คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 0 7 | La question.
07 | La Question.
“…”
ความเงียบคือคำตอบที่แจบอมได้รับมาจากจินยอง ดวงตากลมโตของคนตรงหน้าค่อยๆช้อนขึ้นมามองแจบอมหลังจากที่พยายามหลบสายตามาตลอด แต่ใบหน้าขาวก็ยังคงนิ่งและปราศจากรอยยิ้มหรือความรู้สึกใดๆเช่นเดิม
“…”
“ผม… ไม่เล่น”
“…” คำตอบของจินยองทำให้แจบอมที่ยิ้มออกในตอนแรกต้องหุบยิ้มลงอีกครั้ง
“อย่าพยายามเลยนะแจบอม มันไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ” คำพูดภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งของจินยองแจบอมจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ
“ขอโอกาสให้ฉันซักครั้งไม่ได้จริงๆเหรอจินยอง ?” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้ทันความคิดของเขา ก็คงไม่มีเหตุผลที่แจบอมจะแกล้งทำเป็นเฉไฉอีกต่อไป
“แล้วแจบอมเคยให้โอกาสฉันพูดอะไรในตอนนั้นบ้างมั้ย ?”
“…”
“ฉันให้โอกาสแจบอมในฐานะเพื่อนของแจ็คสันแล้ว อย่าเอาโอกาสที่ฉันให้มาทำร้ายฉันเป็นครั้งที่สองเลย”
“…”
“แก้วที่มันแตกไปแล้ว มันต่อกลับมาเหมือนเดิมได้ยาก แจบอมเคยได้ยินประโยคนี้ใช่มั้ย ?” ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากแจบอมนอกจากการพยักหน้าเบาๆ
“แต่แก้วมันก็คือแก้ว ต่อให้มันแตกไปแล้ว ยังไงมันก็ยังถูกเรียกว่าแก้วอยู่ดี”
“ฉันไม่เข้าใจ” แจบอมขัดขึ้นมา ใบหน้าหล่อเริ่มขมวดคิ้วเป็นปมเหมือนได้ยินคำพูดที่ยากจะเข้าใจของอีกฝ่าย เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ละเอียดอ่อนพอที่จะเข้าใจคำพูดซับซ้อนแบบนั้น
“บางที… ทั้งฉันและแจบอม เราอาจจะยังรักกันอยู่ก็ได้ แต่ความรู้สึกที่มันเสียไปแล้ว จะทำยังไงมันก็คงเอาคืนไม่ได้”
“…”
“ถือว่าฉันขอร้องนะแจบอม…”
“…”
‘ ให้เรื่องของเรามันเป็นแค่ความทรงจำเถอะนะ ’
.
.
.
หมดเวลาของช่วงเช้าที่ถนนข้าวสาร ทั้งเจ็ดคนจึงพากันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยขออาศัยห้องน้ำจากบ้านใกล้เรือนเคียงบริเวณนั้น ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ก่อนจะพากันขึ้นรถตู้ไปยังสถานที่ต่อไปตามตารางนัดหมายที่แจ็คสันกำหนดไว้
บรรยากาศภายในรถตู้โดยสารค่อนข้างเงียบ เพราะนอกจากจะมีพวกเขาทั้งเจ็ดคนแล้ว ยังมีผู้โดยสารคนอื่นๆที่ต้องใช้บริการรถตู้โดยสารประจำทางด้วยเช่นกัน เนื่องจากการจราจรที่ติดขัดเป็นอย่างมากเพราะถนนหนทางหลายสายถูกปิดด้วยมวลมหาประชาชนที่ออกมาเล่นน้ำในวันสงกรานต์ ทำให้ทุกคนต้องนั่งกระจัดกระจายกันไป
และแล้วทุกคนก็มาถึงสถานที่ต่อไป แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทั้งเจ็ดหนุ่มต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะ เพราะภาพที่เห็นนั้นเรียกได้ว่าเป็นความแออัดของประชาชนที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอ ผู้คนนับหมื่นคนที่เบียดเสียดกัน บวกกับอากาศที่ร้อนระอุของประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร เป็นอะไรที่ไม่เข้ากันอย่างถึงที่สุด
“ผมขอถอนตัว…” คนที่ดูจะตื่นเต้นที่สุดในตอนแรกอย่าง ยูคยอม ถึงกับเอ่ยปากออกมาหลังจากยืนมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
“เหมือนกัน” ทั้งยองแจและแจบอมพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“…” รวมไปถึงมาร์คและจินยอง ที่แม้ว่าจะไม่ต้องพูดอะไร แต่สีหน้าและสายตาของทั้งสองคนก็เป็นเหมือนคำประท้วงอยู่กลายๆ
“ฉันก็กำลังจะพูดแบบนั้นพอดี” แจ็คสันที่เป็นตัวตั้งตัวตีวางกำหนดการการเที่ยวในครั้งนี้ว่า และแบมแบมที่เป็นเจ้าบ้านก็พยักหน้าเบาๆ
