คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 0 9 | Je suis désolé. (100%)
EP 09 | Je suis désolé
‘ พี่ยังชอบพี่จินยองอยู่รึเปล่า ? ’
ยองแจนึกอยากจะตบปากตัวเองอีกสักครั้งหลังถามคำถามจบ ดวงตาเรียวหลุบลงไม่ยอมสบตาคู่สนทนา ในขณะที่คนถูกถามอย่างแจ็คสันกลับไม่แสดงอาการใดๆออกมา มือหนายังคงคว้าแก้วกาแฟเย็นขึ้นมาดูดอย่างสบายอกสบายใจจนยองแจเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ…”
ยองแจไม่แน่ใจว่าเขาควรรู้สึกอย่างไรกับคำตอบของคนตรงหน้า เขาไม่ควรดีใจเพราะแจ็คสันก็ไม่ได้บอกว่าเลิกชอบจินยองเสียเมื่อไหร่ แต่จะบอกว่าเสียใจไหม ยองแจก็ไม่เสียใจเท่าไหร่หลังจากที่ได้ยินคำตอบนี้ เพราะรุ่นพี่คนนี้ไม่ได้ตอบเหมือนที่เขาคาดเอาไว้
“อื้อ…” คนตัวขาวที่นั่งร่วมโต๊ะได้แต่ตอบไปเบาๆเพราะไม่รู้จะชวนคุยอะไรต่อ
“งั้นพี่ขอถามยองแจบ้างได้มั้ย ?”
“ครับ ?”
“วันที่พี่เรียนจบ … ทำไมยองแจไม่มาหาพี่ ?”
“เอ่อ…”
ความรู้สึกจุกตีรวนขึ้นมาบนอกของนักเขียนหนุ่มที่ไมรู้ว่าควรจะวางสายตาของตนไว้ที่ใดดี ครั้นจะมองหน้ารุ่นพี่ตรงหน้าก็รู้สึกใจไม่แข็งพอที่จะต่อสู้กับสายตาคมที่จ้องมองราวกับรอคำตอบที่ตนสงสัยมานาน
“วันนั้นพี่นั่งรอยองแจเป็นชั่วโมง โทรไปหาก็ไม่รับ ไลน์ไปหาก็ไม่ตอบ ห้ามบอกพี่ว่าไม่เป็นไร เพราะยองแจไม่ใช่คนที่จะหายไปดื้อๆแบบนั้น”
“…”
“พี่มั่นใจว่ายองแจต้องโกรธอะไรพี่แน่ๆ หลังจากที่เราเจอกันที่ร้านกาแฟ พี่ก็ไม่เคยเจอยองแจอีกเลย ไลน์ไปหานายก็ไม่ตอบ”
“มันไม่ใช่…”
“พี่ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรให้ยองแจโกรธหรือไม่พอใจ แต่ยองแจรู้มั้ยว่าพี่รู้สึกผิดมาตลอดตั้งแต่พี่เรียนจบ”
“…”
“จนตอนนี้…”
“...”
“แต่ตอนที่ยองแจตอบตกลงมาเที่ยวกับพี่ พี่โคตรดีใจเลยรู้รึเปล่… เฮ้ย ! ยองแจ !”
แจ็คสันที่พูดไม่หยุดและไม่เปิดช่องว่างให้ยองแจตอบโต้เป็นอันต้องสะดุดลง พร้อมกับตกใจไปพร้อมๆกันเมื่อพบว่าคนฟังที่เป็นรุ่นน้องของตนกำลังนั่งก้มหน้าอีกทั้งยังตัวสั่น มือไม้ที่กำลังปาดอยู่บนใบหน้าขาวบ่งบอกว่ายองแจกำลังนั่งร้องไห้ในขณะที่เขาพูดอยู่
“ย…ยองแจ…”
“พี่แม่ง…”
“…”
“อึก…ใจร้ายว่ะ…” เสียงพูดที่มาพร้อมกับอาการสะอึกสะอื้นทำให้แจ็คสันได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ
“พี่แม่งเอาแต่เรียกผมว่าเด็กโง่ เด็กโง่ ใครกันแน่ที่โง่…”
“หมายความว่ายังไงยองแจ ?”
“ถ้าผมโง่นะ พี่แม่งก็โคตรของโคตรโง่เลย”
“…”
“ผ…ผมขอตัวก่อนนะพี่ ว่าจะไปหาซื้อหนังสือละ พี่จินยองมาพอดี ผมไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวดิยอง…”
“ขอตัวครับ”
ยองแจลุกขึ้นพร้อมโค้งหัวให้จินยองที่มีฐานะเป็นรุ่นพี่น้อยๆแล้วเดินออกไปโดยไม่ปล่อยให้จินยองหรือแจ็คสันพูดคัดค้านอะไรต่อ โดยที่แจ็คสันทำได้เพียงมองตามหลังไปจนยองแจหายออกไปจากระยะสายตา
“ฉันมาผิดเวลารึเปล่า ?” คนมาใหม่ที่หายตัวไปนานพอสมควรถามด้วยสีหน้าที่กังวลเล็กน้อย
“อา…ไม่หรอก”
“น้องร้องไห้ขนาดนั้น ใจคอจะไม่ไปปลอบหน่อยเหรอ ?”
“แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดนี่ ?”
