทำกินเองประหยัดดว่า จงอินเลยกลายเป็นคนมือเติบใช้เงินเยอะกว่าไปโดยปริยาย ซื้อเสื้อผ้าที่เขาคิดว่าเหมาะกับเซฮุน พาไปกินปิ้งย่างที่ร้านอาหารถึงแม้จะไม่แพงมาก แต่เขาก็อยากให้เซฮุนได้กินอะไรที่อยากกินบ้าง

    คิดเรื่องพวกนี้ทีไรก็เผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายจนถูกจับได้ทุกที เซฮุนมองหน้าพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ทำไมไม่กินไก่ในมือให้หมดถือไว้ทำไมอยู่นานสองนาน หนุ่มผิวแทนก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วกินของโปรดในมือต่อ เขารู้สึกทั้งขอบคุณและขอโทษเซฮุนอยู่ตลอดเวลา หลายต่อหลายครั้งที่พ่อแม่ของอีกฝ่ายเสนอให้ไปอยู่ไต้หวันกับครอบครัว เพราะท่านทั้งสองเริ่มตั้งตัวได้แล้วโดยการเปิดร้านอาหาร มีบ้านให้อยู่ที่ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตอย่างเดิมแต่ก็พอให้สามคนพ่อแม่ลูกได้อบอุ่นกายและใจ

    หากแต่เซฮุนก็ยังยืนหยัดที่จะอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าฟูกนอนที่วางอยู่บนแผ่นไม้ที่เขาตอกตะปูเองกับมือเพื่อต่อยกระดับให้มันสูงขึ้นมาจากพื้น ห้องน้ำแคบ ๆ ที่พอให้ได้ทำธุระส่วนตัว ตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ที่แบ่งกันแขวนเสื้อผ้าคนละครึ่ง ไม่มีห้องวอร์คอินสำหรับใส่เสื้อผ้าได้อย่างระรานตา โทรทัศน์ยังเป็นหลังนูนเทอะทะแต่ก็พอให้ดูอะไรแก้เบื่อได้ โซฟาหนังที่ได้มาจากคุณลุงคุณป้าห้องข้าง ๆ เพราะแกไม่ได้ใช้แล้ว ตู้เย็นก็ไม่ได้มีระบบที่ดีอย่างตู้เย็นสมัยใหม่ ครัวสำหรับพวกเขาก็มีแค่เตาไฟฟ้าที่ลงทุนซื้อเพื่อที่จะได้ทำอาหารกินด้วยกัน ไม่ได้มีเคาท์เตอร์ทำครัวหรือเตาอบไมโครเวฟใด ๆ

    อยากขอโทษที่ต้องมาทนอยู่ลำบากกับคนอย่างเขาที่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันแม้แต่อย่างเดียว และอยากขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้ด้วยกันไม่ไปไหน

    “เผลอแปปเดียวก็หมดไปอีกปีแล้ว” จงอินเงยหน้ามองคนตัวผอมที่เก็บเศษซากอารยธรรมที่เพิ่งกินหมดใส่ถุงลวก ๆ ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้าเขา สองมือบางโอบใบหน้าเขาเอาไว้ก่อนก้มลงมาจรดริมฝีปากเข้าด้วยกันแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว “เรารักจงอินนะ ขอบคุณที่ดูแลเราอย่างดีตลอดเลย”

    รอยยิ้มและดวงตาหยีโค้งเป็นความสดใสเดียวในโลกของจงอินถูกส่งมาให้หลังพูดประโยคแสนหวานจบ และเซฮุนคงรู้ดีกว่าใคร เขาคว้าเอวบางมากอดไว้ก่อนฝังใบหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบที่เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยแล้ว สัมผัสจากมือบางที่ลูบแผ่นหลังเขาไปมาคล้ายกับเป็นแม่เหล็กที่ดูดเอาความเหนื่อยล้าไปจนหมด

    ไม่ใช่เพียงเขาหรอกที่ดูแลอีกฝ่าย แต่เซฮุนก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงเด็กเสเพลไม่เอาไหนอย่างเขาเหมือนกัน จากที่คิดว่าแค่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ความคิดเขาเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้จักกับคน ๆ นี้ เขาตั้งใจเรียนมากขึ้น วันที่เซฮุนบอกว่าสอบชิงทุนเข้ามหาลัยกันมั้ย จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย เชื่อเถอะว่าคิมจงอินไม่มีทางคิดว่าตัวเองจะทำได้อยู่แล้ว แต่เซฮุนก็ช่วยติวจนเราสอบชิงทุนได้ทั้งคู่ เขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินอีกต่อไป แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นจากความตรากตรำนี้ ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่รักและเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ได้อยู่อย่างสุขสบาย