บทสรุปจึงลงเอยที่การยกเลิกแผนที่เล่นสงกรานต์ต่อที่ “ถนนสีลม” เพราะพวกเขารู้ตัวดีว่าคงจะไม่สามารถสู้กับประชาชนนับหมื่นคนที่เบียดเสียดกันยาวเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
“งั้นไปเดินสยามแทนก็แล้วกัน ยังไงพวกเราก็เปลี่ยนชุดแล้ว นั่ง BTS ไปคงไม่มีปัญหาอะไร”
“กูว่ามีนะ…” แจบอมท้วงขึ้นเมื่อได้ยินเพื่อนของตนพูดประโยคก่อนหน้า
“มึงหมายถึง ?” แจ็คสันหันไปหาคนที่เพิ่งขัดเขาขึ้นมา
“นั่นไง”
“ชิบหาย…”
แจบอมชี้นิ้วไปยังทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้า และคำอุทานก็หลุดออกมาจากปากของแจ็คสันทันทีหลังจากหันไปมองตาม นอกจากด้านล่างของถนนสีลมที่เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว แม้แต่บริเวณทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าและด้านในสถานีก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่กำลังเดินทางเพื่อมาเล่นสงกรานต์ที่นี่
“แล้วจะเอายังไงล่ะ ?” มาร์คเองก็กลุ้มใจไม่แพ้กัน มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักถ้าหากพวกเขาต้องวิ่งฝ่าผู้คนเหล่านั้นเพื่อขึ้นรถไฟฟ้า
“มันก็ไม่มีทางเลือกแล้วป่ะครับ ?” และก็เป็นอีกครั้งที่มาร์คต้องหัวเสีย เมื่อรู้ว่าคนที่กำลังขัดเขาอยู่คือใคร
“ไม่ได้ขอความเห็น” คนผมแดงหันไปตอกกลับเด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนควงปืดฉีดน้ำอยู่
“เสนอให้คนอื่นฟัง พี่ไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟังสิ”
“คิมยูคยอม !”
“ว่าไงครับคุณต้วนอี้เอิน ?”
“อย่าลามปาม ไม่สนิทอย่าติดตลก”
“แล้วนี่ผมทำตัวตลกตรงไหน ?”
“ไม่กวนประสาทฉันมันจะตายมั้ย ?”
“ก็แล้วผมไปกวนพี่ตอนไหนล่ะครับ ?”
“แล้วไอ้ที่ทำอยู่นี่ไม่ได้กวนเลยว่างั้น ?”
“ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้กวนนะ” ยูคยอมตอบพร้อมยิ้มจนตาหยี ยิ่งทำให้มาร์คอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
“บอกเลยว่าครั้งนี้ฉันจะไม่ห้ามแล้วนะ หมดแรงจะห้าม” แจ็คสันพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจโดยมีแบมแบมและยองแจยืนหัวเราะแห้งๆ
“ก็คงต้องยอมฝ่าเข้าไปนั่นแหละครับ วิ่งให้ไว ระวังเปียกกันด้วยนะครับ”
แบมแบมสรุปให้อย่างรวบรัด ทั้งเจ็ดคนจึงต้องยืนทำใจกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงออกตัววิ่งขึ้นไปบนสถานีรถไฟฟ้า ฝ่าฝูงชนนับพันคนที่ยืนกันอยู่แน่นขนัดตั้งแต่บันไดทางขึ้นไปจนถึงทางออกของสถานี โดยที่ต้องคอยหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปะแป้งหรือโดนฉีดน้ำไปด้วย เนื่องจากทางสถานีรถไฟฟ้ามีกฎว่าไม่ให้คนที่ตัวเปียกใช้บริการโดยสารรถไฟฟ้า และทุกคนก็สามารถฝ่าเข้ามาได้สำเร็จ
เนื่องจากเป็นเวลาบ่ายเศษๆ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเล่นสงกรานต์กันอยู่ ภายในขบวนรถจึงไม่ค่อยมีผู้โดยสารมากนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีจึงเดินทางมาถึงสถานีสยาม ซึ่งเป็นศูนย์รวมที่เรียกได้ว่า ย่านรวมตัวของชาวกรุงที่แทบจะครบวงจรเลยทีเดียว ทั้งอาหารการกิน ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆอีกมากมาย ยิ่งเป็นวันเทศกาลแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกที่จะมีผู้คนเป็นจำนวนมาก
“เอ้า ตามสบาย ทางใครทางมัน ใครอยากเล่นสงกรานต์ต่อก็ตามใจ” แจ็คสันว่า
“งั้นรอบนี้ผมขอไปเดินคนเดียวนะ ว่าจะไปหาพล็อตนิยายสักหน่อย” ยองแจพูด ก่อนจะเดินแยกตัวออกไปเป็นคนแรกตามประสาคนที่ต้องการใช้ความคิด
“ผมว่าจะไปหาอะไรกิน มีใครจะไปด้วยกันมั้ยฮะ ?”