“นั่งกันอยู่สองคนแล้วร้องไห้ออกมา ถ้านายไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะ ?” จินยองพูดเหตุผลที่ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่นักสำหรับแจ็คสัน แต่มันก็จริงอยู่ส่วนหนึ่งจริงๆ
“แจ็คสันที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนอื่นร้องไห้แล้วตัวเองอยู่ดูเฉยๆนะ”
“…”
“เวลาเศร้าแล้วไม่มีคนอยู่ข้างๆมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอกนะ” นี่อาจเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ ที่จินยองเป็นฝ่ายพูดไม่หยุด โดยที่แจ็คสันได้แต่ฟังเงียบๆ
“ฉันก็รู้…”
“แจ็คสัน เชื่อที่ฉันบอกเถอะ ฉันบอกกับนายตั้งแต่อยู่ปีสามแล้วนะ”
“เรื่องอะไร ?”
“เรื่องที่ฉันบอกว่า ยองแจชอบนาย ไง”
“จะบ้าหรือไง วันๆเจ้าเด็กนั่นพูดกับฉันไม่กี่คำ หน้าตาก็ไม่แสดงออกว่าจะชอบฉันสักหน่อย นายบ้าไปแล้วแน่ๆคุณหมอปาร์คจินยอง”
“แล้วเคยถามน้องตรงๆรึยังล่ะ ?”
“ก็… ไม่เคย…”
“ไหนๆก็โตๆกันแล้ว ฉันจะพูดตรงๆเลยนะ”
จินยองถอนหายใจพร้อมทำหน้าเหนื่อยใจไปพร้อมๆกัน ร่างบางนั่งท้าวคางมองแจ็คสันที่ทำหน้าซังกะตาย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ตลกเอามากๆเมื่อมานั่งคิดถึงในตอนนี้
“จำตอนที่นายมาบอกว่า นายชอบฉัน ตอนอยู่ปีสี่ได้มั้ย ?”
“ปัดโธ่ !! จะขุดขึ้นมาทำไมเล่าจินยอง !!!!” แจ็คสันโวยวายเมื่อเรื่องราวในอดีตถูกขุดขึ้นมา
เหตุการณ์น่าอับอายนั้นเกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่เรียนอยู่ปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแจ็คสัน คืนหนึ่งชายหนุ่มจึงตัดสินใจสารภาพรักกับจินยองภายในหอพัก แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากจินยองคือคำปฏิเสธแบบเด็ดขาดพร้อมเสียงหัวเราะซึ่งหาฟังได้ยากจากนักศึกษาแพทย์โลกส่วนตัวสูง แต่แจ็คสันในเวลานั้นกลับขำไม่ออกจนหนีออกจากหอหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ อีกทั้งต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับมามองหน้ากับรูมเมทว่าที่แพทย์ติดอีกครั้ง
“ไม่สงสัยเหรอว่าทำไมฉันถึงปฏิเสธนาย ?”
“ไม่รู้ ไม่อยากรู้ด้วย นายมันใจร้าย ปาร์คจินยอง” แจ็คสันเบ้ปากพลางดูดกาแฟไปอีกอึกใหญ่
“มองหน้าฉันนะ…” มือเรียวประกบเข้าที่แก้มของแจ็คสัน ใบหน้าหล่อคมได้รูปถูกบังคับให้มาจ้องกับดวงตากลมโตที่ยากจะคาดเดาความรู้สึกของจินยอง
“ตอนนี้นายรู้สึกยังไง ?” จินยองถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยรู้เลยว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันไม่เคยอ่านตาของนายออกเลย”
“รู้สึกเขิน ใจเต้น หรืออะไรบ้างมั้ย ?”
“ม…ไม่นะ…” หลังจากตอบคำถาม มือของจินยองก็ค่อยๆผละออกมาจากใบหน้าของแจ็คสัน ก่อนจะกลับมานั่งท้าวคางมองเหมือนเดิม
“แล้วตอนที่เห็นยองแจร้องไห้ นายรู้สึกยังไง ?”
“ก็… รู้สึกผิด อยากรู้ว่าไปทำอะไรให้เขาเสียใจ แล้วก็…”
“หืม ?”
“ร…รู้สึก…เอ่อ…” แจ็คสันกรอกตาไปมาเหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดที่จะตอบคำถามของจินยอง มือไม้ของชายหนุ่มเริ่มอยู่ไม่สุขจนจินยอมหลุดยิ้มออกมา
“โอเค มันชัดเจนแล้วแจ็คสัน”
“หา ?? อะไรของนายเนี่ยจินยอง ?”
“เหตุผลที่ฉันปฏิเสธนายไปตอนนั้น เพราะฉันดูออกว่า นายไม่ได้ชอบฉัน นายแค่สงสารฉันเฉยๆ ฉันเข้าใจความรู้สึกที่นายอยากจะปกป้องหรือดูแลใครสักคน แต่กรณีของนายมันคือความสงสารและเป็นห่วงในแบบของเพื่อน”
“…”
“คนที่นายชอบจริงๆไม่ใช่ฉัน แต่เป็นยองแจ… ชัดเจนนะ ?”
