ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ BETWEEN US ✖ [SF/OS l KAIHUN ft. EXO]

    ลำดับตอนที่ #10 : OS :: Catch Me If You Can

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 58


     

     

     

     

    กึก ๆ ๆ

     

    เสียงรองเท้าหนังสีดำมันเงากระทบกับพื้นกระเบื้องดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อหนุ่มสาวที่กำลังวุ่นวายกับงานของตัวเองเงียบลงและหันมาสนใจชายหนุ่มซึ่งย่างก้าวทุกจังหวะเข้ามาด้วยท่าทีสง่างาม บรรดาพนักงานตำแหน่งต่ำสุดไปจนถึงผู้มีตำแหน่งสูงๆต่างพากันยืนกุมมือไว้ด้านหน้าด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม... ยามที่ชายหนุ่มเดินผ่านใคร คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันค้อมศีรษะให้ ถึงแม้หลายๆคนจะอายุอานามมากกว่าชายหนุ่มก็ตาม

     

    เสื้อสูทจากแบรนด์ดังถูกยกกระชับให้เข้าที่ ผู้มีตำแหน่งประธานบริษัทอย่างคิมจงอินเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปอย่างไม่สนใจ เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ตอนที่เจอหน้าเขา ส่วนหลังจากนั้นน่ะหรอ..

     

    "ท่านประธานนี่เท่เป็นบ้าเลยเนอะ"

     

    "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอายุจะเข้าเลขสามแล้ว หล่อระเบิด"

     

    "เขาเป็นของฉันย่ะ!"

     

    ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ใช่เพราะคำพูดเพ้อเจ้อของพวกเธอทำให้รู้สึกพอใจ แต่ทว่าหากพวกเธอมัวแต่ฝันเฟื่องจนลืมเรื่องงานเมื่อไหร่ ท่านประธานคนนี้ก็พร้อมจรดปากกาด้ามแพงลงกระดาษและยืนซองขาวให้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ จงอินไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่จะไล่คนออกมั่วๆ จะเพ้อฝันขนาดไหนไม่เคยว่า เพียงแค่ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิ์ภาพและไร้ข้อบกพร่องก็เท่านั้น..

     

    จงอินรู้ดีว่าตัวเองฮอตขนาดไหน ไม่ใช่แค่เฉพาะภายในบริษัท แต่คนที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างรู้สมยานามของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดี

     

    'ชายหนุ่มรูปหล่อไฟแรงผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย'

     

    ...นั่นมันก็นานมากแล้วล่ะนะ

     

    ตอนนี้เขาอายุ 31 แล้ว แต่ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย เพราะตัวเลขไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคิมจงอินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยัง so damn hot กว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว ทั้งร่างกายที่กำยำกว่าช่วงวัยรุ่น ใบหน้าคมหล่อเหลาที่แม้รูปจมูกจะดูคดทู่ไปบ้าง ทว่าเมื่อรับกับดวงตาเฉี่ยวคมและริมฝีปากหนาทุกอย่างก็ไร้ที่ติ ผิวสีน้ำผึ้งยังเป็นความน่าหลงไหลอีกอย่างหนึ่งในตัวผู้ชายคนนี้... และอย่างที่ใครๆบอก ว่าผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้นก็จะยิ่งดูดีและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

     

    ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าคนหล่อๆและรวยอย่างคิมจงอินจะมีคนอยากเข้าหามากมายขนาดไหน

     

    "ท่านประธานคะ ดิฉันจองภัตตาคารให้เรียบร้อยแล้วนะคะ วีไอพีสองที่นั่งตามที่สั่งค่ะ"

     

    "ขอบคุณครับ ถึงเวลาแล้วให้คนขับรถของผมไปรับเด็กคนนั้นด้วย"

     

    "แล้วท่านประธานล่ะคะ" เลขาส่วนตัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทว่าในวินาทีต่อมาเธอก็ต้องเม้มริมฝีปากสีแดงสดพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย เมื่อสายตาคมปราบตวัดมองราวกับจะเตือนว่าเธอไม่ควรสงสัยในสิ่งที่เขาตัดสินใจ หรือโต้แย้งคำสั่งที่ผ่านการคิดตริตรองมาดีแล้ว

     

    "ผมจะขับรถไปเอง ไม่ต้องห่วง"

     

     

     

    .

    .

    ดวงตาเรียวสวยจ้องมองรูปร่างผอมบางของตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพินิจ กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดถูกติดจนครบทุกเม็ด จากนั้นเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูอ่อนก็สวมทับลงไป กระชับปกเชิ้ตให้เข้าที่ ในตอนสุดท้าย.. เมื่อน้ำหอมกลิ่นกุหลาบพรมไปตามแอ่งชีพจรจึงถือเป็นอันสิ้นสุด

     

    วันนี้จะต้องดูดีเป็นพิเศษ เพราะโอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก.. โอเซฮุนได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของประเทศอย่างคิมจงอิน พูดง่ายๆก็คือเขาถูกชวนไปดินเนอร์แบบเอ็กซ์คลุซีฟสุดๆกับจงอินยังไงล่ะ

     

    "เชิญครับ"

     

    ไม่คิดไม่ฝันว่ารถหรูที่อยู่เบื้องหน้าจะมาจอดเทียบหน้าอพาร์ทเม้นเพื่อรอรับตนเอง เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ พยายามเรียกสติและคิดตรึกตรองว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันคือเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความฝันกันแน่... ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาบังเอิญเดินชนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้า K ในตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงถึงคราวซวยแล้วแน่ๆ มิหนำซ้ำยังอาจจะโดนอัดจนน่วมก็ได้ที่บังอาจเดินไม่ดูตาม้าตาเรือไปชนกับท่านประธานคิมเข้าอย่างจัง บอดี้การ์ดร่างถึกตรงเข้ามาเตรียมกระชากคอทำเอาเซฮุนแทบลมจับ หลับตาปี๋สวดภาวนากับพระเจ้าว่าอย่าให้ไอ้ถึกนั่นจับตัวเขาเหวี่ยงออกไปจนกระดูกกระเดี้ยวหักเลย

     

    แต่ทุกอย่างกลับเกินความคาดหมาย เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงข้อศอกอย่างอ่อนโยน พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังก้องดังวานอยู่ในหู 'ไม่เป็นไรนะ?' เซฮุนลืมตาขึ้นมาก่อนจะเผลอกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าคมเข้มของคิมจงอินลอยเด่นอยู่ใกล้เพียงคืบ เด็กหนุ่มลมหายใจสะดุดเพราะรอยยิ้มเล็กๆที่ติดอยู่ตรงมุมปากของผู้ชายมากสเน่ห์

     

    เซฮุนไม่ได้สนใจหรือรู้จักกับผู้บริหารธุรกิจดังๆแม้แต่คนเดียว แต่สำหรับคนๆนี้ โอเซฮุนผู้ไม่สนใจใครยังต้องรู้จัก.. พระเจ้า ตัวจริงเขาช่างหล่อและดูดีมากจริงๆ

     

    จนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มยังคงคิดว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในวังวนแห่งความฝัน ทันทีที่พนักงานเปิดประตูออก ภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวและประดับประดาไปด้วยเทียนหอมสีสวย ยังมีชายหนุ่มผู้ดูภูมิฐานอีกคนหนึ่ง เซฮุนรู้สึกประหม่าทันทีเมื่อชายคนนั้นหันมาสบสายตาแบบพอดิบพอดี ทั้งท่าทางปรับเปลี่ยนไปนั่งไขว่ห้างพร้อมประสานมือไว้บนตักทำให้ใจดวงน้อยสั่นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้

     

    "นั่งก่อนสิ"

     

    "คือจริงๆแล้ว.." เซฮุนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แม้บริกรจะเลื่อนเก้าอี้ให้แล้วแต่เด็กหนุ่มก็ยังยืนอยู่อย่างนั้น "คุณแค่คืนกระเป๋าเงินผมมาก็พอ คือ..ผมประหม่าน่ะ"

     

    เด็กหนุ่มเอ่ยตามที่คิด แต่มันกลับทำให้จงอินนึกขำเสียอย่างนั้น

     

    "นายคงไม่แต่งตัวดูดีขนาดนี้เพื่อมาเอากระเป๋าอย่างเดียวหรอกมั้ง" จงอินยิ้มเมื่อดวงตาใสราวกับลูกแก้วสั่นไหวจนดูผิดสังเกต

     

    จับได้แล้ว...

