คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 1 1 | Pourquoi ?
EP 11 | Pourquoi ?
หลังจากที่แจบอมจัดการส่งแจ็คสันเข้าไปในห้องของยองแจด้วยฝ่าเท้าแล้ว
ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปที่ซิงค์ล้างจานเพื่อทำงานตามที่ตัวเองรับปากกับคนอื่นๆไว้
แต่ยังไม่ทันที่จะไปยืนตรงหน้าอ่างล้างจาน
ก็พบว่ามีใครบางคนยืนล้างจานอยู่ก่อนแล้ว และแจบอมก็มั่นใจว่าเขาจำคนๆนั้นได้ดี
“ฉันว่าฉันพูดไปแล้วนะ ว่าฉันจะเป็นคนล้างจาน” แจบอมพูดทักทายคนที่ยืนอยู่หน้าซิงค์
“…”
และคำตอบที่แจบอมได้จากคู่สนทนาก็คือ
ความเงียบและไม่แม้แต่จะหันมามองหน้า มีเพียงเสียงจานที่เต็มไปด้วยฟองกระทบกับซิงค์ที่ยังไม่ถูกใช้งานอีกด้านหนึ่ง
“ไหนบอกว่า ถ้าคุยเรื่องอื่นจะคุยด้วยไง แล้วทำไมเงียบซะล่ะ ?”
คำถามของแจบอมยังคงไม่ได้รับคำตอบเช่นเดิม
แต่ครั้งนี้คนที่ยืนหันหลังให้เขาเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการล้างมือแล้วเดินออกมาจากซิงค์ล้างจาน
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเรียบเฉยมองคนที่เพิ่งทักทายเขาไปหมาดๆด้วยความเอือมระอา
“งั้นคุณก็ไปล้างต่อเถอะ ผมขอโทษก็แล้วกันที่มาแย่งหน้าที่ของคุณ” ในที่สุดจินยองก็ตอบกลับ
“หรือจริงๆที่มาล้างจานเนี่ย เพราะได้ยินที่ฉันพูด
ก็เลยหาทางเข้าหาฉันใช่มั้ยล่ะ จินยอง ?” ใบหน้ายียวนและคำพูดของร่างสูงตรงหน้าทำให้จินยองกรอกตาไปหนึ่งทีอย่างระอาใจ
“ทำไมคุณไม่คิดว่า ที่ผมออกมาล้างจาน
มันเป็นเพราะผมไม่ได้ฟังหรือสนใจในสิ่งที่คุณพูดล่ะ ?”
ประโยคตอบกลับของจินยองทำให้แจบอมสะอึกไปครู่หนึ่ง
คำพูดที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆกับใบหน้าเรียบเฉยของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนเก่าของเขาแต่กลับทำให้อิมแจบอมที่มีท่าทีมั่นใจในตอนแรกถึงกับหน้าชาจนไปต่อไม่ถูก
“เย็นชาเป็นบ้า… นี่
ใจคอจะคุยกับฉันดีๆไม่ได้เลยหรือไง ?”
“แล้วที่ผมพูดตอนนี้มันไม่ดีเหรอครับ ?”
“มันไม่ใช่แบบนั้น…”
“งั้นผมฝากล้างจานต่อด้วยก็แล้วกันนะครับ ขอโทษอีกครั้งที่ผมมาแย่… ปล่อยนะ !!!”
