ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✖ BETWEEN US ✖ [SF/OS l KAIHUN ft. EXO]

    ลำดับตอนที่ #1 : :: Lost love [1/3]

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 60















                ซ่าๆ

     

    ผมเกลียดฝน จำไม่ได้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะตอนผมอายุราวๆหกเจ็ดขวบ เด็กที่รักสายฝนชุ่มฉ่ำคนนั้นกำลังเล่นสนุกกับมันจนตัวเปียกปอน พ่อแม่ไม่ได้ห้ามที่ลูกชายคนเดียววิ่งเล่นไปรอบๆสนามหญ้าหน้าบ้านในขณะที่พายุฝนโหมกระหน่ำ แต่ด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้พวกท่านละเลยหน้าที่ในการตักเตือนลูกชาย ไม่ให้ออกไปเล่นข้างนอกเวลาฝนตกนั้น

     

    และนั่นมันคือจุดเริ่มต้น หลังจากนั้นเด็กชายก็มีอาการไข้รุมเร้า นอนซมอยู่บ้านนานหลายวัน

     

    ผมจำเรื่องราวพวกนี้ไม่ค่อยได้ แม่คงรำคาญที่ผมเอาแต่โทษว่าทำไมต้องให้กำเนิดผมมาพร้อมกับเป็นคนขี้โรคแบบนี้ ท่านจึงเล่าเรื่องตอนเด็กให้ฟัง

     

    มารู้ทีหลังว่าพ่อแม่ไม่ได้ปล่อยให้ผมเล่นกับพายุฝนโหมกระหน่ำตามอำเภอใจ แต่ท่านไม่รู้ว่าผมอยู่ข้างนอกต่างหาก ใครจะปล่อยให้ลูกตัวเองไปเล่นกับพายุฝนแบบนั้น ฉันคิดว่าแกเข้านอนแล้วต่างหากล่ะประโยคที่เหมือนกับดุด่านั้นผมยังจำได้ดี นั่นยิ่งทำให้ตระหนักได้ว่า เซฮุนแกไม่ควรโทษใครเลยนอกจากตัวเอง

     

    ช่วงเวลาที่ต้องทนอยู่กับฤดูฝนที่แสนเกลียดชังนี้ช่างยาวนาน มันไม่ต่างจากตอนเข้าคลาสเรียนสุดแสนจะน่าเบื่อ ผมมองผ้าม่านสีครีมเข้มพลิ้วไหวจากแรงลม จะไม่เป็นไรเลยถ้าหากมันไม่นำพาละอองฝนเข้ามากระทบใบหน้าผมแบบนี้

     

    ไม่ต้องรอให้ถึงขั้นหยดเม็ดฝนขนาดใหญ่สาดเข้ามา ก็ต้องรีบย้ายร่างผอมของตัวเองไปยืนตรงหน้าต่าง เอื้อมมือออกไปแล้วดึงบานพับกระจกเข้าหาตัว จากนั้นผ้าม่านที่เคยพริ้วไหวเมื่อก่อนหน้าก็เรียบลู่ไปกับกำแพง

     

    ถอนหายใจออกมารอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ในรอบวัน แต่มันต้องเยอะมากแน่ๆถ้าจะนับ หากเรื่องที่ว่าถอนหายใจบ่อยๆจะทำให้อายุสั้นเป็นเรื่องจริง โอเซฮุนคนนี้คงอยู่เผชิญโลกได้อีกไม่นาน

     

    Rrrrrrrrrrrrrrrr!!!

     

    แม้แต่เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ซึ่งเป็นเพลงโปรดก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นในตอนนี้ ช่างใจอยู่นานว่าจะรับสายหรือไม่รับดี ถ้าไม่เห็นว่ามิสคอลที่ขึ้นมาถึง 39 สายเป็นคนๆเดียวกัน ผมคงไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมากดตรงปุ่มสีเขียว

     

    “...”