     

    "กินข้าวกับฉันซักมื้อสิ" ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มหยัดตัวยืนขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปเลื่อนเก้าอี้เชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มที่ยืนเกร็งอยู่นานนั่งลงเสียที

     

    "คุณมักจะโชว์ป๋าแบบนี้กับทุกคนเลยเหรอ?"

     

    "หืม?" เซฮุนขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งตอนที่จงอินหันมายิ้มในขณะกำลังถอดสูทราคาแพงออกนั้น มันทำให้คนจ้องมองระหว่างรอคำตอบอยู่คิดไปในทางเดียวว่าผู้ชายคนนี้จงใจหว่านเสน่ห์ใส่ตนเองแน่ๆ

     

    "ผมหมายถึง คุณเลี้ยงข้าวคนที่คุณเก็บกระเป๋าเงินให้ทุกคนเลยหรอ"

     

    "เปล่าเลย นายคนแรก"

     

    "แล้วทำไม--"

     

    ประโยคคำถามที่สงสัยเอ่ยออกไปยังไม่ทันจบ ริมฝีปากสีชมพูสดจำต้องอ้าค้างเมื่อได้รับคำตอบที่ทำเอาคนฟังชะงักงัน

     

    "เพราะฉันสนใจนาย"

     

    พระเจ้า เขากำลังเล่นตลกอะไรกับคนที่หัวใจสั่นไหวอย่างเซฮุนอย่างนั้นหรอ ถ้าหากคนหล่อๆรวยๆมีวิธีสร้างความหรรษาให้ชีวิตตัวเองด้วยการเต๊าะคนไปทั่ว นั่นมันไม่สนุกเลยสำหรับโอเซฮุน

     

     

     

    .

    .

    "ช่วงสองสามเดือนมานี้เป็นอะไรครับคุณคิมจงอิน"

     

    "อะไร ก็ปกตินี่หว่า"

     

    "ตอแหล หน้ามึงดูอิ่มเอมเสียยิ่งกว่าเทวดาอิ่มทิพย์ แฮปปี้ไลฟ์มากไหม" ริมฝีปากบางเบะออกด้วยความหมั่นไส้ "รู้ปะว่ารอบๆตัวมึงมีบาเรียสีชมพูแผ่กระจายออกมาเต็มไปหมด"

     

    "ปัญญาอ่อน"

     

    บยอนแบคฮยอนแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรักผู้มีตำแหน่งเป็นถึงประธานบริษัท แต่กลับละสายตาออกจากกองเอกสารขึ้นมาเพื่อใช้ถ้อยคำแบบนั้นด่าทอกันเสียได้

     

    "อินเลิฟก็บอกมาดิ"

     

    "เออ ไม่ต้องหึงนะเบบี๋"

     

    คนตัวเล็กหัวเราะหึในลำคอให้กับความหลงตัวเองของพ่อหนุ่มนักธุรกิจ สาวเท้าเข้าไปหาก่อนจะเกี่ยวพันนิ้วเรียวสวยเข้ากับเนคไทเส้นงามพร้อมกับกระตุกดึงให้ผู้สวมใส่ขยับเข้ามาใกล้ จงอินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ใช่เพราะสงสัยในอากัปกิริยาของอีกฝ่าย แต่กำลังรอดูว่าเพื่อนตัวเล็กจะพ่นถ้อยคำแบบไหนใส่มากกว่า ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อปลายนิ้วเรียวอีกข้างซึ่งไม่ได้พัวพันอยู่กับเนคไทปาดเชยปลายคางผ่าขึ้นให้สบสายตากัน

     

    "ถึงมึงจะหล่อรวยล้นฟ้า.." ชายหนุ่มผิวแทนหลุดยิ้มร้ายให้กับท่าทางแมวยั่วสวาทที่ไม่ได้เห็นมานานทีเดียว "..แต่กูไม่สนใจมึงแล้ว"

     

    เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เนื่องจากรู้และเข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการสื่อเป็นอย่างดี และนี่เป็นประโยคเย้ยหยันที่น่าพอใจ เพราะมันหมายความว่าความอึดอัดที่ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่าง 'เพื่อน' จะหมดไปจริงๆเสียที.. บยอนแบคฮยอนเคยชอบจงอิน เป็นข้อเท็จจริงที่คนตัวเล็กต้องการให้เพื่อนคนนี้รู้ผ่านการแสดงออกและคำพูดอย่างชัดเจน ซึ่งจงอินรู้ดีว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมานานเพียงใด

     

    แม้ว่าแบคฮยอนจะน่ารักแค่ไหน ผิวขาวจัด ตัวเล็กน่าทะนุถนอมเพียงใด คิมจงอินก็ไม่อาจรู้สึกเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนได้เลย ถึงแม้ความสัมพันธ์ทางกายจะไปไกลมากแล้ว แต่ทว่าจงอินไม่เคยมีใจให้ แล้วคนที่ได้แต่ให้ความรักไปฝ่ายเดียวจะทำอะไรได้ นอกจากถอดใจ...

     

    "ทำธุรกิจเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางแต่ดันมีผัวเป็นตำรวจ"

     

    "เถอะน่า กูไม่ทำให้ท่านคิมจงอินเดือดร้อนหรอก อีกอย่าง ถ้าโดนจับขึ้นมาจะได้มีผัวคอยช่วยไง"

     

    "ให้มันแน่ ถ้าพวกมันเกิดสงสัยขึ้นมาจะยกพวกมาล่าหัวกูกันให้วุ่น"

     

    แฟ้มสุดท้ายถูกปิดลงหลังจากจรดปลายปากกาตวัดลายเซ็นอนุมัติเอกสารไปแล้วหลายต่อหลายแฟ้ม จากนั้นมันก็ลอยไปกองรวมกับตั้งเอกสารตั้งใหญ่ที่ผ่านการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ปล่อยตัวไปด้านหลังให้พนักพิงนุ่มๆเป็นที่รองรับพร้อมกับปิดตาลง ให้สายตาได้พักบ้าง แต่ทว่าจงอินทำแบบนั้นได้ไม่นาน เสียงใสซึ่งดังอยู่ไม่ห่างก็ทำให้เปลือกตาสีเข้มต้องเปิดขึ้นอีกครั้ง

     

    "ถ้าเผื่ออำนาจยิ่งใหญ่ที่มีอยู่เกิดถูกลิดรอนไป ก็ลองหาตัวช่วยโดยการ...“ แบคฮยอยเผยรอยยิ้มทะเล้น

     

     

     

     

     

    "มีเมียเป็นตำรวจเป็นไง?"

     

    จงอินรู้สึกได้ว่าตากระตุกหลายทีหลังจากฟังประโยคนี้จบ... ราวกับเป็น 'ลางสังหรณ์'

     

     

     

     

     

    x

     

     

     

     

     

    เสียงออดหน้าประตูดึงสติจากคนตัวบางให้ละความสนใจจากเอกสารเบื้องหน้า รอยยิ้มสดใสปรากฎขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าคนที่ยืนอยู่หลังประตูเป็นใคร รีบผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่ฝังตัวอยู่ตั้งแต่เช้า กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปเปิดประตู เมื่อเห็นว่าคนกดกริ่งเป็นคนในความคิดก็รีบโผเข้าหาจนผู้โดนกอดต้องรั้งเอวบางคอดนั้นไว้ไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน

     

    "คุณมาช้า"

     

    "มัวแต่แวะซื้อขนมมาให้เด็กแถวนี้" เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับโชว์ถุงขนมปังหลากหลายอย่างให้ดู จูบซับแก้มเนียนอย่างเอาอกเอาใจก่อนจะโดนงอนเสียก่อน

     

    "แค่ได้เจอคุณผมก็ดีใจแล้ว"

     

    "ปากหวาน"

     

    ประตูถูกปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังบางที่ทาบทับตามไป แรงบดเบียดจากกายหนาทำเอาคนตัวผอมแทบจมหายไปกับประตู ช้อนสายตามองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เลื่อยๆ เพียงเท่านั้นเซฮุนก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไป เปลือกตาสีอ่อนปิดลงเมื่อปลายคางถูกเชยขึ้น ได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอ แต่เซฮุนไม่กล้าลืมตามองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของผู้ชายอย่างคิมจงอิน ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เพียงแค่ชายหนุ่มอยู่เฉยๆก็สามารถทำให้คนมองหลงใหลได้อย่างง่ายดาย อย่างเช่นเซฮุนคนนี้เป็นต้น..

