คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : OS :: Catch Me If You Can
กึก ๆ ๆ
เสียงรองเท้าหนังสีดำมันเงากระทบกับพื้นกระเบื้องดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อหนุ่มสาวที่กำลังวุ่นวายกับงานของตัวเองเงียบลงและหันมาสนใจชายหนุ่มซึ่งย่างก้าวทุกจังหวะเข้ามาด้วยท่าทีสง่างาม บรรดาพนักงานตำแหน่งต่ำสุดไปจนถึงผู้มีตำแหน่งสูงๆต่างพากันยืนกุมมือไว้ด้านหน้าด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม... ยามที่ชายหนุ่มเดินผ่านใคร คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันค้อมศีรษะให้ ถึงแม้หลายๆคนจะอายุอานามมากกว่าชายหนุ่มก็ตาม
เสื้อสูทจากแบรนด์ดังถูกยกกระชับให้เข้าที่ ผู้มีตำแหน่งประธานบริษัทอย่างคิมจงอินเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปอย่างไม่สนใจ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ตอนที่เจอหน้าเขา ส่วนหลังจากนั้นน่ะหรอ..
"ท่านประธานนี่เท่เป็นบ้าเลยเนอะ"
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอายุจะเข้าเลขสามแล้ว หล่อระเบิด"
"เขาเป็นของฉันย่ะ!"
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ใช่เพราะคำพูดเพ้อเจ้อของพวกเธอทำให้รู้สึกพอใจ แต่ทว่าหากพวกเธอมัวแต่ฝันเฟื่องจนลืมเรื่องงานเมื่อไหร่ ท่านประธานคนนี้ก็พร้อมจรดปากกาด้ามแพงลงกระดาษและยืนซองขาวให้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ จงอินไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่จะไล่คนออกมั่วๆ จะเพ้อฝันขนาดไหนไม่เคยว่า เพียงแค่ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิ์ภาพและไร้ข้อบกพร่องก็เท่านั้น..
จงอินรู้ดีว่าตัวเองฮอตขนาดไหน ไม่ใช่แค่เฉพาะภายในบริษัท แต่คนที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างรู้สมยานามของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี
'ชายหนุ่มรูปหล่อไฟแรงผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย'
...นั่นมันก็นานมากแล้วล่ะนะ
ตอนนี้เขาอายุ 31 แล้ว แต่ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย เพราะตัวเลขไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคิมจงอินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยัง so damn hot กว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ทั้งร่างกายที่กำยำกว่าช่วงวัยรุ่น ใบหน้าคมหล่อเหลาที่แม้รูปจมูกจะดูคดทู่ไปบ้าง ทว่าเมื่อรับกับดวงตาเฉี่ยวคมและริมฝีปากหนาทุกอย่างก็ไร้ที่ติ ผิวสีน้ำผึ้งยังเป็นความน่าหลงไหลอีกอย่างหนึ่งในตัวผู้ชายคนนี้... และอย่างที่ใครๆบอก ว่าผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้นก็จะยิ่งดูดีและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าคนหล่อๆและรวยอย่างคิมจงอินจะมีคนอยากเข้าหามากมายขนาดไหน
"ท่านประธานคะ ดิฉันจองภัตตาคารให้เรียบร้อยแล้วนะคะ วีไอพีสองที่นั่งตามที่สั่งค่ะ"
"ขอบคุณครับ ถึงเวลาแล้วให้คนขับรถของผมไปรับเด็กคนนั้นด้วย"
"แล้วท่านประธานล่ะคะ" เลขาส่วนตัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทว่าในวินาทีต่อมาเธอก็ต้องเม้มริมฝีปากสีแดงสดพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เมื่อสายตาคมปราบตวัดมองราวกับจะเตือนว่าเธอไม่ควรสงสัยในสิ่งที่เขาตัดสินใจ หรือโต้แย้งคำสั่งที่ผ่านการคิดตริตรองมาดีแล้ว
"ผมจะขับรถไปเอง ไม่ต้องห่วง"
.
.
ดวงตาเรียวสวยจ้องมองรูปร่างผอมบางของตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพินิจ กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดถูกติดจนครบทุกเม็ด จากนั้นเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูอ่อนก็สวมทับลงไป กระชับปกเชิ้ตให้เข้าที่ ในตอนสุดท้าย.. เมื่อน้ำหอมกลิ่นกุหลาบพรมไปตามแอ่งชีพจรจึงถือเป็นอันสิ้นสุด
วันนี้จะต้องดูดีเป็นพิเศษ เพราะโอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก.. โอเซฮุนได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของประเทศอย่างคิมจงอิน พูดง่ายๆก็คือเขาถูกชวนไปดินเนอร์แบบเอ็กซ์คลุซีฟสุดๆกับจงอินยังไงล่ะ
"เชิญครับ"
ไม่คิดไม่ฝันว่ารถหรูที่อยู่เบื้องหน้าจะมาจอดเทียบหน้าอพาร์ทเม้นเพื่อรอรับตนเอง เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ พยายามเรียกสติและคิดตรึกตรองว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันคือเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความฝันกันแน่... ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาบังเอิญเดินชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า K ในตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงถึงคราวซวยแล้วแน่ๆ มิหนำซ้ำยังอาจจะโดนอัดจนน่วมก็ได้ที่บังอาจเดินไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนกับท่านประธานคิมเข้าอย่างจัง บอดี้การ์ดร่างถึกตรงเข้ามาเตรียมกระชากคอทำเอาเซฮุนแทบลมจับ หลับตาปี๋สวดภาวนากับพระเจ้าว่าอย่าให้ไอ้ถึกนั่นจับตัวเขาเหวี่ยงออกไปจนกระดูกกระเดี้ยวหักเลย
แต่ทุกอย่างกลับเกินความคาดหมาย เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงข้อศอกอย่างอ่อนโยน พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังก้องดังวานอยู่ในหู 'ไม่เป็นไรนะ?' เซฮุนลืมตาขึ้นมาก่อนจะเผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าคมเข้มของคิมจงอินลอยเด่นอยู่ใกล้เพียงคืบ เด็กหนุ่มลมหายใจสะดุดเพราะรอยยิ้มเล็กๆที่ติดอยู่ตรงมุมปากของผู้ชายมากสเน่ห์
เซฮุนไม่ได้สนใจหรือรู้จักกับผู้บริหารธุรกิจดังๆแม้แต่คนเดียว แต่สำหรับคนๆนี้ โอเซฮุนผู้ไม่สนใจใครยังต้องรู้จัก.. พระเจ้า ตัวจริงเขาช่างหล่อและดูดีมากจริงๆ
จนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มยังคงคิดว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในวังวนแห่งความฝัน ทันทีที่พนักงานเปิดประตูออก ภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวและประดับประดาไปด้วยเทียนหอมสีสวย ยังมีชายหนุ่มผู้ดูภูมิฐานอีกคนหนึ่ง เซฮุนรู้สึกประหม่าทันทีเมื่อชายคนนั้นหันมาสบสายตาแบบพอดิบพอดี ทั้งท่าทางปรับเปลี่ยนไปนั่งไขว่ห้างพร้อมประสานมือไว้บนตักทำให้ใจดวงน้อยสั่นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้
"นั่งก่อนสิ"
"คือจริงๆแล้ว.." เซฮุนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แม้บริกรจะเลื่อนเก้าอี้ให้แล้วแต่เด็กหนุ่มก็ยังยืนอยู่อย่างนั้น "คุณแค่คืนกระเป๋าเงินผมมาก็พอ คือ..ผมประหม่าน่ะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยตามที่คิด แต่มันกลับทำให้จงอินนึกขำเสียอย่างนั้น
"นายคงไม่แต่งตัวดูดีขนาดนี้เพื่อมาเอากระเป๋าอย่างเดียวหรอกมั้ง" จงอินยิ้มเมื่อดวงตาใสราวกับลูกแก้วสั่นไหวจนดูผิดสังเกต
จับได้แล้ว...