     

    (นี่!! เซฮุนจะไม่มาเรียนเลยหรือไงห๊ะ ก็เข้าใจว่าโดนฝนแล้วไม่สบาย แต่ต้องขาดเรียนเป็นอาทิตย์ขนาดนี้ไหม?  ปกติฝนตกหนักขนาดไหนก็ไม่เคยขาดนี่ เซฮุน! ฟังอยู่หรือเปล่า)

     

    “กลายเป็นแม่ฉันไปแล้วหรอบยอนแบคฮยอน” ผมกรอกตามองหน้าจอสี่เหลี่ยม ซึ่งถูกละให้ออกห่างจากหูตั้งแต่กดรับสาย นอกจากแม่แล้วก็มีเพื่อนตัวเตี้ยอีกคนเนี่ยแหละที่ทำให้ผมต้องเว้นระยะห่างขณะคุยโทรศัพท์แบบนี้

     

    (มาเรียนเดี๋ยวนี้เลยนะ บ่ายมีเทสย่อยด้วย) ไม่ใช่ไม่รู้ว่าวันนี้มีสอบย่อย เหลือบมองนาฬิกา เข็มสั้นเลยเลขสิบสองไปแล้ว ส่วนเข็มยาวนั้นเลื่อนมาหยุดที่เลขสี่พอดี... ไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน

     

    “...” หันมองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง ฝนยังคงสาดเทลงมาอย่างไม่กลัวว่าก้อนเมฆจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำไม่ทัน เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าหัวมันหนักอึ้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

    (กางร่มมาเลยนะ หรือจะให้ชานยอลไปรับ)

     

    “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปขออาจารย์สอบทีหลังละกัน” เอ่ยปฏิเสธไปอย่างช่วยไม่ได้ น้ำเสียงอิดออดของชานยอลที่จับใจความได้ว่า ทำไมต้องฉันนั้นผมได้ยินชัดเจน ก็นึกเคืองไอเพื่อนตัวสูงนิดๆ นี่ไม่ห่วงกันเลยสินะ

     

    (ได้ไงกัน...นะ...ไม่รู้ล่ะ...เดี๋ยวนี้...ฮุน...)

     

    ฟังไม่รู้เรื่องแล้วว่าแบคฮยอนบ่นอะไรมาบ้าง นิ้วหัวแม่มือเลื่อนไปสัมผัสกับปุ่มสีแดงโดยอัตโนมัติ เพียงเพราะเสียงออดหน้าประตูดึงความสนใจของผมจนหมด มีไม่กี่คนหรอกที่รู้จักคอนโดของผมนอกจากแบคฮยอนกับชานยอล ถ้าอย่างนั้น เขากลับมาแล้วใช่ไหม?

     

    ขาที่คิดว่าไม่มีแรงจะเดินแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สองมือประสานกันแน่นจนมันเริ่มเจ็บไปหมด

     

    ถ้าใช่จริงๆทำไมเขาถึงไม่เปิดประตูเข้ามาเลยล่ะ ทั้งที่รู้รหัสผ่านของห้องนี้อยู่แล้ว

     

    เดินมาหยุดหน้าประตูแล้วช่างใจอยู่นานเพราะไม่กล้าเปิด ภาวนาอยากให้เป็นเขาคนนั้นใจแทบขาด แต่อีกใจก็กลัวกับการเผชิญหน้ากันอีกครั้ง กลัวแววตาที่อบอุ่นจะมองผมเปลี่ยนไป...เหมือนวันนั้น

     

    มือที่จับลูกบิดประตูสแตนเลสเย็นเฉียบชะงักไป เมื่อกระดาษแผ่นเล็กถูกสอดเข้ามาทางช่องว่างเล็กๆด้านล่าง ไม่อยากสงสัยไปมากกว่านี้เลยก้มหยิบมันขึ้นมาดู มาคุยกันหน่อย ลายมือหวัดๆนี้ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

    เขากลับมาแล้ว

     

    ปากผมคงแทบฉีกไปถึงรูหูแล้วแน่ๆเพราะรู้สึกเมื่อยแก้มไปหมด ตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูฝนนี่คงเป็นเรื่องดีเรื่องแรกในรอบเดือน ผมคว้าลูกบิดประตูหมุนมันแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว จนบานไม้สักเปิดออกกว้าง

     

    “จงอิน!!