“ชักจะไปกันใหญ่แล้วจินยอ…”
“สีหน้าและแววตาของนายมันฟ้องออกมาหมดแล้วแจ็คสัน นายแคร์ยองแจมากกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย ตอนนี้นายก็คงตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ใช่ไหมว่าทำไมยองแจถึงร้องไห้”
“…”
“ฉันทายถูกใช่มั้ย ?”
“ให้ตายเถอะ ฉันว่านายควรไปเป็นหมอดูเป็นอาชีพเสริมนะจินยอง”
“ตลกตาย…”
“ไอ้ที่รู้สึกผิดน่ะใช่ แต่เรื่องที่ชอบยองแจ… ฉันว่า…”
“ถ้านายไม่ชอบยองแจ นายจะมาบ่นเรื่องที่ยองแจขาดการติดต่อกับนายให้ฉันฟังทำไมทุกวันตอนอยู่ปีสี่ แล้วถ้านายเลิกนึกถึงยองแจจริงๆ นายจะชวนยองแจมาทริปนี้ทำไม ทั้งๆที่ยองแจก็เป็นแค่รุ่นน้องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายด้วยซ้ำ สายรหัสก็ไม่ใช่ เวลาเรียนก็แทบไม่เจอกันไม่ใช่เหรอ ?”
“…”
“แล้วก็ทำให้แจ็คสันคนที่แสนขี้เกียจสามารถไปช่วยทำละครของภาคที่ยองแจเป็นคนเขียนบทได้เนี่ย… อืม… ไม่ธรรมดานะ” แจ็คสันขอสารภาพจากใจ นี่เป็นวันแรกที่แจ็คสันรู้สึกว่าจินยองเป็นคนกวนประสาทจนน่าจับมาตีให้หายกวนสักที
“เลิกฉลาดน้อยได้แล้ว อยากพูดอยากทำอะไรก็ทำซะ”
“ฉันติดหนี้นายอีกแล้ว เฮ่อ” แจ็คสันถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“มีเพื่อนฉลาดน้อยนี่น่าเบื่อเหมือนกันนะ”
“ปาร์คจินยอง !!”
สองเพื่อนซี้พากันนั่งหัวเราะ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นสนทนาเป็นเรื่องอื่นแทน โดยที่การกระทำทุกอย่าง ตั้งแต่ที่จินยองจับไปที่หน้าของแจ็คสัน หรือช่วงเวลาที่ทั้งสองคนนั่งสบตากัน อีกทั้งสีหน้ายิ้มแย้มของคนสองคน กำลังตกอยู่ในสายตาของใครอีกคนที่กำลังยืนมองอยู่ด้านตรงข้ามของร้านกาแฟ
และเจ้าของสายตาที่กำลังจับจ้องไปที่ทั้งสองคนนั้นก็กำลังกำมือแน่นเสียจนรู้สึกเจ็บไปทั้งฝ่ามือ แต่กลับเทียบไม่ได้กับความบาดเจ็บทางจิตใจที่ตอนนี้กำลังรู้สึกทั้งเจ็บทั้งโมโหแต่ก็ยังไม่ละสายตาออกจากคนที่ตนกำลังมองอยู่แม้แต่น้อ
“มองขนาดนั้นทำไมไม่เดินไปพังร้านเลยล่ะ ?” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูกวนประสาทสำหรับคนฟังในตอนนี้ดังแทรกขึ้นมา
“อย่าท้าฉันนะ” คนถูกทักตอบกลับแบบหัวเสีย
“นี่ เอาเลนส์ตัวไหนดี ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยเลือกหน่อย” ชายหนุ่มผมแดงที่ยืนถือเลนส์กล้องสองชิ้นในมือเลิกสนใจแล้วหันมาขอความคิดเห็นจากคนที่กำลังยืนมองร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“เกี่ยวอะไรกับฉันไม่ทราบ อยากใช้อะไรก็เรื่องของนายเถอะมาร์ค”
“จ้องแบบนั้นเขาคงเลิกสวีทกันหรอก นายนี่มันประสาทจริงๆแจบอม” เพราะรู้ดีว่าอิมแจบอมกำลังรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก
มาร์คจึงพร้อมจะซ้ำเติมคนข้างๆที่ทำตัวเป็นหมาหวงก้างด้วยความสะใจเล็กน้อย
“ถ้านายยังไม่เลิกพูดมาก ฉันพังกล้องตัวใหม่ของนายแน่ๆ” แจบอมยกกล่องกล้องใหม่เอี่ยมที่มาร์คเพิ่งรูดบัตรเครดิตซื้อไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนขึ้นมาจนเจ้าของกล้องชักสีหน้าออกมาเล็กน้อย