“ยูคยอม ฉันไปด้วย” และผู้ร่วมทางของยูคยอมก็ยังไม่พ้นเพื่อนวัยใกล้เคียงกันอย่างแบมแบม
“ฉันคิดถึงจินยองม้ากมาก~ งั้นรอบนี้ขอไปกับจินยองก็แล้วกัน” แจ็คสันที่ถูกทอดทิ้งมาแล้วรอบหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปหาจินยองที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งคนตัวบางก็ได้แต่ยืนยิ้มให้เพื่อนสนิท
“เหลือฉันกับนาย จะเอายังไง ?” มาร์คหันไปหาแจบอมที่กำลังกวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆ
“ก็ไปมันด้วยกันนี่แหละ” น้ำเสียงติดกระแทกนิดๆของแจบอมทำให้มาร์คถึงกับหลุดหัวเราะในลำคอ
“ก็นึกว่าอยากจะเดินคนเดียว”
“…”
“ขอโทษก็แล้วกันที่ฉันไม่ใช่จินยอง แล้วก็… เอาแต่ยืนมองแบบนั้น เขาคงจะมาเดินด้วยหรอก ประสาท” เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังเอาแต่มองคนสองคนที่เดินนำหน้าออกไปแล้ว ก็ทำให้มาร์คอดคันปากที่จะจิกกัดสักเล็กน้อยไม่ได้
“บางที ฉันว่าคนที่พูดจากวนประสาทมันไม่ใช่ยูคยอมหรอก แต่เป็นนายมากกว่า”
“เงียบไปเลย !”
“…”
“แล้วเมื่อกี๊ไปเล่นสงกรานต์กับจินยองมา เป็นยังไงบ้าง ?”
บางทีแจบอมก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาเริ่มปรับอารมณ์ตามมาร์คไม่ค่อยทันเสียแล้ว ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันสามวัน เขารู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้มีหลากหลายอารมณ์เสียเหลือเกิน จะเรียกว่าติสท์แตกมันก็ไม่เชิง แต่จะว่ามีหลายบุคลิกก็ไม่ใช่ ต้องเรียกว่า มาร์คจะปรับพฤติกรรมและอารมณ์ของตัวเองตามคนที่กำลังอยู่ด้วยเสียมากกว่า
“ก็ไม่มีอะไร” แน่นอนว่าแจบอมไม่มีทางบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับจินยองให้อีกฝ่ายฟังแน่ๆ
“แห้วชัวร์” คำพูดสองพยางค์ของมาร์คทำให้แจบอมถึงกับต้องส่งสายตาไปมองทันที
“…”
“ไปกันเถอะ ที่นี่วิวสวยดี ฉันอยากถ่ายรูปเล่น”
มาร์ครีบเดินนำหน้าโดยที่ไม่ลืมหยิบกล้องฟิล์มคู่ใจติดมือไว้ด้วย แจบอมได้แต่ถอนหายใจที่จะต้องมารับมือกับคนหลากหลายอารมณ์อย่างมาร์ค เขาจึงทำได้แค่เดินตามอีกคนไปเงียบๆ ในขณะที่สายตาก็มองสิ่งก่อสร้างและคิดอะไรต่อมิอะไรในหัวไปด้วยตามประสาสถาปนิกบ้างาน
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง มาร์คและแจบอมก็มาหยุดนั่งพักกันที่ม้านั่งภายในห้าง ไม่มีบทสนทนาใดๆออกมาจากทั้งสองคน ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาดูสมาร์ทโฟนของตน
แชะ !
เสียงชัตเตอร์จากกล้องโทรศัพท์ของมาร์คทำให้แจบอมเงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งข้างๆที่กำลังยืนถ่ายรูปบรรยากาศภายในห้างโดยใช้เพียงโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
“ทำไมไม่ใช้กล้องถ่ายล่ะ ?” แจบอมอดที่จะถามไม่ได้
“จะอัพโหลดรูปลง Facebook กล้องฟิล์มมันทำแบบนั้นไม่ได้”
“รายงานความเป็นไปให้โลกโซเชียลรับรู้ว่างั้นเถอะ”
“เปล่า จะลงเพจส่วนตัว นานๆจะมีวันหยุดพักผ่อนมาเที่ยวทั้งที”
“มีเพจด้วยเหรอ ?” แจบอมถามด้วยน้ำเสียงที่ติดไปทางไม่เชื่อคำพูดอีกฝ่าย
“ก็นะ ช่วยไม่ได้ งานที่ทำอยู่มันจำเป็นต้องมี”
“อ๋อ ไอ้งานช่างภาพอิสระของนายน่ะเหรอ ?” แจบอมพยักหน้าเบาๆพลางนึกไปถึงวันแรกที่แจ็คสันแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน
“ใช่ จริงๆไม่ค่อยอัพหรอก แต่เดี๋ยวเพจมันจะร้าง ก็เลยว่าจะลงสักรูป”
“เป็นเพจช่างภาพ แต่ลงรูปที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ มันจะน่าเชื่อถือเหรอ ?”