     

    รออยู่นานจนรู้สึกหวั่นใจจนต้องเปิดตาในที่สุด ในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากหนาโฉบลงมาครอบครองกลีบปากสีชมพูสดอย่างไม่ให้เจ้าของได้ทันตั้งตัว จงอินกลืนกลีบเนื้อนุ่มแสนหวานเนิ่นนานโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สร้างความวูบไหวให้คนที่ถูกขโมยลมหายใจได้ไม่น้อย แขนเรียวยกขึ้นรั้งคอแกร่งเพื่อไม่ให้ร่างอ่อนระทวยของตัวเองล่วงลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มยับยั้งชั่งใจอย่างหนักก่อนจะผละออกจากริมฝีปากที่เริ่มบวมหน่อยๆ เพราะไม่อยากให้อารมณ์บางอย่างตะเลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้หากพวกเขายังคงพะเน้าพะนอกันต่อไป

     

    "ไปกินขนมกัน" เอ่ยเสียงแผ่วแก้เขิน เพราะคนตรงหน้าไม่ยอมเอาหน้าคมเข้มออกไปห่างๆเสียที เห็นแก้มขาวเนียนขึ้นเลือดฝาดแล้วก็อดไม่ไหว กดจูบลงไปแรงๆหนึ่งทีก่อนจะยอมทำตามประสงค์ที่อีกคนต้องการ

     

    คนทั้งคู่พากันไปนั่งอิงแอบอยู่บนโซฟา นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่พวกเขาเลือกจะอยู่ด้วยกันในอพาร์ทเมนต์ของเซฮุน โดยไม่ได้ไปเดทตามที่ต่างๆอย่างที่ผ่านมา จะดูหนังฟังเพลง ดินเนอร์สุดหรู ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน หรือเพียงแค่เดินเล่นตามสวนสาธารณะก็ทำมาหมดแล้ว ยังมีที่มากมายที่ยังไม่เคยไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือทั้งสองแค่อยากใช้เวลาร่วมกัน เพราะฉะนั้นการขลุกอยู่ด้วยกันที่บ้านใครคนหนึ่งก็ถือว่าไม่เลว

     

    "เดี๋ยวผมเตรียมน้ำผลไม้ให้นะ"คนตัวผอมเอ่ยจบก็หายเข้าไปในห้องครัว ทิ้งให้จงอินกวาดสายตาสำรวจห้องส่วนตัวของเซฮุนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก

     

    ดูเหมือนกรอบรูปเรียงรายบนตู้โชว์จะดึงความสนใจจากชายหนุ่มร่างหนาได้ ทว่าเอกสารบนโต๊ะกระจกตรงหน้ามันกระจัดกระจายจนหนุ่มเจ้าระเบียบไม่อาจปล่อยผ่านไปเฉยๆ เก็บรวบรวมกระดาษพวกนั้นไว้ด้วยกันให้เรียบร้อย แต่ด้วยความที่เอกสารมีเยอะและในความไม่เป็นระเบียบนั้นทำให้ชีทปึกหนึ่งล่วงหล่นบนพื้น คนต้นเหตุไม่ได้มีท่าทีร้อนลนเขาเพียงแค่ก้มเก็บมันขึ้นมา และในตอนนั้นเองที่จงอินต้องชะงักงันอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง...

     

    หันกลับไปมองในครัวเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าของร่างผอมบางจะยังไม่เข้ามาในตอนนี้.. ก่อนจะถือวิสาสะเปิดอ่านข้อมูลในนั้นคร่าวๆ

     

    เอกสารระบุชัดเจนว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย สถานที่ที่คาดว่าคนเหล่านั้นจะใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากัน ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด อาวุธเถื่อน ของนำเข้าหลีกเลี่ยงภาษี รวมไปถึงสถานบันเทิงที่มีกิจกรรมการพนันเป็นหลักซึ่งเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รายชื่อบริษัทมากมายเตรียมถูกคณะกรรมการตรวจสอบเนื่องจากเปิดธุรกิจขึ้นมาเพื่อบังหน้ากิจการทุจริตที่ทำอยู่ .. แน่นอนว่ามันไม่มีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ของคิมจงอิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มวางใจได้เลย เพราะบุคคลลึกลับซึ่งดูเหมือนกำลังถูกสืบค้นประวัติอยู่นั้นจะเป็นคนใกล้ตัวเสียเหลือเกิน

     

     

     

     

    คิมไค...

     

     

     

     

    "ขอโทษที่ช้านะครับ ผมอยากคั้นเองแทนที่จะใช้น้ำผลไม้กล่อง" สัมผัสแผ่วเบาที่ไหล่กว้างเรียกสติจงอินให้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง รีบยัดเอกสารในมือให้รวมอยู่กับตั้งกระดาษที่เพิ่งเป็นคนจัดเรียงด้วยตนเอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคน แสร้งทำตัวปกติและพยายามไม่แสดงออกอะไรจนดูผิดสังเกต

     

    "ขอบคุณนะครับ"

     

    รับแก้วน้ำส้มที่คนรักตั้งใจคั้นให้ก่อนจะตวัดแขนแกร่งโอบรอบเอวบางคอด พูดไม่ผิดหรอก ทั้งคู่ตกลงคบหากันเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะเซฮุนไม่อาจต้านทานแรงตื๊อตลอดสองสามเดือนของพ่อหนุ่มนักธุรกิจไหว แล้วก็นั่นแหละ ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางใจ.. ชายหนุ่มยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยชมถึงความอร่อยของรสชาติ สร้างความพึงพอใจให้คนที่ตั้งใจคั้นน้ำผลไม้เองกับมือเป็นอย่างมาก แขนเรียวตวัดกอดรอบเอวหนาเอนศีรษะกลมซบบ่ากว้างเอาอกเอาใจ

     

    ก้มลงจูบกลุ่มผมนุ่มสลวยเป็นรางวัลในความน่ารัก จงอินชอบให้เซฮุนออดอ้อนแบบนี้ แต่ทว่าความคิดมากมายที่พรุ่งพร่านเข้ามาในหัวตอนพบเจอเอกสารพวกนั้นทำเอาชายหนุ่มใจสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยถามว่าเซฮุนกำลังทำงานอะไรอยู่ เพราะนั่นอาจทำให้คนตัวผอมคิดมากเรื่องหน้าที่การงานของตัวเอง เมื่อนำมาเทียบกับประธานบริษัทผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศอย่างเขา จงอินมีความคิดที่ว่าหากได้รักใครซักคนเขาจะไม่สนใจว่าต้นตระกูลของคนๆนั้นเป็นใคร มีฐานะเป็นอย่างไร เซฮุนดูไม่เหมือนคนที่อยากได้เขาจนตัวสั่นอย่างคนอื่นๆที่พร้อมจะกระโจนเข้ามาในชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ร่างบางดูสง่าราวกับคนชั้นสูงแม้จะเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดา ตลอดเวลาที่ได้รู้จักจงอินเห็นว่าเซฮุนทั้งฉลาดและเก่งในหลายๆด้าน และนั่นทำให้จงอินสนใจในตัวเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ.. สนใจ...ตั้งแต่แรกเห็นตอนบังเอิญเดินชนกัน ไม่รู้ประวัติตื้นลึกหนาบางใดๆทั้งสิ้น รู้เพียงนิสัยใจคอที่พยายามสังเกตตลอดสามเดือนและหัวใจ... ที่มีไว้เพื่อมอบความรักให้กันและกัน..

