คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 0 1 | Bon Voyage.
01 | Bon Voyage
Jackson Tour’s Schedule
หมายเหตุ : กรุณามาเมืองไทยอย่างช้าไม่เกินวันที่ 11 เมษา เวลาเที่ยงคืน !
12 เมษายน
- กิจกรรมละลายพฤติกรรม (ทั้งวัน)
13 เมษายน (เล่นสงกรานต์ทั้งวัน ฉะนั้นเตรียมชุดมาด้วย)
- ช่วงเช้า : ถนนข้าวสาร
- ช่วงบ่าย : สีลม
- ช่วงค่ำ : สยามพารากอน
14 เมษายน
- เคลื่อนย้ายจากกรุงเทพฯไปพัทยา
- เล่นสงกรานต์ที่พัทยา
15 เมษายน
- พักผ่อนทั้งวัน @ พัทยา (อยากเที่ยวที่ไหนค่อยไปเดินหาเอาก็แล้วกัน)
16 เมษายน
- ปาร์ตี้ริมทะเลตอนค่ำ
17 เมษายน
- สลายโต๋กลับเกาหลี
ปอลอ : ตารางอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
10 April @ ICN Airport | 07.00 AM
แจบอมเดินเข้ามาในสนามบินในสภาพสบายๆ มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เพียง 1 ใบ และกระเป๋าเป้คู่ใจสำหรับใส่สัมภาระที่จำเป็นอย่างพวกโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ หรือพาสปอร์ตอีก 1 ใบ
ชายหนุ่มร่างสูงและหุ่นสมส่วนในเสื้อกล้ามสีขาว ปิดทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ไม่ได้ติดกระดุม กางเกงยีนส์ที่ควั่นขาจนขาดบริเวณช่วงเข่า และรองเท้าผ้าใบสีขาว รวมทั้งทรงผมสีควันบุหรี่ออกไปทางบลอนด์นิดๆทำให้เขาดูดีขึ้นมากจนพนักงานที่ทำงานในสนามบินหันมามองเขากันแทบทั้งสิ้น
ใช้เวลาไม่กี่อึดใจในการเช็คอิน ก่อนจะเข้ามานั่งรอที่ล็อบบี้เพื่อเตรียมตัวเดินทางข้ามประเทศ ดวงตาคมก้มมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงสำหรับการรอขึ้นเครื่อง ขายาวนั่งกระดิกพร้อมฮัมเพลงในคออย่างอารมณ์ดี
มือหนาสไลด์ดูความเคลื่อนไหวของโลกโซเชียลทั้ง Facebook , Twitter รวมไปถึง Instagram ก่อนจะหยิบพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินขึ้นมาถ่ายรูป แล้วพิมพ์อะไรบางอย่าง จบด้วยการกดแชร์ลงสู่โลกโซเชียลตามวิถีคนรุ่นใหม่ที่ต้องอัพเดทให้คนที่ติดตามได้รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่
วิถีคนชิคก็แบบนี้แหละ…
defjeffb : Let’s go to BKK !
เพียงไม่กี่อึดใจ ยอดกดไลค์นับสิบจากผู้ติดตามของเขาก็เด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมคอมเม้นท์อีกมากมายที่ถามไถ่ถึงทริปของเขา แต่ก็ต้องหยุดเอาไว้เพียงเท่านั้น เมื่อพบว่านาฬิกาข้อมือบอกเวลาที่ใกล้กับเวลาที่ระบุไว้บนตั๋วเครื่องบิน เป็นอันว่าการท่องโลกโซเชียลของแจบอมจึงจบลงด้วยประการฉะนี้
สวัสดีวันหยุดของอิมแจบอม !
10 April @ Suvarnabhumi Airport | 2.00 PM
“ทางนี้เว้ยแจบอม !!!”