ยังไม่ทันที่จินยองจะพูดจบและเดินออกไป
แจบอมที่เป็นฝ่ายยืนฟังรีบกระชากท่อนแขนขาวของคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องครัวจนตัวของคู่สนทนาเซถลาเข้ามาใกล้ตน
ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างรวบตัวของคุณหมอหนุ่มที่ตั้งท่าทีเย็นชาใส่เขามาตลอดแน่นจนจินยองเผลอร้องออกมาเสียงหลง
“ถ้าขืนเสียงดังระวังคนอื่นๆจะได้ยินเอานะ” แจบอมกระซิบข้างใบหูของคนในอ้อมแขนอย่างเป็นต่อ
“…”
“แต่ถ้าอยากให้คนอื่นมาเห็นเราสองคนในสภาพนี้… ฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“ค…คุณนี่มัน…” จินยองขบฟันกรามเพื่อระงับอารมณ์โกรธของคนที่กำลังใช้กำลังแบบอ้อมๆกับเขา
ใบหน้าหวานแสดงอาการบึ้งตึงแบบไม่มีปกปิดถึงความไม่พอใจในตอนนี้จนแจบอมยิ้มกริ่มอย่างพออกพอใจ
“จินยองอา…”
“พวกเราไม่สนิทกันถึงขั้นที่จะเรียกแบบนั้น ปล่อยผม !” จินยองพูดในขณะที่พยายามดิ้นอย่างแรง แต่ยิ่งจินยองออกแรงเท่าไหร่
แจบอมก็ยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้นเท่านั้น
“ขอเวลาให้ฉันอธิบายบ้างได้ไหม ?”
“…”
“…”
“ตอนนั้นเราก็พูดคำนี้กับแจบอม…เหมือนกัน” เสียงสั่นเครือของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนสรรพนามและลักษณะการพูดทำให้แจบอมชะงักไป
“…”
“ต…แต่…แจบอมไม่ให้เรา…อึก…พูดอะไรเลย…ฮึก” ร่างในอ้อมแขนที่ตัวสั่นระริกทำให้แจบอมค่อยๆกระชับแขนให้แน่นขึ้น
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคนที่พยายามหนีหน้าเขามาตลอดกำลังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
“สองปี… สองปีที่เราพยายามลบชื่ออิมแจบอมออกจากความทรงจำ
แต่…อึก…”
“…”
“เราคิดว่าตัวเองลืมแจบอมได้แล้ว แต่พอเรามาเจอแจบอมที่นี่ ทุกอย่าง…ฮึก…ม…มันพังหมดเลย
สองปีที่เราพยายามลืม มันหายไปหมดเลย”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นนะจินยอง” ร่างสูงค่อยๆคลายแขนออก ก่อนจะจับเข้าที่ไหล่ของคนที่ยืนร้องไห้ให้หันหน้าเขาหาตน
แล้วจึงดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปกอดพร้อมลูบหัวปลอบประโลม
“อย่า…ฮึก…”
“…”
“อย…อย่า…ฮึก…ทำกับเรา…แบบนี้… ฮือๆ”
สัมผัสแผ่วเบาบนกลุ่มผมนุ่มยิ่งทำให้จินยองร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ท่าทีเย็นชาและนิ่งเงียบในตอนแรกที่แจบอมประสบมาตลอดหลายวันหายไปอย่างรวดเร็ว
มีเพียงคนที่กำลังแสดงด้านอ่อนแอของตัวเองออกมาจนไม่เหลือเค้าเดิมในตอนแรก
“จินยอง ฉันขอโทษ”
“ออกไป… แจบอม ข…ขอร้อง…ฮึก…” มือบางทั้งสองข้างที่กำแน่นพยายามทุบตีแผ่นอกของคนที่กอดเขาอยู่ในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง
ขาทั้งสองข้างทรุดลงไปนั่งกับพื้นโดยที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของอดีตคนเป็นแฟนที่พยายามลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบให้จินยองสงบลง
เดิมทีแจบอมตั้งใจจะแกล้งเย้าแหย่จินยองเพียงเท่านั้น
แต่เขากลับไม่คิดว่าจะได้เห็นจินยองในสภาพที่อ่อนแอถึงขนาดนี้
ร่างสูงได้แต่นั่งกอดปลอบคนที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจอย่างสงสารจับใจ