     

    อย่างนั้นใช่ไหม? หากจงอินไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว สายตาคมจ้องมองใบหน้าหวานแย้มยิ้มตลอดเวลาระหว่างคอยป้อนขนมให้อย่างเอาใจ โทรทัศน์ซึ่งฉายรายการตลกไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้.. ได้แต่มองคนตัวผอมที่แนบชิดอิงแอบไม่ห่างจากอกกว้างด้วยหัวใจที่เจ็บปราบอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

    "เซฮุนนา~"

     

    "หือ?"

     

    "ฉันอายุสามสิบเข้าไปแล้ว คงไม่โดนเด็กหลอกหรอกใช่มั้ย"

     

    ฝ่ามือหยาบเฝ้าลูบหลังเด็กน้อยในอ้อมแขนที่กระชับกอดเอวหนาแน่น แก้มเนียนถูอยู่กลางอกกว้างราวกับลูกแมวน้อย

     

    "ทำไมอยู่ๆก็ถามแบบนี้ล่ะ ผมไม่เคยคิดจะหลอกคุณเลยนะ" ยื้อตัวออกจากอ้อมกอดเล็กน้อยเพื่อให้มองใบหน้าหล่อเหลาได้ถนัด "อายุสามสิบอะไรกันไม่ถือว่าแก่ซักหน่อย คุณก็ยังหล่อขนาดนี้ หน้าที่การงานก็ดี ฐานะก็ดี... อีกอย่างคุณเป็นคนเข้าหาผมก่อนเองแท้ๆยังจะมาถามแบบนี้อีก คนบ้า"

     

    เซฮุนเอียงหน้าซบฝ่ามืออุ่นที่เลื่อนมาเกลี่ยแก้มเนียน ถึงแม้จะนึกน้อยใจในคำถามเมื่อครู่ที่ถามเหมือนไม่ไว้ใจกันเลย

     

    "มีแต่คนต้องการเข้าหาคุณมากมาย ผมเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ" จงอินเผยยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อริมฝีปากสีชมพูสดทำปากยื่นพูดประโยคยาวเหยียดซึ่งเต็มไปด้วยการตัดพ้อ "ผมต่างหากที่ต้องกลัวว่าจะถูกคนแก่หลอกเด็ก"

     

    "ฉันรักนาย โอเซฮุน" ไม่พูดเปล่า จงอินจรดริมฝีปากลงบนหลังมือขาว กดจูบหนักๆราวกับย้ำเตือนว่ามีเพียงคนๆนี้ที่ชายหนุ่มหลงรักจนหมดหัวใจ

     

    "ผมรักคุณจะแย่อยู่แล้วจงอิน.. เชื่อใจผมนะ"

     

    พยักหน้ารับถ้อยคำหวานที่ร้องขอให้เชื่อใจกัน แม้ในหัวยังคงสับสน... เชื่อได้ใช่ไหม? จงอินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทั้งหมดมันคือเรื่องจริง ทุกคำพูด ทุกการกระทำของเซฮุนที่แสดงออกมาตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันจนถึงวินาทีนี้มันคือเรื่องจริงใช่ไหม? หรือเซฮุนแค่หลอกล่อให้ติดกับดัก

     

    หากทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญและคนตัวผอมเป็นคนกำหนด เพราะข้อมูลในเอกสารบ่งบอกว่าเด็กคนนี้แค่เข้าหาเขาเพื่อต้องการจะรู้อะไรบางอย่าง แม้จะเป็นไปได้ยากที่จะรู้ตัวตนของบุคคลลึกลับ แต่ถ้าเซฮุนรู้แล้วว่าเป็นใครและกำลังตามหา..

     

    นั่นหมายความว่าเซฮุนยอมให้เขาเข้าไปในชีวิตได้อย่างง่ายดายเพราะมีจุดประสงค์ ไม่สามารถคิดไปในทางอื่นได้เลย เพราะบุคคลลึกลับคนนั้นชายหนุ่มรู้จักเป็นอย่างดีและเกี่ยวข้องกับคิมจงอินโดยตรง ไม่อยากคิดไปในแง่ที่ไม่ดีแต่ทว่าตรึกตรองอย่างไรมันก็พาให้คิดไปในทางนั้นตลอด หัวใจที่คิดว่าแข็งแกร่งดุจหินผาคงแหลกสลายหากว่าเซฮุนเข้ามาในชีวิตเขาด้วยเหตุนั้น เพื่อที่จะสืบค้นหาตัวคิมไค

     

     

     

     

    ไม่ใช่เพราะ.. ความรัก

     

     

     

     

    x

     

     


     

    เสียงริงโทนจากสมาร์ทโฟนเครื่องหรูแผดดังไปทั่วห้อง เรียกให้เจ้าของหยิบยกขึ้นมากดรับ ทว่ารายชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอทำให้เด็กหนุ่มตัวผอมเลือกที่จะคว่ำหน้าจอลงเพื่อให้เสียงนั้นเงียบไป

     

    "ทำไมไม่รับล่ะหืม" เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบอยู่ข้างใบหูมาพร้อมกับแรงกอดรัดที่ช่วงเอว

     

    "เสียงโทรศัพท์ทำให้คุณตื่นหรอครับ ขอโทษนะ"

     

    "มันก็ใช่ แต่ช่างเถอะ.. วันนี้ฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว ขลุกอยู่กับนายนานกว่านี้คงไม่ได้"

     

    เด็กหนุ่มหลับตารับสัมผัสแผ่วเบาข้างขมับ ก่อนจะเบียดตัวเข้าหาๆไออุ่นเมื่ออีกคนพลิกร่างเขาให้หันไปเผชิญหน้ากัน 1 สัปดาห์ที่จงอินพาเขามาที่นี่ เราใช้ชีวิตด้วยกันประหนึ่งคนรักที่เพิ่งผ่านประตูวิวาห์ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาได้รับความสุขมากมายเหลือเกินจนกลัวว่ามันจะหายไปเมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงบางอย่าง เจ้าของผิวแทนให้เพื่อนสนิทดูแลบริษัทแทนในระหว่างนี้ ส่วนเขาหลับหูหลับตาและมองข้ามสิ่งที่ควรจะทำ...

     

    โอเซฮุนกำลังละทิ้งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

     

    "คุณจะกลับไปทำงานจริงๆใช่ไหม?"

     

    "ใช่สิ ถามอะไรแบบนั้น" ยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มใสด้วยความที่ดูออกว่าเด็กตรงหน้ามีเรื่องให้กังวลใจอยู่ไม่น้อย

     

    "ผมกลัว... ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ผมรู้สึกกลัวจังเลยครับ"

     

    "กลัวอะไรบอกฉันสิคนดี"

     

    เด็กตัวผอมส่ายหน้าน้อยๆ เรื่องมากมายมันสุมอยู่ในอกยากเหลือเกินที่จะพูดออกมาให้คนตรงหน้าฟัง ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับคนที่เขารักโดยตรง กลัวเหลือเกิน เซฮุนกลัวเหลือเกินว่าจะทำลายชีวิตคนรักด้วยมือน้ำมือของตัวเอง เขาควรจะต้องทำยังไง

     

    เพราะเขาไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก

     

    จงอินกลับไปทำงานที่โซลตั้งแต่ช่วงสาย สองสามวันก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของชายหนุ่มดังไม่หยุดหย่อน ผู้บริหารใหญ่โตลางานเป็นอาทิตย์เพื่อมาอยู่กับเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างเขา เพียงเพราะเซฮุนเอ่ยปากขอร้อง จงอินไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วเขาทำงานอะไร

     

    เพ่งมองประวัติโทรเข้าซึ่งมากกว่าร้อยสายตลอด 1 สัปดาห์พรางไตร่ตรองอย่างหนักว่าควรจะทำอย่างไรดีต่อจากนี้ ส่งตัวคนรักให้กับคนในรายชื่อที่โทรเข้ามาเพื่อความถูกต้อง หรือจะละทิ้งความฝัน ละทิ้งอนาคตของตัวเองซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงเพื่อเจ้าของหัวใจ

     

    เป็นอีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขายังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะทำยังไง และเสียงแหลมของริงโทนก็ยิ่งเพิ่มความกดดันให้เด็กตัวผอมต้องตัดสินใจเลือก นิ้วโป้งขยับไปมาระหว่างปุ่มสีแดงและเขียวด้วยความสับสน และในท้ายที่สุดปุ่มสีเขียวก็ถูกสัมผัส

     

    (ฮัลโหล เซฮุนได้ยินมั้ย)

     

    "..."