เสียงตะโกนเป็นภาษาเกาหลีของแจ็คสันที่มาถึงกรุงเทพฯเมื่อสองวันก่อนดังขึ้น เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวและพนักงานในสนามบิน ทำเอาแจบอมต้องเดินก้มหน้าด้วยความอายและเดินมาตบหัวเพื่อนสนิทไปหนึ่งที
“จะแหกปากทำไมวะ”
“เฮ้ย ทักทายเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแบบนี้เหรอวะ มารยาทโคตรแย่ =__=” แจ็คสันบ่นอุบแต่แจบอมก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด เพราะถือว่าสนิทจนเล่นหัวกันได้
“ทริปนี้มีแค่กูกับมึง แล้วก็เพื่อนคนไทยอีกคนเหรอวะ ?”
“มีอีกสี่คน เป็นรุ่นน้องสองคน เพื่อนอีกสองคน”
“อ้าว ! แล้วก็ไม่บอกกู ไอ้สั้น ! แม่งมีแต่คนไม่รู้จัก แบบนี้กูอึดอัดตายห่า” แจบอมโวยใส่เพื่อนตัวเล็กของเขาที่ยืนยิ้มแป้นแล้นพร้อมลากกระเป๋าเดินทางของเขาไปยังรถยนต์ที่ยืมทางบ้านของแบมแบมมา
“เออน่า เดี๋ยวก็รู้จักกันหมด ไม่ได้อ่านตารางเหรอวะ ?”
“อ่านผ่านๆ ทำไม ?”
“กิจกรรมละลายพฤติกรรมไง” ว่าแล้วแจ็คสันก็หันกลับมายักคิ้วใส่แบบมีเลศนัย
“กูมาเที่ยวนะ ไม่ได้มาเข้าค่าย อย่าทำอะไรถลนๆนะมึง”
“เออน่า ไว้ใจกูเถอะ เพื่อนๆกับรุ่นน้องกูน่ารักทุกคน เดี๋ยวคืนนี้มาอีกสามคน ส่วนอีกคนตามมาพรุ่งนี้ตอนเช้า”
“เอาที่มึงสบายใจเถอะ แต่ตอนนี้กูร้อนมาก และอยากนอน…”
“ไปๆ กลับที่พักกัน ป่านนี้น้องมันคงซื้อข้าวมารอมึงแล้ว”
แจ็คสันยกกระเป๋าเดินทางของแจบอมเข้าไปด้านหลังรถ โดยที่แจบอมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งทันทีเพราะสภาพอากาศที่ค่อนข้างแตกต่างจากที่เกาหลี ทำให้แจบอมรู้สึกร้อนจนแทบจะเป็นลมเพราะปรับตัวไม่ทัน จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้อ่อนแอหรือเปราะบางอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ต้องใช้เวลาอีกสักนิดพอให้ร่างกายปรับตัวได้มากกว่านี้
“วันนี้มึงก็พักผ่อนไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวคืนนี้ตอนสองทุ่มกูจะไปรับรุ่นน้องคนนึง แล้วเดี๋ยวห้าทุ่มแบมแบมจะไปรับอีกสองคน”
“สรุปคือกูมาถึงเป็นคนแรกใช่ป่ะ ?”
“เออ คนอื่นเค้ามีงานมีการทำกัน” ประโยคของแจ็คสันทำให้แจบอมเอามือหนาๆฟาดลงไปที่ศีรษะเพื่อนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีชั่วคราวอีกครั้ง
“กูก็มีป่ะ ? นี่อุตส่าห์แหกขี้ตานั่งปั่นแบบทั้งคืนเพื่อที่จะได้หนีเที่ยวยาวๆ”
“คร้าบ~ พ่อสถาปนิกงานยุ่ง พ่อสถาปนิกมือโปร หวังแจ็คสันคนนี้รู้สึกเป็นเกียรติม้ากมากที่คุณสถาปนิกชื่อดังอย่างอิมแจบอม ยอมสละเวลามาเป็นแขกในทริปของแจ็คสัน” ไม่พูดเปล่า แจ็คสันยังทำท่าเอามือปาดน้ำตาพร้อมเบะปากเป็นเชิงประชด
“มึงขับรถมองทางด้วย กูยังไม่อยากตาย”