อีกทั้งความรู้สึกผิดที่ตีขึ้นมาจนจุกอกยิ่งทำให้แจบอมโมโหตัวเองขึ้นมาอีกด้วย
“จินยอง... ฉันรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว
ให้โอกาสฉันแก้ตัวอีกครั้งนะ ฉันขอโทษ” แจบอมพูดในขณะที่มือหนายังคงลูบศีรษะของร่างบางอย่างแผ่วเบา
“ฮ…ฮึก…ฮือๆ” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่กำลังขอร้องจินยองยิ่งทำให้คนฟังร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก
“ฉันรู้เรื่องของผู้ชายคนนั้นหมดแล้ว
ฉันรู้ตัวว่าฉันใจร้ายกับจินยอง แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก ขอโอกาสน…”
“มันไม่มีแล้วแจบอม อึก… ฮือๆ มัน…มันไม่มีแล้ว…”
“…”
“เราเคยบอกว่า เรายังรักแจบอมอยู่”
“…”
คำพูดของคนในอ้อมแขนคำนี้มันอาจจะทำให้แจบอมรู้สึกดีถ้าหากมันไม่ใช่เวลานี้
และร่างสูงก็เดาได้ไม่ยากว่าประโยคต่อมาจะเป็นรูปแบบใด
“แล้วเราก็ดีใจ ที่ได้เจอแจบอมที่นี่อีก”
“…”
“แต่ถ้าเป็นไปได้ หลังจากจบทริปนี้ ขอให้เรา…ป…เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักกันอีก…นะ…”
“จ…จินยอง…”
ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากับดวงตาที่บวมช้ำ
อีกทั้งจมูกที่แดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
สบเข้ากับใบหน้าหล่อคมที่ครางเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆราวกับคนที่ถูกทำร้ายจนเจ็บและชาไปทั้งตัว
คนสองคนที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน หนึ่งคนที่ดูนิ่งขรึมและดูดุในสายตาของคนอื่น
กับอีกหนึ่งคนที่รักสันโดษและดูนิ่งสงบเยือกเย็นกำลังมองหน้ากันในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง
และภาพดังกล่าวก็ทำให้ยองแจที่เดินผ่านมาเห็นถึงกับยืนนิ่งไป
“พ…พวกพี่…”
สิ้นเสียงของยองแจที่กำลังยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า
จินยองที่ได้สติก่อนรีบผละออกจากแจบอมแล้วลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้ายองแจ
และสภาพใบหน้าของยองแจที่ย่ำแย่ไม่ต่างไปจากจินยองทำให้ทั้งแจบอมและจินยองรู้ว่ายองแจก็คงเจอเรื่องราวบางอย่างมาเหมือนกัน
“ผมเข้ามาผิดเวลา… หรือเปล่าครับ ?” ยองแจพยายามหลบสายตาของชายหนุ่มทั้งสองคนที่เขาค่อนข้างกลัวและเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งคู่
พอยิ่งมาเจอเรื่องที่ไม่ควรเจอ บวกกับปัญหาของตัวเอง
ยิ่งทำให้ยองแจยืนตัวสั่นและเข่าอ่อนจนอยากจะรีบหนีออกไป
“…”
และการที่แจบอมไม่ตอบอะไรก็ทำให้ยองแจต้องพยายามหาจุดโฟกัสสายตาเพื่อเลี่ยงการมองหน้ากับรุ่นพี่หน้าดุที่เขาแอบกลัว
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วดึกป่านนี้จะออกไปไหน ?” จินยองจับข้อมือของยองแจเบาๆเพราะดูออกว่ารุ่นน้องตรงหน้ากำลังเกร็งและกลัวอย่างเห็นได้ชัด
พลางเหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้ว
“คือ…” ยองแจนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่รู้จะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร
และเป็นจินยองอีกครั้งที่จับสังเกตได้
“พี่ว่าจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง จะไปด้วยกันมั้ย ?”