     

    “...”

     

    “...”

     

    อาการแบบนี้หรือเปล่านะที่เขาว่ากันว่าเหมือนโดนแช่แข็ง ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่ผมหวังให้เป็น ไม่ใช่ คิมจงอิน

     

    “มาทำไม” ผมกำลังโกรธใช่ไหมเสียงถึงได้สั่นเครือแบบนี้ ฝ่ามือรู้สึกเจ็บเพราะเล็บที่จิกลงไปตอนขยำกระดาษจนยับไม่เหลือสภาพเดิม ผมคงคิดถึงเขาจนหลอน เห็นลายมือของฮวางจื่อเทาเป็นลายมือคิมจงอินไปได้ยังไงกัน

     

    “มาคุยกันก่อนสิเซฮุน” ผมสะบัดแขนออกทันทีที่มือใหญ่สัมผัสลงมาที่ข้อศอก รังเกลียด...ผมรังเกลียดสัมผัสของอีกฝ่ายเหลือเกิน

     

    “อย่ามาแตะตัวฉัน แล้วเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน” จื่อเทาคงผิดคาดที่ผมตอกหน้ากลับไปแบบนั้น ใช้จังหวะที่ไอ้เจ๊กเฮงซวยกำลังอึ้งปิดประตูอัดหน้าเสียงดังโครม ไม่มีการยื้อดึงประตูอย่างในละครหรือนิยายรักแสนหวานใดๆทั้งนั้น

     

    ผมล่ะเกลียดเขาจริงๆ คนเลวที่ทำให้ชีวิตผมพังไม่เป็นท่า เวลาผ่านไป ในขณะที่กำลังเยียวยาหัวใจและความรู้สึกของตัวเองให้ดีขึ้น จื่อเทาก็กลับมาทำมันพังลงอีกครั้ง

     

    ผมเกลียดเขา ที่กลับมาหาผม

     

    เกลียดที่ทำให้ผมต้องเสียจงอินไป

     

    เกลียดที่ทำให้ผม...ลืมเขาไม่ได้สักที่

     

    แต่หากให้เลือกสิ่งหนึ่งซึ่งผมเกลียดมากที่สุด ผมคงเลือกตัวเอง

     

     

     

    X

     

     

     

    เด็กหนุ่มนั่งมองแผ่นหลังกว้างของใครอีกคนกำลังง่วนอยู่กับกองงานตรงหน้า นี่มันสองชั่วโมงแล้วที่คิมจงอินนั่งอยู่ตรงนั้น ที่เดิม แม้ว่าเซฮุนจะเรียกหรือออดอ้อนเพียงใด ก็ไม่ลุกหรือขยับตัวไปไหน จนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่นั่งนิ่งแบบนั้นน่ะ กำลังหลับอยู่หรือเปล่า

     

    หากแต่มือขวาที่จับปากกาเอาไว้กำลังเขียนยุกยิกอยู่ ทำให้รู้ว่าคนผิวแทนไม่ได้หลับอย่างที่คิด จงอินทุ่มเทให้กับเรื่องเรียนมากๆ เราเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่บางครั้งเด็กตัวผอมก็คิดไปไกลถึงขนาดที่ว่า ถ้าในอนาคตจงอินบ้างานจนไม่มีเวลาให้ ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเป็นยังไง

     

    5 เดือนแล้วที่ทั้งสองอยู่ห้องเดียวกัน พอมาคิดๆดูจงอินจะมองว่าเขาง่ายหรือเปล่านะที่ย้ายมาอยู่ด้วยตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกัน จะบอกว่าย้ายได้หรือเปล่า เซฮุนก็แค่เปลี่ยนมาอยู่ห้องข้างๆชั่วคราว เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่จงอินอยู่คอนโดเดียวกัน ทั้งยังห้องติดกันด้วย

     

    นี่มันพรหมลิขิตชัดๆใช่ไหมล่ะ

     

    “จงอิน พักสายตาสักหน่อยไหม?” เซฮุนไม่อยากทำตัวงี่เง่าแบบนี้เลย จงอินอาจจะรำคาญได้เพราะเขาไปขัดจังหวะการทำงาน ก็อย่างที่บอกว่าผู้ชายผิวเข้มคนนี้ทุ่มเทกับการเรียนขนาดไหน