แจบอมแยกเขี้ยวใส่เพื่อนที่กวนประสาทเขาไม่หยุดหย่อนตั้งแต่มาถึงประเทศไทย จนกระทั่งมาถึงห้องพักที่มีลักษณะเป็นคอนโดสูงเสียดฟ้า กระเป๋าทั้งสองใบของแจบอมถูกแจ็คสันลากและสะพายเดินนำหน้าไปยังลิฟต์ (เป็นหัวหน้าทริปที่บริการลูกทัวร์ดีเหลือเกิน) ทั้งสองคนเดินคุยสัพเพเหระกันเรื่อยๆจนกระทั่งลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้น 7
“หาว~” แจบอมเริ่มหาวออกมาอีกครั้ง แม้ว่าอากาศภายในตึกจะเย็นกว่าด้านนอก แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียจากการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลหลายชั่วโมง ทำให้ร่างกายแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า
แจ็คสันเดินเข้ามาไขประตูห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ห้องชุดขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็นสามห้องนอน สองห้องน้ำ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน โดยมีแจบอมเดินตามเข้ามาติดๆ ก่อนที่คนเป็นแขกจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาทันที
“มึง น้องมันออกไปทำงานว่ะ เห็นว่าโดนเจ้านายเรียก” แจ็คสันหยิบโพสท์อิทบนโต๊ะที่มีลายมือของแบมแบมขึ้นมาอ่านก่อนจะหันไปบอกแจบอมที่ใกล้จะหลับอยู่รอมร่อ
“อืม…”
“โอ๊ย เห็นสภาพมึงแล้วอนาถใจ ไปอาบน้ำนอนไป๊ ! ตอนนี้มึงก็ยึดห้องเดี่ยวๆไปก่อนก็แล้วกัน อีกสามคนมาถึงแล้วค่อยว่ากันอีกที” แจ็คสันไล่เพื่อนที่ใกล้จะหลับเต็มแก่ให้ไปอาบน้ำ ส่วนตัวของเขาก็ลากสัมภาระของเพื่อนเข้าไปเก็บในห้องนอนห้องหนึ่ง ก่อนจะเดินออกมานั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลา ส่วนตัวแจบอม เมื่ออาบน้ำเสร็จก็รีบตรงเข้าไปยังห้องนอนและจมลงเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
10 April @ Suvarnabhumi Airport | 8.00 PM
ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มของกรุงเทพฯ ถ้าที่เกาหลีก็ประมาณสี่ทุ่ม ผู้คนมากมายที่เดินออกมาจากสนามบิน ทำให้เขามองหาคนที่มารับได้ลำบากขึ้น ปลายเท้าพยายามเขย่งเพื่อมองหา แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา
“ไอ้พี่บ้าแจ็คสัน…” คนตัวเล็กบ่นพึมพำพร้อมมุ่ยหน้าเพราะยังหาคนที่มารับไม่เจอ และอากาศก็ร้อนเสียจนน่าหงุดหงิด ไหนจะกระเป๋าสัมภาระที่พะรุงพะรังอีก
‘ นินทาพี่อยู่เหรอ ชเวยองแจ ??? ’
“จ…แจ็คสันฮยอง !” คนที่บ่นไปเมื่อครู่นี้รีบหันกลับมาตามต้นเสียงที่อยู่ด้านหลังตน ก่อนจะพบว่ารุ่นพี่ที่เขากำลังบ่นถึงยืนกอดอกรออยู่ด้านหลังของเขา
“โชคดีที่มาทัน ก่อนจะโดนเด็กแถวๆนี้นินทาไปมากกว่านี้”
“ไม่ใช่ความผิดผมนะ”
ถึงจะดูเหมือนงอนๆกัน แต่ยองแจก็แอบยิ้มเมื่อเห็นคนตรงหน้า เกือบหนึ่งปีที่ไม่ได้คุยกัน แต่เป็นคนที่ยองแจคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาแม้แต่น้อย
ตลกดีเนอะยองแจ…
“เอ้า จะยืนเหม่ออีกนานมั้ย ?” เสียงของคนเป็นรุ่นพี่ขัดขึ้น ทำให้ยองแจหลุดจากภวังค์ ก่อนจะวิ่งตามคนที่ถือกระเป๋าสัมภาระของเขานำหน้าไปที่รถแล้ว