“จะเล่นอะไรก็เล่น อย่าพาลมากล้องของฉัน”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของมาร์คทำให้แจบอมหลุดจากภวังค์หันมามองคนข้างๆที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นคนละคน
ร่างสูงสะอึกไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นอีกมุมของมาร์ค
จนกลายเป็นว่าความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคน
และเป็นแจบอมที่ยอมลดทิฐิลงก่อน
“เฮ้ย โกรธจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ ?” แจบอมทักขึ้นเมื่อเห็นว่ามาร์คไม่ยอมพูดอะไรอีก
มิหนำซ้ำยังแย่งถุงกล้องมาถือเองอีกต่างหาก
“ถ้านายมีของที่รักและหวงมากๆ นายจะเข้าใจเอง”
“…”
“…”
“เออๆ ขอโทษก็แล้วกัน”
“ช่างเหอะ นั่นแบมแบมกับยูคยอมนี่ ?” มาร์คพยักเพยิดหน้าไปอีกทาง
แจบอมหันไปมองตามและพบว่าแบมแบมกับยูคยอมกำลังนั่งคุยกันอยู่บริเวณหน้าร้านกาแฟ
และไม่นานนักแจ็คสันกับจินยองก็เดินออกมารวมตัวกับรุ่นน้องอีกสองคน
“นายจะไปหาพวกนั้นก่อนก็ได้นะ ฉันขอไปสูบบุหรี่ก่อนก็แล้วกัน” ยอมรับแบบแมนๆว่าแจบอมยังไม่อยากจะเดินเข้าไปหาทุกคนในตอนนี้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเวลาจินยองยืนคุยกับทุกคนด้วยรอยยิ้มที่เมื่อก่อนแจบอมก็แทบไม่มีโอกาสได้เห็นด้วยซ้ำ
มันพาลทำให้เขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่นัก
“ฉันไม่คิดว่านายจะติดบุหรี่ขนาดนี้แฮะ ได้ข่าวว่าเคยมีแฟนเป็นหมอ
หมอไม่เคยบอกเหรอว่าสูบบุหรี่มันไม่ดี”
“ก็ทุกวันนี้หันมาสูบเพราะหมอไง ถ้าไม่เลิกกับหมอคงไม่สูบหรอก” แจบอมตอบพร้อมแค่นหัวเราะออกมา
“พูดแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะ ฉันโคตรอยากรู้เรื่องของนายกับจินยองในอดีตเลย
อะไรทำให้คนสองคนเลิกกันจนถึงขั้นมองหน้าไม่ติดขนาดนี้”
“ขอตัวนะ บอกแจ็คสันว่าเดี๋ยวฉันไปรอหน้าทางออกห้างเลย”
แจบอมบอกไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกไปโดยไม่ปล่อยให้มาร์คพูดอะไรต่อ
ส่วนคนที่เพิ่งเดินด้วยกันเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนอกจากยักไหล่เบาๆแล้วเดินไปหาทุกคนที่ยืนรวมกันอยู่หน้าร้านกาแฟ
ขาดก็แต่ยองแจที่ปลีกตัวออกไปก่อนหน้านี้ และแจบอมที่เพิ่งออกไปเช่นกัน
“โอ้โหเว้ย ป๋ามาร์คถอยกล้องอีกแล้วว่ะ” แจ็คสันเปิดปากแซวเป็นคนแรกเมื่อเห็นว่ามาร์คไม่ได้เดินมาตัวเปล่า
แต่ในมือยังมีถุงที่มีโลโก้ของร้านกล้องขนาดใหญ่อีกด้วย
“กล้องมันลดราคา เลยซื้อมา ยังไงก็ต้องใช้ทำงานอยู่แล้ว”
“ได้ข่าวว่าตัวละเป็นล้านวอนมึงก็ซื้อได้ ทำมาเป็นพูดว่าลดราคา” แจ็คสันยังคงแซวไม่เลิก ส่วนคนอื่นๆก็ได้แต่ยืนขำเมื่อเห็นมาร์คมองแรงใส่แจ็คสัน
“เออๆ กล้องรุ่นนี้ที่เกาหลีมันล้างสต็อกไปแล้ว
โชคดีที่มาเจอที่นี่กูเลยซื้อมา พอใจยัง ?”
“อิจฉาพี่มาร์คจัง กว่าผมจะซื้อได้แต่ละตัวนี่คิดแล้วคิดอีก” เจ้าบ้านอย่างแบมแบมแกล้งแซวบ้างพร้อมยิ้มออกมา
“อยากจะลองเล่นก็ได้นะ”
“จ…จริงเหรอครับ ?”