“…”
มาร์คไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งสมาร์ทโฟนที่เปิดรูปภาพล่าสุดให้แจบอมดู และภาพถ่ายจากกล้องโทรศัพท์โดยฝีมือของมาร์คก็ทำให้แจบอมถึงกับเงียบไป แม้ว่าภาพจะไม่สวยเท่ากับการถ่ายด้วยกล้องตัวเขื่องราคาแพง แต่ภาพมันก็ออกมาดูดีเกินกว่าที่จะบอกได้ว่าถ่ายโดยโทรศัพท์มือถือ
“โอ้โห…” แจบอมพึมพำอยู่หน้าหน้าจอโทรศัพท์ ในขณะที่สายตาก็มองรูปไม่วางตา
“มันอยู่ที่คนถ่าย ต่อให้มีกล้องตัวละหลายล้านวอน แต่ถ้าถ่ายไม่เป็น ยังไงก็ไม่สวย”
“…”
“ว่างๆก็ไปกดไลค์แฟนเพจให้บ้างนะ หาลูกค้าให้ด้วยก็ดี”
“ทำไปแล้วฉันจะได้ประโยชน์อะไร ?”
“ภาพถ่ายจินยองสัก 5 รูปเป็นไง ?” คำตอบของมาร์คทำให้แจบอมแทบจะฉุนกึก
“ฉันไม่ใช่พวกโรคจิต”
“นั่งมองเขาแทบจะตลอดเวลา ฉันว่ามันก็ใกล้เคียงกับคำนั้นแล้วล่ะ”
“เออๆ กดไลค์ให้ก็ได้ เอาชื่อเพจมาด้วย”
“เพจของฉันชื่อ…”
.
.
แบมแบมกับยูคยอมที่ตั้งใจจะมาหาของกินในตอนแรก แต่เพราะเป็นวันเทศกาล และร้านอาหารก็เต็มไปด้วยผู้คน ทั้งสองคนจึงตัดสินใจเดินเข้ามานั่งในร้านกาแฟขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ภายในห้าง ทำให้กาแฟเย็นและขนมเค้กกลายเป็นอาหารมื้อกลางวันของทั้งคู่ไปโดยปริยาย
“แบมแบม ฉันขอยืมพาวเวอร์แบงค์หน่อยได้รึเปล่า ?” ยูคยอมเอ่ยขอยืมวัตถุชิ้นหนึ่งที่กลายเป็นปัจจัยที่ 6 ของมนุษย์ยุคไอที (ปัจจัยที่ 5 คือ เงิน) ซึ่งแบมแบมก็ส่งให้โดยไม่ได้ซักถามอะไร
ทั้งสองคนต่างคนต่างก้มหน้าเพื่อเข้าสู่โลกของตัวเองเช่นเดียวกับหลายๆคนในร้านกาแฟที่เรียกได้ว่า แทบจะนั่งอยู่ในท่าเดียวกัน และก็เป็นยูคยอมที่เป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาก่อน
“แบมแบม…”
“มีอะไรเหรอ ?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันเหรอ ?” ยูคยอมถาม ก่อนจะก้มหน้ามองโทรศัพท์ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้ามามองคู่สนทนาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นห้างที่เรานั่งอยู่ตอนนี้ก็สยามพารากอน”
“ล…แล้ว… พวกเรากำลังอยู่ชั้นไหนของห้างล่ะ ?” จู่ๆสีหน้าของยูคยอมก็เปลี่ยนไป รวมไปถึงท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลน
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นชั้นที่หนึ่งนะ มีอะไรรึเปล่า ?”
“ม…ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไร”
“โกหกไม่เก่งเลยนะยูคยอม”
“คือ…” ยูคยอมได้แต่นั่งเกาหัวเมื่อถูกจับไต๋ได้ มือหนาส่งโทรศัพท์ให้แบมแบม โดยเปิดหน้าแอพลิเคชั่น Facebook ค้างไว้
“อะไรเหรอ ?” แบมแบมรับมาดูแบบงงๆ
mtuan93_photo add a new photo.
9 mins. – Siam paragon.
“เพจนี้… ทำไมเหรอ ?”