“คร้าบ~~”
กระเป๋าสัมภาระทั้งหมดรวมไปถึงของฝากที่ยองแจซื้อติดมือมาจากเกาหลีถูกยัดเข้าไปในรถเก๋งคันน้อยซึ่งเป็นคันเดียวกับที่แจ็คสันขับมารับแจบอมในช่วงเช้า ตลอดทางระหว่างทั้งสองคนมีเพียงแค่เสียงผิวปากเป็นจังหวะเพลงของแจ็คสัน กับยองแจที่พยายามนั่งกัดปากไม่ให้หลุดยิ้มออกมา
“นี่ อย่าเงียบสิยองแจ” เป็นแจ็คสันที่เริ่มทำลายความเงียบ
“ผ…ผมกลัวพี่เสียสมาธิตอนขับรถนี่”
“อา… งั้นเหรอ หิวมั้ย ?” คนขับจำเป็นหันมาถามรุ่นน้องที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
“…” ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของยองแจ นอกจากการพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ
“แล้วก็ไม่บอก ไอ้เด็กนี่” แจ็คสันยิ้มออกมา ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักศีรษะเป็นเชิงหยอกใส่คนเป็นน้อง
มีความสุขชะมัด…
ยองแจพยายามก้มหน้าก่อนจะยิ้มออกมาจนแก้มกลมๆแทบจะปริ และเป็นโชคดีของยองแจที่คนข้างๆไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเขา
“แวะกินบะหมี่ข้างทางก็แล้วกัน” แจ็คสันเสนอพร้อมจอดรถข้างทาง
“ยังไงก็ได้พี่ ผมไม่ซีเรียส”
ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ยองแจพยายามสั่งอาหารด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ โชคดีที่ได้แจ็คสันคอยช่วย จนในที่สุดก๋วยเตี๋ยวทั้งสองชามก็ถูกนำมาวางตรงหน้าทั้งคู่
“มื้อนี้พี่เลี้ยงใช่ป่ะ ?” ยองแจแกล้งถามคนที่นั่งตรงข้าม
“สารภาพว่าช่วงนี้โคตรช็อต … แต่ก็เอาเหอะ เลี้ยงก็ได้”
“โหย โคตรป๋าเลย”
“อนอันอ่ออ้ออี๊แอ่ะ (คนมันหล่อก็งี้แหละ)” แจ็คสันตอบในขณะที่เคี้ยวอาหารเต็มปากเต็มคำ
“ยังหลงตัวเองเหมือนเดิมเลยเนอะ”
“แน่นอน เหมือนเดิมทุกอย่าง หล่อเหมือนเดิม ใจดีเหมือนเดิม เท่เหมือนเดิมด้วย” ร่างสันทัดพูดขึ้นพร้อมตบอกอย่างภาคภูมิใจตามแบบฉบับนิสัยขี้เล่นและท่าเยอะของตัวเอง
ใช่… เหมือนเดิมทุกอย่างจริงๆ
ทั้งใบหน้า ท่าทาง นิสัย การพูด เหมือนเดิมแม้กระทั่งความรู้สึกที่เขามีให้คนตรงหน้า และความรู้สึกที่อีกคนมีให้เขาแบบรุ่นพี่รุ่นน้องก็ยังเหมือนเดิม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจริงๆ
“เออ ยองแจ ถามไรหน่อยดิ”
“ว่ามา” ยองแจตอบในขณะที่จัดการกับอาหารตรงหน้า
‘ มีแฟนยัง ? ’
“ถามทำไม ?” ปากตอบไปไวกว่าความคิด ถึงแม้จะถามกลับไป แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามไม่แพ้กัน
“อ้าว อยากรู้เรื่องของรุ่นน้องนี่ผิดตรงไหนวะ ?”
“ก็… ไม่ผิด”
“งั้นก็ตอบมา มีแฟนยัง ?”
“ย…ยัง… วันๆก็นั่งหมกอยู่หน้าคอม ปั่นต้นฉบับ จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน”
“…” ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา นอกจากการพยักหน้าของแจ็คสัน
“แล้วพี่อ่ะ มียัง ?”
ยองแจถามกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการที่ปากตอบไวกว่าความคิดเช่นเดิม ดวงตาคมจ้องมองคนเป็นรุ่นพี่ที่นั่งขยี้ผมตัวเอง ริมปากบางค่อยๆเม้มเข้าหากัน ในใจนึกอยากจะเอาไม้มาฟาดหัวตัวเองสักทีที่ดันถามอะไรแบบนั้นออกไป และภายในหน้าอกข้างซ้ายของเขามันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นอีกคนทำท่าจะตอบคำถามนั้น
“มี…”
เจ็บ…
เจ็บมาก…
เพียงแค่คำเดียวจากปากคนตรงหน้า และแววตาที่ดูจริงจังคู่นั้น ทำให้คำสั้นๆแล่นเข้ามาในหัวของยองแจ แต่ที่เจ็บมากกว่าก็คงไม่พ้นด้านซ้ายของหน้าอกที่เริ่มชา ใบหน้ากลมค่อยๆก้มลงมองพื้น พยายามไม่สบตาอีกคน เพราะกลัวว่าน้ำใสๆที่มันกำลังคลอเบ้าตาจะไหลออกมา
“ซะเมื่อไหร่…”
“…!?!” คำพูดถัดมาทำให้ยองแจถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนทันที
“ยังไม่มีหรอก วันๆทำแต่งาน ทำงานเสร็จก็ไปเที่ยวกับเพื่อน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน”
“ไอ้พี่บ้าแจ็คสัน !!” ยองแจแหวใส่อีกคนทันทีหลังพูดจบ ใบหน้าน่ารักที่ขมวดคิ้วด้วยความโมโหสุดเหวี่ยง
“อ้าว เฮ้ย… แล้วจะดุทำไมวะเนี่ย ?” แจ็คสันกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นรุ่นน้องโวยวาย แต่ก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อเห็นดวงตาและจมูกของยองแจเริ่มแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
“…”
“เฮ้ย ร้องไห้ทำไม ????” แจ็คสันออกอาการเหวอเมื่อเห็นใบหน้าของยองแจ
“…”
“ยองแจยา~ ร้องไห้ทำไม ? โกรธเหรอ ?”
ยังจะมีหน้ามาถามอีก
โกรธดิวะ โกรธมากด้วย…
“เปล่า น้ำซุปลวกปาก ลิ้นชาไปหมดแล้ว” ยองแจบอกปัดพร้อมแกล้งดื่มน้ำเพื่อให้อีกคนเชื่อ
“โว้ะ ตกใจหมด เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนโดนซุปลวกปากแล้วร้องไห้” แจ็คสันบ่นในขณะที่หน้าก็ยังยิ้มเหมือนเดิม
“ร … เรื่องขอ…”
“กินก็เลอะเทอะด้วย อยู่เฉยๆ”
ยังไม่ทันที่ยองแจจะสวนอะไรกลับ แจ็คสันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน มือหนาคว้ากระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะยื่นแขนไปเช็ดมุมปากให้อีกคนที่นั่งมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ได้อ่อนโยนหรือละมุนอย่างที่เห็นบ่อยๆในละครก็ตาม ดวงตาคู่เล็กค่อยๆเบิกโตขึ้นเรื่อยๆเมื่อตั้งสติได้
อ…อะไรวะเนี่ย !?!
“กินเละเทะเหมือนเด็กเลยว่ะ ฮ่าๆ”
“ร…เรื่องของผมเถอะ กินอิ่มแล้ว อยากกลับที่พักแล้ว กลับได้ยัง ?” ยองแจพ่นออกมาเป็นชุด ปากเล็กที่สั่นจนพูดออกมาไม่เป็นคำ ไหนจะบริเวณหน้าอกข้างซ้ายที่เต้นเร็วจนเขาเริ่มอยู่ไม่สุก
“พวกนักเขียนนี่แม่งเข้าใจย้ากยาก ติสท์แตกแบบนี้ทุกคนเลยป่ะ ?”