    “ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะเซฮุน อดทนอีกหน่อยนะ” เสียงนุ่มทุ้มพูดอู้อี้อยู่กับหน้าท้องอีกคน

    เขากดจูบลงไปเบา ๆ ก่อนให้สัญญากับอีกฝ่ายและสัญญาต่อตัวเองในใจ ว่าจะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาสำหรับการสร้างตัว แต่อีกไม่กี่เดือนเราก็จะเรียนจบแล้ว เขาสัญญาว่าจะทำงานหนักเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องลำบากกันอีกต่อไป

    ไม่สิ เพื่อเซฮุนต่างหาก เขาจะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก เพื่อเรา...

     

    .

    .

    อากาศภายนอกยังคงหนาวเหน็บ ทว่าก็ยังมีคนออกไปเดินเล่นชมแสงไฟและรอดูพลุเพื่อเฉลิมฉลองวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงชั่วโมงหน้า เหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังก็เป็นเวลา 5 ทุ่มครึ่งแล้ว เซฮุนเลือกเสื้อไหมพรมสีน้ำตาลอ่อนมาใส่ระหว่างรอจงอินอาบน้ำ มันเป็นเสื้ออีกตัวที่จงอินซื้อให้แถมยังสร้างความอบอุ่นให้เขาได้ดีพอ ๆ กับคนซื้อให้เลย

    เรียวขายาวยกขึ้นตั้งชันก่อนวาดวงแขนกอดเข่าตัวเองเอาไว้ สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงไฟจากตึกสูงดูหลากสีและสดใสกว่าทุกวัน คงประดับเพื่อหวังให้ปีใหม่ที่กำลังมาถึงสดใสดั่งเช่นแสงสีเหล่านั้น

    ร่างบางกอดกระชับอ้อมกอดตัวเองแน่น ยิ่งดึกอุณหภูมิก็ยิ่งลดลงทุกขณะ

    ทว่าหนาวกายได้ไม่นานความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่ เมื่อใครบางคนสวมกอดเขาจากด้านหลังพร้อมกับผ้านวมผืนหนาที่คุมทับลงมา กลิ่นหอมของสบู่และแชมพูทำให้เซฮุนหลุดยิ้มออกมาตอนนึกถึงคำพูดของจงอินที่ชอบบอกว่าตัวเขาหอมกว่าทั้งที่ใช้จากขวดเดียวกันแท้ ๆ

    เซฮุนเอนกายพิงกับอกแกร่งเมื่อจงอินนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วสอดมือกอดเอวเขาเอาไว้ ใบหน้าคมเลื่อนมาวางพักไว้บนไหล่พลางพรมจูบหลังใบหูไล่มาลงไปจนถึงซอกคอขาว คนถูกคลอเคลียไม่ห่างหดคอหนีเล็กน้อยด้วยความจั๊กจี้

    “จงอิน” ร่างบางขยับตัวเพื่อหันไปหาคนรักก่อนจูบปลายคางผ่าแผ่วเบา จงอินเลิกคิ้วสงสัยเพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรต่อ ดวงตากลมไล่มองใบหน้าหล่อคมคายก่อนรอบเลียริมฝีปาก ในหัวของเขากำลังคิดว่าจะพูดอะไรก่อนดี มีเรื่องที่อยากขอบคุณจงอินเยอะแยะไปหมด “กอดเราแน่น ๆ กว่านี้ได้ไหม เราหนาว” ทว่ากลับพูดประโยคน่าอายนั้นออกไปเพราะความขัดเขิน

    เสียงทุ้มที่หัวเราะอยู่ข้างหูเรียกเลือดลมให้มาจุกรวมบนใบหน้าหวานจนขึ้นสีแดงแปร๊ด จงอินขยับตัวดึงผ้าห่มที่คลุมไหล่เขาออกแล้วเอาไปคลุมไหล่ตัวเองเอาไว้แทน คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัยทว่าวินาทีต่อมาจงอินก็ดึงเขาเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่ายอีกครั้ง

    แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับแผงอกแข็งแรง มอบความอบอุ่นให้กันโดยไม่มีผ้านวมมาขวางกั้น มือหนาที่อุ่นอยู่เสมอเลื่อนมาประสานมือเขาเอาไว้ทั้งสองข้างกระชับกอดเขาเอาไว้ตามคำร้องขอ ความอ่อนโยนของจงอินแม้จะได้รับกี่ครั้งกี่หนก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้เสมอ เซฮุนไม่เคยชินเลยสักนิด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องการสัมผัสอ่อนโยนจากอีกฝ่ายอยู่เสมอ

    “จะปีใหม่แล้วคุณหนูเซฮุนอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ” เสียงนุ่มทุ่มเอ่ยถามก่อนปลายจมูกโด่งจะฝังลงบนแก้มเขาจนรู้สึกได้ว่าแก้มเขายุบลงไป ไหนจะเสียงสูดลมหายใจดังฟอดนั่นอีก จงอินจะหลอมละลายเขาไม่ให้เหลือซากเลยหรือไงกันนะ

    “ไม่มีอะไรพิเศษกว่าจงอินแล้ว เราไม่อยากได้อะไรเลย เราต้องการแค่จงอิน อยากให้จงอินอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เลย”

    ถึงจะแสดงออกทางการกระทำไม่เก่งเท่าคนผิวแทน แต่เรื่องพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้อีกคนรู้เขานี่เก่งนักล่ะ เซฮุนบีบคลึงมือหยาบจากการทำงานหนักก่อนหันไปจุ๊บมุมปากหนายืนยันคำพูดแล้วรีบหันกลับด้วยความเขิน

    “เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”

    ไม่ได้หันไปมองแต่เขาก็รู้ว่าจงอินกำลังยิ้มอยู่แน่ ๆ มีความสุขจัง เซฮุนมีความสุขจนไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาทำให้มีความสุขได้มากกว่าการมีจงอินอยู่ตรงนี้อีกไหม

    เมื่อก่อนเซฮุนคิดว่าของราคาแพงและทุก ๆ อย่างที่เขาอยากได้คือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเขา จนวันที่ฟ้าพรากทุกอย่างไป เงินทองสิ่งของนอกกาย เซฮุนไม่เหลืออะไร เพื่อนที่คิดว่าดีต่อกันพอรู้ว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่ปากบอกก็เปลี่ยนมากลั่นแกล้งกัน

    จนถึงวันที่จิตใจด่ำดิ่งที่สุดในชีวิต การหายไปจากโลกนี้ซะอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในความคิด ทว่ามือที่คว้าเขาเอาไว้ราวกับพระเจ้าที่ชุบชีวิตใหม่ จงอินดึงเขาออกมาจากโลกที่โหดร้ายและชวนให้เขามาสร้างโลกใหม่ด้วยด้วยกัน

    โลกใบนี้ที่เราสร้างขึ้นมาไม่ได้มีเงินทองมากมาย ไม่ได้อยู่แล้วสบายกายทว่าสบายใจเป็นที่สุด จงอินสอนให้ปรับตัวเข้ากับฐานะความเป็นอยู่ของตัวเองในปัจจุบัน ช่วยให้เซฮุนผู้อ่อนแอเผชิญกับความยากลำบากและอยู่ข้างกายไม่ไปไหน จงอินทำให้เขาได้รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ใช่สิ่งของนอกกายเลย แต่การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกับคนที่รักต่างหากคือความสุขที่แท้จริง

    “จะปีใหม่แล้ว เราขอพรกันไหม”

    ราวกับเป็นประโยคบอกเล่า เซฮุนไม่รอให้คนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังตอบรับ เปลือกตาสีอ่อนปิดลงจมอยู่กับห้วงความคิดของตัวเอง เซฮุนไม่ได้ปล่อยมืออีกฝ่ายออกเพื่อประสานระหว่างขอพร แต่เขากลับกระชับมืออบอุ่นที่ประสานกันไว้อยู่ก่อนแล้ว เปล่งเสียงต่อพระเจ้าในใจให้เมตตาต่อคำภาวนาของเขา