"กินข้าวกับฉันซักมื้อสิ" ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มหยัดตัวยืนขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปเลื่อนเก้าอี้เชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มที่ยืนเกร็งอยู่นานนั่งลงเสียที
"คุณมักจะโชว์ป๋าแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ?"
"หืม?" เซฮุนขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งตอนที่จงอินหันมายิ้มในขณะกำลังถอดสูทราคาแพงออกนั้น มันทำให้คนจ้องมองระหว่างรอคำตอบอยู่คิดไปในทางเดียวว่าผู้ชายคนนี้จงใจหว่านเสน่ห์ใส่ตนเองแน่ๆ
"ผมหมายถึง คุณเลี้ยงข้าวคนที่คุณเก็บกระเป๋าเงินให้ทุกคนเลยหรอ"
"เปล่าเลย นายคนแรก"
"แล้วทำไม--"
ประโยคคำถามที่สงสัยเอ่ยออกไปยังไม่ทันจบ ริมฝีปากสีชมพูสดจำต้องอ้าค้างเมื่อได้รับคำตอบที่ทำเอาคนฟังชะงักงัน
"เพราะฉันสนใจนาย"
พระเจ้า เขากำลังเล่นตลกอะไรกับคนที่หัวใจสั่นไหวอย่างเซฮุนอย่างนั้นหรอ ถ้าหากคนหล่อๆรวยๆมีวิธีสร้างความหรรษาให้ชีวิตตัวเองด้วยการเต๊าะคนไปทั่ว นั่นมันไม่สนุกเลยสำหรับโอเซฮุน
.
.
"ช่วงสองสามเดือนมานี้เป็นอะไรครับคุณคิมจงอิน"
"อะไร ก็ปกตินี่หว่า"
"ตอแหล หน้ามึงดูอิ่มเอมเสียยิ่งกว่าเทวดาอิ่มทิพย์ แฮปปี้ไลฟ์มากไหม" ริมฝีปากบางเบะออกด้วยความหมั่นไส้ "รู้ปะว่ารอบๆตัวมึงมีบาเรียสีชมพูแผ่กระจายออกมาเต็มไปหมด"
"ปัญญาอ่อน"
บยอนแบคฮยอนแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรักผู้มีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัท แต่กลับละสายตาออกจากกองเอกสารขึ้นมาเพื่อใช้ถ้อยคำแบบนั้นด่าทอกันเสียได้
"อินเลิฟก็บอกมาดิ"
"เออ ไม่ต้องหึงนะเบบี๋"
คนตัวเล็กหัวเราะหึในลำคอให้กับความหลงตัวเองของพ่อหนุ่มนักธุรกิจ สาวเท้าเข้าไปหาก่อนจะเกี่ยวพันนิ้วเรียวสวยเข้ากับเนคไทเส้นงามพร้อมกับกระตุกดึงให้ผู้สวมใส่ขยับเข้ามาใกล้ จงอินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ใช่เพราะสงสัยในอากัปกิริยาของอีกฝ่าย แต่กำลังรอดูว่าเพื่อนตัวเล็กจะพ่นถ้อยคำแบบไหนใส่มากกว่า ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อปลายนิ้วเรียวอีกข้างซึ่งไม่ได้พัวพันอยู่กับเนคไทปาดเชยปลายคางผ่าขึ้นให้สบสายตากัน
"ถึงมึงจะหล่อรวยล้นฟ้า.." ชายหนุ่มผิวแทนหลุดยิ้มร้ายให้กับท่าทางแมวยั่วสวาทที่ไม่ได้เห็นมานานทีเดียว "..แต่กูไม่สนใจมึงแล้ว"
เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เนื่องจากรู้และเข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการสื่อเป็นอย่างดี และนี่เป็นประโยคเย้ยหยันที่น่าพอใจ เพราะมันหมายความว่าความอึดอัดที่ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่าง 'เพื่อน' จะหมดไปจริงๆเสียที.. บยอนแบคฮยอนเคยชอบจงอิน เป็นข้อเท็จจริงที่คนตัวเล็กต้องการให้เพื่อนคนนี้รู้ผ่านการแสดงออกและคำพูดอย่างชัดเจน ซึ่งจงอินรู้ดีว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมานานเพียงใด
แม้ว่าแบคฮยอนจะน่ารักแค่ไหน ผิวขาวจัด ตัวเล็กน่าทะนุถนอมเพียงใด คิมจงอินก็ไม่อาจรู้สึกเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนได้เลย ถึงแม้ความสัมพันธ์ทางกายจะไปไกลมากแล้ว แต่ทว่าจงอินไม่เคยมีใจให้ แล้วคนที่ได้แต่ให้ความรักไปฝ่ายเดียวจะทำอะไรได้ นอกจากถอดใจ...
"ทำธุรกิจเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางแต่ดันมีผัวเป็นตำรวจ"
"เถอะน่า กูไม่ทำให้ท่านคิมจงอินเดือดร้อนหรอก อีกอย่าง ถ้าโดนจับขึ้นมาจะได้มีผัวคอยช่วยไง"
"ให้มันแน่ ถ้าพวกมันเกิดสงสัยขึ้นมาจะยกพวกมาล่าหัวกูกันให้วุ่น"
แฟ้มสุดท้ายถูกปิดลงหลังจากจรดปลายปากกาตวัดลายเซ็นอนุมัติเอกสารไปแล้วหลายต่อหลายแฟ้ม จากนั้นมันก็ลอยไปกองรวมกับตั้งเอกสารตั้งใหญ่ที่ผ่านการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ปล่อยตัวไปด้านหลังให้พนักพิงนุ่มๆเป็นที่รองรับพร้อมกับปิดตาลง ให้สายตาได้พักบ้าง แต่ทว่าจงอินทำแบบนั้นได้ไม่นาน เสียงใสซึ่งดังอยู่ไม่ห่างก็ทำให้เปลือกตาสีเข้มต้องเปิดขึ้นอีกครั้ง
"ถ้าเผื่ออำนาจยิ่งใหญ่ที่มีอยู่เกิดถูกลิดรอนไป ก็ลองหาตัวช่วยโดยการ...“ แบคฮยอยเผยรอยยิ้มทะเล้น
"มีเมียเป็นตำรวจเป็นไง?"
จงอินรู้สึกได้ว่าตากระตุกหลายทีหลังจากฟังประโยคนี้จบ... ราวกับเป็น 'ลางสังหรณ์'
x
เสียงออดหน้าประตูดึงสติจากคนตัวบางให้ละความสนใจจากเอกสารเบื้องหน้า รอยยิ้มสดใสปรากฎขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าคนที่ยืนอยู่หลังประตูเป็นใคร รีบผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่ฝังตัวอยู่ตั้งแต่เช้า กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปเปิดประตู เมื่อเห็นว่าคนกดกริ่งเป็นคนในความคิดก็รีบโผเข้าหาจนผู้โดนกอดต้องรั้งเอวบางคอดนั้นไว้ไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน
"คุณมาช้า"
"มัวแต่แวะซื้อขนมมาให้เด็กแถวนี้" เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับโชว์ถุงขนมปังหลากหลายอย่างให้ดู จูบซับแก้มเนียนอย่างเอาอกเอาใจก่อนจะโดนงอนเสียก่อน
"แค่ได้เจอคุณผมก็ดีใจแล้ว"
"ปากหวาน"
ประตูถูกปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังบางที่ทาบทับตามไป แรงบดเบียดจากกายหนาทำเอาคนตัวผอมแทบจมหายไปกับประตู ช้อนสายตามองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เลื่อยๆ เพียงเท่านั้นเซฮุนก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไป เปลือกตาสีอ่อนปิดลงเมื่อปลายคางถูกเชยขึ้น ได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอ แต่เซฮุนไม่กล้าลืมตามองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของผู้ชายอย่างคิมจงอิน ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เพียงแค่ชายหนุ่มอยู่เฉยๆก็สามารถทำให้คนมองหลงใหลได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นเซฮุนคนนี้เป็นต้น..