     

    (เซฮุน)

     

    "คือผม... ขอโทษครับ"

     

    (ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน รู้มั้ยว่านายละทิ้งงานแบบนี้มันเกิดผลเสียต่อหน่วยงานแค่ไหน)

     

    "ผม..."

     

    (มาหาฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซฮุน CIA ไม่ได้ส่งเรามาที่นี่เพื่อให้เถลไถลและไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ ถ้ายังอยากอยู่ในหน่วยงานต่อก็แสดงให้เห็นศักยภาพของตัวเองเสียที หาให้ได้ว่าคนร้ายคือใคร)

     

    สายถูกตัดไปแล้ว น้ำเสียงเอกลักษณ์ของรุ่นพี่ชานยอลยังก้องกังวาลอยู่ในหู ย้อนกลับไปเมื่อ 5 เดือนก่อน โอเซฮุนกำลังยืนมองแผ่นป้ายบนบิลบอร์ดที่มีเนื้อหาที่พูดถึงซีรี่ย์เกี่ยวกับ CIA ในสหรัฐ มันเป็นอาชีพที่เขามองว่ามันเท่มากๆ และอยากจะเป็นในซักวันหนึ่ง และในวันนั้นเอง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เข้ามาสะกิดเขาและพูดสิ่งที่เกินความคาดหมายให้เขาได้ฟัง

     

    'อยากเป็น CIA ไหม'

     

    '...'

     

    'นายดูเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นนะ ทำอะไรเป็นบ้างล่ะ'

     

    'เอ่อ คือผม'

     

    ประโยคราวกับเชิญชวญให้เข้าไปทำงานด้วยนั้นสร้างความประหลาดใจให้เซฮุนเป็นอย่างมาก เขารู้สึกถึงความโลดแล่นในอก อยากจะถามไถ่ว่าควรทำอย่างไรถึงจะได้เข้า CIA แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงในคนแปลกหน้ามันมีมากกว่า ในต่างที่ต่างถิ่นแบบนี้โอเซฮุนไม่อยากจะไว้ใจใครทั้งสิ้น และนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆให้เด็กหนุ่มกลับมาคิดทบทวนตัวเองอีกครั้ง พอมีความคิดว่า 'ถ้าเขาเป็น CIA จริงๆคงเท่เป็นบ้า' มันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างอย่างให้ฝันของตัวเองเป็นจริง

     

    4 เดือนก่อนเซฮุนได้มีโอกาสแข่งขันเขียนโปรแกรมต่อต้านแฮกเกอร์ระดับประเทศ ต้องยอมรับในความหลักแหลมของตัวเองที่สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ และนั่นก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้เจอกับชายคนนั้นอีกครั้ง เจอกันในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง

     

    'เจอกันอีกแล้วนะ' คราวนี้ชายร่างสูงคนนั้นพูดเป็นภาษาเกาหลี 'ฉันชื่อปาร์คชานยอล'

     

    เซฮุนประหลาดใจเล็กน้อยที่ชายหนุ่มทีเขาเจอครั้งแรกที่สหรัฐเป็นคนเกาหลี ลดระดับสายตาลงมองมือที่ยื่นมาหวังสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับกระชับพอเป็นพิธี

     

    'โอเซฮุนครับ'

     

    'ฉันจะถามนายอีกครั้งนะ อยากเป็น CIA หรือเปล่า'

     

    มีคนเคยบอกว่าอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้รับโอกาสดีๆ และโอเซฮุนจะไม่ยอมให้มันหลุดลอยไปอีก

     

    งานแรกสำหรับการเริ่มต้นเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษผ่านไปด้วยดี เซฮุนมีหน้าที่แฮกเข้าระบบ และเจาะข้อมูลที่อาจส่งผลในเรื่องความมั่นคงของประเทศ เขาทำหน้าที่ได้ดีเสียจนได้รับคำชมไม่ขาดปาก ถึงแม้ในช่วงแรกจะต้องก้าวผ่านความกดดันจากคนรอบข้าง และจากตัวเองมาอย่างยากลำบาก

     

    และงานที่สองที่ได้รับมอบหมายทำให้เซฮุนมองไม่เห็นทางข้างหน้า แสงสว่างเจิดจ้าเบื้องหน้าค่อยๆหรี่ลงและเหลือเพียงความมืดเมื่อเขาสืบค้นข้อมูลของบุคคลหนึ่งผู้เป็นหนึ่งในรายชื่อในเอกสาร คิมไค มีข้อสันนิษฐานว่าชายคนนี้ทำการค้าอาวุธเถื่อนรวมไปถึงยาเสพติดรายใหญ่ให้กับสหรัฐอเมริกา นั่นเป็นเหตุที่ปาร์คชานยอลและโอเซฮุนยังไม่ถูกเรียกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ในเวอร์จิเนีย

     

    ยิ่งสืบคดีนี้มากเท่าไหร่ ความสว่างไสวจากปลายทางกลับริบหลี่ ยิ่งได้ข้อมูลและความจริงที่เปิดเผยขึ้นมาเรื่อยๆทำให้ใจดวงน้อยค่อยๆแตกสลาย เขาไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะยอมรับว่าคิมไคจะสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่และสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวเองขนาดนี้

     

    ไม่อยากจะเชื่อว่า คิมไคและคิมจงอิน... คือคนๆเดียวกัน

     

     

     

     

     

    ×

     

     

     

     

    "ขลุกอยู่กับสายสืบทั้งวันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกนั้นหยุดหาตัวมึงหรอกนะคิมไค"

     

    "อย่าใช้ชื่อนั้นเรียกกู"

     

    "แล้วจะเอายังไงต่อ ยังของล็อตสุดท้ายก็ต้องส่ง" สายตาคมตวัดขึ้นมองใบหน้าสวยเฉี่ยวเกินกว่าผู้หญิงหลายๆคนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

    "มึงตกลงกับกูแล้วนะ ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ" จงอินส่ายหน้าหน่ายๆให้กับเพื่อนสนิทที่พยักหน้ารับอย่างไม่ยี่หร่ะ

     

    "น่าเสียดาย จะอำลาวงการนี้จริงๆเหรอเพื่อน สิ่งที่ได้ทั้งเงิน.. และอำนาจ"

     

    นานแค่ไหนแล้วที่ชายหนุ่มยื่นขาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตพวกนี้ ไม่มีใครรู้เบื้องหลังความสำเร็จของนักธุรกิจใหญ่โตอย่างคิมจงอิน เด็กธรรมดาๆที่กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังไม่จำความได้ เติบโตมาในสังคมที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ปมในวัยเด็กทำให้เขาอยากรวยและมีอำนาจเพื่อทำให้สังคมของชนชั้นต่ำที่โสมมนั้นดีขึ้น

     

     

     

    จนกระทั่งในคืนหนึ่ง ความบังเอิญทำให้เด็กน้อยผิวสีน้ำผึ้งได้พบกับโลกมืดและจำต้องเข้าไปเกี่ยวพันอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้

     

    'ใครปล่อยให้ไอเด็กนี่เข้ามาในนี้ได้' ร่างผอมแห้งของเด็กวัย10ขวบถูกลากไปกลางวงสนทนาอย่างถูลู่ถูกัง จงอินรู้สึกว่านี่คงเป็นจุดจบในชีวิตของเขาแล้ว เมื่อมองไปรอบด้านโลหะสีดำขลับก็จ่อมาที่เขาเป็นทางเดียว นิ้วชี้พร้อมจะลั่นไกลทุกเมื่อแม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยตาดำๆ

     