     

    โถมตัวเข้าหาเจ้าของแผ่นหลังกว้างตรงหน้า สองแขนยกขึ้นโอบกอดลำคออีกฝ่ายจากด้านหลัง เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆที่เอาแต่คิดถึงกลิ่นหอมอ่อนๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจงอิน ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาด้วยซ้ำถ้าไม่นับเวลาเรียน

     

    วางคางลงบนกลุ่มผมสีช็อกโกแลตที่ยุ่งเหยิง เพราะเจ้าตัวชอบขยี้มันเวลาคิดโจทย์แคลคูลัสไม่ออก เหลือบมองลายมือหวัดๆบนสมุดแล้วก็เกือบจะถอดใจคลายอ้อมแขนตัวเองออก เพราะจงอินไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจคนเป็นแฟนเลยสักนิด แต่ความคิดนั้นก็หายวับไปเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นจรดลงบนแขนเรียวที่โอบรอบคอแกร่งอยู่

     

    เซฮุนคลายวงแขนออกตอนที่จงอินหมุนเก้าอี้มาเพื่อหันหน้าเข้าหากัน แขนแกร่งรั้งเอวของคนตัวบางเข้าไปกอด ก่อนจะซบใบหน้าลงไปกับหน้าท้องแบนราบนั้น

     

    “เหนื่อยว่ะ”

     

    “ก็คุณนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหนมาสองชั่วโมงแล้วนะ”

     

    “ก็งานกูยังไม่เสร็จ จะมาทำแทนไหมล่ะ”

     

    “ถ้าผมเรียนวิศวะก็ทำให้คุณไปแล้วครับ”

     

    “...”

     

    “ไปกินข้าวกันเถอะครับจงอิน คุณไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงแล้วนะ”

     

    เซฮุนสบตาคมที่มองเขานิ่งไม่พูดอะไรสักที บางทีคนตรงหน้าอาจจะตอบมาว่า มึงหิวก็ไปกินสิ จะรอกูทำไม เดี๋ยวปวดท้องขึ้นมาก็มาโทษกูอีก ตามประสาของคนหยาบโลน มันเป็นประโยคธรรมดาที่ดูไม่ใส่ใจ แต่เซฮุนรู้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย

     

    เซฮุนชินซะแล้วที่แฟนหนุ่มของเขาพูดจาหยาบคายใส่แบบนี้ แต่จะสนทำไมล่ะ ในเมื่อการกระทำของจงอินแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่อย่างชัดเจน มันให้ความรู้สึกดีกว่าคำพูดแสนหวานเป็นไหนๆ

     

    “คุณชอบผมตรงไหนหรอครับ” เรียวขาของคนข้างๆหยุดชะงักไปเมื่อได้ฟังคำถาม เซฮุนบีบมือหนาที่กระชับกันอยู่ก่อนแล้วให้แน่นขึ้น เป็นเชิงบอกว่าอยากฟังคำตอบ

     

    “ไม่รู้ว่ะ” ตอบคำถามพรางยักไหล่ จงอินก้าวเดินอีกครั้งแต่เซฮุนยังไม่ละความพยายาม ตามไปเขย่าแขนแฟนหนุ่มให้รีบตอบ จงอินหันไปมองเด็กตัวขาวที่ส่วนสูงดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเตี้ยขึ้นมา

     

    “...”