รออยู่นานจนรู้สึกหวั่นใจจนต้องเปิดตาในที่สุด ในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากหนาโฉบลงมาครอบครองกลีบปากสีชมพูสดอย่างไม่ให้เจ้าของได้ทันตั้งตัว จงอินกลืนกลีบเนื้อนุ่มแสนหวานเนิ่นนานโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สร้างความวูบไหวให้คนที่ถูกขโมยลมหายใจได้ไม่น้อย แขนเรียวยกขึ้นรั้งคอแกร่งเพื่อไม่ให้ร่างอ่อนระทวยของตัวเองล่วงลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มยับยั้งชั่งใจอย่างหนักก่อนจะผละออกจากริมฝีปากที่เริ่มบวมหน่อยๆ เพราะไม่อยากให้อารมณ์บางอย่างตะเลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้หากพวกเขายังคงพะเน้าพะนอกันต่อไป
"ไปกินขนมกัน" เอ่ยเสียงแผ่วแก้เขิน เพราะคนตรงหน้าไม่ยอมเอาหน้าคมเข้มออกไปห่างๆเสียที เห็นแก้มขาวเนียนขึ้นเลือดฝาดแล้วก็อดไม่ไหว กดจูบลงไปแรงๆหนึ่งทีก่อนจะยอมทำตามประสงค์ที่อีกคนต้องการ
คนทั้งคู่พากันไปนั่งอิงแอบอยู่บนโซฟา นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่พวกเขาเลือกจะอยู่ด้วยกันในอพาร์ทเมนต์ของเซฮุน โดยไม่ได้ไปเดทตามที่ต่างๆอย่างที่ผ่านมา จะดูหนังฟังเพลง ดินเนอร์สุดหรู ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน หรือเพียงแค่เดินเล่นตามสวนสาธารณะก็ทำมาหมดแล้ว ยังมีที่มากมายที่ยังไม่เคยไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือทั้งสองแค่อยากใช้เวลาร่วมกัน เพราะฉะนั้นการขลุกอยู่ด้วยกันที่บ้านใครคนหนึ่งก็ถือว่าไม่เลว
"เดี๋ยวผมเตรียมน้ำผลไม้ให้นะ"คนตัวผอมเอ่ยจบก็หายเข้าไปในห้องครัว ทิ้งให้จงอินกวาดสายตาสำรวจห้องส่วนตัวของเซฮุนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
ดูเหมือนกรอบรูปเรียงรายบนตู้โชว์จะดึงความสนใจจากชายหนุ่มร่างหนาได้ ทว่าเอกสารบนโต๊ะกระจกตรงหน้ามันกระจัดกระจายจนหนุ่มเจ้าระเบียบไม่อาจปล่อยผ่านไปเฉยๆ เก็บรวบรวมกระดาษพวกนั้นไว้ด้วยกันให้เรียบร้อย แต่ด้วยความที่เอกสารมีเยอะและในความไม่เป็นระเบียบนั้นทำให้ชีทปึกหนึ่งล่วงหล่นบนพื้น คนต้นเหตุไม่ได้มีท่าทีร้อนลนเขาเพียงแค่ก้มเก็บมันขึ้นมา และในตอนนั้นเองที่จงอินต้องชะงักงันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง...
หันกลับไปมองในครัวเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของร่างผอมบางจะยังไม่เข้ามาในตอนนี้.. ก่อนจะถือวิสาสะเปิดอ่านข้อมูลในนั้นคร่าวๆ
เอกสารระบุชัดเจนว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย สถานที่ที่คาดว่าคนเหล่านั้นจะใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากัน ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด อาวุธเถื่อน ของนำเข้าหลีกเลี่ยงภาษี รวมไปถึงสถานบันเทิงที่มีกิจกรรมการพนันเป็นหลักซึ่งเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รายชื่อบริษัทมากมายเตรียมถูกคณะกรรมการตรวจสอบเนื่องจากเปิดธุรกิจขึ้นมาเพื่อบังหน้ากิจการทุจริตที่ทำอยู่ .. แน่นอนว่ามันไม่มีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ของคิมจงอิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มวางใจได้เลย เพราะบุคคลลึกลับซึ่งดูเหมือนกำลังถูกสืบค้นประวัติอยู่นั้นจะเป็นคนใกล้ตัวเสียเหลือเกิน
คิมไค...
"ขอโทษที่ช้านะครับ ผมอยากคั้นเองแทนที่จะใช้น้ำผลไม้กล่อง" สัมผัสแผ่วเบาที่ไหล่กว้างเรียกสติจงอินให้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง รีบยัดเอกสารในมือให้รวมอยู่กับตั้งกระดาษที่เพิ่งเป็นคนจัดเรียงด้วยตนเอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคน แสร้งทำตัวปกติและพยายามไม่แสดงออกอะไรจนดูผิดสังเกต
"ขอบคุณนะครับ"
รับแก้วน้ำส้มที่คนรักตั้งใจคั้นให้ก่อนจะตวัดแขนแกร่งโอบรอบเอวบางคอด พูดไม่ผิดหรอก ทั้งคู่ตกลงคบหากันเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะเซฮุนไม่อาจต้านทานแรงตื๊อตลอดสองสามเดือนของพ่อหนุ่มนักธุรกิจไหว แล้วก็นั่นแหละ ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ.. ชายหนุ่มยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยชมถึงความอร่อยของรสชาติ สร้างความพึงพอใจให้คนที่ตั้งใจคั้นน้ำผลไม้เองกับมือเป็นอย่างมาก แขนเรียวตวัดกอดรอบเอวหนาเอนศีรษะกลมซบบ่ากว้างเอาอกเอาใจ
ก้มลงจูบกลุ่มผมนุ่มสลวยเป็นรางวัลในความน่ารัก จงอินชอบให้เซฮุนออดอ้อนแบบนี้ แต่ทว่าความคิดมากมายที่พรุ่งพร่านเข้ามาในหัวตอนพบเจอเอกสารพวกนั้นทำเอาชายหนุ่มใจสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยถามว่าเซฮุนกำลังทำงานอะไรอยู่ เพราะนั่นอาจทำให้คนตัวผอมคิดมากเรื่องหน้าที่การงานของตัวเอง เมื่อนำมาเทียบกับประธานบริษัทผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศอย่างเขา จงอินมีความคิดที่ว่าหากได้รักใครซักคนเขาจะไม่สนใจว่าต้นตระกูลของคนๆนั้นเป็นใคร มีฐานะเป็นอย่างไร เซฮุนดูไม่เหมือนคนที่อยากได้เขาจนตัวสั่นอย่างคนอื่นๆที่พร้อมจะกระโจนเข้ามาในชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ร่างบางดูสง่าราวกับคนชั้นสูงแม้จะเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดา ตลอดเวลาที่ได้รู้จักจงอินเห็นว่าเซฮุนทั้งฉลาดและเก่งในหลายๆด้าน และนั่นทำให้จงอินสนใจในตัวเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ.. สนใจ...ตั้งแต่แรกเห็นตอนบังเอิญเดินชนกัน ไม่รู้ประวัติตื้นลึกหนาบางใดๆทั้งสิ้น รู้เพียงนิสัยใจคอที่พยายามสังเกตตลอดสามเดือนและหัวใจ... ที่มีไว้เพื่อมอบความรักให้กันและกัน..
อย่างนั้นใช่ไหม? หากจงอินไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว สายตาคมจ้องมองใบหน้าหวานแย้มยิ้มตลอดเวลาระหว่างคอยป้อนขนมให้อย่างเอาใจ โทรทัศน์ซึ่งฉายรายการตลกไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้.. ได้แต่มองคนตัวผอมที่แนบชิดอิงแอบไม่ห่างจากอกกว้างด้วยหัวใจที่เจ็บปราบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"เซฮุนนา~"
"หือ?"