และยองแจก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาตอบตกลงโดยการพยักหน้าให้จินยอง
ก่อนที่จินยองจะจูงมือยองแจออกจากโซนที่เป็นครัวโดยไม่ได้พูดอะไรให้หลังกับแจบอมอีก
ทั้งสองคนออกจากห้องไป ในห้องตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่มาร์คกับแบมแบมที่หลับอยู่บนโซฟา
แจ็คสันที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง
และแจบอมที่เดินออกไปสูบบุหรี่บริเวณรั้วด้านนอกของห้องพัก
จินยองกับยองแจลงลิฟท์มาชั้นล่างสุดที่บรรยากาศตอนนี้กำลังเงียบสงบ
บวกกับอากาศรอบๆที่เริ่มเย็นลงกว่าเมื่อช่วงกลางวัน จินยองจึงเดินหายเข้าไปในมินิมาร์ท
และออกมาพร้อมกาแฟสองกระป๋อง
ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นมื้อดึกประจำวันสำหรับคนทำงานกลางคืนอย่างเขาและยองแจ
แล้วจึงเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวยาวด้านหน้าที่ทางคอนโดฯจัดไว้
“พี่… โอเคมั้ยครับ ?” หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งเงียบมาพักใหญ่
ในที่สุดยองแจจึงเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“อื้ม…” ร่างบางข้างๆพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยถามต่อ “แล้วยองแจล่ะ โอเคขึ้นหรือยัง ?”
“...”
“เรื่องแจ็คสันใช่มั้ย ?” จินยองพยายามชวนคุยต่อเพราะเขารู้ว่ายองแจกำลังเกร็งเวลาอยู่กับเขาเป็นอย่างมาก
“ก็… ครับ” ยองแจตอบกลับไปเพราะถึงเขาจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรคนฉลาดแบบจินยองก็คงจับได้อยู่ดี
“เห็นยองแจเป็นแบบนี้ พี่จะไม่ถามก็แล้วกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” จินยองรู้ดีว่าลึกๆแล้ว ยองแจคิดกับเขาอย่างไร
เพราะยองแจก็คงรู้เรื่องระหว่างเขากับแจ็คสันเมื่อสองปีก่อน
และเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของยองแจดี
“ผมเคยคิดว่าพี่แจ็คสันเขาโง่นะครับ แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้…” คำพูดของยองแจทำให้จินยองถึงกับหลุดขำออกมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่แค่ยองแจหรอก วันนี้พี่ก็เพิ่งด่ามันไป”
“…”
“พี่ไม่รู้นะว่ายองแจคิดกับพี่ยังไง แต่พี่กับแจ็คสัน
เราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ”
คำพูดของจินยองยิ่งทำให้ยองแจพูดอะไรไม่ออก
ยอมรับว่าช่วงแรกๆเขาเคยคิดตั้งแง่ อคติกับจินยอง
และหลีกเลี่ยงที่จะต้องพูดคุยกับจินยองในการมาเที่ยวครั้งนี้ แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้บวกกับที่เจอจินยองและรุ่นพี่หน้าดุอย่างอิมแจบอมในห้องพัก
ยองแจจึงเริ่มเปลี่ยนความคิดกับจินยองทันที
“พี่ดูออกตั้งนานแล้วว่าแจ็คสันชอบยองแจ
พี่ถึงได้ปฏิเสธมันไปเมื่อสองปีก่อน”
“ค…ครับ ?” ยองแจเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เมื่อสองปีที่แล้ว แจ็คสันมันมาบอกชอบพี่
แต่มันไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันแคร์ยองแจมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ”
“…”
“มันบ่นให้พี่ฟังทุกวัน ว่ายองแจหายไปไหน ทำไมยองแจไม่ยอมรับโทรศัพท์
หรือตอนวันที่มันเรียนจบ พี่เห็นมันตะโกนเรียกยองแจตลอด ถามหาแต่ยองแจทั้งวัน …
ทุกวันจะต้องมีชื่อของยองแจหลุดออกมาจากปากของแจ็คสันตลอด
แต่พี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่รู้ตัวเองสักที”
ยิ่งได้ฟังจากปากของจินยอง
ทำให้ยองแจรู้สึกเขินจนก้มหน้าลงมองแต่พื้นดินไปมา
เป็นภาพที่น่าเอ็นดูสำหรับจินยองไม่น้อย
คนเป็นพี่จึงได้แต่นั่งยิ้มกับท่าทีของยองแจ
“บางที… เขาอาจจะแค่สงสารผม เหมือนที่เขาบอกว่า
เขาสงสารและอยากปกป้องพี่จินยองก็ได้มั้งครับ” ถึงอย่างนั้น
ยองแจก็ไม่กล้าที่จะเข้าข้างตัวเองอยู่ดี
“อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับยองแจแล้วล่ะ ว่าจะเชื่อใจและเชื่อในความรู้สึกของแจ็คสันหรือเปล่า”
“…”
“แจ็คสันไม่ใช่คนฉลาด แต่พี่มั่นใจ
ว่าความรู้สึกที่แจ็คสันมีกับยองแจมันไม่ใช่ความสงสาร” จินยองยิ้มบางๆเมื่อเห็นท่าทีของยองแจที่เริ่มอ่อนลงและคล้อยตามไปกับคำพูดของเขา
ถึงแม้ว่าจะมีสีหน้าไม่มั่นใจ แต่แววตาของยองแจก็เริ่มฉายแววที่มีความหวังออกมา
“เอ่อ…”
“มีอะไรจะถามพี่หรือเปล่า ?”