     

    “มึงหยุดสูงได้แล้ว”

     

    “หา?” เซฮุนอ้าปากหวอ อะไรกัน นั่นใช่ประโยคที่เขาอยากได้ยินซะที่ไหน “คุณชอบคนตัวเล็กหรอครับ แบบแบคฮยอนอย่างนี้หรอ”

     

    อยากจะขำ ที่ถามมานี่คืออยากรู้จริงๆงั้นหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็รู้สึกเฟลหน่อย ๆ เด็กนี่ต้องรู้สึกน้อยใจสิ แทนที่จะยิงคำถามอะไรแบบนั้นใส่เขา

     

    “มึงต้องถามว่ากูชอบคนตัวเล็กแบบน้องเวนดี้หรือเปล่าดิถึงจะถูก ไม่ใช่บยอนแบคฮยอน”

     

    “แบคฮยอนก็ตัวเล็กนะครับ ตัวเท่านี้เอง” จงอินมองมือบางที่ยกขึ้นมาค้างกลางอากาศอยู่ตรงระดับไหล่ นี่มึงกำลังด่าเพื่อนตัวเองว่าเตี้ยอยู่รู้ตัวไหมโอเซฮุน

     

    “เอาเถอะ จะแบบแบคฮยอนหรือน้องเวนดี้กูก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ”

     

    “แล้วคุณชอบแบบไหน”

     

    “...”

     

    “...”

     

    “อย่าถามคำถามที่มึงก็รู้คำตอบอยู่แล้วได้ไหม โอเซฮุน”

     

    เรื่องปากแข็งต้องยกให้ที่หนึ่งเลย เด็กหนุ่มแทบลืมไปแล้วว่าการหุบยิ้มเขาทำกันยังไง เมื่อได้ฟังประโยคต่อมาพร้อมกับมือหนาที่บีบมือเขาเบาๆประหนึ่งว่าต้องการให้เขามั่นใจในคำพูดนั้น

     

    "กูชอบที่มึงเป็นมึงแบบนี้แหละ ไม่เห็นต้องมีเหตุผล"

     

    ใบหน้าคมของคนเป็นแฟนแย้มยิ้มอย่างสดใส ชอบ...เซฮุนชอบรอยยิ้มของคิมจงอินเหลือเกิน

     

     

     

     

     

    X

     

     

     

     

    การเดินบนถนนสายเดิมที่มักใช้เดินทางเป็นประจำทุกวันมันทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่เมื่อเดือนก่อนโอเซฮุนมีความสุขมาก ตอนได้เดินจับมือหนาที่แสนอบอุ่น ไม่ว่าจะไปทางไหนคน ๆ นั้นก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำเสมอ

     

    หรือความรู้สึกปวดหนึบในอกข้างซ้ายตอนนี้เป็นเพราะไม่มีผู้ชายผิวแทนอยู่ข้างกายกันนะ

     

    “ผอมลงนะเซฮุน” ประโยคทักทายของเพื่อนรักไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับคนผอมแห้งอย่างเขานัก เด็กหนุ่มหย่อนตัวลงบนโซฟาตัวเดิมในร้านคาเฟ่เล็กๆ

     

    แบคฮยอนรู้ใจเพื่อนรักเสมอ ถึงได้นั่งด้านในสุดของร้านเพื่อให้ห่างจากความจอแจด้านนอก ทั้งยังเลือกที่ติดริมกระจกเพราะเซฮุนมักจะชอบมองวิวรอบๆเสมอ วันนี้ชานยอลไม่ได้มาด้วยคนตัวเล็กเลยไม่ต้องวุ่นวายกับการทะเลาะกับเพื่อนตัวสูงซึ่งควบตำแหน่งแฟนด้วย เลยทำให้แบคฮยอนได้มีโอกาสสังเกตุการกระทำและสีหน้าของเซฮุนได้มากขึ้น

     

    บางทีเซฮุนอาจจะไม่ได้ชอบนั่งริมกระจกเพื่อมองวิวทิวทัศน์ แต่เพื่อนคนนี้กำลังเหม่อลอยและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองต่างหาก จากที่แบคฮยอนสัมผัสได้

     

    “ฉันไม่บังคับให้เล่าหรอกนะ” คนตัวเล็กเขย่าน้ำแข็งในแก้วซึ่งมันไม่เหลือน้ำแล้ว ต่างจากแก้วของเซฮุนที่ยังคงปริมาณเท่าเดิม “แต่นายเหมือนคนกำลังอกหัก”

     