“ลองดูที่โลเคชั่นของเขาสิ”
“อา… ฉันเห็นแล้วล่ะ สยามพารากอน ก็ที่นี่ไง”
“ฉันควรจะอธิบายให้นายฟังยังไงดี” ท่าทีลุกลี้ลุกลนของยูคยอมทำให้แบมแบมพอจะปะติดปะต่ออะไรได้บ้างเล็กน้อย ร่างเล็กจึงค่อยๆยิ้มออกมา
“ฉันพอจะเดาได้แล้วล่ะ นายอยากเจอแอดมินเพจนี้เหรอ ?”
“…” คำถามของแบมแบมทำให้ยูคยอมพยักหน้าเบาๆพร้อมก้มหน้าลงมองจอโทรศัพท์
“ไม่น่าเชื่อว่ายูคยอมจะสนใจอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ ชอบถ่ายภาพเหรอ ?” เท่าที่แบมแบมสังเกตจากแฟนเพจดังกล่าว เดาได้ว่าเพจที่ยูคยอมส่งมาให้เขาดูคงจะเป็นเพจของพวกช่างภาพที่ชอบลงภาพถ่าย
“เปล่าหรอก”
“…”
“ฉันตามเฉพาะเพจนี้เท่านั้นแหละ”
“แต่เพจนี้ถ่ายภาพสวยดีนะ”
“…”
“แล้วไปรู้จักเพจนี้ได้ยังไงล่ะ ?”
“คือ…” ยูคยอมได้แต่ส่งยิ้มแบบเขินอายพลางก้มหน้า
“ยิ้มแบบนี้ ต้องมีอะไรแน่ๆเลย”
“แบมแบมรู้จัก ซอนมีนูน่า รึเปล่า ?”
“ซอนมีนูน่า… หมายถึงนักร้องเกาหลีใช่มั้ย ? ถ้าใช่ ฉันเคยได้ยินอยู่นะ”
“ใช่ๆ คือจริงๆแล้วฉันเป็นแฟนคลับของซอนมีนูน่าน่ะ”
“เห~ จริงเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่ายูคยอมจะเป็นแฟนบอยด้วย” เมื่อได้ที แบมแบมก็แกล้งแซวยูคยอมจนคนที่อายุน้อยกว่าต้องก้มหน้าก้มตาเพื่อปิดบังอาการเขินอาย
ถ้าจะให้ย้อนความแบบคร่าวๆแล้ว ก็คงจะบอกได้ว่า ยูคยอมเป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่มีความชื่นชอบในตัวศิลปินนักร้องเหมือนกับคนทั่วๆไป แต่ยูคยอมโชคดีมากกว่านั้นไปอีกหนึ่งขั้นตรงที่ เขามีโอกาสได้ตามไปดูงานแสดงต่างๆของนักร้องสาวคนดังอย่าง ซอนมี ทั้งงานโชว์เคส คอนเสิร์ต งานแถลงข่าว งานโชว์ตัว แม้ว่าจะไม่ได้ไปทุกงาน แต่ก็ถือว่าเยอะพอสมควรสำหรับหมู่แฟนคลับด้วยกัน
และหนึ่งในสิ่งที่อยู่คู่กับศิลปินที่นอกเหนือจากแฟนคลับแล้ว ก็ยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า แฟนไซต์ ที่คอยตามถ่ายภาพศิลปินทุกงาน และยูคยอมที่เป็นแฟนคลับก็เป็นกลุ่มคนที่ต้องคอยติดตามแฟนไซต์ไปด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะได้ชื่นชมรูปถ่ายสวยๆจากบรรดาแฟนไซต์ที่มีมากมายหลายสิบไซต์ แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละคน
และนอกจากแฟนไซต์แล้ว ก็ยังมีรูปถ่ายจากพวกนักข่าวหรือช่างภาพอิสระที่ถูกเชิญมาเป็นครั้งคราวตามงานต่างๆที่ศิลปินของเขาได้ไปร่วมงาน ซึ่งมาตรฐานการถ่ายภาพของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ยูคยอมได้พบกับแฟนเพจของช่างภาพอิสระคนหนึ่งจากการแนะนำของแฟนคลับด้วยกัน
mtuan93_photo เป็นแฟนเพจของช่างภาพอิสระที่ไม่ขึ้นตรงกับสังกัดใด และเป็นช่างภาพที่มักจะถูกผู้จัดงานเชิญไปในฐานะสื่อมวลชนบ่อยๆ ยูคยอมจึงกดไลค์เอาไว้เพื่อติดตามภาพถ่ายของซอนมีนูน่าของเขาเท่านั้น