“ฮื่อ… คืนนี้พี่กะจะลองแกะมาเล่นดู
ถ้ายังไงมานั่งดูด้วยกันก็ได้ เผื่อสนใจ”
“อะแฮ่ม !” คนที่ขัดขึ้นมารอบนี้ไม่ใช่แจ็คสัน…
ซึ่งก็พอทำให้มาร์คมั่นใจว่าคนที่กำลังจะปั่นประสาทเขารอบนี้คงไม่ใช่ใครที่ไหน
“ต้องการอะไรจากฉัน คิมยูคยอม” มาร์คตวัดตาไปมองคนที่เด็กที่สุดในกลุ่ม
“เอาอีกละ ผมทำอะไรพี่รึยังล่ะครับ เฮ่อ~” ถึงจะพูดแบบนั้น
แต่ยูคยอมก็ไม่ได้มีท่าทีสลดเสียเท่าไหร่
แถมยังเดินไปป้วนเปี้ยนรอบๆจินยองจนอีกคนได้แต่ยืนยิ้ม
“ฉันขอไปที่อื่นก่อนได้มั้ย คู่นี้มันเจอหน้ากันไม่ได้จริงๆ ให้ตายเถอะ”
แจ็คสันบ่นอุบ
“ก็บอกให้น้องมึงเลิกกวนประสาทกูสิ” มาร์คหันไปเหวี่ยงลงที่แจ็คสันแทน
“เอาน่า ใจเย็นๆนะมาร์ค น้องแหย่เล่นเฉยๆ” จินยองจับไหล่คนที่กำลังอารมณ์เสียให้ใจเย็นลง
“…”
“ยูคยอมก็เลิกแหย่มาร์คได้แล้ว เข้าใจมั้ย ?” จินยองหันไปบอกคนที่เด็กที่สุดในกลุ่ม
ซึ่งเด็กที่ตัวโตเกินวัยก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มแหยๆที่ถูกดุ
และการเดินห้างใจกลางเมืองหลวงก็จบลง
เมื่อยองแจเดินออกมาจากร้านหนังสือ
ทุกคนจึงเดินออกมาหน้าห้างตามที่แจบอมได้บอกพิกัดไว้กับมาร์ค
ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะฝ่าผู้คนที่เข้ามาเล่นสงกรานต์ในบริเวณนั้นได้
และในที่สุดทุกคนจึงได้กลับมาที่ห้องพักของแบมแบมในสภาพเหนื่อยล้า
ยองแจและแบมแบมเป็นคนอาสาทำมื้อเย็นในวันนี้
แจบอมขอแยกไปนอนพักผ่อนที่ห้องของแจ็คสัน
ในขณะที่จินยองก็เข้าไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองเช่นกัน
ในห้องโถงเวลานี้จึงเหลือเพียงแค่ยูคยอม แจ็คสัน ที่นั่งจุมปุ๊กดูโทรทัศน์บนโซฟาและมาร์คที่กำลังนั่งตรวจเช็คกล้องที่เพิ่งซื้อมาใหม่
“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ มาร์ค ยูคยอม กูหวังว่าแค่ไม่ถึง 1 นาที มึงสองคนจะไม่ตีกัน เข้าใจ๊ ?”
“ผมเป็นเด็กดีจะตายไป / กูไม่รับปาก !”
“ให้ตายเถอะ…” แจ็คสันกรอกตามองขึ้นเพดานเมื่อได้ยินคำตอบของทั้งสองคน
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เถียงอะไรต่อ จึงเดินหายไปจากห้องโถง
ทิ้งไว้เพียงผู้ชายสองคนที่คนหนึ่งนั่งก้มดูกล้องบนพื้นแบบเงียบๆกับอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาแต่แอบชำเลืองคนบนพื้นเป็นระยะๆ
“นี่… พี่มาร์ค…” ร่างสูงขานชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ
และน้ำเสียงที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้งทำให้มาร์คยอมเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เรียกชื่อตน
“ว่าไง ?” และมาร์คก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดที่จะทำเสียงแข็งใส่อีกคน
คนเป็นพี่จึงปรับโทนเสียงที่มักจะแข็งกระด้างใส่ยูคยอมให้นุ่มนวลลง
“พี่ชอบถ่ายรูปมากเลยเหรอ ?”
“ตอนแรกก็ชอบ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นงาน ก็เลยเฉยๆไปแล้ว”
“…”
“ถามทำไม ?”
“เห็นพี่แจ็คสันบอกว่าพี่เป็นพวกสื่อตามคอนเสิร์ตด้วยเหรอฮะ ?”
“อือ โดนเขาเชิญไปก็ต้องไป”
“แบบนี้พี่ก็ได้เจอพวกดาราบ่อยๆเลยล่ะสิ น่าอิจฉาจังเลยน้า~”
“พวกดาราน่าเบื่อจะตาย” มาร์คบ่นพลางถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูคาดหวังของยูคยอม
“พี่เป็นสื่อมวลชนพี่ก็พูดได้สิ ผมเนี่ย เสียเงินเป็นแสนแขนก็ไม่ได้จับ
พูดแล้วโคตรเศร้า”
“เป็นติ่ง ?” มาร์คแทบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อยูคยอมพูดถึงสถานะของตัวเอง
ถ้าให้พูดสามสิ่งที่มาร์คไม่ค่อยชอบใจ
ก็คงจะเป็นการทำงานท่ามกลางผู้คนมากมาย (แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเลี่ยงได้) หรือ
เวลาเจอพวกดาราหรือพวกสังคมไฮโซมาขอออกเดทกับเขา ถึงแม้ว่ามาร์คจะเป็นสื่อมวลชน
แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เขาหน้าตาดีอยู่ระดับหนึ่ง เผลอๆอาจจะดีกว่าดาราบางคนเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ามาร์คจึงตกเป็นเป้าหมายที่เหล่าไฮโซคนดังทั้งหลายอยากจะควงออกงานเป็นหน้าเป็นตาและเรียกกระแสเข้าตัวเอง
ซึ่งมาร์คเองก็ปฏิเสธไปนักต่อนักจนหลายๆคนยอมแพ้
และสิ่งสุดท้ายที่มาร์คไม่ชอบก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า “แฟนคลับหรือมนุษย์ติ่ง” เพราะเขามีประสบการณ์ที่ค่อนข้างจะไม่ดีกับบุคคลกลุ่มนี้เวลาไปถ่ายภาพตามงานคอนเสิร์ตหรืองานอีเว้นท์ต่างๆเท่าไหร่นัก
“แฟนคลับตัวพ่อเลยแหละ” ยูคยอมตอบพร้อมไถตัวลงไปนอนบนโซฟาแบบเต็มพื้นที่
โดยหันหัวไปทางมาร์คที่นั่งอยู่บนพื้น
“เหรอ ? ติ่งใครล่ะ ?”
