คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 0 2 | Bienvenue.
02 | Bienvenue
“แจบอม”
เสียงตะกุกตะกักตรงหน้าทำให้แจบอมที่สะลึมสะลือในตอนแรกถึงกับตื่นเต็มตา เสียงเรียกชื่อเขาเป็นเพียงแค่สาเหตุหนึ่ง หากแต่คนตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เขาพยายามตั้งสติพร้อมขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มองอะไรผิดไป
“จินยอง…” ชื่อของคนตรงหน้าหลุดออกมาจากปากของแจบอม
“…”
“…”
ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากทั้งสองคนนอกจากดวงตาสองคู่ที่ยืนจ้องมองกัน ริมฝีปากของจินยองค่อยๆเม้มเข้าหากัน ดวงตากลมโตที่จ้องมองคนตรงหน้าในตอนแรกค่อยๆหลุบลง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่ต่างจากแจบอมที่หันหน้าไปอีกทาง
“แจ็คสัน เพื่อนมึงมาแล้ว”
แจบอมเดินหันกลับเข้าไปเรียกเพื่อนตัวเองที่ยังนอนไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบรับจากแจ็คสัน แจบอมจึงถือวิสาสะยกกระเป๋าของจินยองเข้าไปในห้อง
“ผมขอถือเองดีกว่า” ไม่ใช่น้ำเสียงกระแทก หรือฟังดูห้วน เป็นเพียงน้ำเสียงปกติของจินยองที่เข้ามาห้าม พร้อมยื่นมือเข้ามาดึงกระเป๋าออกจากมือของแจบอม แล้วเดินแทรกตัวนำหน้าแจบอมเข้าไปในห้องที่ยังคงเงียบสนิท
จินยองเลือกที่จะเดินไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว ส่วนแจบอมก็เดินไปพับผ้า เก็บหมอนบนโซฟา แม้ว่าจะนอนได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อเห็นคนที่เพิ่งมาใหม่ กลับทำให้แจบอมหมดอารมณ์จะนอนต่อ
ร่างบางยังคงนั่งเงียบและก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ โดยมีแจบอมที่นั่งอยู่บนโซฟาแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว ความอึดอัดเริ่มทำให้แจบอมรู้สึกลำบากใจ และเหมือนพระเจ้าจะเห็นใจเขา เมื่อแจ็คสันเดินเซออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวยุ่งหัวฟู
“จินยองงี่ มายสวีทฮาร์ท~” แจ็คสันทักทายเพื่อนที่มาใหม่ก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดจินยองที่ส่งสายตาพิฆาตให้เขา
“ขี้เซาเหมือนเดิมเลยนะ” จินยองทักทายคนที่ไม่ได้เจอมาเกือบสองปี ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา
“ขอโทษจริงๆนะ เมื่อคืนนอนดึกไป คนอื่นๆยังไม่ตื่นเลย”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”
“งั้นแนะนำก่อนละกัน จินยอง นั่นแจบอม เพื่อนสมัยประถมของฉันเอง แจบอม นี่จินยอง รูมเมทสมัยเรียนมหาลัยของกู”
แจ็คสันแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะโค้งให้กันตามมารยาท แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ใดๆเลยก็ตาม เพราะอะไรน่ะหรือ ?
เพราะเขาสองคนรู้จักกันดี ดีมากๆ อาจจะมากกว่าที่แจ็คสันรู้จักพวกเขาเสียอีก เพราะสถานะของเขาสองคนมันไม่ใช่แค่ “เพื่อนกัน” หรือ “เพื่อนร่วมทริป” อย่างที่คนอื่นๆเข้าใจ หากแต่เป็นอีกสถานะที่ไม่มีใครอยากจะพูดชื่อของมันออกมา และไม่มีใครอยากจะให้ตัวเองอยู่ในสถานะนี้
สถานะที่เรียกว่า “แฟนเก่า”
“ฝ…ฝากตัวด้วยครับ” จินยองโค้งให้แจบอมโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“…” แจบอมไม่ตอบอะไรนอกจากโค้งกลับ
“เหย~ ทำไมต้องเกร็งกันขนาดนั้น จินยองอา แจบอมไม่กัดหรอกนะ มันฉีดยาแล้ว … แจบอม จินยองของกูน่ารักจะตาย ถึงจะขี้เหวี่ยงไปนิดนึงก็เถอะ”
“…” ทั้งสองคนยังคงเงียบ
“กูไปอาบน้ำก่อนนะ”