"ฉันอายุสามสิบเข้าไปแล้ว คงไม่โดนเด็กหลอกหรอกใช่มั้ย"
ฝ่ามือหยาบเฝ้าลูบหลังเด็กน้อยในอ้อมแขนที่กระชับกอดเอวหนาแน่น แก้มเนียนถูอยู่กลางอกกว้างราวกับลูกแมวน้อย
"ทำไมอยู่ๆก็ถามแบบนี้ล่ะ ผมไม่เคยคิดจะหลอกคุณเลยนะ" ยื้อตัวออกจากอ้อมกอดเล็กน้อยเพื่อให้มองใบหน้าหล่อเหลาได้ถนัด "อายุสามสิบอะไรกันไม่ถือว่าแก่ซักหน่อย คุณก็ยังหล่อขนาดนี้ หน้าที่การงานก็ดี ฐานะก็ดี... อีกอย่างคุณเป็นคนเข้าหาผมก่อนเองแท้ๆยังจะมาถามแบบนี้อีก คนบ้า"
เซฮุนเอียงหน้าซบฝ่ามืออุ่นที่เลื่อนมาเกลี่ยแก้มเนียน ถึงแม้จะนึกน้อยใจในคำถามเมื่อครู่ที่ถามเหมือนไม่ไว้ใจกันเลย
"มีแต่คนต้องการเข้าหาคุณมากมาย ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ" จงอินเผยยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อริมฝีปากสีชมพูสดทำปากยื่นพูดประโยคยาวเหยียดซึ่งเต็มไปด้วยการตัดพ้อ "ผมต่างหากที่ต้องกลัวว่าจะถูกคนแก่หลอกเด็ก"
"ฉันรักนาย โอเซฮุน" ไม่พูดเปล่า จงอินจรดริมฝีปากลงบนหลังมือขาว กดจูบหนักๆราวกับย้ำเตือนว่ามีเพียงคนๆนี้ที่ชายหนุ่มหลงรักจนหมดหัวใจ
"ผมรักคุณจะแย่อยู่แล้วจงอิน.. เชื่อใจผมนะ"
พยักหน้ารับถ้อยคำหวานที่ร้องขอให้เชื่อใจกัน แม้ในหัวยังคงสับสน... เชื่อได้ใช่ไหม? จงอินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทั้งหมดมันคือเรื่องจริง ทุกคำพูด ทุกการกระทำของเซฮุนที่แสดงออกมาตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันจนถึงวินาทีนี้มันคือเรื่องจริงใช่ไหม? หรือเซฮุนแค่หลอกล่อให้ติดกับดัก
หากทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญและคนตัวผอมเป็นคนกำหนด เพราะข้อมูลในเอกสารบ่งบอกว่าเด็กคนนี้แค่เข้าหาเขาเพื่อต้องการจะรู้อะไรบางอย่าง แม้จะเป็นไปได้ยากที่จะรู้ตัวตนของบุคคลลึกลับ แต่ถ้าเซฮุนรู้แล้วว่าเป็นใครและกำลังตามหา..
นั่นหมายความว่าเซฮุนยอมให้เขาเข้าไปในชีวิตได้อย่างง่ายดายเพราะมีจุดประสงค์ ไม่สามารถคิดไปในทางอื่นได้เลย เพราะบุคคลลึกลับคนนั้นชายหนุ่มรู้จักเป็นอย่างดีและเกี่ยวข้องกับคิมจงอินโดยตรง ไม่อยากคิดไปในแง่ที่ไม่ดีแต่ทว่าตรึกตรองอย่างไรมันก็พาให้คิดไปในทางนั้นตลอด หัวใจที่คิดว่าแข็งแกร่งดุจหินผาคงแหลกสลายหากว่าเซฮุนเข้ามาในชีวิตเขาด้วยเหตุนั้น เพื่อที่จะสืบค้นหาตัวคิมไค
ไม่ใช่เพราะ.. ความรัก
x
เสียงริงโทนจากสมาร์ทโฟนเครื่องหรูแผดดังไปทั่วห้อง
เรียกให้เจ้าของหยิบยกขึ้นมากดรับ
ทว่ารายชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอทำให้เด็กหนุ่มตัวผอมเลือกที่จะคว่ำหน้าจอลงเพื่อให้เสียงนั้นเงียบไป
"ทำไมไม่รับล่ะหืม"
เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบอยู่ข้างใบหูมาพร้อมกับแรงกอดรัดที่ช่วงเอว
"เสียงโทรศัพท์ทำให้คุณตื่นหรอครับ
ขอโทษนะ"
"มันก็ใช่
แต่ช่างเถอะ.. วันนี้ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว
ขลุกอยู่กับนายนานกว่านี้คงไม่ได้"
เด็กหนุ่มหลับตารับสัมผัสแผ่วเบาข้างขมับ
ก่อนจะเบียดตัวเข้าหาๆไออุ่นเมื่ออีกคนพลิกร่างเขาให้หันไปเผชิญหน้ากัน 1 สัปดาห์ที่จงอินพาเขามาที่นี่
เราใช้ชีวิตด้วยกันประหนึ่งคนรักที่เพิ่งผ่านประตูวิวาห์ตลอดเวลาที่ผ่านมา
เขาได้รับความสุขมากมายเหลือเกินจนกลัวว่ามันจะหายไปเมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงบางอย่าง
เจ้าของผิวแทนให้เพื่อนสนิทดูแลบริษัทแทนในระหว่างนี้ ส่วนเขาหลับหูหลับตาและมองข้ามสิ่งที่ควรจะทำ...
โอเซฮุนกำลังละทิ้งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
"คุณจะกลับไปทำงานจริงๆใช่ไหม?"
"ใช่สิ
ถามอะไรแบบนั้น" ยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มใสด้วยความที่ดูออกว่าเด็กตรงหน้ามีเรื่องให้กังวลใจอยู่ไม่น้อย
"ผมกลัว... ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง
แต่ผมรู้สึกกลัวจังเลยครับ"
"กลัวอะไรบอกฉันสิคนดี"
เด็กตัวผอมส่ายหน้าน้อยๆ
เรื่องมากมายมันสุมอยู่ในอกยากเหลือเกินที่จะพูดออกมาให้คนตรงหน้าฟัง
ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับคนที่เขารักโดยตรง กลัวเหลือเกิน
เซฮุนกลัวเหลือเกินว่าจะทำลายชีวิตคนรักด้วยมือน้ำมือของตัวเอง เขาควรจะต้องทำยังไง
เพราะเขาไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก
จงอินกลับไปทำงานที่โซลตั้งแต่ช่วงสาย
สองสามวันก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของชายหนุ่มดังไม่หยุดหย่อน
ผู้บริหารใหญ่โตลางานเป็นอาทิตย์เพื่อมาอยู่กับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขา
เพียงเพราะเซฮุนเอ่ยปากขอร้อง จงอินไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วเขาทำงานอะไร
เพ่งมองประวัติโทรเข้าซึ่งมากกว่าร้อยสายตลอด 1 สัปดาห์พรางไตร่ตรองอย่างหนักว่าควรจะทำอย่างไรดีต่อจากนี้
ส่งตัวคนรักให้กับคนในรายชื่อที่โทรเข้ามาเพื่อความถูกต้อง หรือจะละทิ้งความฝัน
ละทิ้งอนาคตของตัวเองซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงเพื่อเจ้าของหัวใจ
เป็นอีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เขายังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะทำยังไง
และเสียงแหลมของริงโทนก็ยิ่งเพิ่มความกดดันให้เด็กตัวผอมต้องตัดสินใจเลือก
นิ้วโป้งขยับไปมาระหว่างปุ่มสีแดงและเขียวด้วยความสับสน และในท้ายที่สุดปุ่มสีเขียวก็ถูกสัมผัส
(ฮัลโหล
เซฮุนได้ยินมั้ย)
"..."