“ซอนมีนูน่า พี่เคยเจอเธอป่ะ ?”
“คุณซอนมี… เจอบ่อยนะ โดนเชิญไปประจำเวลามีงาน”
“ผมว่าผมต้องตีสนิทพี่แล้วล่ะ เผื่อจะได้เจอซอนมีนูน่าใกล้ๆบ้าง” ยูคยอมว่าพร้อมฉีกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็ไม่ได้บ่อยหรือใกล้ชิดขนาดนั้น ฉันเป็นช่างภาพ ไม่ใช่นักข่าว”
“จริงสิ ! พี่มีพวกทวิตเตอร์หรือ SNS อะไรบ้างมั้ย เอาแอคที่พี่ลงรูปดารานะ ผมจะไปสูบรูปซอนมีนูน่า”
“ตีกันอยู่ทุกวัน จู่ๆจะมาขอ SNS คนอื่นแบบนี้
ง่ายไปมั้ง” มาร์คไม่วายจิกกัดไปหนึ่งดอก
“โหยพี่ ถือซะว่าช่วยนักศึกษาที่โดนทีสิสทับถมนะพี่นะ น้า~ ช่วงนี้ไม่ได้ไปตามซอนมีนูน่าเลยอ่ะ
ขาดแคลนรูป นะนะ ขอแอคทวิตหน่อยน้า” มาร์คพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
(จริงๆแทบจะหลังเท้าเลยล่ะ) ของยูคยอม แต่ก็ต้องตีหน้านิ่งเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจคนเป็นน้อง
จะถือเสียว่าเป็นเพราะเด็กนี่ที่ยอมเข้าหาเขาก่อนก็แล้วกัน
“ไม่มีทวิต มีแต่แฟนเพจใน Facebook”
“ได้หมดเลย ขอชื่อเพจหน่อยสิฮะ” ยูคยอมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแอพลิเคชั่นที่มาร์คพูดชื่อเมื่อครู่นี้
ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตารอให้อีกคนพูดต่อ
“เสิร์ชตามนะ ตัวเอ็ม…”
“เฮ้ย ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้มันจะไม่ตีกัน แถมคุยกันยาวเชียว”
‘
กับข้าวเสร็จแล้วนะครับ ’
ยังไม่ทันที่มาร์คจะได้พูดต่อ
ก็ถูกแจ็คสันที่เดินออกมาจากห้องน้ำขัดจังหวะขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงตะโกนของยองแจจากในห้องครัวที่ดังตามมาติ
สองคู่อริที่เพิ่งสงบศึกได้จึงต้องพักเรื่องที่สนทนากันไว้ก่อน
แล้วลุกไปช่วยแบมแบมกับยองแจในห้องครัว
มื้อเย็นในวันนี้ผ่านไปได้อย่างสนุกสนานสำหรับยองแจกับแบมแบมที่เป็นคนทำ
ส่วนบรรยากาศระหว่างมาร์คกับยูคยอมนั้นถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
แม้ว่าทั้งคู่จะนั่งกินข้าวเงียบๆก็ตาม
แต่สำหรับมาร์คนั้นออกจะกระอักกระอ่วนใจสักเล็กน้อยเมื่อเห็นแจบอมและจินยองต่างนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวและไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“พวกหมอกับสถาปนิกนี่เค้านั่งกินข้าวกันเงียบๆเหรอวะ ดูเถอะ
ไม่พูดไม่จากันซักคำ” และเจ้าของทริปก็ไม่วายที่จะกัดไปหนึ่งประโยค
“เสือ.ก” แน่นอนว่าคำพูดแรงๆแบบนี้ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากของจินยองเด็ดขาด
“ฉันว่าแจบอมชักจะสูบบุหรี่หนักไปแล้วนะ กลิ่นบุหรี่ของนายแรงมากเลยรู้ตัวรึเปล่า
?” มาร์คหันไปชวนแจบอมคุย
ถึงแม้ว่าจะเลือกบทสนทนาได้ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นัก
“สามมวนต่อวันคงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง”
“ตายไวแน่ๆ…” คำพูดสั้นๆของมาร์คบวกกับสีหน้าที่ติดไปทางกวนประสาทคนฟังนิดๆกลับทำให้ยองแจ
แบมแบม และยูคยอมถึงกับต้องพยายามกลั้นหัวเราะ
“กวนตี.นเหมือนกันนี่” แจบอมโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ฉันพูดจริงๆ เรียนสุขศึกษามาตั้งแต่ประถมครูไม่เคยบอกเหรอว่าบุหรี่มันไม่ดี
ไม่เชื่อถามคุณหมอดูสิ ใช่มั้ยคุณหมอปาร์ค ?” และก็เป็นอีกครั้งที่มาร์คกำลังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงกินข้าว
เจ้าของเรือนผมแดงใช้ข้อศอกสะกิดคุณหมอหนุ่มที่นั่งกินข้าวเงียบๆมาครู่ใหญ่
“เอ่อ…” จินยองได้แต่อึกอักเพราะไม่รู้ว่าควรจะต่อบทสนทนาอย่างไร
และท่าทีดังกล่าวก็ทำให้ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“พี่จินยองเป็นอะไรรึเปล่าครับ ดูเหม่อๆมาสักพักแล้วนะ” ยองแจถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ป…เปล่าๆ ก็… คงงั้นมั้ง ?” จินยองตอบแบบขอไปที เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเมื่อหันไปพบว่า
สายตาคมของอิมแจบอมกำลังจ้องมองเขาอยู่ และจินยองก็ไม่เคยรู้เรื่องที่แจบอมสูบบุหรี่แม้แต่น้อย
“มึงสูบวันละสามมวนเลยเหรอวะ มากไปเปล่า ?” แจ็คสันเริ่มปรามเพื่อนสนิท
“ตอนแรกก็สูบแค่วันละมวน เพิ่งมาสูบสามมวนก็ช่วงที่มาไทยนี่แหละ”
“ทำไมวะ ?”