    เซฮุนไม่ตอบในทันที และเขาก็ไม่อยากจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้เดี๋ยวนั้น  ปล่อยให้เพื่อนได้ใช้เวลากับการคิดเรื่องราวต่างๆในหัว พวกเขาถือว่าถ้าหากอีกคนอยากจะเล่าก็เล่าเอง มันก็สบายใจดีที่จะเป็นเพื่อนกันแบบนี้

     

    ไม่ใช่ไม่สนใจ ไม่ใช่ไม่ห่วงเพื่อน แต่การคะยั้นคะยอให้คนนึงๆเล่าในสิ่งที่ตนอยากรู้แต่เขาไม่อยากพูดถึงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเอาซะเลย ยังจะทำให้อึดอัดกันเสียเปล่าๆ

     

    “ถ้าชานยอลมันยังลืมแฟนเก่าไม่ได้... นายยังจะคบกับมันอยู่ไหม” สายตายังคงจดจ้องไปยังผู้คนภายนอกร้าน เซฮุนไม่ได้หันไปมองว่าแบคฮยอนกำลังทำหน้างงขนาดไหน ที่ยกเอาเรื่องของตนมาพูด

     

    ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่หากเพื่อนรักทั้งสองจะขยับความสัมพันธ์จากเพื่อนมาเป็นแฟนมันก็เป็นเรื่องของคนสองคน เซฮุนไม่ได้ก้าวก่ายในเรื่องนั้น ที่พูดขึ้นมาเขาแค่อยากลองฟังมุมมองเรื่องความรักของเพื่อนดูบ้าง

     

    คนตัวเล็กเว้นจังหวะไว้นานจนเด็กหนุ่มต้องละสายตาจากความวุ่นวายภายนอกมามองเพื่อนตัวเอง แบคฮยอนหลุบสายตาลงขณะที่กำลังครุ่นคิด

     

    เซฮุนเลิกคิ้วตอนริมฝีปากรูปกระจับที่ชานยอลมักชอบฉกฉวยไปยามเผลอนั้นเม้มเข้าหากันแน่น ไม่บ่อยนักที่จะเห็นแบคฮยอนแสดงอาการประหม่าออกมา

     

    “ไม่รู้สิ จริงๆนายน่าจะเอาคำถามนี้ไปถามชานยอลนะ”

     

    “ตอนที่คบ... นายยังลืมแฟนเก่าไม่ได้งั้นหรอ” แบคฮยอนหยิบแก้วมาสับหลอดใส่น้ำแข็ง นั่นก็พอจะเป็นคำตอบได้แล้ว กว่าจะคบกันได้สองคนนี้คงต้องก้าวผ่านความรู้สึกหลายๆอย่างมามาก เซฮุนกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่จริงๆ ถึงได้ไม่รู้เรื่องราวของเพื่อนทั้งสองเลยนะ

     

    “ชานยอลมันงี่เง่ามากจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าฉันยังลืมพี่คริสไม่ได้แต่มันก็ยังเลือกที่จะรอ”

     

     

     

     

     

     

    เมื่อไหร่จะยอมคบกับกูสักที

     

    ผม...

     

    ไหนบอกว่าชอบกูไง เรารู้สึกเหมือนกันไม่ใช่หรอเซฮุน

     

    ผมแค่... ผมอยากให้เราค่อยเป็นค่อยไป เรายังรู้จักกันได้ไม่นาน ผม... ไม่อยากให้คุณรอ

     

    โกหก เซฮุนกำลังโกหก เขาก็แค่ยังลืมผู้ชายแย่ๆที่ชื่อฮวางจื่อเทาไม่ได้

     

     

     

     

     

     

    “ที่ยอมคบก็อย่างที่เห็นว่าชานยอลมันเอาใจใส่ฉันขนาดไหน ถึงจะแสดงออกได้ห่วยแตกแต่ฉันก็รู้สึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยของมัน”

     

     

     

     

     

     

    เหมือนฝนจะตกว่ะ เอาร่มกูไปละกันแม่งหนักขี้เกียจแบก

     

    ไม่สบายกินยายัง ร่มก็ไม่พก กระหม่อมบางละไม่ดูแลตัวเองวะ

     

    กินรามยอนอีกละ อยากตายเร็วไง?’