(เซฮุน)
"คือผม... ขอโทษครับ"
(ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน
รู้มั้ยว่านายละทิ้งงานแบบนี้มันเกิดผลเสียต่อหน่วยงานแค่ไหน)
"ผม..."
(มาหาฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซฮุน
CIA ไม่ได้ส่งเรามาที่นี่เพื่อให้เถลไถลและไร้ความรับผิดชอบแบบนี้
ถ้ายังอยากอยู่ในหน่วยงานต่อก็แสดงให้เห็นศักยภาพของตัวเองเสียที
หาให้ได้ว่าคนร้ายคือใคร)
สายถูกตัดไปแล้ว
น้ำเสียงเอกลักษณ์ของรุ่นพี่ชานยอลยังก้องกังวาลอยู่ในหู ย้อนกลับไปเมื่อ 5 เดือนก่อน
โอเซฮุนกำลังยืนมองแผ่นป้ายบนบิลบอร์ดที่มีเนื้อหาที่พูดถึงซีรี่ย์เกี่ยวกับ CIA ในสหรัฐ
มันเป็นอาชีพที่เขามองว่ามันเท่มากๆ และอยากจะเป็นในซักวันหนึ่ง และในวันนั้นเอง
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เข้ามาสะกิดเขาและพูดสิ่งที่เกินความคาดหมายให้เขาได้ฟัง
'อยากเป็น CIA ไหม'
'...'
'นายดูเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นนะ
ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ'
'เอ่อ คือผม'
ประโยคราวกับเชิญชวญให้เข้าไปทำงานด้วยนั้นสร้างความประหลาดใจให้เซฮุนเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกถึงความโลดแล่นในอก อยากจะถามไถ่ว่าควรทำอย่างไรถึงจะได้เข้า CIA แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงในคนแปลกหน้ามันมีมากกว่า
ในต่างที่ต่างถิ่นแบบนี้โอเซฮุนไม่อยากจะไว้ใจใครทั้งสิ้น
และนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆให้เด็กหนุ่มกลับมาคิดทบทวนตัวเองอีกครั้ง
พอมีความคิดว่า 'ถ้าเขาเป็น CIA จริงๆคงเท่เป็นบ้า' มันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างอย่างให้ฝันของตัวเองเป็นจริง
4 เดือนก่อนเซฮุนได้มีโอกาสแข่งขันเขียนโปรแกรมต่อต้านแฮกเกอร์ระดับประเทศ
ต้องยอมรับในความหลักแหลมของตัวเองที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้
และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้เจอกับชายคนนั้นอีกครั้ง
เจอกันในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง
'เจอกันอีกแล้วนะ' คราวนี้ชายร่างสูงคนนั้นพูดเป็นภาษาเกาหลี
'ฉันชื่อปาร์คชานยอล'
เซฮุนประหลาดใจเล็กน้อยที่ชายหนุ่มทีเขาเจอครั้งแรกที่สหรัฐเป็นคนเกาหลี
ลดระดับสายตาลงมองมือที่ยื่นมาหวังสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับกระชับพอเป็นพิธี
'โอเซฮุนครับ'
'ฉันจะถามนายอีกครั้งนะ
อยากเป็น CIA หรือเปล่า'
มีคนเคยบอกว่าอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป
นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้รับโอกาสดีๆ และโอเซฮุนจะไม่ยอมให้มันหลุดลอยไปอีก
งานแรกสำหรับการเริ่มต้นเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษผ่านไปด้วยดี
เซฮุนมีหน้าที่แฮกเข้าระบบ และเจาะข้อมูลที่อาจส่งผลในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
เขาทำหน้าที่ได้ดีเสียจนได้รับคำชมไม่ขาดปาก
ถึงแม้ในช่วงแรกจะต้องก้าวผ่านความกดดันจากคนรอบข้าง และจากตัวเองมาอย่างยากลำบาก
และงานที่สองที่ได้รับมอบหมายทำให้เซฮุนมองไม่เห็นทางข้างหน้า
แสงสว่างเจิดจ้าเบื้องหน้าค่อยๆหรี่ลงและเหลือเพียงความมืดเมื่อเขาสืบค้นข้อมูลของบุคคลหนึ่งผู้เป็นหนึ่งในรายชื่อในเอกสาร
คิมไค
มีข้อสันนิษฐานว่าชายคนนี้ทำการค้าอาวุธเถื่อนรวมไปถึงยาเสพติดรายใหญ่ให้กับสหรัฐอเมริกา
นั่นเป็นเหตุที่ปาร์คชานยอลและโอเซฮุนยังไม่ถูกเรียกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ในเวอร์จิเนีย
ยิ่งสืบคดีนี้มากเท่าไหร่
ความสว่างไสวจากปลายทางกลับริบหลี่
ยิ่งได้ข้อมูลและความจริงที่เปิดเผยขึ้นมาเรื่อยๆทำให้ใจดวงน้อยค่อยๆแตกสลาย
เขาไม่อยากจะเชื่อ
ไม่อยากจะยอมรับว่าคิมไคจะสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่และสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเองขนาดนี้
ไม่อยากจะเชื่อว่า คิมไคและคิมจงอิน... คือคนๆเดียวกัน
×
"ขลุกอยู่กับสายสืบทั้งวันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกนั้นหยุดหาตัวมึงหรอกนะคิมไค"
"อย่าใช้ชื่อนั้นเรียกกู"
"แล้วจะเอายังไงต่อ
ยังของล็อตสุดท้ายก็ต้องส่ง" สายตาคมตวัดขึ้นมองใบหน้าสวยเฉี่ยวเกินกว่าผู้หญิงหลายๆคนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
"มึงตกลงกับกูแล้วนะ
ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ" จงอินส่ายหน้าหน่ายๆให้กับเพื่อนสนิทที่พยักหน้ารับอย่างไม่ยี่หร่ะ
"น่าเสียดาย
จะอำลาวงการนี้จริงๆเหรอเพื่อน สิ่งที่ได้ทั้งเงิน.. และอำนาจ"
นานแค่ไหนแล้วที่ชายหนุ่มยื่นขาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตพวกนี้
ไม่มีใครรู้เบื้องหลังความสำเร็จของนักธุรกิจใหญ่โตอย่างคิมจงอิน
เด็กธรรมดาๆที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังไม่จำความได้
เติบโตมาในสังคมที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
ปมในวัยเด็กทำให้เขาอยากรวยและมีอำนาจเพื่อทำให้สังคมของชนชั้นต่ำที่โสมมนั้นดีขึ้น
จนกระทั่งในคืนหนึ่ง
ความบังเอิญทำให้เด็กน้อยผิวสีน้ำผึ้งได้พบกับโลกมืดและจำต้องเข้าไปเกี่ยวพันอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้
'ใครปล่อยให้ไอเด็กนี่เข้ามาในนี้ได้' ร่างผอมแห้งของเด็กวัย10ขวบถูกลากไปกลางวงสนทนาอย่างถูลู่ถูกัง
จงอินรู้สึกว่านี่คงเป็นจุดจบในชีวิตของเขาแล้ว เมื่อมองไปรอบด้านโลหะสีดำขลับก็จ่อมาที่เขาเป็นทางเดียว
นิ้วชี้พร้อมจะลั่นไกลทุกเมื่อแม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยตาดำๆ
เข้าใจแล้วว่าความอยากรู้อยากเห็นนำมาซึ่งความหายนะยังไง
เขาตามชายคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าประจุเงินสดเป็นฟ่อนมาด้วยความไคร่รู้
บรรยากาศในโกดังไม่แตกต่างจากในละครที่เคยดูมากนัก
เขาไม่ได้ยินว่าพวกนั้นคุยอะไรกัน และในจังหวะที่ขยับตัวเข้าไปใกล้
ลังซึ่งเรียงซ้อนกันสูงหลายชั้นก็ล้มลงมา
นั่นเป็นเหตุให้เขาต้องมานั่งเกร็งอยู่ตรงนี้
'ฆ่ามันเลยมั้ยครับท่าน'
ข้างขมับที่ถูกความเย็นจากปลายกระบอกปืนกดลงมาอย่างแรงจนรู้สึกปวดหัว
'ยังก่อน
ฉันรู้สึกถูกชะตากับเด็กนี่' ชายวัยกลางคนย่อตัวก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจดี
ราวกับต้องการจะปลอบประโลมเด็กน้อย 'ชื่ออะไร
แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไง'
'ผม.. คือผม' ริมฝีปากหนาลั่นระริกด้วยความกลัว
แม้ชายคนนั้นจะสั่งให้ลูกน้องเอาปืนออกไปแล้ว
'บอกฉันมาสิ
ว่าเธอต้องการอะไร'
'ถ้าผมบอก
คุณจะให้ผมจริงๆเหรอ' แววตาเด็กน้อยเป็นประกาย
คุณลุงใจดีจะให้ส่งที่เขาต้องการ
'ว่าไงล่ะ
อยากได้อะไร'
'เงิน!! ผมอยากได้เงิน
ผมอยากเป็นใหญ่ในประเทศนี้' เสียงหัวเราะดังครืนสร้างความงุนงงให้กับเด็กที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยความหวัง
'ฮ่าๆๆๆ
ฉันชอบเด็กนี่จริงๆ อยากรวยอยากมีอำนาจอย่างนั้นหรือ มาอยู่กับฉันสิ' ดวงตาใสแป๋วด้วยไม่รู้ประสาและขาดความคิดตรึกตรอง
ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อคนแปลกหน้าเอ่ยชวนให้ไปด้วย
เพราะสิ่งที่คาดหวังเป็นแรงจูงใจ มือน้อยๆเอื้อมไปวางบนฝ่ามือใหญ่หยาบกร้าน
และนั่นเป็นจุดที่พลิกชีวิตของเด็กน้อยคิมจงอินไปตลอดกาล
พอโตมาเขาก็ได้รู้แล้ว
เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหน มันก็โสมมไม่ต่างกันเลย
.