แจบอมเลี่ยงตัวเองออกมาจากการสนทนาก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป โดยที่สายตาของจินยองได้แต่มองตามคนที่เดินออกไปโดยอัตโนมัติ และเป็นเวลาเดียวกับที่ทุกคนเริ่มทยอยตื่นและเดินออกมานั่งที่ห้องรับแขกในสภาพหัวยุ่งหัวฟูและตาบวมไม่ต่างกัน แจ็คสันจึงแนะนำทุกคนให้รู้จักกันอีกครั้งหนึ่ง
“พี่จินยองเก่งชะมัด เป็นหมอด้วย นั่นเป็นความฝันของผมเลยนะ” ยูคยอมพูดขึ้นเมื่อได้ยินโปรไฟล์ของจินยองจากแจ็คสัน
“มันก็ไม่ได้ดีอย่างที่นายคิดหรอก” จินยองตอบพลางถอนหายใจ
“ว่าแต่มื้อเช้าพวกเราจะกินอะไรกันล่ะ ?" แบมแบมขัดขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่า อาหารที่มีในห้องตอนนี้ไม่มากพอสำหรับผู้ชายเจ็ดคนแน่ๆ
“ไม่เอาบะหมี่แล้วนะ” แจ็คสันว่าพลางเบะปากเป็นเชิงบ่งบอกว่าเบื่อสุดๆ
“ผมกินได้หมด อะไรก็ได้” ยูคยอมพูดขึ้นก่อนจะหงายตัวลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้น
“ฉันกินนมได้นะ ปกติไม่กินข้าวเช้าอยู่แล้ว” มาร์คบอกแล้วเดินไปหยิบนมกล่องในตู้เย็นออกมานั่งกิน
“ปกติตอนนี้เป็นเวลานอนของฉัน ฉันยังไม่หิว” จินยองพูดพลางส่ายหน้าเบาๆ
“นี่ก็เวลานอนของผมเหมือนกัน” ยองแจบอกอีกคน
“ไม่ได้ ยังไงก็ต้องกิน” แจ็คสันโวยวายขึ้นมา จวบกับที่แจบอมเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพผมเปียกชุ่มเดินตรงเข้ามานั่งบนโซฟาในห้องรับแขกที่มีทุกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่วะ ?” แจบอมหันไปถามแจ็คสัน
“เอ้า ไหนๆจินยองก็มาแล้ว และตอนนี้ก็อยู่กันครบ มาตกลงกันเรื่องห้องนอนก่อน”
“ผมขอนอนกับพี่ยองแจเหมือนเดิม !” แบมแบมยังคงยึดมั่นในนักเขียนผู้เป็นไอดอลของตัวเอง
“ฉันก็โอเคนะ นอนกับแบมแบมได้ แบมแบมคุยเก่ง อยู่ด้วยแล้วไม่เหงา” ยองแจพยักหน้า เป็นอันว่าจบไปหนึ่งคู่
“แจ็คสัน กูไม่นอนกับมึงแล้วนะ นอนดิ้นชิบหาย” มาร์คบ่นขึ้นมาก่อนจะผลักไสเพื่อนตัวเองทันที
“นอนกับยูคยอมมั้ยมึง…” แจ็คสันเสนอก่อนจะฉีกยิ้มเป็นเชิงเยาะเย้ย
“กูยอมนอนห้องนั่งเล่นเลยดีกว่า !”
“เสียใจ ฉันจอง” แจบอมขัดขึ้นพร้อมส่งสายตาไปหามาร์ค ยิ่งทำให้หนุ่มผมแดงไม่พอใจหนักกว่าเดิม
“อะไรวะเนี่ย” มาร์คเริ่มออกอาการหงุดหงิดตามประสาคนเอาแต่ใจ แต่แจ็คสันรู้ดีว่าจริงๆแล้วมาร์คก็ไม่ได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น
“คือ… ฉันไม่เคยนอนกับคนอื่น ถ้ายังไงฉันขอนอนที่ห้องแต่งตัวได้มั้ย ปูฟูกนอนกับพื้นก็ได้ ขอโทษที แต่มันไม่ชินจริงๆ” จินยองยกมือก่อนจะพูดแทรกขึ้นมา
“…”
แจ็คสันเริ่มอารมณ์เสียกับเงื่อนไขของแต่ละคน ถึงเขาจะรู้ดีว่าทุกคนไม่รู้จักกัน และนิสัยการอยู่ การนอนไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นความผิดของเขาเองที่ลืมคิดถึงในจุดนี้ แต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าอะไรๆมันจะยุ่งยากและวุ่นวายได้ขนาดนี้
“เอาล่ะ พอ งั้นฉันจะจัดให้เอง ยองแจนอนกับแบมแบม ฉันจะไปนอนกับยูคยอม แจบอมนอนที่ห้องนั่งเล่น ส่วนมาร์ค มึงจะนอนห้องนั่งเล่นหรือนอนกับจินยองก็เลือกเอา ถ้าจะนอนกับจินยอง ก็ตกลงเอาเองว่าใครจะนอนเตียงหรือนอนพื้น แต่ถ้าจะนอนห้องนั่งเล่น ก็คุยกับไอ้แจบอมเอาเอง ขอโทษที่ต้องขัดใจนะจินยอง แต่พวกเรามีพื้นที่จำกัด ตกลงตามนี้ มีใครขัดข้องอะไรมั้ย ??”
“…” ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากการพยักหน้าของทุกคน เป็นอันรู้กันว่า ถ้าแจ็คสันต้องใช้อำนาจตัดสินอะไรแล้ว ใครก็หยุดไม่ได้ทั้งนั้น
“หรือว่า จินยองจะเอาฟูกมาปูที่ห้องนั่งเล่นมั้ย ?”