     

    จะสอบละไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยว่ะ สมองแม่ง... มัวแต่คิดถึงมึงอยู่ได้

     

     

     

     

     

     

    “ถ้าพี่คริสกลับมาขอคบ จะทำยังไง” ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด ทุกประโยคของเพื่อนตัวเล็กมักจะมีเรื่องราวของจงอินวนเวียนเข้ามาในหัวไม่หยุด

     

    “ฉันจะไม่มีวันกลับไป”

     

    “ทำไม?”

     

    แบคฮยอนมองเพื่อนตัวผอมนิ่ง แววตาจริงจังคู่นั้นไม่ได้เผยให้เห็นบ่อยนัก สำหรับคนขี้เล่นอย่างแบคฮยอน “ถึงฉันจะยังลืมอิตานั่นไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่เคยลืมว่าใครที่อยู่เคียงข้างฉันไม่ไปไหนหรอกนะ”

     

    “...”

     

    “อาจจะจริงที่พวกเราก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว แต่มันต่างออกไป ชานยอลมาเติมเต็มส่วนที่ว่าง ค่อยๆลบรอยบาดแผลในใจทีละนิด แล้วทำไมฉันจะต้องกลับไปหาคนที่สร้างรอยแผลในใจฉันด้วย”

     

    “เพราะ...รักล่ะมั้ง”

     

    “ฉันไม่รู้ว่านายกับพี่จงอินมีปัญหาอะไรกัน แต่คิดให้ดีนะ นายก็รักพี่เขาไม่ใช่หรอ เป็นคนบอกเขาเองแท้ๆ"

     

    “...”

     

    “ฉันเข้าใจว่าตอนเพิ่งเลิกใหม่ๆ นอกจากเจ็บแล้วมันทั้งเหงาทั้งว้าเหว่” ใช่มันทรมานมากจริงๆ แต่น่าแปลก... เซฮุนลืมความรู้สึกพวกนั้นไปจนหมดเวลาอยู่กับจงอิน แต่ก็นั่นแหละ พออยู่คนเดียวความรู้สึกพวกนี้มันก็กลับมาอีกจนได้

     

    “แต่มีสิ่งหนึ่งที่นายต้องมั่นใจ...”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “ว่านายไม่ได้คบพี่จงอินเพื่อแทนที่ใครอีกคน”

     

     

     

     

     

     

     

    หยดน้ำใสเอ่อล้นขึ้นมาบดบังภาพเบื้องหน้าจนเลือนลาง ดูเหมือนแบคฮยอนจะไปไหนกับชานยอลต่อเซฮุนเลยขอตัวกลับก่อน  ร่างบางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้บนทางเท้า

     

    อาการไข้ที่ซบเซาดูเหมือนจะหนักขึ้น พาลไปถึงน้ำตาเจ้ากรรมที่ทำให้รู้สึกปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิมเขาไม่สนใจว่าคนเดินผ่านไปมาจะมองยังไง ความรู้สึกทุกอย่างมันสุมอยู่ในอก... อึดอัดจนต้องระบายออกมาเป็นน้ำตา

     

    แปะ ๆ

     

    ซ่า!

     

    แม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่เห็นใจคนอย่างโอเซฮุน มันไม่เคยส่งสัญญาณเตือน และไม่สามารถเดาได้ว่าหยาดน้ำใสจะตกลงมาหนักหรือเบาเพียงใด สายฝนนั้นยังเทลงมาอย่างไม่ให้ผู้คนเตรียมอุปกรณ์ป้องกันได้ทัน

     

    เซฮุนไม่สบายได้ง่ายๆเพียงแค่โดนละอองบางเบา แต่ตอนนี้การหยิบร่มขึ้นมากางหรือวิ่งไปหาที่หลบฝนนั้นไม่ได้อยู่ในความคิด เขาปล่อยให้หยดน้ำค่อยๆซึมซับลงบนเนื้อผ้า ไม่นานเด็กหนุ่มก็เปียกปอนไปทั้งตัว

     