    เข้าใจแล้วว่าความอยากรู้อยากเห็นนำมาซึ่งความหายนะยังไง เขาตามชายคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าประจุเงินสดเป็นฟ่อนมาด้วยความไคร่รู้ บรรยากาศในโกดังไม่แตกต่างจากในละครที่เคยดูมากนัก เขาไม่ได้ยินว่าพวกนั้นคุยอะไรกัน และในจังหวะที่ขยับตัวเข้าไปใกล้ ลังซึ่งเรียงซ้อนกันสูงหลายชั้นก็ล้มลงมา นั่นเป็นเหตุให้เขาต้องมานั่งเกร็งอยู่ตรงนี้

     

    'ฆ่ามันเลยมั้ยครับท่าน'

     

    ข้างขมับที่ถูกความเย็นจากปลายกระบอกปืนกดลงมาอย่างแรงจนรู้สึกปวดหัว

     

    'ยังก่อน ฉันรู้สึกถูกชะตากับเด็กนี่' ชายวัยกลางคนย่อตัวก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจดี ราวกับต้องการจะปลอบประโลมเด็กน้อย 'ชื่ออะไร แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไง'

     

    'ผม.. คือผม' ริมฝีปากหนาลั่นระริกด้วยความกลัว แม้ชายคนนั้นจะสั่งให้ลูกน้องเอาปืนออกไปแล้ว

     

    'บอกฉันมาสิ ว่าเธอต้องการอะไร'

     

    'ถ้าผมบอก คุณจะให้ผมจริงๆเหรอ' แววตาเด็กน้อยเป็นประกาย คุณลุงใจดีจะให้ส่งที่เขาต้องการ

     

    'ว่าไงล่ะ อยากได้อะไร'

     

    'เงิน!! ผมอยากได้เงิน ผมอยากเป็นใหญ่ในประเทศนี้' เสียงหัวเราะดังครืนสร้างความงุนงงให้กับเด็กที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยความหวัง

     

    'ฮ่าๆๆๆ ฉันชอบเด็กนี่จริงๆ อยากรวยอยากมีอำนาจอย่างนั้นหรือ มาอยู่กับฉันสิ' ดวงตาใสแป๋วด้วยไม่รู้ประสาและขาดความคิดตรึกตรอง ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อคนแปลกหน้าเอ่ยชวนให้ไปด้วย เพราะสิ่งที่คาดหวังเป็นแรงจูงใจ มือน้อยๆเอื้อมไปวางบนฝ่ามือใหญ่หยาบกร้าน และนั่นเป็นจุดที่พลิกชีวิตของเด็กน้อยคิมจงอินไปตลอดกาล

     

    พอโตมาเขาก็ได้รู้แล้ว เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหน มันก็โสมมไม่ต่างกันเลย

     

     

     

    .

    .

    โอเซฮุนไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ เขาไม่เคยขาดสติและไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้มาก่อน ในวินาทีที่เขากลับมาที่โซล รุ่นพี่ชานยอลมองเขาอย่างมีความหวังว่าจะได้ข้อมูลกลับมา แต่โอเซฮุนเลือกที่จะปิดปากเงียบ

     

    "รู้อะไรมั้ยเซฮุน ว่าพวกเรากำลังถูกทดสอบอยู่ เราถูกส่งมาเพื่อสืบว่าคนที่มีอำนาจและคอยหนุนหลังพวกที่ต่อต้านประธานาธิบดีคือใคร และมันคือคนในประเทศบ้านเกิดของเรา พี่รู้ว่านายหาคนๆนั้นเจอแล้ว แต่ทำไมนายถึงไม่บอกพี่ล่ะเซฮุน"

     

    "ผม... ไม่รู้" กลีบปากสีอ่อนเม้มเข้าหากันแน่น พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาที่ตีรื้นไหลออกมา เซฮุนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก หน้าที่การงานมันค้ำคอและความรักที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้มันช่างมีอิทธิพลต่อจิตใจ

     

    "ที่นายไม่บอก ก็เพราะคนๆนั้นคือคนรักของนายใช่มั้ยเซฮุน เพราะคนๆนั้นเป็นคิมจงอินนายถึงได้ขาดสติขนาดนี้ แยกแยะหน่อยสิเซฮุน!!"

     

    เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด ไม่ใช่เพราะเสียงตะคอกแต่เป็นเพราะความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ เขาอยากจะตะโกนออกไปดังๆว่าทุกคำพูดของอีกคนมันคือความจริง

     

    "คืนพรุ่งนี้เราจะไปจับตัวคิมจงอินที่จีน พวกเขามีการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน และนายจะต้องอยู่ที่นั่นด้วย"

     

    "แบคฮยอน"

     

    "ว่าไงนะ"

     

    เด็กหนุ่มอยากจะยิ้มเยาะออกมาเมื่อเห็นแววตาสั่นไหวของรุ่นพี่ แล้วก็หัวเราะให้กับความน่าสมเพสของตัวเองด้วย โอเซฮุนน่าจะรู้อยู่แล้วว่านอกจากเขาแล้วต้องมีคนอื่นอีกที่สืบหาเรื่องนี้อยู่ ในเมื่อทุกอย่างก็ถูกเปิดโปงแล้วเขาก็จะเชื่อมโยงคนที่เกี่ยวข้องให้หมด

     

    "แบคฮยอนมีส่วนสำคัญในการค้าอาวุธเถื่อนให้กับกลุ่มต่อต้านในสหรัฐเหมือนกัน คราวนี้พี่จะทำยังไง"

     

    "ถึงมันเป็นเรื่องจริงก็ไม่มีประโยชน์ เราได้รับคำสั่งให้ฆ่าทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นให้หมด"

     

    ไม่รู้เลย เซฮุนไม่เคยรู้เลยว่างานที่เขาทำอยู่มันถูกต้องแล้วหรือไม่ ปกป้องความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจ ทำงานด้วยความภักดีและถูกส่งมาเพื่อให้ทำลายคนในประเทศเดียวกัน

     

     

     

    ทำลายคนที่เขารัก

     

     

     

     

     

    ×

     

     

     

     

    บยอนแบคฮยอนไม่เคยกระสับกระส่ายขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้จะเคยมาส่งของด้วยตัวเองหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำเรื่องเลวร้ายในชีวิต แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกใจไม่ดีขนาดนี้

     

    "แน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปด้วย"

     

    "แน่ดิ คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" จงอินส่งสายตาเอือมๆให้เพื่อนตัวเล็ก ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่เขารู้สึกอยากถอนหายใจใส่ตั้งแต่ลงจากเครื่องมาเหยียบจีนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้

     

    "ไร้สาระ"

     

    "ทำไมรู้สึกตื่นเต้นงี้นะ กูจะได้ดูหนังบู๊สดๆใช่ปะ แล้วกูจะโดนลูกหลงมั้ยอ่ะ ไปหาเกาะกันกระสุนมาใส่ดีกว่า"

     

    "อย่าเวอร์ให้มาก... ไปได้เวลาแล้ว"

     

     

     

     

    1 ทุ่มตรงหญิงสาวในชุดเดรสสีพาสเทลก็เข้ามาในโกดังข้างโรงงานแห่งหนึ่ง ลังบรรจุของถูกเปิดออกพร้อมกับสีหน้างุนงงที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้สังเกตการณ์อยู่ ในกล่องนั้นไม่ใช่ของที่ควรจะเป็น ไม่มีอาวุธหรืออะไรก็ตามที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อประเทศชาติได้เลย

     

    “เอายังไงดีครับคุณชานยอล”

     

    “รอดูไปก่อน”

     

    เซฮุนไม่เคยรู้สึกอึดอัดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาเตือนจงอินแล้วว่าอย่ามาที่นี่แต่คนรักก็ไม่ฟังกันเลย บอกเพียงแต่ว่าให้เชื่อใจกัน ใช่... เขาเชื่อใจผู้ชายคนนี้สุดหัวใจ แต่ถ้าหากว่าข้อสันนิษฐานที่ว่าคิมจงอินคือคนๆเดียวกับคิมไค ข้อมูลที่ได้คือคิมไคจะมีการแลกเปลี่ยนอาวุธสังหารและระเบิดที่โกดังแห่งนี้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 ทุ่ม และเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคิมจงอินจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่

     

    “ในกล่องนั่นมีแต่ตุ๊กตานะครับ”

     

    “มันอาจจะเอาตุ๊กตานั่นบังของเอาไว้ก็ได้”

     

    โครม!!