คำถามของแจ็คสันทำเอาทั้งจินยองและแจบอมแทบจะหยุดหายใจไปพร้อมๆกัน ดวงตาทั้งสองคู่มองไปคนละทางพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ท่ามกลางความเงียบของทุกคนที่นั่งอยู่ร่วมกันในที่นั้น
และทุกๆอย่างระหว่างคนสองคนก็ตกอยู่ในสายตาของมาร์ค
“งั้นฉันขอนอนที่ห้องนั่งเล่นก็แล้วกัน แจบอมก็นอนบนโซฟาไป ส่วนฉันจะเอาฟูกมาปูนอนข้างล่าง แจบอมจะขัดข้องมั้ย ?”
“ก็… ไม่มีปัญหา” แจบอมยักไหล่เป็นเชิงโอเคกับคำขอของมาร์ค
“ตกลงกันได้สักที เรื่องต่อไป มื้อเช้าวันนี้… ใครจะอาสาลงไปซื้อ ?” เมื่อจบประเด็นแรก ปัญหาต่อไปก็ตามมาทันที
“จะให้ลงไปซื้อสภาพนี้จะดีเหรอพี่ ?” ยูคยอมค้านขึ้น เมื่อมองเห็นว่าสภาพของแต่ละคนเรียกได้ว่าดูไม่จืด หน้าที่ยังมีรอยหมอนอยู่ ตาบวมๆเหมือนคนยังตื่นไม่เต็มที่ ทรงผมที่กระเซอะกระเซิง และชุดนอนที่เรียกได้ว่าสบายเหมือนไม่ได้สวมใส่อะไร
“…” และทุกสายตาในห้องก็หันไปจับจ้องที่จินยองผู้มาถึงรายใหม่ที่ยังแต่งตัวเรียบร้อย และแจบอมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ
“ฉันเหรอ ?” จินยองชี้ที่ตัวเอง
“จินยอง แจบอม ตอนนี้มีพวกนายสองคนที่สภาพเป็นปกติที่สุด” แจ็คสันรีบเกริ่นขึ้นมาทันที
“…” ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของทั้งสองคนอีกครั้ง นอกจากจินยองที่นั่งก้มหน้าลง ส่วนแจบอมเปลี่ยนเป็นนั่งเท้าคางด้วยใบหน้านิ่งๆ
“เดี๋ยวฉันลงไปเอง”
เสียงของคนที่ช่วยชีวิตทั้งแจบอมและจินยองดังขึ้น ผู้ชายผมแดงที่ดูท่าทางเอาแต่ใจในตอนแรกอาสาขึ้น ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว และออกมาในสภาพที่ดูปกติอย่างรวดเร็ว
“ใจคอจะไม่อาบน้ำหน่อยเหรอวะมาร์ค ?” เป็นแจ็คสันที่ถามด้วยสีหน้าที่ออกแนวรังเกียจนิดๆ
“ลงไปซื้อแป๊บเดียว ขึ้นมาค่อยอาบก็ได้ หรือจะรอก็ได้นะ ถ้าทนหิวกันไหวก็ตามสบาย” มาร์คประชด
“โอ๋ น้องมาร์คของพี่แจ็คไม่งอนนะคะ” แจ็คสันแกล้งหยอดเพื่อนสนิทที่ยืนหน้างออยู่
“ขนลุก พอเหอะว่ะ … จะเอาอะไรก็สั่งมา ให้ไว” มาร์คหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มอัดเสียง ก่อนจะยื่นใส่กลางวงเพื่อรับคำสั่งจากทุกคน ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกคนก็สั่งของที่ต้องการเรียบร้อย
“สั่งกันเยอะขนาดนี้ ฉันลงไปคนเดียวคงถือไม่ไหว คงต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน…”
มาร์คลากเสียงพลางหันไปมองแจบอมกับจินยองที่ต่างคนต่างนั่งนิ่ง ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ยังคงจ้องทั้งสองคนไม่วางตา
“ดูเหมือนว่าแจบอมจะพึ่งไม่ค่อยได้ จินยอง… ฉันรบกวนนายได้มั้ย ?” มาร์คเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากจินยองด้วยประโยคที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าหูแจบอมสักเท่าไหร่นัก
“หาเรื่องเหรอ ?” แน่นอนว่าคนอย่างอิมแจบอมนั้น ฆ่าได้หยามไม่ได้
“เปล่านี่ พูดตามที่เห็น” มาร์คหันไปตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยแล้วจึงเดินออกไปที่ประตูห้อง
“…”
“ได้ครับ” จินยองตอบสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นเดินตามมาร์คออกไป แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านักก็ตามที แต่ก็ต้องขอบคุณอีกคนที่ชวนเขาออกมาจากห้อง เพราะมันทำให้เขาหายอึดอัดไปได้เยอะเลยทีเดียว
.
.