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ภาพถ่ายจากแฟนเพจดังกล่าวที่ผ่านตาของคิมยูคยอมทุกวัน ทั้งภาพถ่ายบุคคล ภาพวิวทิวทัศน์ รวมไปถึงวัตถุต่างๆนานาที่ถูกนำมาลงในแฟนเพจอย่างต่อเนื่อง จะกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ยูคยอมรู้สึกขาดไม่ได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่า ภาพถ่ายเหล่านั้นมันสวยมากเสียจนเขาลุ่มหลง หรือเหตุผลอื่นๆที่ทุกวันนี้เขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เพียงแต่…
เขามักจะเข้าไปเช็คแฟนเพจนี้เสมอเวลาเข้า Facebook
เขากดไลค์ทุกรูปภาพที่มีการอัพเดท
เขากด Get Notifications เอาไว้เพื่อติดตามทุกความเคลื่อนไหว
เขาชอบรูปภาพเหล่านั้นมากเสียจนไม่ต้องมีคำบรรยายประกอบรูปภาพ
แต่เหตุผลอื่นใดที่ทำให้ยูคยอมรู้สึกผูกพันกับแฟนเพจนี้ กลับเป็นเพียงข่าวลือที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ และเป็นสิ่งที่หลายๆคนพูดต่อกันมา
เจ้าของเพจนี้เป็นผู้หญิง…
เขาเชื่อว่าแบบนั้น และมีผู้คนอีกมากมายที่เชื่อแบบนั้นเช่นกัน ซึ่งยูคยอมเองก็ไม่รู้ว่า อะไรที่ทำให้เขามั่นใจและเชื่อข่าวลือที่ไม่มีมูล เพราะไม่มีใครเคยเห็นตัวจริงของแอดมินเพจนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของเพจนี้คือใคร แต่ภาพถ่ายที่ดูนุ่มนวลและมีเสน่ห์จนยูคยอมพูดได้อย่างเต็มปากว่า เขาตกหลุมรักภาพถ่ายเหล่านั้น มันกลับทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจ
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า รอยยิ้มที่สวยงามของคนหน้ากล้อง คือรอยยิ้มที่มอบให้คนหลังกล้อง … คำพูดนั้นยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ยูคยอมเชื่อมากขึ้นไปอีกว่า เจ้าของเพจคนนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์มากๆ เพราะทุกรูปภาพที่เป็นภาพถ่ายบุคคล มักจะมีรอยยิ้มสวยๆของคนในรูปแฝงมาเสมอ
คุณว่ามันแปลกไหมล่ะ ?
“ฉันขอร้องนะแบมแบม อย่าขำเชียวนะ” ยูคยอมแทบจะยกมือขึ้นขอร้องให้แบมแบมรูดซิปปากหลังจากที่เขาเล่าให้ฟัง
“จะขำทำไมล่ะ ไม่เห็นจะน่าขำเลย”
“แต่ฉันอายจริงๆนะ”
“ฟังๆแล้วก็โรแมนติกดีนะ ถ้าฉันเป็นยูคยอม ฉันก็อาจจะเชื่อเหมือนกันก็ได้ว่าเจ้าของเพจจะต้องเป็นคนที่สวยมากแน่ๆ”
“ใช่ไหมล่ะ ? ตอนนี้อยู่ที่เดียวกันด้วย ฉันอยากไปลองตามหาเธอคนนั้นดูจัง”
“แต่ที่นี่มันกว้างมากเลยนะ”
“…”
คำพูดสั้นๆของแบมแบมทำให้ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของยูคยอมต้องหุบลงในทันที แต่ในเมื่อมันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะรั้นไปตามหา มิหนำซ้ำเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความเป็นไปได้ที่จะได้พบเจอจึงมีค่าเป็นศูนย์
ค่อยไปตามหาที่เกาหลีทีหลังก็ได้…
.
.
.