    ไม่รู้ว่าเขาหลับตาขอพรนานแค่ไหน แถมยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนที่บอกให้ขอพรด้วยกันนั้นแอบมองอยู่ตลอด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงพลุดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเข้าวันใหม่แล้ว ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแสงสว่างวาบอยู่นอกหน้าต่าง แสงไฟจากพลุที่กระจายอยู่บนท้องฟ้าตรึงสายตาของร่างบางเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง

    Happy New Year

    จนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มกระซิบข้างหูนั่นแหละถึงได้ละความสนใจจากมัน เซฮุนขยับกายออกจากอ้อมแขนแสนอบอุ่น ก่อนพลิกตัวคล่อมตักร่างหนาเอาไว้

    “คู่รักที่ดูพลุอยู่ข้างนอกต้องกำลังจูบกันอยู่แน่ ๆ เลย” เซฮุนพูดเสียงอ้อมแอ้มพลางยกแขนคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้ ขณะที่มือหนาเลื่อนมาบีบสะโพกอวบที่นั่งทับบนตักแล้วนึกขำปนเอ็นดู

    ให้ตายสิ เซฮุนกำลังขอให้เขาจูบอยู่ใช่ไหม

    “งั้นเราเริ่มต้นปีด้วยจูบหวาน ๆ บ้างดีไหม”

    คนขี้แกล้งโน้มตามลงไปถามคนที่ก้มหน้างุด พลางระบายรอยยิ้มออกมากับความน่ารักเหลือล้นของคนตรงหน้า เซฮุนคงเขินจนไม่สามารถพยักหน้าหรือขานรับอะไรเขาได้แล้ว จงอินละมือข้างหนึ่งมาเชยคางเรียวให้เงยขึ้น เพียงแค่เขาขยับเข้าไปใกล้จนระยะห่างเหลือคืบหนึ่งเซฮุนก็หลับตาปี๋ คนผิวแทนแอบยิ้มไม่ให้แมวน้อยของเขาเขินไปมากกว่านี้ ก่อนจรดริมฝีปากลงบนส่วนเดียวกัน

    หัวใจสองดวงสั่นไหวเมื่อปะทะเข้ากับส่วนนุ่มหยุ่นของกันและกัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่จูบกัน พวกเขาจุ๊บปากกันก็บ่อย เรื่องนั้นก็เลยเถิดไปไกลแล้ว แต่พอได้ซึมซับสัมผัสกันและกันแบบนี้ทีไรก็พาลให้ใจเต้นโครมครามได้ทุกที

    มือบางบีบหลังคอของคนรักแผ่วเบา ปล่อยกายเคลิบเคลิ้มไปกับจูบแสนหวานที่มอบให้กันดั่งที่เจ้าตัวพูด จงอินไล่งับกลีบสีพีชที่หวานยิ่งกว่าเยลลี่ทั้งบนและล่าง ขบเม้มเบา ๆ ก่อนปลายลิ้นร้อนจะแตะความนุ่มหยุ่นแผ่วเบาจนอีกฝ่ายเผยอริมฝีปากออก ร่างบางอ่อนระทวยอยู่บนตักแกร่งเมื่อความชื้นแฉะเข้ามาทักทายในโพรงปาก เกลียวลิ้นกระหวัดเกี่ยวแลกเปลี่ยนน้ำเชื่อมกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

    เซฮุนสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เมื่อจงอินผละริมฝีปากออก แต่นั่นก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ใบหน้าคมเอียงปรับองศาก่อนกดท้ายทอยของเขาให้โน้มลงไปประกบกันอีกครั้ง ริมฝีปากของเราบดเบียดแนบชิดจนแทบหลอมรวมกับ ผลัดกันส่งลิ้นร้อนเข้าไปชิมความหวานสลับกับดูดดึงริมฝีปากของกันและกันจนเกิดเสียงจุบจับน่าอาย สองมือลากจากลำคอหนามาประคองสันกรามคมเอาไว้ จากจูบหวานเริ่มเร่งเร้าร้อนแรงจนเขาทนแทบไม่ไหว

    เซฮุนเอนไปด้านหลังเรื่อย ๆ ตามแรงบดจูบของคนที่เขานั่งคล่อมตักอยู่ ในท้ายที่สุดแผ่นหลังของเขาก็สัมผัสลงกับเตียง ตัวเขาก็เหมือนจะจมลงไปเพราะแรงกดทับจากร่างหนา ตอนนี้กลายเป็นว่าเขานอนหมดแรงจมอยู่บนเตียงให้มีคนตัวหนาคล่อมทับกันเอาไว้... จงอินผละออกไปคลอเคลียจูบแก้มใสราวกับเมตตาให้แมวน้อยได้พักหายใจหายคอ