“คือ…”
“…”
“ถ้าผมจะถามเรื่องของพี่กับพี่แจบอม…” ยองแจพูดได้เพียงแค่นั้น
ก่อนจะรีบหลบตาไปทางอื่น เมื่อเห็นว่าจินยองที่ยิ้มในตอนแรกเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นนิ่งเฉยจนยองแจเริ่มรู้สึกกลัว
“คือถ้าพี่ไม่โอเค พี่ไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ”
“ก็อย่างที่ยองแจเข้าใจนั่นแหละ”
“หมายถึง… พี่สองคนเคย… เอ่อ…”
“ฮื่อ เคยเป็นแฟนกันมาก่อนน่ะ แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว
พี่ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจที่ยองแจถามพี่หรอก อย่าคิดมาก” จินยองพูดดักเมื่อเห็นท่าทีลนลานของยองแจ
“จริงๆผมก็เคยสงสัยว่าพวกพี่มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า ตั้งแต่มาถึงที่นี่
ผมยังไม่เคยเห็นพี่สองคนคุยกันเลย”
“ก็ไม่รู้จะคุยอะไรน่ะ” คุณหมอหนุ่มตอบพลางดื่มกาแฟกระป๋องที่เริ่มพร่องลงไปเรื่อยๆ
“เอ่อ… แล้ว… พี่แจ็คสันเขาไม่รู้เหรอครับว่าพี่สองคน…”
“พี่ไม่เคยบอกใครว่าคบกับแจบอม แม้แต่แจ็คสันที่เป็นรูมเมทและเพื่อนสนิท
พี่ก็ไม่เคยบอก”
“…”
“จริงๆมันก็เป็นความผิดของพี่เอง ถ้าพี่รู้ว่าแจบอมจะมาที่นี่ พี่ก็คงไม่มา…”
“บางทีการที่เราหนีมันไม่ได้แปลว่าเราจะลืมไม่ใช่เหรอครับ ?”
“แต่บางอย่าง ถ้าเราลืมไม่ได้ เราก็เลือกที่จะไม่เห็น ไม่ดีกว่าเหรอ ?”
“…”
“ช่างมันเถอะ อย่าใส่ใจเลย สุดท้ายพี่กับแจบอมก็เป็นได้แค่อดีตจริงๆ
จะเก็บมาคิดต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
พูดจบ
จินยองก็ลุกขึ้นเดินไปทิ้งกระป๋องกาแฟ แล้วจึงหันหน้ามาหายองแจโดยแฝงคำถามชวนกลับห้องพักเพราะเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว
ซึ่งยองแจก็พยักหน้าแทนคำตอบแล้วเดินตามหลังจินยองกลับเข้าห้องพักไป
ภายในห้องพักมีแต่ความเงียบสงบ
มาร์คกับแบมแบมยังคงงีบหลับอยู่บนโซฟา
แจ็คสันที่อาบน้ำไปก่อนหน้านี้เองก็คงจะหลับไปแล้ว
ส่วนแจบอมที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงระเบียงห้องด้านนอกหันมามองคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องทั้งสองคนเพียงเล็กแล้วจึงหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร
จินยองและยองแจจึงแยกย้ายเข้าห้องนอนของตนเพื่อไปพักผ่อนเช่นกัน
.