    แค่ได้กลิ่นฝนก็รู้สึกว่าพิษไข้จะกลับมาได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับการนั่งตากฝนอยู่แบบนี้ มือบางยกขึ้นปาดหยดน้ำซึ่งผสมปนเปไปด้วยน้ำตาออกจากใบหน้า แต่ยิ่งพยายามเช็ดมันออกเท่าไหร่ก็มีค่าเท่าเดิม น้ำตาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลง่ายๆ ไม่ต่างจากสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาในตอนนี้

     

    เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกลงมากระทบผิวขาวจนรู้สึกเจ็บไปหมด มันเป็นดั่งเข็มที่ทิ่มแทงลงมา เจ็บปวดไปถึงหัวใจ

     

    สายฝนอาจมอบความชุ่มฉ่ำให้กับต้นไม้ ทำให้ดินที่แตกระแหงมีสภาพดีขึ้น ทำให้เด็กอีกฟากฝั่งถนนสนุกสนานกับการเล่นน้ำฝน แต่สำหรับเซฮุนสายฝนช่างโหดร้าย เพราะมันหยิบยื่นแต่ความทุกข์ทรมานมาให้

     

    กระแสลมเบาหวิวพัดผ่านจนต้องยกแขนขึ้นมาโอบรอบตัวเอง ปวดหัวจะระเบิดอยู่แล้ว นอกจากความเหน็บหนาวแล้วนั่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังรู้สึก

     

    เจ็บปวดทั้งกายและใจจนแทบทนไม่ไหว

     

    ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆจนลืมตาได้ยากลำบาก "เซฮุน!! ได้ยินหรือเปล่า มานั่งตากฝนทำไม" เขาต้องคิดมากจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้เห็นหน้าของจงอินลอยอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั้งเสียงนุ่มทุ้มที่ดังก้องอยู่ในหูนั้นอีก

     

    "จงอิน นั่นคุณใช่ไหม?" สองมือเลื่อนไปโอบใบหน้าคมเอาไว้ นิ้วหัวแม่มือปาดหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามใบหน้าคมออกไป

     

    "หยุดพูดแล้วกลับบ้านเดี๋ยวนี้"

     

    ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เด็กหนุ่มได้แต่ถามตัวเองในใจ มือเขาถูกดึงไปกุมไว้หลวมๆแต่เซฮุนไม่ได้ต้องการเพียงเท่านี้ เขากระชับมืออีกคนให้แน่นขึ้น

     

    แม้ลมจะทำให้เหน็บหนาว สายฝนจะเย็นฉ่ำ แต่มือหนาก็ยังคงอุ่นเสมอ

     

    ร่างผอมบางของเด็กหนุ่มเอนไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ไม่ทันได้ล้มลงไปกระแทกกับพื้นคอนกรีตข้างทาง แผ่นอกแกร่งที่คุ้นเคยก็เข้ามารองรับเอาไว้ เขาร้องท้วงกับตัวเองว่าให้ฝืนอีกนิด ไม่ว่าภาพที่เห็นจะเป็นจงอินจริงๆหรือแค่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นอย่างหลังแต่เขาก็ยังอยากจะเห็นภาพนั้นอีกสักหน่อย แค่วินาทีเดียวก็ยังดี...

     

    แววตาแข็งกร้าวครั้งล่าสุดที่ได้เห็นนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ โทษใครไม่ได้เพราะเซฮุนทำตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีแต่เขาเห็นว่าแววตาคู่นั้นดูเป็นห่วงเป็นใยเขาเหลือเกิน โอเซฮุนไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม

     

    ภาพตรงหน้าเลือนรางลงไปทุกที เซฮุนปล่อยให้สติดับวูบเพราะเขา... ไม่สามารถฝืนตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว







     

    TBC






     

    สวัสดีค่ะ ฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกของไคฮุนชิปเปอร์ทุกคนด้วยนะคะ ><
                     ภาษาอาจจะยังงงๆหรืออะไรเพราะเราอยู่ในช่วงฝึกเขียน ติ/ชมได้เลยนะเรารับฟัง
    ไม่คอมเม้นไม่เป็นไร แต่กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญน๊า TT



    ฝากแฮชแท็กด้วยจ้า
    #รักแท้คือไค

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×