     

    ทุกสายตาหันไปจับจ้องทีต้นตอของเสียง คิมจงอินยกกล่องลังขึ้นและเทของในลังออกจนหมด เขาทำอย่างนี้ตั้งแต่กล่องแรกจนถึงกล่องสุดท้าย ตุ๊กตาน่ารักนับร้อยตัวนอนเรียงรายอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งสิ่งของที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้

     

    “เอาล่ะ หมดเวลาสนุกแล้ว ออกมาซักทีสิหน่วย CIA จอมปลอม” เสียงทุ้มต่ำแผดลั่นอย่างไม่เกรงกลัว หญิงสาวที่มาเปิดกล่องให้ดูตุ๊กตาสุดแสนจะน่ารักภายในกล่องหิ้วเงินค่าจ้างแล้วเดินออกไป ราวกับตนเองมาที่มีเพื่อเป็นตัวประกอบในฉากนี้เท่านั้น

     

    “นี่มันอะไรกันโอเซฮุน”

     

    “ทำไมพี่ถึงหันมาถามคำถามแบบนั้นกับผมกันล่ะ” ผิดหวัง เซฮุนรู้สึกผิดหวังมากที่รุ่นพี่ชานยอลหันมามองเขาราวกับเรื่องทั้งหมดมันผิดพลาดไปเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ

     

    “ออกมาสิปาร์คชานยอล อยากจะจับพวกฉันไม่ใช่เหรอ พวกฉันคือคนที่ค้าอาวุธเถื่อนให้กับกลุ่มต่อต้านเพื่อจะได้ไปถล่มพวกสหรัฐยังไงล่ะ” แบคฮยอนแค่นหัวเราะก่อนจะหยิบตุ๊กตาลายสิงโตที่ปักหน้าปักตาราวกับถอดแบบเขาออกมา “ด้วยไอ้นี่น่ะ”

     

    ถ้าถามว่าปาร์คชานยอลรักบยอนแบคฮยอนมากแค่ไหนก็คงตอบได้อย่างเต็มปากว่ามาก แต่ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับความรักเขาก็พร้อมที่จะทิ้งความรัก และปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ ยังไงคนผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ คนที่ทำความผิดระดับประเทศไม่ควรมีที่ยืนในสังคมนี้

     

    “นายคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่แบคฮยอน สนุกมากหรือไง!!” มันน่าตลกสิ้นดีตอนที่ชานยอลถลาออกไปจากที่ซ่อนแล้วเขย่าตัวแบคฮยอนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับตะโกนใส่หน้าคนตัวเล็กไม่หยุด

     

    “หยุดบ้าซักทีชานยอล” จงอินกระชากคนรักของเพื่อนที่เหมือนจะไร้สติไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ให้ออกห่างจากเพื่อนของเขา “ถ้าอยากจะจับตัวคนร้ายตัวจริงล่ะก็ 4 ทุ่มคืนนี้ให้มาที่นี่อีกครั้ง”

     

    “เกิดเรื่องบ้าบอแบบนี้ฉันจะเชื่อนายได้ยังไงคิมจงอิน” ชานยอลใช้เท้าเขี่ยตุ๊กตาให้ออกไปจากบริเวณ “นายคือคิมไค นายมันไม่ใช่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จด้วยความสุจริต นายกำลังทำให้ประเทศชาติต้องเสื่อมเสีย”

     

    “ถ้าฉันเลวขนาดนั้นก็จับฉันซะเลยสิ” เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งยื่นข้อมือทั้งสองข้างให้ CIA หนุ่ม “แต่ดูเหมือนว่านายจะจับฉันไม่ได้นะ ไหนล่ะหลักฐาน”

     

    “เชื่อเขาเถอะชานยอล ถือว่าฉันขอร้อง ช่วยกำจัดคนๆนั้นออกไปชีวิตของเพื่อนฉันที”

     

    “หมายความว่าไง”

     

    “หมายความว่าเพื่อนของฉันไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเลวๆแบบนั้นได้ด้วยตัวเองน่ะสิ”

     

     

     

     

     

    ×

     

     

     

     

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ ผมงงไปหมดแล้ว” เซฮุนยื่นสมาร์ทโฟนเครื่องหรูให้คนรักดูด้วยความงุนงง “เมื่อไหร่คุณจะเล่าความจริงให้ผมฟังซักที”

     

    ร่างหนามองหัวข้อข่าวจากหน้าจอเพียงชั่วครู่ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกจากมือเซฮุนแล้วปิดจอสกรีนลง จับไหล่ทั้งสองข้างแล้วพลิกตัวคนรักให้มองออกไปริมระเบียง วิวธรรมชาติเบื้องหน้าสวยเกินกว่าจะละสายตา แต่เชื่อเถอะว่าคนตรงหน้าทำให้คิมจงอินไม่อยากที่จะมองมันเท่าไหร่นัก

     

    “ฉันพานายมาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อให้นายมาถามเรื่องพวกนี้หรอกนะ”

     

    แรงกระชับกอดรอบเอวบางและคางผ่ามากเสน่ห์ที่วางอยู่บนลาดไหล่ของเขาไม่ได้ทำให้ความสงสัยจางหายไปเลย ในคืนนั้นตอน 4 ทุ่มเซฮุนไม่ได้กลับที่นั่นอีกครั้งกับชานยอล เขาโดนจงอินลากออกไปแล้วประกาศกร้าวว่าโอเซฮุนจะลาออกจากงานนี้ ทั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้ถามความเห็นจากเขาเลยซักนิด เรามาถึงที่นี่พร้อมกับข่าวพาดหัวใหญ่ในเกาหลีใต้ที่ว่า จับได้แล้วเจ้าพ่อค้าอาวุธเถื่อนผู้มีนักการเมืองมากอำนาจคอยหนุนหลัง

     

    “ผมอยากรู้ความจริงนี่ ผมเจาะข้อมูลเข้าระบบเพื่อจะสืบหาข้อมูลของคุณ... ไม่สิคิมไค แต่คิมไคกับคุณก็คือคนเดียวกัน แต่คุณกลับไม่ใช่คนที่ทำ ผมงงไปหมดแล้ว”

     

    “ทำไม ถ้าเป็นฉันจริงๆนายจะจับฉันส่งพวกนั้นลงเหรอ”

     

    “ถ้าผมจะทำจริงๆ ผมคงไม่บอกคุณหรอกว่าพี่ชานยอลจะพาคนไปฆ่าคุณน่ะ” ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อคนรักทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่

     

    จงอินจำได้ดีวันที่เซฮุนมาที่ทำงานของเขาด้วยท่าทีร้อนรน พร้อมกับอ้อนวอนขอไม่ให้เขาไปจีนเพราะกลัวว่าเขาจะตาย พอไล่ต้อนถามจนเด็กน้อยจนมุมก็ได้คำตอบว่าเซฮุนกำลังทำงานอะไร ซึ่งเรื่องนั้นจงอินรู้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลอย่างหนึ่งที่เด็กตัวผอมบอกมาและเขาไม่เคยรู้ทำให้ชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้า เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นเรื่องผิด การค้าอาวุธเถื่อนเป็นเบื้องหลังและที่มาซึ่งความสำเร็จของคิมจงอิน เด็กในวัย 15 ถูกสั่งสอนว่าการทำแบบนี้จะทำให้รวยเร็ว และมีอำนาจมากมาย จนกระทั่งเขาได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทยักใหญ่ระดับประเทศในช่วงอายุเพียง 20 ต้นๆ ธุรกิจด้านมืดยังคงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีทางที่จะถูกจับได้เพราะมีนักการเมืองคอยหนุนหลัง

     