ยองแจที่ขอแยกตัวมาเดินคนเดียวหมดเวลาหนึ่งชั่วโมงไปกับการนั่งหาไอเดียสำหรับเขียนนิยาย ร่างเล็กเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่กว้างซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสามของสยามพารากอน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเทศกาล ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ออกไปเล่นสงกรานต์ด้านหน้ามากกว่า ดังนั้น ร้านหนังสือในตอนนี้จึงค่อนข้างเงียบพอสมควร และมันก็เป็นบรรยากาศที่ยองแจชอบมากเสียด้วย
ร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่ถูกจัดแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน และมีลูกค้าหลากหลายวัยกำลังเลือกซื้อ หรือยืนอ่านอยู่ในร้าน ไม่ว่าจะเป็นทั้งคนไทย หรือชาวต่างประเทศ เพราะเป็นร้านหนังสือที่เรียกได้ว่า มีหนังสือแทบทุกภาษา ทั้งไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ภาษาเกาหลีเองก็เช่นกัน
ร่างเล็กเจ้าของแก้มกลมเดินตรงไปยังโซนที่รวมหนังสือภาษาเกาหลีเอาไว้ ทั้งหนังสือแบบเรียน พ็อคเก็ตบุ๊ค หรือหนังสือแปล และยองแจก็สะดุดเข้ากับหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขา
สายลมห่มฟ้า
ชื่อหนังสือที่เด่นหราอยู่บนหน้าปกทำเอายองแจยิ้มออกมาจนตาแทบจะเป็นเส้น และเมื่อมองลงไปด้านล่าง ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวฉีกยิ้มมากขึ้นไปอีก
ผู้แต่ง : CYJ_96
“เขินจัง”
ยองแจที่เก็บอาการไม่อยู่ยิ้มจนแก้มปริเมื่อเห็นหนังสือนิยายเล่มหนาวางอยู่บนชั้นหนังสือ แถมมีนามปากกาของตนเขียนไว้บนหน้าปกอีกด้วย ใครจะไปคิดว่านิยายที่ตนเองเขียนจะได้มาวางแผงหนังสือในต่างประเทศด้วย
ร่างเล็กเก็บอาการดีใจเอาไว้แต่เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินหาหนังสืออ่านเล่น และอีกไม่กี่นาทีต่อมา หนังสือนิยายเล่มหนาทั้งสามเล่มในมือก็ถูกนำไปชำระเงินที่เคาท์เตอร์ เมื่อได้ของที่ต้องการ ยองแจจึงเดินออกมาจากร้านหนังสือ
ด้านข้างของร้านหนังสือเป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ อันที่จริงแล้ว ต้องเรียกว่า ร้านกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของร้านหนังสือเสียมากกว่า เพราะไม่มีกระจกหรือประตูใดๆมากั้นทั้งสองร้าน และลูกค้าของร้านกาแฟส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าที่มาจากร้านหนังสือ เพราะบนโต๊ะล้วนมีถุงของทางร้านหนังสือวางอยู่แทบทั้งสิ้น
และหัวใจดวงน้อยๆของยองแจก็ต้องทำงานหนักอีกครั้ง
เมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟคือ จินยอง
กับ แจ็คสัน…
.
.
.
ภายในมุมของร้านกาแฟที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพูดของแจ็คสันที่ดังเจื้อยแจ้วและพูดได้ไม่รู้จักหยุดหย่อน โดยมีจินยองนั่งท้าวคางฟังอยู่เงียบๆพร้อมรอยยิ้ม
“ยังพูดมากเหมือนเดิมเลยนะ” จินยองแซวเพื่อนสนิทที่ยังไม่หยุดพูดตั้งแต่มานั่งในร้านกาแฟ
“ก็มันคิดถึงนี่ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ”
“อืม… ก็จริง”
“นายยังพูดน้อยไม่เปลี่ยนเลยนะจินยองอา~”
“ปกติฉันชอบฟังคนอื่นพูดมากกว่า”
“แต่นี่นายเล่นปล่อยให้ฉันพูดคนเดียวจนจะเหมือนคนบ้าอยู่แล้วนะ”
“แล้วทุกวันนี้ยังไม่บ้าอีกรึไง ?”
“จินยอง !” แจ็คสันแยกเขี้ยวใส่อดีตรูมเมทที่นั่งหัวเราะอยู่
“ฉันล้อเล่นน่า”
“มันต้องทำโทษหน่อยแล้ว !” แจ็คสันว่าพลางยื่นแขนไปหยิกแก้มขาวๆของคุณหมอหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“โอ๊ย เจ็บๆ” จินยองบ่นพร้อมลูบแก้มป้อยๆ
“แล้วตอนนี้… นายเป็นยังไงบ้าง ?” แจ็คสันเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง
“หมายถึง เรื่องงาน หรืออะไรล่ะ ?”