“แจ็คสัน เพื่อนมึงเป็นอะไรมากป่ะ ?”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนออกจากห้องไปแล้ว แจบอมก็จัดการปล่อยระเบิดลูกแรกทันที ใบหน้าหล่อที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เพื่อนร่วมห้องที่เหลือเริ่มขยาดขึ้นมา
“เฮ้ย อย่าคิดมากดิวะ” แจ็คสันพยายามตบบ่าให้แจบอมหายหัวเสีย
“…”
“ผมว่าพี่เค้าก็ดีนะ เมื่อวานผมเกือบโดนรถชน พี่มาร์คก็เป็นคนช่วยผมเอาไว้” แบมแบมพยายามแก้ต่างเพื่อให้สถานการณ์หายตึงเครียด
“ทีกับผมนี่ดุตลอด ด่าตลอด เหวี่ยงใส่ตลอด…” ยูคยอมว่าพลางทำหน้ามุ่ย
“เพราะมึงกวนตีนไง” แจ็คสันหันไปเฉ่งหลานรหัสหนึ่งที ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มร่างหมีมุ่ยหน้ามากกว่าเดิม
“เอาน่า นอกจากพี่แจ็คสันแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆพี่มาร์คเป็นคนยังไง อย่าเพิ่งไปตัดสินเค้าเลย” ยองแจพยายามช่วยห้ามศึกอีกคน
“ไอ้มาร์คมันก็อารมณ์ขึ้นๆลงๆแบบนี้แหละ อารมณ์ศิลปินก็งี้ แต่มันนิสัยดีนะ ดูดิ น้ำท่าก็ไม่อาบ ยังอาสาลงไปซื้อของให้เลย ปกติมันเป็นคนขี้เกียจจะตาย” แจ็คสันอธิบาย
“…”
“เออ ว่าแต่มึงเถอะ เป็นอะไรเปล่าวะ ? ตั้งแต่จินยองเข้ามากูเห็นมึงนั่งเงียบตลอดเลย ทำไม อึ้งในความน่ารักของเพื่อนกูเหรอ ?” และแล้ว ความซวยก็วิ่งเข้ามาพุ่งชนแจบอมอีกครั้ง เมื่อแจ็คสันเริ่มขุดประเด็นที่เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจมันอยู่
“เปล่านี่ คนไม่รู้จักกัน จะให้คุยอะไร ?” แจบอมตอบกลับอย่างรวดเร็ว โดยที่พยายามซ่อนอารมณ์ทุกอารมณ์ไว้ภายใต้ใบหน้านิ่ง
“แต่พี่จินยองน่ารักจริงๆนะ เก่งด้วย ยกให้เป็นไอดอลเลย” ยูคยอมพูดด้วยใบหน้าที่ชื่นชมอีกคนอย่างออกนอกหน้า
“อยู่กันไปเดี๋ยวก็คุยกันเองแหละ ถึงจะดูหยิ่งๆเงียบๆ แต่จินยองนิสัยดีนะเว้ย” แจ็คสันพยายามแนะนำ ซึ่งแจบอมก็ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้
ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วก็ตาม
.
.
มาร์คพยายามเปิดฟังเสียงที่อัดมาเมื่อครู่นี้ ก่อนจะหยิบของใส่ตะกร้า โดยมีจินยองคอยช่วยถือตะกร้าอีกใบที่มีของอยู่เต็มตะกร้าอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่น้อย นอกจากเดินออกมาจากห้องเงียบๆ และเดินมายังมินิมาร์ทโดยไม่มีคำพูดใดๆสักคำ
“ครบแล้วล่ะ จินยองอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย ?” มาร์คเริ่มทำลายความเงียบด้วยการหันไปถามคนที่ดูจะมึนๆงงๆเล็กน้อย
“ม…ไม่ล่ะครับ นี่ก็เยอะพอแล้ว” จินยองตอบพร้อมก้มลงมองตะกร้าที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายประเภท
“สองตะกร้านี้แค่มื้อเช้านะจินยอง จะพอรึเปล่ายังไม่รู้เลย” มาร์คพูดพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผู้ชายตัวเบ้อเริ่มหกคนนั่งกินบะหมี่ถ้วยเป็นสิบๆถ้วย ยังไม่รวมขนมที่แต่ละคนพกติดตัวมาอีกต่างหาก
“…” ไม่มีคำพูดใดๆจากคนพูดน้อยอย่างจินยองนอกจากรอยยิ้มบางๆที่ส่งให้อีกคน
มาร์คจัดการจ่ายเงินที่แคชเชียร์ โดยมีจินยองคอยรับถุงที่อัดแน่นไปด้วยมื้อเช้าจากพนักงาน ก่อนที่มาร์คจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบวกลบเลขที่ปรากฏอยู่บนใบเสร็จเพื่อเฉลี่ยค่าใช้จ่ายกับทุกคน แต่ก็ช้ากว่าจินยองที่หยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงานเพื่อชำระเงิน
“มื้อนี้ผมเลี้ยงก็แล้วกันนะครับ ถือซะว่าเป็นค่าเสียเวลาที่ทำให้พวกคุณอดไปเที่ยววันนี้” จินยองหันมายิ้มให้มาร์คที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเหวอๆเล็กน้อย
“มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆนะจินยอง”
“ไม่เป็นไรหรอก นานๆผมจะมาทำอะไรแบบนี้สักที ถือซะว่าเริ่มผูกมิตรกับทุกคนก็แล้วกัน” จินยองยักไหล่เล็กน้อย
“ถ้าอยากจะผูกมิตรจริงๆ ควรเริ่มจากการเลิกใช้สรรพนามกับคำลงท้ายที่ฟังดูห่างเหินแบบนั้นเป็นอันดับแรกนะ” มาร์คแนะนำคนที่ดูท่าทางจะไม่ค่อยได้ผูกมิตรกับคนอื่น
“หมายถึง คุณกับครับ ?”