    “จงอิน เรารักจงอินนะ”

    เสียงหวานที่ลอดผ่านริมฝีปากบวมแดงเรียกให้ชายหนุ่มวกกลับไปดูดกลืนความนุ่มหยุ่นเอาไว้อีกครั้ง มือบางกอดคอคนด้านบนแน่น เราปล้ำจูบกันอยู่หลายนาทีจนเขาต้องดันอกแกร่งออกก่อนที่จะขาดใจตายไปเสียก่อน

    “จงอินก็รักเซฮุนครับ” หนุ่มผิวแทนหยัดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนประทับจูบลงบนหน้าผากมน เลื่อนมาหอมแก้มกลมทั้งซ้ายขวา และปิดท้ายด้วยการจุ๊บริมฝีปากแดงช้ำเบา ๆ อีกครั้ง “ปีใหม่นี้ขอให้นายมีความสุขมาก ๆ กินเยอะ ๆ ด้วยเข้าใจไหม”

    “ทำไมขอให้เราล่ะ จงอินต้องขอให้ตัวเองมีความสุขสิ” นิ้วเรียวจิ้มปลายจมูกทู่ก่อนหัวเราะคิกคักที่คนรักขอพรให้เขาเสียอย่างนั้น

    “เพราะนายคือความสุขของฉันไง ถ้านายมีความสุขฉันก็มีความสุข เข้าใจใช่ไหม” ไม่พูดเปล่า จงอินโน้มลงไปจนปลายจมูกสัมผัสกันก่อนจะย่นจมูกคลอเคลียกันไปมา

    “งั้นเราจะกินเยอะ ๆ เลย  เรารู้ว่าถ้าเรากินเยอะจงอินจะมีความสุข”

    ร่างบางเอ่ยเจื้อยแจ้วกลบเกลื่อนอาการเขิน จงอินหัวเราะเบา ๆ ก่อนกดจูบริมฝีปากอิ่มหนัก ๆ อีกครั้งอย่างคนโลภที่ได้สัมผัสเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ เขาทิ้งตัวลงนอนข้างกันก่อนตระกองกอดคนรักมาไว้แนบอก เซฮุนก็ซุกตัวซบใบหน้าหาความอบอุ่นจากกายหนาทันที

    ค่ำคืนที่หนาวเหน็บไม่สามารถทำอะไรเขาทั้งสองได้ ไม่ว่าจะกี่ปีเราก็จะมอบความอบอุ่นให้กันและกันอย่างนี้ต่อไป จงอินกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มพลางลูบหลังราวกับกล่อมให้คนรักเข้าสู่นิทราไปพร้อม ๆ กัน

    ไม่ว่าปีใหม่จะบรรจบมาอีกที่ครั้ง จงอินก็จะยังคงปกป้องคนที่เขารักยิ่งกว่าตัวเองอย่างนี้ต่อไป ในเมื่อเซฮุนตัดสินใจแล้วว่าจะฝากชีวิตไว้กับเขา จงอินก็จะดูแลคน ๆ นี้ให้ดีที่สุด...

     

     

     

    "หากเบื้องบนยังเมตตา ผมไม่ขอเงินทอง หรือสิ่งของมีค่าใด ๆ

    สิ่งเดียวที่ผมปรารถนาคือ ขอให้เรามีกันและกันตราบนานเท่านาน"

    -Sehun's Wish-

     

     

     

     

     

     

    "สิ่งเดียวในชีวิตที่ผมต้องการคือ ขอให้ความปรารถนาของเซฮุนสมหวังทุกประการ"

    -Jongin's Wish-











    HAPPY NEW YEAR






    --Enjoy Reading--




    บทบรรยายก็จะเยอะหน่อยๆ ฮ่าาาา เราเขียนสลับพาร์ทอดีตกับปัจจุบันไปมาทุกคนงงกันหรือเปล่าคะ
    ฝากติชมและให้ฟีดแบ็คเพื่อที่เราจะได้นำไปแก้ไขต่อไปเน้อ
    ขอกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากทุกคน

    และสุดท้าย

    สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกคนสมหวังทุกความปรารถนา
    ฝากติดตามด้วยนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×