“พอดีมีเรื่องให้คิด…ไม่นิดหน่อย” พูดได้แค่นั้น แจบอมก็ยกจานข้าวไปวางไว้ที่ซิงค์ในห้องครัว “เดี๋ยวคืนนี้ฉันล้างจานเอง กินเสร็จก็มาวางไว้แล้วกัน แจ็คสัน
กูขอเข้าไปนอนห้องมึงก่อนนะ” ร่างสูงเจ้าของดวงตาคมว่าก่อนจะเดินฉับๆเข้าห้องไป
“ฉันก็อิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะ” และจินยองก็เป็นคนถัดมาที่ลุกขึ้นไปเก็บจานข้าวก่อนจะเดินเข้าห้องไปเช่นกัน
ปล่อยให้อีกห้าคนนั่งมองตามอย่างไม่เข้าใจ (ยกเว้นมาร์คไว้หนึ่งคน)
“ฉันว่าสองคนนั้นชักจะมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมแล้วนะ” แจ็คสันเริ่มออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสถานการณ์ดังกล่าว
รุ่นน้องอีกสามคนได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ ในขณะที่มาร์คซึ่งจุดเชื้อเพลิงเอาไว้กำลังคิดอะไรบางอย่างเพื่อหาทางแก้ปัญหากับสิ่งที่เขาทำไว้เมื่อครู่นี้
มาร์คมั่นใจว่าอิมแจบอมต้องการจะสื่ออะไรบางอย่างถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
อีกทั้งยังมองจินยองตอนที่พูดว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง สายตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อของแจบอม
ไม่มีทางที่คนฉลาดอย่างจินยองจะอ่านไม่ออก จึงไม่แปลกที่ทุกอย่างจะจบออกมาแบบนี้
และนั่นก็ยิ่งทำให้มาร์คอยากรู้เรื่องระหว่างทั้งสองคนมากขึ้นไปอีกเช่นกัน
“หมอนั่น… เอ่อ… แจบอมดูหงุดหงิดมาตั้งแต่อยู่ที่ห้างแล้ว
สงสัยเหนื่อยมั้ง วันนี้ข้างนอกคนเยอะ ไหนเมื่อเช้าจะโดนสาดน้ำใส่อีก ปล่อยไปเถอะ”
มาร์คพยายามแถเพื่อช่วยอีกฝ่ายและลดอารมณ์หงุดหงิดของแจ็คสัน
ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล
และมื้อเย็นของวันนี้ก็จบลงด้วยบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
ยองแจขอปลีกตัวเข้าไปโทรคุยกับบรรณาธิการในห้อง
แจ็คสันกับยูคยอมกลับมานั่งดูโทรทัศน์อีกครั้ง และมาร์คกับแบมแบมที่เริ่มเข้าสู่โลกของคนเล่นกล้องอยู่ข้างๆโซฟา
“โอ๊ะ อันนั้นกล้องฟิล์มของพี่มาร์คเหรอ ?” ยูคยอมที่เริ่มเบื่อภาพยนตร์ในทีวีเริ่มหันมาเปลี่ยนกลุ่มสนทนาด้วยการหยิบกล้องฟิล์มของมาร์คที่วางไว้บนโต๊ะด้านหน้าโซฟาขึ้นมาดู
“นี่ อย่ามาแตะของๆฉันมั่วซั่วนะ” มาร์ครีบลุกขึ้นไปยื้อแย่งกล้องในมือของยูคยอม
“โหยพี่ เก่าแล้วจะหวงทำไม ขอดูหน่อยนะ”
“ยุ่ง ! วางลงเดี๋ยวนี้” มาร์คเริ่มตีหน้ายุ่ง
ยิ่งทำให้ยูคยอมหมั่นไส้และเกิดความอยากแกล้งรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่าจึงยืดแขนชูกล้องขึ้นโดยที่มาร์คก็พยายามดันตัวยูคยอมเพื่อแย่งกล้องของตนคืนมา
“โหย มีรอยขีดข่วนด้วย ไม่ถนอมเลย”
“ยูคยอม อย่าให้ฉันโมโห วางลง !” มาร์คเริ่มขึ้นเสียงจนแจ็คสันและแบมแบมที่อยู่ใกล้ๆกันเริ่มรู้สึกใจไม่ดี
“น่าๆ พี่อย่าหว… โอ๊ย !” ยังไม่ทันที่ยูคยอมจะพูดต่อ
มาร์คที่พยายามปีนขึ้นมาบนตัวยูคยอมเพื่อแย่งกล้องคืนเริ่มใช้มือข่วนเข้าที่หน้าของเด็กหนุ่ม
“ปล่อยสิวะ !”