    ชายหนุ่มเกือบที่จะหลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยุรอบตัว เด็กยากไร้ที่ไม่เคยมีอะไร ตอนนี้มีทั้งเงินและอำนาจล้นมือ เขาเกือบจะลืมว่าเด็กในวัย 10 ขวบต้องการจะมีเงินและอำนาจเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น แต่ที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการทำลายประเทศชาติ จงอินไม่รู้ว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อตั้งแต่ได้รับอุปการะทำการค้าขายกับใคร แต่สิ่งที่รู้คือเขาไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่จงอินในวัย 10 ขวบหวังไว้ ผู้มีอำนาจที่เบื้องหน้าทำสิ่งดีๆให้กับสังคม ช่วยเหลือสังคมแต่เบื้องหลังเน่าเฟะ ทั้งหมดก็แค่พยายามปิดกลิ่นเน่าไม่ให้คนอื่นรับรู้

     

    ข้อมูลที่ได้รู้จากเซฮุนคือ คนที่รับซื้ออาวุธทั้งหมดเป็นผู้มีอำนาจในเกาหลีเหนือ แล้วอย่างนี้คิมจงอินต่างอะไรกับกบฏ ที่ขายอาวุธให้กับประเทศที่จ้องจะทำลายประเทศตนเอง ในคืนนั้นที่จีน คนที่เขาเรียกว่าพ่อเกือบ 20 ปีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องถูกฆ่า แน่นอนว่าหากเป็นอย่างนั้นทางสหรัฐคงสบายใจที่เห็นนักธุรกิจที่ค้าอาวุธเถื่อนเป็นรายใหญ่ระดับประเทศได้ตายลง แต่ทว่าแท้จริงแล้ว มันยังดำเนินต่อไปเพราะคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังยังคงอยู่

     

    ใช่... ไอ้แก่นั่นรู้อยู่แล้วว่าซักวันหนึ่งตัวเองจะต้องโดนเก็บที่ทำธุรกิจด้านมืดแบบนี้ จึงใช้เขาออกหน้าแทน พอวันนึงที่เรื่องทุกอย่างแดงขึ้นมา หน่วยงานรักษาความมั่นคงของชาติจากประเทศต่างๆก็พุ่งเป้ามาที่เขา และคิมจงอินก็เป็นคนที่จะต้องตายแทน ในวันที่อยากจะเลิกราก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว คิมจงอินเกือบจะตายไปอย่างไร้ค่าหากคิดแผนตลบหลังคนที่เลี้ยงเขาเอาไว้เพื่อรอวันเชือดไม่ทัน

     

     

     

    “มีอีกอย่างที่ผมอยากรู้” เด็กหนุ่มเอี้ยวหน้าหันไปมองคู่สนทนา “ทำไมวันนั้นคุณถึงพูดว่า CIA จอมปลอม”

     

    “โธ่เด็กน้อย” จงอินปัดหน้าม้าที่ลงมาบดบังแววตากลมสวยของคนรักออก “นายเคยไปสำนักงานใหญ่ที่เวอร์จิเนียซักครั้งมั้ยล่ะ”

     

    โอเซฮุนส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับใบหน้าเหงาหงอย เรียกรอยยิ้มของจงอินให้ปรากฏขึ้นด้วยความเอ็นดูอย่างไม่อาจห้ามได้

     

    “นายโดนนักการเมืองบ้าอำนาจหลอกเข้าแล้ว พวกนั้นก็แค่อยากได้คนมีฝีมือมาทำงานให้ แต่ใช้ชื่อ CIA เป็นข้ออ้างเพื่อให้คนสนใจก็เท่านั้น”

     

    “แล้วที่ผมทำไปทั้งหมดมันเพื่ออะไรล่ะ”

     

    “ก็เพื่อช่วยพวกมันให้กำจัดคู่แข่งที่มีอิทธิพลได้ง่ายไงล่ะ”

     

    “แย่ชะมัด ทำไมพี่ชานยอลต้องชวนผมเข้าหน่วยงานปลอมๆนั่นด้วย” จงอินหลุดหัวเราะน้อยๆ เมื่อได้ฟัง ก่อนจะพยักหน้ารับให้กับคำถามถัดไป “งั้นคนที่จับคนร้ายได้คือ CIA ตัวจริงงั้นหรอ”

     

    “ใช่”

     

    “คุณแกล้งผมหรือเปล่าเนี่ย”

     

    “ช่างเรื่องบ้าบอคอแตกนี่ไปเถอะน่า บอกฉันก่อนว่านายจะอยู่ที่นี่กับฉัน”

     

    คิมจงอินเลือกที่จะกลับไปใช้ความคิดในตอน 10 ขวบเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง และทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการตอนนั้น เขาใช้เงินเกือบทั้งหมดในชีวิตที่เขามีบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างบ้านและโรงเรียนในที่กันดารและไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ ขายหุ้นและกิจการทั้งหมดจนเรียกได้ว่าเขาแทบจะไม่ต่างอะไรกับบุคคลล้มละลาย ชายหนุ่มมีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือบ้านหลังนี้ที่เขาสร้างขึ้นเป็นที่ส่วนตัวเอาไว้พักผ่อนจากเรื่องเครียดๆ และเงินอีกก้อนหนึ่งที่เพียงพอสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตเล็กๆที่คงต้องเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานในตำแหน่งที่เงินเดือนต่ำสุด แต่นั่นก็สมควรแล้ว เขาไม่มีอะไรติดตัวมา และของนอกกายที่ได้มาจากการทำงานทุจริตพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะได้รับ

     

    ในตอนนี้คนมากมายทั่วประเทศที่รู้จักเขาในนามผู้บริหารหนุ่มผู้มากความสามารถ คงได้แต่ด่าว่าเขาโง่ ที่เคยอยู่สูงเฉียดฟ้าเกินเอื้อมถึง แต่ตอนนี้ดึงตัวเองลงมาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่จงอินไม่สนหรอก นี่คือสิ่งที่เขาควรจะเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     

    “ตอนนี้ฉันจน ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว นายจะยังอยากอยู่กับคนอย่างฉันอยู่ไหมเซฮุน”

     

    “ผมไม่เคยรักคุณที่หน้าที่การงานของคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมรักในตัวตนของคุณจริงๆ” เด็กหนุ่มพลิกตัวเข้าหาเจ้าของร่างกายอบอุ่น คนที่เขารักหมดหัวใจ “ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะผ่านอะไรมา แต่เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

     

    ตลอดชีวิตเกือบ 30 ปีที่ผ่านมานี่คงเป็นเรื่องดีๆเรื่องแรกในชีวิตของคิมจงอิน ชายหนุ่มรู้แล้วว่าต่อให้มีเงิน มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่มืดบอดในโลกใบนี้ได้ โอเซฮุนคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาจริงๆ

     

    “ฉันรักนายโอเซฮุน”

     

    เอ่ยจบประโยคความอุ่นร้อนก็เข้าครอบครองริมฝีปากสีชมพูสดอย่างไม่อาจห้ามใจ ค่อยๆละเลียดชิมความอ่อนนุ่มด้วยความเผลอไผล ผละออกจากกันชั่วครู่ เพียงแค่ได้มองแววตาใสดุจแมวน้อยของคนในอ้อมกอด ก็ต้องรั้งท้ายทอยของอีกคนเข้ามาบดเบียดกลีบปากบางอีกครั้งอย่างไม่รู้จักพอ

     

     

     

     

    เงิน ทอง อำนาจน่ะเหรอ เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

     

     

     

     

    แค่โอเซฮุนเพียงคนมันก็มากเกินพอ มากเกินไปสำหรับคนอย่างคิมจงอินด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    END

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขียนไปเรื่อยๆแบบไม่มีพล็อตก็ออกนอกทะเลอย่างนี่แหละน้อ ;_;

    ถ้ามันออกทะเลมากไปต้องขอโทษด้วยนะคะ เราจะพยายามให้มากกว่านี้ แล้วก็จะพยายามวางพล็อตก่อนเขียน TT 

    รับฟังคำติ และชมจากทุกคนนะ



    ขอให้ทุกคนเที่ยวปีใหม่ด้วยความสนุกและระมัดระวังด้วยนะคะ <3

     

     


    OS ทุกเรื่องเราขอใช้แฮชแท็ก 

    #คฮวันช็อต

     

     

     

     

     

     

     

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×