“…”
“เอ้า กลับก็กลับ ไป…” แจ็คสันลุกขึ้นเดินนำไปจ่ายเงินแม่ค้า โดยมียองแจเดินออกมารอหน้าร้าน ก่อนที่ทั้งสองคนเดินตรงไปขึ้นรถ
แจ็คสันใช้แขนวาดเข้าไปกอดคอรุ่นน้องที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อย พร้อมใช้มือขยี้ลงไปบนกลุ่มผมหนาของยองแจอย่างหมั่นเขี้ยว ส่วนคนโดนกระทำได้แต่หันมามองหน้ารุ่นพี่แบบงงๆ ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนนอกจากการกระทำของแจ็คสันที่ทำให้ยองแจเผลออมยิ้มออกมา และต้องขอบคุณความมืดในยามค่ำคืนที่ทำให้คนข้างๆมองไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้
ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ?
10 April @ ICN Airport | 3.30 PM
เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าเครื่องจะออก ทำให้ชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงเลือกที่จะเข้ามานั่งรอในร้านกาแฟภายในสนามบิน หูฟังถูกต่อเข้ากับไอพอดคู่ใจ เพลงโปรดภายในเครื่องถูกเล่นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ดวงตากลมโตก็มองบรรยากาศรอบๆไปเรื่อยๆ ภายในร้านมีคนไม่ค่อยเยอะนัก และร้านก็เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนระหว่างรอเวลาเป็นที่สุด
นั่งไปได้ไม่กี่อึดใจ กาแฟในแก้วก็เริ่มพร่องลงไปเล็กน้อย แต่ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงกำหนดการเดินทาง ชายหนุ่มลุกไปยังบริเวณเคาท์เตอร์เพื่อหาขนมทานรองท้องพอให้หายอยาก เขาค่อยๆกวาดสายตามองขนมเค้กชิ้นเล็กๆที่ถูกแช่ไว้ในตู้โชว์ที่มีระบบรักษาอุณหภูมิ จนกระทั่งไปสะดุดกับเค้กช็อกโกแลตชิ้นเล็กที่อยู่ด้านล่างสุดของตู้และมีเพียงชิ้นเดียวในตู้
“เอาชิ้นนี้ครับ / ขอเค้กชิ้นนี้ด้วยครับ”
นิ้วชี้ถูกชี้ไปที่ขนมเค้กชิ้นนั้นพร้อมกัน แต่ทว่ากลับมีนิ้วชี้อีกนิ้วหนึ่งโผล่เข้ามาพร้อมๆกันกับเขา อีกทั้งเสียงบอกพนักงานที่พูดขึ้นพร้อมกับเขา จนพนักงานถึงกับยืนเหวอหน้าเคาท์เตอร์ไปครู่หนึ่ง
“ข…ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ตอนนี้เหลือแค่ชิ้นเดียวจริงๆค่ะ” พนักงานสาวบอกด้วยสีหน้าหนักใจเล็กน้อย
“…”
“…”
ไม่มีเสียงพูดใดๆออกมาจากทั้งชายหนุ่มผมแดงที่ตัวเล็กไปถนัดตา เมื่ออยู่กับลูกค้าแปลกหน้าอีกคนที่สูงกว่าเขาพอสมควร เด็กหนุ่มตัวโตที่ดูท่าทางอายุน้อยกว่าเขาหันมามองหน้าเขาด้วยสายตานิ่งๆพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ผมขอชิ้นนี้นะฮะ แล้วก็โกโก้เย็นเพิ่มวิปครีมอีกหนึ่งที่ครับ” เจ้าเด็กตัวโย่งทำท่าเหมือนจะเมินเขาไปเสียสนิท ก่อนจะหันไปชี้ขนมชิ้นเดิมอีกครั้งพร้อมสั่งเครื่องดื่ม
“เฮ้ ! ใจคอจะไม่ตกลงกันก่อนเลยเหรอ ??” เป็นเขาเสียเองที่เริ่มโวยวายใส่เด็กร่างหมีก่อน
“ขนมมีตั้งเยอะแยะนี่” เด็กหนุ่มตอบแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“แต่ฉันอยากกินอันนี้”
“ผมก็เหมือนกัน”
“…”
“นี่พี่คิดว่าผมสุภาพบุรุษพอที่จะเสียสละให้พี่เหรอ ไม่มีทางอ่ะ ผมไม่ได้จิตใจดีหรืออบอุ่นแบบพระรองซีรี่ย์เกาหลีซะด้วย ขอโทษทีเหอะ แต่ถ้าพี่เป็นผู้หญิง ก็ไม่แน่…”
เด็กหนุ่มร่ายยาวพร้อมยักคิ้วใส่และฉีกยิ้ม สร้างความหงุดหงิดให้กับเขาเป็นอย่างมาก คนตัวเล็กกว่าจึงได้แต่ชักสีหน้าก่อนจะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ไอ้เด็กบ้า !