“ใช่ เรียกฉันว่ามาร์คก็พอ ไม่ต้องลงท้ายว่าครับ แล้วก็ไม่ต้องแทนตัวเองว่าผมด้วย ปกติฉันอยู่ท่ามกลางพวกเถื่อนๆดิบๆแบบแจ็คสัน พอได้ยินแบบนี้เลยรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
“…”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ชิน”
“…” ไม่มีเสียงตอบใดๆจากจินยองนอกจากรอยยิ้มและการพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ทุกอย่างก็เริ่มกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งสองคนเดินออกจากมินิมาร์ทโดยไม่พูดอะไรกันเหมือนตอนที่เดินมา จินยองยังคงเดินก้มหน้าไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่า คนที่เดินอยู่ข้างๆแอบส่งสายตามองตัวเองเป็นระยะๆ
“นี่ จินยอง…” และก็เป็นมาร์คอีกครั้งที่ทำลายความเงียบ
“มีอะไรเหรอ ?” จินยองเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่มองตนอยู่ก่อนแล้ว
“อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะ”
“…”
‘ นายกับแจบอม… รู้จักกันมาก่อนเหรอ ? ’
คำถามของมาร์คทำให้จินยองนิ่งสนิท ดวงตากลมโตของคนตัวขาวยังคงมองหน้าเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ริมฝีปากของจินยองค่อยๆเม้มเข้าหากันก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ดูเหมือนฉันจะถามอะไรที่ไม่เข้าท่าแน่ๆ” คนผมแดงยิ้มแห้งๆเหมือนเห็นปฏิกิริยาของจินยอง
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกับแจบอมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
“ถ้าเป็นคนซื่อบื้อๆแบบแจ็คสันก็คงไม่ทันสังเกตหรอก เท่าที่เห็น แจบอมน่าจะเป็นคนเงียบๆเหมือนนายนั่นแหละ เมื่อวานก็แทบไม่พูดอะไรเลย”
“…”
“ไม่ต้องตอบคำถามก็ได้นะ ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ” มาร์คพยายามตัดบทสนทนาแล้วเดินเข้าลิฟท์ไป ปล่อยให้จินยองยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามเข้าไปในลิฟต์
“นายเป็นเพื่อนแจ็คสันเหมือนกันเหรอ ?” จินยองถาม
“ใช่ เป็นเพื่อนข้างห้องที่หอพักน่ะ พอดีชอบอะไรเหมือนๆกัน เลยซี้กันเร็ว จินยองก็เหมือนกันเหรอ ?”
“เคยเป็นรูมเมทตอนเรียนมหาวิทยาลัย แล้วคนอื่นๆล่ะ ?”
“จากที่แจ็คสันบอกเมื่อคืน แจบอมเป็นเพื่อนสมัยประถม ยองแจเป็นรุ่นน้องที่สนิทกัน แบมแบมเป็นน้องเทค ส่วนยูคยอมเป็นหลานรหัส … สารภาพจากใจเลยนะ เกิดมาฉันเพิ่งจะเคยมาทริปแปลกๆที่มีแต่คนไม่รู้จักเป็นครั้งแรก”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเที่ยวกับคนอื่นด้วยซ้ำ”
“พวกหมอเป็นแบบนี้ทุกคนรึเปล่าเนี่ย ?” ทันทีที่ฟังจินยองพูดจบ มาร์คก็ถึงกับหลุดขำออกมา พอดีกับที่ลิฟต์มาหยุดที่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นห้องพักของพวกเขา
“ไม่เสมอไปนะ อย่าใช้อาชีพตัดสินนิสัยเลย”
“เข้าห้องเถอะ พวกนั้นคงจะหิวแย่แล้ว”
.
.
“งือ~ หิวจะแย่แล้ว” ยูคยอมลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นหลังจากที่มาร์คกับจินยองออกไปจากห้องได้สักพักใหญ่ๆพร้อมส่งเสียงแบบเด็กๆ
“กินนมรองท้องก่อนมั้ยยูคยอม ?” แบมแบมที่เป็นเจ้าบ้านถามด้วยความเป็นห่วงหลังเห็นสภาพของเพื่อนวัยเดียวกันที่ลงไปนอนกับพื้น
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
“มินิมาร์ทมันก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น ทำไมช้ากันจัง” แจ็คสันเริ่มบ่นออกมาอีกคน
ก๊อก ก๊อก !