.
.
ร่างโปร่งที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาค่อยๆลืมตาขึ้นพลางกะพริบสองสามทีพอให้ปรับโฟกัสสายตาได้
ก่อนที่คนเพิ่งตื่นจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดอยู่บนหัวไหล่
และพบว่าเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งคุยกันก่อนที่เขาจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
มาร์คกวาดสายตามองรอบห้องและไม่พบใคร
บรรยากาศภายในห้องที่เงียบเชียบทำให้มาร์คเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนัง
และก็ทำให้เขาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบตีสาม
มาร์คจึงค่อยๆจัดท่านอนให้แบมแบมบนโซฟาเพื่อให้รุ่นน้องหลับสบายขึ้น
แล้วถือวิสาสะเดินไล่เปิดประตูห้องนอนทุกห้องให้เบาที่สุดเพื่อมองหาใครบางคน
แต่มาร์คก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเขาไม่พบคนที่ตัวเองกำลังตามหา
“ยังไม่กลับมาอีกเหรอวะ ?”
มาร์คพึมพำด้วยสีหน้าร้อนรน
ยิ่งมองดูนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้รุ่งสางยิ่งทำให้ร่างโปร่งรู้สึกไม่สบายใจ
มาร์คจึงตัดสินใจคว้าเสื้อกันหนาวใส่ทับ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์แล้วรีบเปิดประตูห้อง
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
ร่างสูงใหญ่ของเด็กที่โตเกินวัยที่นั่งหลับอยู่หน้าประตูห้อง
โดยที่กอดกระเป๋าเป้เอาไว้แน่น
ผิวขาวละเอียดของเด็กหนุ่มที่มีรอยแดงๆประปรายอยู่ตามตัวที่เกิดจากการถูกยุงกัดในช่วงเวลาค่ำคืน
ยูคยอมที่มาร์คมักมองว่าเป็นเด็กปากเก่งและน่ารำคาญ
ในยามนี้กลายเป็นเพียงลูกหมาตัวโตที่ดูน่าสงสารจนความผิดเริ่มเข้ามาสะกิดในใจของมาร์ค
“ยูคยอม…” นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อยูคยอมด้วยน้ำเสียงที่ไม่กระแทกกระทั้นหรือบ่งบอกถึงความหงุดหงิดในยามที่ต้องสนทนากับเด็กคนนี้
“…”
และเสียงหายใจเบาๆของคนที่กำลังหลับก็เป็นคำตอบที่มาร์คได้รับ
“ยูคยอม” ครั้งนี้มาร์คใช้มือสะกิดไหล่ของคนที่ตัวโตกว่าตัวเองเบาๆ
และยูคยอมก็มีปฏิกิริยาตอบรับ เด็กหนุ่มเขย่าศีรษะสองสามที
ก่อนจะใช้มือขยี้ตาเหมือนเด็กที่เพิ่งถูกแม่ปลุกในยามเช้า
“อือ…” ร่างสูงครางรับเบาๆในสภาพสะลึมสะลือ
“ทำไมไม่เคาะประตูห้… ?”
ยังไม่ทันที่มาร์คจะถามจบ
ยูคยอมก็ยื่นกระเป๋าเป้ที่เขานอนกอดในตอนแรกให้มาร์คโดยที่ไม่พูดอะไร
มาร์คชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่เพราะยูคยอมไม่ยอมพูดอะไร
แต่มือก็พยายามจะส่งกระเป๋าให้เขา จนมาร์คต้องรับมาอย่างไม่เข้าใจ
“อะไร ?”