“ก็ทุกอย่างนั่นแหละ”
“เรื่องงานมันก็โอเคนะ แค่ไม่ค่อยเวลาเท่านั้นเอง”
“แล้วจินยอง… มีแฟนหรือยัง ?” คำถามของแจ็คสันทำให้จินยองถึงกับเงียบไป
“คือ…”
‘ โอ๊ะ นั่นยองแจนี่ ยองแจอา !! ’
ยังไม่ทันที่จินยองจะได้ตอบอะไร แจ็คสันก็เหลือบไปเห็นคนมาใหม่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกับร้านกาแฟ ชายหนุ่มลุกขึ้นโบกมือเรียกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าร้านกาแฟ คนที่ถูกเรียกได้แต่ยืนมึนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามาในร้าน
นับว่าเป็นโชคดีของจินยองที่ยองแจมาในเวลานี้ คำถามล่าสุดของแจ็คสันเป็นอะไรที่เขาพยายามจะหลีกเลี่ยงและไม่อยากตอบมากถึงมากที่สุด เพราะมันทำให้เขานึกถึงใครบางคน ที่เป็นคนแรก และเป็นคนเดียวของเขาจนถึงวันนี้
อิมแจบอม…
แฟนคนแรก และ คนเดียวของปาร์คจินยอง…
“ยองแจ นั่งเลยๆ อยากกินอะไรสั่งได้ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” แจ็คสันเรียกรุ่นน้องเข้ามาในร้าน พร้อมทั้งจัดแจงหาเก้าอี้นั่งให้เสร็จสรรพ ตอนนี้บนโต๊ะจึงมีแจ็คสัน จินยอง และผู้มาใหม่อย่างยองแจ
“ม…ไม่เป็นไรดีกว่าพี่ ผมยังไม่หิว” ยองแจว่าพร้อมกลบเกลื่อนด้วยการหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาจากในถุง
“ไม่กินจริงดิ พี่เลี้ยงจริงๆนะ”
“นายสองคนนี่… ตกลงยังไงกันเนี่ย ?” จินยองรีบเปลี่ยนประเด็นโดยพุ่งเป้าหมายไปที่ทั้งสองคนแทน
“…” ใครจะรู้ว่า คำพูดเล่นๆของจินยอง กลับทำให้ยองแจถือกับมือไม้สั่น แถมใบหน้ายังร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เด็กฉันเอง ฮ่าๆ”
“อะไร ใครเด็กพี่” ยองแจรีบหันไปปฏิเสธ ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน
“ยองแจมาก็ดีเลย แจ็คสันจะได้ไม่ต้องนั่งคนเดียว คือ… ฉันจะขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อยน่ะ” จินยองขัดขึ้นมา
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก ฉันนั่งคนเดียวได้ แต่มียองแจก็ดี จะได้ไม่เหงา รีบไปรีบกลับนะ” แจ็คสันว่าพร้อมบอกเพื่อนสนิทที่กำลังลุกออกจากโต๊ะไป
บรรยากาศเงียบๆเริ่มเข้ามาปกคลุมโต๊ะอีกครั้งเมื่อเหลือแค่ยองแจกับแจ็คสัน คนแก้มป่องที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือทำให้แจ็คสันเริ่มอึดอัด แต่แจ็คสันเองก็รู้ตัวดีว่า เขาไม่สามารถอยู่เงียบๆได้เป็นเวลานาน
“ยองแจอา สนใจพี่บ้างดิ” แจ็คสันเริ่มทำลายความเงียบก่อน
“ครับ ?” ยองแจค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองหน้าแจ็คสัน
“หนังสือน่าสนใจกว่าพี่ตรงไหนกัน” คนเป็นรุ่นพี่เริ่มงอแงเหมือนเด็กๆ
“ก็… ทุกตรงครับ”
“ย้า !! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“ผมล้อเล่น…”
ยองแจยิ้มบางๆให้แจ็คสันเมื่อเห็นคนเป็นรุ่นพี่ตั้งท่าง้องแง้งเหมือนเด็กๆ สำหรับยองแจแล้ว แจ็คสันเป็นคนที่น่าสนใจเสมออยู่ตลอดเวลานั่นล่ะ แต่ใครมันจะบ้าพูดออกไปแบบนั้นกับคนที่ตัวเองชอบอยู่กันล่ะ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ยองแจรู้สึกอึดอัดจนอยากจะลุกออกไปจากโต๊ะและไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะหนีแจ็คสัน ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่กับคนเป็นรุ่นพี่ แต่มันกลับเป็นเวลาที่เขาไม่ต้องการเสียอย่างนั้น
“อย่าเงียบดิ ชวนพี่คุยหน่อย” แจ็คสันพยายามอ้อนคนเป็นน้อง
“ผมไม่รู้จะชวนพี่คุยอะไรนี่” ยองแจพยายามบ่ายเบี่ยง
เพราะเหตุผลที่เขาไม่อยากคุยกับแจ็คสันในตอนนี้…
“งั้นผมขอถามอะไรพี่สักอย่างได้มั้ย ?”
ก็เพราะว่า…
“ว่ามาดิ”
‘ พี่… ยังชอบพี่จินยองอยู่รึเปล่า ? ’
เอ้าาาาาาาาาา !!!!
สาปค่ะ อนุญาตให้สาปเต็มที่ 555555555555555555
ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยอย่างสุดซึ้ง
ช่วงนี้ไรท์เตอร์อยู่ในโหมดลาพักร้อน (จากการเป็นติ่ง) 3 วัน
เมื่อวานมาลงสปอยล์ไว้
ไปๆมาๆดันมาลืมลงเนื้อเรื่อง 55555555
โอ๊ยยย หนูขอโต้ด /หลบรองเท้าไรท์เตอร์
สำหรับตอนนี้ไม่รู้จะทอล์กอะไร
คราวที่แล้วทอล์กยาวเกิน เม้นท์น้อยมาก
รอบนี้งอน จิ๊ ;_____;)
ใช่ซี้ /ดูดชาเขียวอย่างก้าวร้าว
สามารถเม้าท์มอยได้ที่ @mookiizsgc7 ถิ่นเก่าเจ้าเดิม หรือแฮชแท็ก #ฟิคโลกกลม ค่า
ความคิดเห็น