“สงสัยพวกพี่ๆคงกลับมาแล้ว เดี๋ยวผมไปเปิดให้นะ” ยองแจอาสาเดินไปเปิดประตูห้องให้ พร้อมช่วยคนที่อาสาลงไปซื้อของถือถุงอาหารเข้ามาในห้อง
“ทำไมหายไปกันนานจังวะ” แจ็คสันถามคนมาใหม่ที่หายไปพักใหญ่
“ช่วยดูด้วยว่าพวกนายสั่งของกันมากมายมหาศาลขนาดไหน ?” มาร์คบ่น
“อาสาลงไปเองแล้วยังจะบ่นอีก คนเรานี่ก็แปลก” ยูคยอมพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าอีกคนพลางผิวปาก
“มีปัญหาอะไรกับฉันมากป่ะถามจริง ?” มาร์คหันขวับไปหายูคยอมที่นั่งมองนอกหน้าต่างพลางผิวปาก
“อะไรของพี่เนี่ย ผมอยู่ของผมเฉยๆ ยังจะมาดุอีก” ยูคยอมหันมาเบะปากใส่ ยิ่งทำให้มาร์คที่ทั้งเหนื่อยและหิวหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“มาร์ค ยูคยอม ถ้าพวกมึงไม่ตีกันนี่จะตายมั้ย ?” แจ็คสันที่เริ่มหิวจนไม่มีแรงจะห้ามทั้งสองขยี้ผมตัวเองอย่างเหนื่อยใจ
“น้องมึงกวนกูก่อนนะ”
“ก็เป็นซะอย่างเนี้ย ผมนั่งของผมอยู่เฉยๆ แล้วไอ้ที่พูดเมื่อกี๊นี้ก็ยังไม่ได้ระบุชื่อสักนิด”
“พอเถอะ กินมื้อเช้าก่อนดีกว่านะ”
เป็นจินยองคนพูดน้อยที่ห้ามทัพอย่างใจเย็น ก่อนจะไล่แจกของในถุง ทั้งข้าว ขนม นม น้ำผลไม้ ต่างๆนานาที่ทุกคนสั่งเอาไว้ มือบางส่งของให้ทีละคนจนเกือบครบ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่คนสุดท้ายที่นั่งอยู่บนโซฟา
แจบอมที่มีสีหน้านิ่งอย่างไรในตอนแรก ก็ยังคงมีสีหน้าแบบเดิมจนถึงตอนนี้ เกือบครึ่งวันของวันนี้ เขาพูดแทบจะนับคำได้ แต่ก็ไม่ได้ตกเป็นที่สงสัยของทุกคนเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อคืนเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จึงเป็นเหมือนเรื่องปกติของทุกคน จินยองส่งขวดนมกับกล่องแซนวิชให้แจบอม โดยทำทีเป็นก้มหน้าลงค้นดูของในถุงเพื่อเลี่ยงการที่จะต้องมองหน้ากับอีกคน
แจบอมยื่นมือไปรับโดยที่ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย มือหนารับของที่คนตัวบางส่งมาให้ แต่ความโลภของผู้ชายอย่างอิมแจบอม ทำให้เขาค่อยๆขยับมือเข้าไปจนสัมผัสกับมือขาวๆของจินยองเบาๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ชั่ววูบหนึ่ง เพราะจินยองที่ตั้งสติได้ไวกว่ารีบปล่อยของในมือให้แจบอมแล้วชักมือกลับมาทันที
เป็นโชคดีของทั้งสองคนที่ต่างคนต่างเงียบ และทุกคนก็สนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าจะมาสนใจคนเงียบๆสองคน จึงไม่มีใครเห็นอะไรเมื่อครู่นี้
แน่นอนว่าไม่นับคนที่รู้เรื่องนี้อย่าง มาร์ค
“โอย ค่อยยังชั่ว” ยูคยอมที่จัดการกับมื้อสายหมดเป็นคนแรกพึมพำออกมา
“ขอบคุณพี่มาร์คกับพี่จินยองมากนะครับ” ยองแจโค้งให้ทั้งสองคนในขณะที่มือยังถือกล่องนมอยู่
“ไม่เป็นไร” จินยองตอบพลางยิ้มให้
“จริงสิ… พี่แจ็คสันบอกว่า พี่มาร์คเป็นช่างถ่ายภาพใช่มั้ยครับ ?” แบมแบมหันไปถามรุ่นพี่คนสนิทที่นั่งกระดกขวดนมอยู่ ก่อนจะหันมามองคนที่ถูกพูดถึง
“ใช่ ทำไมเหรอ ?” มาร์คถามกลับ แบมแบมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงออกมาพร้อมกล้อง DSLR ตัวหนึ่งในมือ
“คือ… ผมเห็นว่าพวกเราจะไปเที่ยวกัน ก็เลยพกกล้องติดมา แต่ผมไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าไหร่ ก็เลยจะมาขอคำปรึกษาน่ะครับ”
แบมแบมเดินเข้ามานั่งข้างๆมาร์คอย่างกล้าๆกลัวๆ พร้อมส่งกล้องให้มาร์คไปลองเล่นตามประสาคนเล่นกล้องที่เวลาเห็นกล้องแล้วจะชอบทดลองถ่ายรอบข้างแล้วกดปรับนู่น หมุนนั่น อย่างช่ำชอง
“ท่าทางจะไม่เคยตั้งค่าอะไรเลยใช่มั้ย ?”