“เอาไปซ่อมมาให้แล้ว” ยูคยอมตอบแบบนิ่งๆ
ซึ่งเป็นภาพที่มาร์คไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ถึงกระนั้นเขาก็แอบตกใจอยู่ดีเมื่อได้ยินในสิ่งที่ยูคยอมพูด
“…”
“ขอโทษที่มันไม่เหมือนเดิมทุกอย่าง ช่างบอกว่าต้องเปลี่ยนชิ้นส่วน
ขอโทษที่ทำได้แค่นี้ พยายามแล้วจริงๆ”
มาร์คนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของยูคยอม
พร้อมกับกล้องในมือที่ยังคงเป็นกล้องตัวเดิมของเขา โดยที่มีชิ้นส่วนเล็กน้อยที่เปลี่ยนไปซึ่งดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อมองดู
“ผมเข้าห้องละนะ ง่วง…” ยูคยอมลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินเข้าห้อง
แต่กลับถูกมาร์คดึงชายเสื้อเอาไว้
“เดี๋ยว...”
“ว่า ?” ยูคยอมหันมามองรุ่นพี่ตัวเล็กที่กำลังดึงเสื้อของตนอยู่
“…”
“…”
“คือ…”
“ถ้าพี่ไม่พูดผมจะเข้าห้องแล้วนะ”
“จ…จริงๆ…”
“…”
“เรื่องนี้ฉันก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ !” มาร์คพูดด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนจนดูน่าขันในสายตาของยูคยอม
ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังคงตีหน้านิ่งต่อ
“แล้ว ?” ยูคยอมถามพลางเลิกคิ้ว
“ก…ก็…”
“…”
“ก็จะขอโทษนี่ไงเล่า !”
“ทำตัวน่ารักก็เป็นนี่นา คุณอี้เอิน~” และสุดท้ายยูคยอมก็ดีแตกจนมาร์คถลึงตาใส่ไปหนึ่งที
“อย่ามาลามปาม !”
มาร์ครีบเดินนำหน้าเข้าห้องโดยไม่ลืมเอากระเป๋าเป้ที่ใส่กล้องเข้าไปด้วย
ทิ้งให้เด็กตัวโตยืนมองตามก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีของมาร์คที่เขาเห็นมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
ซึ่งมันไม่ใช่แค่ที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เขาได้รับสิทธิ์ให้ได้พบกับมาร์คในโหมดนี้มาตั้งแต่ที่สนามบินก่อนเดินทางเสียด้วยซ้ำ
มาร์คเดินเข้ามาปลุกแบมแบมที่นอนบนโซฟา
และไล่ให้เด็กที่เริ่มจะงอแงเพราะถูกปลุกกลางดึกไปอาบน้ำ
โดยให้เหตุผลว่ากลัวแบมแบมจะไม่สบาย สุดท้ายคนที่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องตามคำสั่งของแขกที่มีอายุมากกว่า
ก่อนที่มาร์คจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเพื่อรออาบน้ำต่อ
และก็เห็นว่ายูคยอมที่เดินตามเข้าห้องมาทีหลังกำลังเปิดโน้ตบุ๊คที่เจ้าตัวนำมาจากที่เกาหลีด้วย
ท่าทีของร่างสูงที่นั่งดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความจริงจังกลับสะกดให้มาร์คเหลือบมองอย่างไม่วางตา
และทำให้เขาค้นพบว่า
ยูคยอมในเวลาที่อยู่ในโลกส่วนตัวมันดูมีเสน่ห์และดูเป็นผู้ใหญ่เอาเสียมากๆในสายตาของเขา
ดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นในเวลาปกติกลับดูดึงดูดสายตาคนมองในยามที่เจ้าตัวกำลังจดจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง
ขับด้วยโครงหน้าหล่อที่ดูเพอร์เฟคต์เสียจนมาร์คแอบอิจฉาอยู่เนืองๆ
แต่ดูเหมือนเขาจะมองอีกฝ่ายแบบชัดเจนไปหน่อย เพราะยูคยอมละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ออกมามองเขากลับ