.
โอเซฮุนไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่
เขาไม่เคยขาดสติและไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้มาก่อน ในวินาทีที่เขากลับมาที่โซล
รุ่นพี่ชานยอลมองเขาอย่างมีความหวังว่าจะได้ข้อมูลกลับมา
แต่โอเซฮุนเลือกที่จะปิดปากเงียบ
"รู้อะไรมั้ยเซฮุน
ว่าพวกเรากำลังถูกทดสอบอยู่
เราถูกส่งมาเพื่อสืบว่าคนที่มีอำนาจและคอยหนุนหลังพวกที่ต่อต้านประธานาธิบดีคือใคร
และมันคือคนในประเทศบ้านเกิดของเรา พี่รู้ว่านายหาคนๆนั้นเจอแล้ว
แต่ทำไมนายถึงไม่บอกพี่ล่ะเซฮุน"
"ผม... ไม่รู้"
กลีบปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันแน่น
พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาที่ตีรื้นไหลออกมา เซฮุนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
หน้าที่การงานมันค้ำคอและความรักที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้มันช่างมีอิทธิพลต่อจิตใจ
"ที่นายไม่บอก
ก็เพราะคนๆนั้นคือคนรักของนายใช่มั้ยเซฮุน
เพราะคนๆนั้นเป็นคิมจงอินนายถึงได้ขาดสติขนาดนี้ แยกแยะหน่อยสิเซฮุน!!"
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด
ไม่ใช่เพราะเสียงตะคอกแต่เป็นเพราะความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ เขาอยากจะตะโกนออกไปดังๆว่าทุกคำพูดของอีกคนมันคือความจริง
"คืนพรุ่งนี้เราจะไปจับตัวคิมจงอินที่จีน
พวกเขามีการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน และนายจะต้องอยู่ที่นั่นด้วย"
"แบคฮยอน"
"ว่าไงนะ"
เด็กหนุ่มอยากจะยิ้มเยาะออกมาเมื่อเห็นแววตาสั่นไหวของรุ่นพี่
แล้วก็หัวเราะให้กับความน่าสมเพสของตัวเองด้วย
โอเซฮุนน่าจะรู้อยู่แล้วว่านอกจากเขาแล้วต้องมีคนอื่นอีกที่สืบหาเรื่องนี้อยู่
ในเมื่อทุกอย่างก็ถูกเปิดโปงแล้วเขาก็จะเชื่อมโยงคนที่เกี่ยวข้องให้หมด
"แบคฮยอนมีส่วนสำคัญในการค้าอาวุธเถื่อนให้กับกลุ่มต่อต้านในสหรัฐเหมือนกัน
คราวนี้พี่จะทำยังไง"
"ถึงมันเป็นเรื่องจริงก็ไม่มีประโยชน์
เราได้รับคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นให้หมด"
ไม่รู้เลย
เซฮุนไม่เคยรู้เลยว่างานที่เขาทำอยู่มันถูกต้องแล้วหรือไม่
ปกป้องความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจ
ทำงานด้วยความภักดีและถูกส่งมาเพื่อให้ทำลายคนในประเทศเดียวกัน
ทำลายคนที่เขารัก
×
บยอนแบคฮยอนไม่เคยกระสับกระส่ายขนาดนี้มาก่อน
ถึงแม้จะเคยมาส่งของด้วยตัวเองหลายครั้งแล้ว
แต่ครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำเรื่องเลวร้ายในชีวิต
แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกใจไม่ดีขนาดนี้
"แน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปด้วย"
"แน่ดิ
คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" จงอินส่งสายตาเอือมๆให้เพื่อนตัวเล็ก
ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่เขารู้สึกอยากถอนหายใจใส่ตั้งแต่ลงจากเครื่องมาเหยียบจีนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้
"ไร้สาระ"
"ทำไมรู้สึกตื่นเต้นงี้นะ
กูจะได้ดูหนังบู๊สดๆใช่ปะ แล้วกูจะโดนลูกหลงมั้ยอ่ะ ไปหาเกาะกันกระสุนมาใส่ดีกว่า"
"อย่าเวอร์ให้มาก... ไปได้เวลาแล้ว"
1
ทุ่มตรงหญิงสาวในชุดเดรสสีพาสเทลก็เข้ามาในโกดังข้างโรงงานแห่งหนึ่ง
ลังบรรจุของถูกเปิดออกพร้อมกับสีหน้างุนงงที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สังเกตการณ์อยู่
ในกล่องนั้นไม่ใช่ของที่ควรจะเป็น ไม่มีอาวุธหรืออะไรก็ตามที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อประเทศชาติได้เลย
“เอายังไงดีครับคุณชานยอล”
“รอดูไปก่อน”
เซฮุนไม่เคยรู้สึกอึดอัดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เขาเตือนจงอินแล้วว่าอย่ามาที่นี่แต่คนรักก็ไม่ฟังกันเลย
บอกเพียงแต่ว่าให้เชื่อใจกัน ใช่... เขาเชื่อใจผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ
แต่ถ้าหากว่าข้อสันนิษฐานที่ว่าคิมจงอินคือคนๆเดียวกับคิมไค
ข้อมูลที่ได้คือคิมไคจะมีการแลกเปลี่ยนอาวุธสังหารและระเบิดที่โกดังแห่งนี้เวลาประมาณ
1 ถึง 2 ทุ่ม และเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคิมจงอินจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“ในกล่องนั่นมีแต่ตุ๊กตานะครับ”
“มันอาจจะเอาตุ๊กตานั่นบังของเอาไว้ก็ได้”
โครม!!