“ก็… ประมาณนั้นครับ” แบมแบมตอบพร้อมหัวเราะแก้เขิน
“แจ็คสัน เป็นแบบให้หน่อยดิ” มาร์คเรียกชื่อคนที่นั่งตรงข้ามกับตัวเองที่กำลังนอนตีพุงอยู่
“เชี่ย อย่าเพิ่งกด !”
แชะ !
“ไอ้…”
แชะ !
“ไอ้ต้วน !”
แชะ !
ว่ากันว่า โมเม้นท์ที่จั__ไรที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ การถูกรัวชัตเตอร์ในท่วงท่าที่ดูไม่สง่าและน่าอภิรมย์เท่าไหร่ และแจ็คสันก็เป็นบุคคลผู้โชคร้ายที่เพิ่งโดนไปสดๆร้อนๆ
“มึงมันเลว !” แจ็คสันพุ่งเข้ามาหามาร์คที่นั่งหัวเราะคิกคักกับแบมแบมหลังเปิดหน้าจอแสดงผลที่ปรากฏรูปหน้าหลุดๆของแจ็คสัน
แชะ !
แชะ !
แชะ !
จังหวะการกดชัตเตอร์นับไม่ถ้วนของมาร์ค ทำให้ทุกคนถึงกับเหวอไปชั่วขณะ กล้องขนาดใหญ่ที่ถูกหมุนไปรอบๆห้องพร้อมเสียงรัวชัตเตอร์ที่ไม่สามารถนับจำนวนครั้งได้ ก่อนที่คนผมแดงที่ดูจะสนุกสนานกับการเล่นกล้องหัวเราะออกมา
“ย้า ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ !” แจบอมรีบโวยขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปหามาร์ค
“หน้าพวกนายโคตรตลกเลย ฮ่าๆ”
“มาร์ค กูขอดูหน่อยกล้อง อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง” แจ็คสันเอ่ยขอโดยที่มาร์คก็ส่งกล้องให้เพื่อนที่เพิ่งโดนเขาทำร้ายไปหมาดๆ
“ไม่ยักกะรู้ว่าแบมแบมก็เล่นกล้องเหมือนกัน” มาร์คหันไปชวนคนเด็กกว่าที่นั่งข้างๆเขาคุยแทน
“อย่าเรียกว่าเล่นเลยครับ ทุกวันนี้ยังใช้ไม่ค่อยจะเป็นเลย”
“เหรอ ? แต่เมื่อกี๊พี่แอบเปิดรูปที่แบมถ่ายเก็บไว้ เท่าที่เห็นก็ถ่ายสวยนะ ขนาดไม่ได้ตั้งค่ากล้องเลย”
“พี่แอบเปิดดูเหรอครับ !?!” แบมแบมเผลอขึ้นเสียงพร้อมใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงเล็กน้อย จะไม่ให้เขาอายได้อย่างไร ก็ในเมื่อกล้องนั้นมันมีแต่รูปตัวเขาเองเต็มไปหมด แล้วก็เป็นรูปของกินที่เขาตระเวนถ่ายตามร้านต่างๆเวลาว่าง
“อายทำไม หัดถ่ายไปนั่นแหละดีแล้ว”
“…”
“น่ารักดี”
น่ารักดี
น่ารักดี…?
คำพูดที่ฟังดูลอยๆของมาร์คทำให้แบมแบมที่นั่งอยู่ข้างๆต้องนั่งประมวลผลความคิดก่อนจะส่งสายตาไปมองคนเป็นรุ่นพี่ที่นั่งเท้าคางมองบรรยากาศรอบห้อง บางทีแบมแบมก็ไม่รู้ว่า มาร์คจะรู้ตัวไหมว่าสิ่งที่เขาพูดมันกำกวม กำกวมจนทำให้แบมแบมรู้สึกแปลกๆขึ้นมา เพราะไอ้ความรู้สึกแปลกๆนั้นดันเป็นอาการที่คนทั่วไปเรียกมันว่า “เขิน”
“กล้องนี่มันถ่ายเซลฟี่ได้เปล่าวะ ?” แจ็คสันยังคงมองกล้องด้วยความสงสัย
“ได้ดิ แต่มึงต้องยืดแขนนิดนึงนะ ไม่งั้นมันจะไม่โฟกัส”
“งั้น… ยองแจ มานี่หน่อย” แจ็คสันหันไปหารุ่นน้องที่นั่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆแล้วล็อคคอโดยไม่ปล่อยให้ยองแจได้พูดอะไร
“อ…อะไรพี่ ?” ยองแจทำหน้าเหรอหราเมื่อโดนอีกคนกอดคอ
“มองกล้อง… หนึ่ง สอง…”
“เฮ้ย ด…เดี๋…”
“สาม !”