“มองผมทำไม ?” ยูคยอมถามคนที่กำลังนั่งมองเขาจากบนโซฟาอยู่
“อะไร ใครมอง ?” มาร์คกลบเกลื่อน
“ก็เห็นอยู่ว่านั่งมอง”
“เหอะ…”
“เออ พี่ ผมขออาบน้ำต่อจากแบมแบมได้ป่ะ ?” ยูคยอมเปลี่ยนหัวข้อในการพูดคุยโดยการขอแซงคิวอาบน้ำที่มาร์คกำลังนั่งรออยู่
“เรื่องอะไร ทำไมต้องให้ ฉันก็ง่วงเหมือนกัน”
“ผมอุตส่าห์เอากล้องออกไปซ่อมให้เลยนะ ร้อนก็ร้อน ยุงกัดจนคันทั่วไปหมดแล้ว
ขออาบน้ำก่อนนะพี่ เนี่ย เหม็นเหงื่อไปหมดละ” ยูคยอมว่าพลางทำจมูกฟุดฟิดไล่ไปตามตัวตัวเองจนมาร์คหลุดยิ้มออกมา
ก่อนจะตีหน้านิ่งเพื่อไม่ให้ยูคยอมเห็น
“เออๆ ก็ได้ ให้ไวๆด้วย ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว”
มาร์คเหยียดตัวนอนจนเต็มโซฟา
พร้อมกับที่แบมแบมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพงัวเงียแม้ว่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
และเด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากโบกมือลามาร์คกับยูคยอมแล้วตรงเข้าห้องนอนไป
ส่วนยูคยอมก็ลุกขึ้นไปหยิบของใช้ส่วนตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำต่อจากแบมแบมทันที
คนที่นอนรออาบน้ำบนโซฟาเริ่มรู้สึกเบื่อกับการรอคอยเพราะความง่วงที่เริ่มมากขึ้นทุกขณะ
มาร์คจึงเดินตรงเข้าไปในโซนครัวเพื่อดื่มน้ำพอให้แก้ง่วง
แต่ดวงตากลมโตก็ต้องไปสะดุดกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของยูคยอมที่เปิดเข้า Facebook
ทิ้งไว้ และภาพที่ปรากฏบนหน้าจอมันก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นๆอย่างบอกไม่ถูก
สาบานเลยว่ามาร์คไม่ได้คิดที่จะทำตัวเสียมารยาท
แต่เขาดันหันไปเห็นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างโปร่งมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง
และเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น มาร์คจึงเดินเข้าไปดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แบบชัดๆ
และภาพที่ปรากฏบนหน้าจอก็คือ หน้าแฟนเพจ Facebook
หนึ่งที่มาร์คมั่นใจว่าเขารู้สึกคุ้นตามากเสียจนน่าตกใจ
ลองทายดูสิ ว่าเขาเจออะไรปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของยูคยอม… ?
ถึงแม้ว่าตอนที่แล้วเราจะแอบน้อยใจกับยอดคอมเม้นท์นิดๆก็ตาม
แต่สำหรับเรา ความสุขของคนอ่านต้องมาก่อนค่ะ
จะงอนก็ไม่ได้ ฮลึก ;_____;)
รายได้จากการหักค่าใช้จ่ายจะนำไปทำบุญและโดเนทโปรเจคต์ต่างๆของ GOT7 ค่ะ
ยอดขั้นต่ำอยู่ที่ 20 เล่มนะคะ
และสุดท้ายนี้ มุกคงไม่ได้เข้ามาอัพฟิคในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว
ก็เลยอยากจะอวยพรทุกคนล่วงหน้าค่ะ
ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆตลอดปี 2016 นี้
อยู่ติดตามและรัก GOT7 รวมไปถึงฟิคของมุกนานๆนะคะ
หลังจากจบเรื่องนี้ เรามีโปรเจคต์ต่อไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอให้เงินไหลมาเทมา ได้แฟนหล่อๆรวยๆ 5555555555
ได้โมเม้นท์กัซแบบฟินๆถ้วนหน้า
และเราอยากจะบอกว่า
ความคิดเห็น