ทุกสายตาหันไปจับจ้องทีต้นตอของเสียง
คิมจงอินยกกล่องลังขึ้นและเทของในลังออกจนหมด
เขาทำอย่างนี้ตั้งแต่กล่องแรกจนถึงกล่องสุดท้าย
ตุ๊กตาน่ารักนับร้อยตัวนอนเรียงรายอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้
“เอาล่ะ
หมดเวลาสนุกแล้ว ออกมาซักทีสิหน่วย CIA จอมปลอม” เสียงทุ้มต่ำแผดลั่นอย่างไม่เกรงกลัว
หญิงสาวที่มาเปิดกล่องให้ดูตุ๊กตาสุดแสนจะน่ารักภายในกล่องหิ้วเงินค่าจ้างแล้วเดินออกไป
ราวกับตนเองมาที่มีเพื่อเป็นตัวประกอบในฉากนี้เท่านั้น
“นี่มันอะไรกันโอเซฮุน”
“ทำไมพี่ถึงหันมาถามคำถามแบบนั้นกับผมกันล่ะ”
ผิดหวัง
เซฮุนรู้สึกผิดหวังมากที่รุ่นพี่ชานยอลหันมามองเขาราวกับเรื่องทั้งหมดมันผิดพลาดไปเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ
“ออกมาสิปาร์คชานยอล
อยากจะจับพวกฉันไม่ใช่เหรอ พวกฉันคือคนที่ค้าอาวุธเถื่อนให้กับกลุ่มต่อต้านเพื่อจะได้ไปถล่มพวกสหรัฐยังไงล่ะ”
แบคฮยอนแค่นหัวเราะก่อนจะหยิบตุ๊กตาลายสิงโตที่ปักหน้าปักตาราวกับถอดแบบเขาออกมา
“ด้วยไอ้นี่น่ะ”
ถ้าถามว่าปาร์คชานยอลรักบยอนแบคฮยอนมากแค่ไหนก็คงตอบได้อย่างเต็มปากว่ามาก
แต่ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับความรักเขาก็พร้อมที่จะทิ้งความรัก
และปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ ยังไงคนผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ
คนที่ทำความผิดระดับประเทศไม่ควรมีที่ยืนในสังคมนี้
“นายคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่แบคฮยอน
สนุกมากหรือไง!!”
มันน่าตลกสิ้นดีตอนที่ชานยอลถลาออกไปจากที่ซ่อนแล้วเขย่าตัวแบคฮยอนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับตะโกนใส่หน้าคนตัวเล็กไม่หยุด
“หยุดบ้าซักทีชานยอล”
จงอินกระชากคนรักของเพื่อนที่เหมือนจะไร้สติไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ให้ออกห่างจากเพื่อนของเขา
“ถ้าอยากจะจับตัวคนร้ายตัวจริงล่ะก็ 4 ทุ่มคืนนี้ให้มาที่นี่อีกครั้ง”
“เกิดเรื่องบ้าบอแบบนี้ฉันจะเชื่อนายได้ยังไงคิมจงอิน”
ชานยอลใช้เท้าเขี่ยตุ๊กตาให้ออกไปจากบริเวณ “นายคือคิมไค
นายมันไม่ใช่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยความสุจริต
นายกำลังทำให้ประเทศชาติต้องเสื่อมเสีย”
“ถ้าฉันเลวขนาดนั้นก็จับฉันซะเลยสิ”
เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งยื่นข้อมือทั้งสองข้างให้ CIA หนุ่ม “แต่ดูเหมือนว่านายจะจับฉันไม่ได้นะ ไหนล่ะหลักฐาน”
“เชื่อเขาเถอะชานยอล
ถือว่าฉันขอร้อง ช่วยกำจัดคนๆนั้นออกไปชีวิตของเพื่อนฉันที”
“หมายความว่าไง”
“หมายความว่าเพื่อนของฉันไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเลวๆแบบนั้นได้ด้วยตัวเองน่ะสิ”
×
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ
ผมงงไปหมดแล้ว” เซฮุนยื่นสมาร์ทโฟนเครื่องหรูให้คนรักดูด้วยความงุนงง
“เมื่อไหร่คุณจะเล่าความจริงให้ผมฟังซักที”
ร่างหนามองหัวข้อข่าวจากหน้าจอเพียงชั่วครู่ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกจากมือเซฮุนแล้วปิดจอสกรีนลง
จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วพลิกตัวคนรักให้มองออกไปริมระเบียง วิวธรรมชาติเบื้องหน้าสวยเกินกว่าจะละสายตา
แต่เชื่อเถอะว่าคนตรงหน้าทำให้คิมจงอินไม่อยากที่จะมองมันเท่าไหร่นัก
“ฉันพานายมาที่นี่
ไม่ใช่เพื่อให้นายมาถามเรื่องพวกนี้หรอกนะ”
แรงกระชับกอดรอบเอวบางและคางผ่ามากเสน่ห์ที่วางอยู่บนลาดไหล่ของเขาไม่ได้ทำให้ความสงสัยจางหายไปเลย
ในคืนนั้นตอน 4 ทุ่มเซฮุนไม่ได้กลับที่นั่นอีกครั้งกับชานยอล
เขาโดนจงอินลากออกไปแล้วประกาศกร้าวว่าโอเซฮุนจะลาออกจากงานนี้
ทั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้ถามความเห็นจากเขาเลยซักนิด
เรามาถึงที่นี่พร้อมกับข่าวพาดหัวใหญ่ในเกาหลีใต้ที่ว่า ‘จับได้แล้วเจ้าพ่อค้าอาวุธเถื่อนผู้มีนักการเมืองมากอำนาจคอยหนุนหลัง’
“ผมอยากรู้ความจริงนี่
ผมเจาะข้อมูลเข้าระบบเพื่อจะสืบหาข้อมูลของคุณ... ไม่สิคิมไค
แต่คิมไคกับคุณก็คือคนเดียวกัน แต่คุณกลับไม่ใช่คนที่ทำ ผมงงไปหมดแล้ว”
“ทำไม
ถ้าเป็นฉันจริงๆนายจะจับฉันส่งพวกนั้นลงเหรอ”
“ถ้าผมจะทำจริงๆ
ผมคงไม่บอกคุณหรอกว่าพี่ชานยอลจะพาคนไปฆ่าคุณน่ะ”
ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อคนรักทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่
จงอินจำได้ดีวันที่เซฮุนมาที่ทำงานของเขาด้วยท่าทีร้อนรน
พร้อมกับอ้อนวอนขอไม่ให้เขาไปจีนเพราะกลัวว่าเขาจะตาย
พอไล่ต้อนถามจนเด็กน้อยจนมุมก็ได้คำตอบว่าเซฮุนกำลังทำงานอะไร ซึ่งเรื่องนั้นจงอินรู้อยู่แล้ว
แต่ข้อมูลอย่างหนึ่งที่เด็กตัวผอมบอกมาและเขาไม่เคยรู้ทำให้ชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้า เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นเรื่องผิด
การค้าอาวุธเถื่อนเป็นเบื้องหลังและที่มาซึ่งความสำเร็จของคิมจงอิน เด็กในวัย 15
ถูกสั่งสอนว่าการทำแบบนี้จะทำให้รวยเร็ว และมีอำนาจมากมาย
จนกระทั่งเขาได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทยักใหญ่ระดับประเทศในช่วงอายุเพียง 20 ต้นๆ
ธุรกิจด้านมืดยังคงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีทางที่จะถูกจับได้เพราะมีนักการเมืองคอยหนุนหลัง
ชายหนุ่มเกือบที่จะหลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยุรอบตัว
เด็กยากไร้ที่ไม่เคยมีอะไร ตอนนี้มีทั้งเงินและอำนาจล้นมือ
เขาเกือบจะลืมว่าเด็กในวัย 10 ขวบต้องการจะมีเงินและอำนาจเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น
แต่ที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการทำลายประเทศชาติ
จงอินไม่รู้ว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อตั้งแต่ได้รับอุปการะทำการค้าขายกับใคร
แต่สิ่งที่รู้คือเขาไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่จงอินในวัย 10
ขวบหวังไว้ ผู้มีอำนาจที่เบื้องหน้าทำสิ่งดีๆให้กับสังคม
ช่วยเหลือสังคมแต่เบื้องหลังเน่าเฟะ
ทั้งหมดก็แค่พยายามปิดกลิ่นเน่าไม่ให้คนอื่นรับรู้
ข้อมูลที่ได้รู้จากเซฮุนคือ
คนที่รับซื้ออาวุธทั้งหมดเป็นผู้มีอำนาจในเกาหลีเหนือ
แล้วอย่างนี้คิมจงอินต่างอะไรกับกบฏ ที่ขายอาวุธให้กับประเทศที่จ้องจะทำลายประเทศตนเอง
ในคืนนั้นที่จีน คนที่เขาเรียกว่าพ่อเกือบ 20 ปีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องถูกฆ่า
แน่นอนว่าหากเป็นอย่างนั้นทางสหรัฐคงสบายใจที่เห็นนักธุรกิจที่ค้าอาวุธเถื่อนเป็นรายใหญ่ระดับประเทศได้ตายลง
แต่ทว่าแท้จริงแล้ว มันยังดำเนินต่อไปเพราะคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังยังคงอยู่
ใช่...