แชะ !
หน้าจอแสดงผลที่ขึ้นรูปคู่ของแจ็คสันกับยองแจทำให้แจ็คสันถึงกับนั่งขำ ในขณะที่ยองแจอยากจะเดินหนีออกไปจากห้องนี้ทันที ใบหน้าเหวอๆที่กำลังอ้าปากค้างของเขาทำให้คนเป็นรุ่นพี่ถึงกับขำไม่หยุด ในขณะที่ยองแจอยากจะกระชากกล้องมาลบรูปนั้นทันที แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นไปทันที เมื่อมีประโยคหนึ่งลอยเข้าในหัวของเขาดื้อๆ
บางที… มันอาจจะเป็นรูปคู่ของเขากับแจ็คสันเพียงรูปเดียวก็ได้
ความคิดเพียงชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัวของยองแจ ทำเอาเจ้าตัวที่กำลังเหวออยู่ถึงกับเงียบลงไป แต่คนอย่างแจ็คสันก็ไม่ได้ช่างสังเกตพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของรุ่นน้องคนสนิท
“เอ่อ…ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เอาพวกของใช้ส่วนตัวมา เดี๋ยวขอตัวลงไปซื้อที่มินิมาร์ทอีกรอบนะ”
จินยองลุกขึ้นเมื่อนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาได้ ก่อนจะคว้ากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์เดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นถามใดๆต่อ
ทันทีที่ปิดประตูห้อง จินยองก็ลอบถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัด เขาไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ขนาดที่ไม่อยากจะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย ร่างบางยกมือข้างที่เพิ่งถูกคนบางคนฉวยโอกาสจับขึ้นมามองด้วยหัวใจที่เต้นรัวและรู้สึกอึดอัดไปทั่วท้อง อันที่จริงของใช้ทุกอย่างที่เขาใช้เป็นข้ออ้างในการออกมาซื้อของ เขาเตรียมมันมาทุกอย่าง เพียงแต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรเพื่อออกมาจากห้อง จึงต้องโกหกออกไปแบบนั้น เพียงเพราะเขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อนั่งอยู่ในห้องที่มีแจบอมอยู่ และเขาก็มั่นใจว่า แจบอมกำลังมองเขาอยู่ตลอดเวลา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้จินยองตัดสินใจเดินลงบันไดเพื่อถ่วงเวลาให้นานขึ้น
ใช้เวลาประมาณสิบนาทีที่จินยองเดินจากชั้นเจ็ดของคอนโดลงมายังมินิมาร์ทที่อยู่ชั้นล่างสุด ในหัวของจินยองยังคงมีแต่ใบหน้าหล่อของคนที่เคยรู้จักกันเมื่อหลายปีก่อนวนเวียนเข้ามาราวกับภาพหลอน และเขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโชคร้ายที่จะต้องมาพบเจอกับคนที่ตัวเองพยายามหนีหน้ามาตลอด
และดูเหมือนโชคร้ายก็จะตามหลอกหลอนเขาไม่จบไม่สิ้น
“ไม่เจอกันตั้งสามปี ใจคอจะไม่คุยกับฉันจริงๆเหรอ ?”
เพราะตอนนี้ โชคร้ายที่ว่าดันมาอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว…
เอาล่ะค่ะ จบไปกับตอนที่สองแล้ว
ด้วยความที่ฟิคเรื่องนี้มีทามไลน์แค่ 7 วัน ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมเนื้อเรื่องมันดูยืดๆ
ไม่งั้นมันจะสั้นมากเลยค่ะ ถถถถถถถถถถถ
เป็นไงบ้างคะ ทายกันถูกมั้ยเอ่ยว่าประโยคสปอยล์ใครพูดกับใคร
ทีนี้มาทายกันต่อนะคะว่าคู่ไหนจะส่อแววดราม่าเป็นรายต่อไป
แฟนๆคู่อื่นต้องใจเย็นๆนะคะ
สตอรี่จะเริ่มโผล่มาเรื่อยๆค่ะ อันนี้แค่สองตอนแรก อย่าเพิ่งด่วนตัดสินกันไป
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์มากๆนะคะ
ไม่คิดว่าจะมาถึง 23 คอมเม้นท์แล้ว #ซับน้ำตาด้วยสก็อตไบรท์
ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงทุกทั่นด้วยนะคะ
ตอนต่อไปจะมาเร็วๆนี้ค่ะ มาลุ้นกันนะคะว่าจะลงเอยที่คู่ไหน
และจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรือแซดเอนดิ้ง
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า
ไรท์เตอร์รักรีดเดอร์ทุกคนค่ะ /ทำหัวใจซารังเฮโยสี่ทิศ
ปล. ใครขี้เกียจเม้นสกรีมผ่านแท็กได้นะคะ
ใครอยากทวงฟิคไรท์เตอร์หรือแวะมาเม้าท์มอย เจอกันได้ที่ทวิต @mookiizsgc7 ค่ะ
ความคิดเห็น