“พี่ก็ลงไปก่อนสิ แล้วผมจะวา… เฮ้ย อย่านะพี่ !!!” ชายหนุ่มสองคนที่พยายามยื้อแย่งกล้องกันเริ่มลงมือใช้กำลัง
จริงๆต้องบอกว่ามาร์คเป็นฝ่ายเดียวที่เริ่มลงไม้ลงมือ ทั้งตี ดันศีรษะ
กระชากเสื้อยูคยอมจนร่างสูงเริ่มเสียการทรงตัว
“พี่มาร์ค อย่าเหยียบเท้…เฮ้ย !!!”
“เชี่ย !!!”
เคร้ง !
หลังจากที่ยื้อแย่งกันอยู่ครู่ใหญ่
บรรยากาศทุกอย่างก็ชะงักไปในทันที เมื่อเสียงวัตถุที่อยู่ในมือของยูคยอมกระทบลงบนพื้นดังขึ้น
ตามมาด้วยร่างของยูคยอมที่ล้มลงไปนอนกับพื้น
และมาร์คที่ล้มตามลงไปทับคนตัวสูงอีกทีหนึ่ง
ก่อนที่สายตาของทั้งสี่คนจะหันไปเห็นกล้องฟิล์มที่ดูเก่าคร่ำครึของมาร์คที่บัดนี้ชิ้นส่วนแยกออกจากกันเสียแล้ว
“…”
มาร์ครีบผละออกจากยูคยอมเพื่อไปดูสภาพของกล้อง ก่อนจะพบว่าชิ้นส่วนเสียหายไปสองสามชิ้น
เจ้าของกล้องเริ่มชักสีหน้าก่อนจะส่งแววตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างถึงที่สุดไปหาคนที่เด็กกว่า
“จะรับผิดชอบยังไง ?” ไม่พูดเปล่า
มาร์คยกกล้องให้ยูคยอมดูสภาพของตัวเครื่องที่เสียหายพอสมควร
“เฮ้ย ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ป่ะพี่”
“มาร์ค ยูคยอม พวกมึงใจเย็นๆ”
แจ็คสันพยายามเข้ามาสงบศึก แต่มาร์คกลับเมินเพื่อนสนิทไปในทันที
“…”
“กล้องก็เก่าแล้วพี่จะไปซีเรียสทำไมล่ะ ?”
คำพูดสุดท้ายของยูคยอมทำให้มาร์คถึงกับเกือบขาดสติจนแทบจะวิ่งพุ่งไปเอาเรื่อง
แต่แจ็คสันที่ไวกว่าคว้าแขนเพื่อนที่กำลังโมโหไว้เสียก่อน
“เด็กสมัยนี้มักง่ายชิบหา.ย
คิดแค่ว่าอะไรพังแล้วก็ซื้อใหม่ได้ว่างั้น ?”
“พี่มาร์คใจเย็นๆนะครับ” แบมแบมพยายามช่วยแจ็คสันปรามมาร์คอีกคน
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ” ยูคยอมเริ่มโต้กลับ
“ของจะเก่าหรือจะใหม่ แต่มันก็เป็นของที่ฉันรัก”
“ถ้างั้นเดี๋ยวผมชดใช้ให้ ไม่ใช่แค่เงิน แต่ผมจะไปหากล้องรุ่นนี้มาคืนให้
ตกลงมั้ย ?”
“ของบางอย่าง มันมีคุณค่าทางจิตใจ เงินก็ซื้อไม่ได้ และต่อให้ได้มาใหม่
ฉันก็ไม่ได้ผูกพันกับมันหรอกนะ”
“อะไรของพี่อีกเนี่ย ก็แค่กล้องป่ะวะ พี่มีเป็นสิบๆตัวพี่จะกังวลไปทำไม พี่อยากซื้อใหม่ตัวเป็นแสนพี่ก็ซื้อได้ไม่ใช่เหรอ
แล้วพี่จะมาโกรธผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะกล้องเก่าๆตัวเดียวเนี่ยนะ ?”
มาร์คได้แต่ยืนกำมือแน่นเพื่อไม่ให้ตอบโต้อะไรรุนแรงออกไป
เขาพยายามคิดแง่ดีว่าอีกฝ่ายยังมีวุฒิภาวะน้อยกว่าเขา ร่างโปร่งเดินตรงไปยังห้องของจินยองโดยไม่ได้สนใจกล้องที่กองอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย
มือเรียวเปิดประตูเตรียมเดินเข้าห้องเพื่อไปสงบสติอารมณ์ แต่ก่อนจะเข้าห้องไป
มาร์คตัดสินใจหันมาอะไรบางอย่าง
‘
ถ้านายรู้ว่า กล้องตัวนั้นป๊าของฉันซื้อให้ตอนเรียนจบ นายจะไม่พูดกับฉันแบบนี้
ยูคยอม ’
และประตูห้องก็ปิดลงพร้อมกับประโยคของมาร์คที่ทำให้ยูคยอมที่เริ่มหัวเสียยืนนิ่งไปในทันที
ความคิดเห็น