ไอ้แก่นั่นรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งตัวเองจะต้องโดนเก็บที่ทำธุรกิจด้านมืดแบบนี้ จึงใช้เขาออกหน้าแทน
พอวันนึงที่เรื่องทุกอย่างแดงขึ้นมา หน่วยงานรักษาความมั่นคงของชาติจากประเทศต่างๆก็พุ่งเป้ามาที่เขา
และคิมจงอินก็เป็นคนที่จะต้องตายแทน ในวันที่อยากจะเลิกราก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว คิมจงอินเกือบจะตายไปอย่างไร้ค่าหากคิดแผนตลบหลังคนที่เลี้ยงเขาเอาไว้เพื่อรอวันเชือดไม่ทัน
“มีอีกอย่างที่ผมอยากรู้”
เด็กหนุ่มเอี้ยวหน้าหันไปมองคู่สนทนา “ทำไมวันนั้นคุณถึงพูดว่า CIA จอมปลอม”
“โธ่เด็กน้อย” จงอินปัดหน้าม้าที่ลงมาบดบังแววตากลมสวยของคนรักออก
“นายเคยไปสำนักงานใหญ่ที่เวอร์จิเนียซักครั้งมั้ยล่ะ”
โอเซฮุนส่ายหน้าน้อยๆ
พร้อมกับใบหน้าเหงาหงอย เรียกรอยยิ้มของจงอินให้ปรากฏขึ้นด้วยความเอ็นดูอย่างไม่อาจห้ามได้
“นายโดนนักการเมืองบ้าอำนาจหลอกเข้าแล้ว
พวกนั้นก็แค่อยากได้คนมีฝีมือมาทำงานให้ แต่ใช้ชื่อ CIA เป็นข้ออ้างเพื่อให้คนสนใจก็เท่านั้น”
“แล้วที่ผมทำไปทั้งหมดมันเพื่ออะไรล่ะ”
“ก็เพื่อช่วยพวกมันให้กำจัดคู่แข่งที่มีอิทธิพลได้ง่ายไงล่ะ”
“แย่ชะมัด
ทำไมพี่ชานยอลต้องชวนผมเข้าหน่วยงานปลอมๆนั่นด้วย” จงอินหลุดหัวเราะน้อยๆ
เมื่อได้ฟัง ก่อนจะพยักหน้ารับให้กับคำถามถัดไป “งั้นคนที่จับคนร้ายได้คือ CIA ตัวจริงงั้นหรอ”
“ใช่”
“คุณแกล้งผมหรือเปล่าเนี่ย”
“ช่างเรื่องบ้าบอคอแตกนี่ไปเถอะน่า
บอกฉันก่อนว่านายจะอยู่ที่นี่กับฉัน”
คิมจงอินเลือกที่จะกลับไปใช้ความคิดในตอน
10 ขวบเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง และทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการตอนนั้น
เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดในชีวิตที่เขามีบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สร้างบ้านและโรงเรียนในที่กันดารและไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ
ขายหุ้นและกิจการทั้งหมดจนเรียกได้ว่าเขาแทบจะไม่ต่างอะไรกับบุคคลล้มละลาย ชายหนุ่มมีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือบ้านหลังนี้ที่เขาสร้างขึ้นเป็นที่ส่วนตัวเอาไว้พักผ่อนจากเรื่องเครียดๆ
และเงินอีกก้อนหนึ่งที่เพียงพอสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่
ชีวิตเล็กๆที่คงต้องเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานในตำแหน่งที่เงินเดือนต่ำสุด แต่นั่นก็สมควรแล้ว
เขาไม่มีอะไรติดตัวมา และของนอกกายที่ได้มาจากการทำงานทุจริตพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะได้รับ
ในตอนนี้คนมากมายทั่วประเทศที่รู้จักเขาในนามผู้บริหารหนุ่มผู้มากความสามารถ
คงได้แต่ด่าว่าเขาโง่ ที่เคยอยู่สูงเฉียดฟ้าเกินเอื้อมถึง แต่ตอนนี้ดึงตัวเองลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
แต่จงอินไม่สนหรอก นี่คือสิ่งที่เขาควรจะเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ตอนนี้ฉันจน
ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว นายจะยังอยากอยู่กับคนอย่างฉันอยู่ไหมเซฮุน”
“ผมไม่เคยรักคุณที่หน้าที่การงานของคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผมรักในตัวตนของคุณจริงๆ” เด็กหนุ่มพลิกตัวเข้าหาเจ้าของร่างกายอบอุ่น
คนที่เขารักหมดหัวใจ “ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะผ่านอะไรมา แต่เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”
ตลอดชีวิตเกือบ
30 ปีที่ผ่านมานี่คงเป็นเรื่องดีๆเรื่องแรกในชีวิตของคิมจงอิน
ชายหนุ่มรู้แล้วว่าต่อให้มีเงิน มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน
มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่มืดบอดในโลกใบนี้ได้
โอเซฮุนคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาจริงๆ
“ฉันรักนายโอเซฮุน”
เอ่ยจบประโยคความอุ่นร้อนก็เข้าครอบครองริมฝีปากสีชมพูสดอย่างไม่อาจห้ามใจ
ค่อยๆละเลียดชิมความอ่อนนุ่มด้วยความเผลอไผล ผละออกจากกันชั่วครู่
เพียงแค่ได้มองแววตาใสดุจแมวน้อยของคนในอ้อมกอด ก็ต้องรั้งท้ายทอยของอีกคนเข้ามาบดเบียดกลีบปากบางอีกครั้งอย่างไม่รู้จักพอ
เงิน ทอง อำนาจน่ะเหรอ
เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แค่โอเซฮุนเพียงคนมันก็มากเกินพอ มากเกินไปสำหรับคนอย่างคิมจงอินด้วยซ้ำ
END
เขียนไปเรื่อยๆแบบไม่มีพล็อตก็ออกนอกทะเลอย่างนี่แหละน้อ ;_;
ถ้ามันออกทะเลมากไปต้องขอโทษด้วยนะคะ เราจะพยายามให้มากกว่านี้ แล้วก็จะพยายามวางพล็อตก่อนเขียน TT
รับฟังคำติ และชมจากทุกคนนะ
ขอให้ทุกคนเที่ยวปีใหม่ด้วยความสนุกและระมัดระวังด้วยนะคะ <3
OS ทุกเรื่องเราขอใช้แฮชแท็ก
#คฮวันช็อต
O W E N TM.
ความคิดเห็น