ชายหนุ่มผมแดงดูดกาแฟเย็นด้วยความไม่พอใจ พลางนั่งก่นด่าเด็กตัวโตด้วยความโมโห ลำพังแค่เค้กชิ้นเดียวน่ะเรื่องเล็ก แต่ไอ้คำพูดพร้อมสีหน้ากวนประสาทนั่นต่างหากที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย
แต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อจู่ๆเจ้าเด็กร่างหมีกลับเดินมาหาเขาถึงโต๊ะ ซึ่งในมือของเด็กคนนั้นถือถาดที่มีแก้วโกโก้เย็นกับขนมเค้กเจ้าปัญหา เด็กหนุ่มร่างโย่งถอดหูฟังออก ก่อนจะมองหน้าเข้าด้วยสายตาที่เขาสามารถตีความออกมาได้ว่า มันกำลังจงใจกวนประสาทเขาอยู่
“อะไรอีก ?” เขาถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนค้ำหัวของเขาอยู่
“เอาพาสปอร์ตมาคืน พี่ทำตกไว้หน้าเคาท์เตอร์” มือหนาของเด็กหนุ่มยื่นพาสปอร์ตของเขามาให้
“…” ร่างเล็กถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นพาสปอร์ตของตัวเอง ก่อนจะคว้ากลับอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณสักคำอ่ะ มีป่ะ ?”
“…” เรื่องนี้เขารู้ดี แต่พอเห็นว่าเป็นเด็กคนนี้ มันดันทำให้เขาอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
“รู้งี้น่าไม่น่าเอามาคืนเล้ย~”
“เออ ขอบใจ !” หนุ่มผมแดงกระแทกเสียงใส่ ในขณะที่ดวงตากลมโตก็จ้องหน้าอีกคน
“ทำเป็นเก่ง เฮอะ… ไปละ บ๊ายบาย~ คุณต้วนอี้เอิน”
ร่างสูงยิ้มออกมาจนเห็นฟันเรียงสวย รอยยิ้มที่ทำให้ลูกค้าและพนักงานสาวๆในร้านมองตามกันเป็นตาเดียว แต่กลับเป็นรอยยิ้มเขาคิดว่ามันกวนประสาทที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา อีกทั้งเสียงเรียกชื่อของเขาที่เด็กนั่นเรียกอีก (เดาว่าน่าจะแอบเปิดพาสปอร์ตของเขาดูไปแล้ว)
หงุดหงิดเว้ย !
10 April @ Suvarnabhumi Airport | 11.00 PM
‘ คุณยูคยอม / คุณมาร์ค จากประเทศเกาหลีใต้ ’
ป้ายกระดาษที่เขียนชื่อของคนที่เขาไม่รู้จักเอาไว้ทั้งสองคนถูกชูขึ้นเหนือศีรษะ ถึงแม้ว่ามันจะดูน่าอายไปบ้าง แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้แบมแบมสามารถตามหาคนที่เขาจะต้องมารับที่สนามบินเจอ
แบมแบมยืนอ่านบอร์ดแสดงสถานะไฟลท์บิน และมองหาเที่ยวบินที่แจ็คสันบอกเขาเอาไว้ ด้านหลังของเที่ยวบินถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า “Landing” ซึ่งนั้นหมายความว่าได้เวลาแล้ว ป้ายกระดาษที่เขียนชื่อคนสองคนตัวใหญ่ถูกยกขึ้นสูงกว่าเดิม จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ว่ามีนิ้วมือสะกิดที่ไหล่ของเขาเบาๆจากด้านหลัง
‘ Excuse me , Are you Bambam ? ’
คนตัวเล็กหันกลับมามองด้านหลังของเขา พบว่ามีผู้ชายความสูงใกล้ๆกับเขา ทรงผมสีแดงเพลิงที่ค่อนข้างโดดเด่น ตัดกับผิวขาวเนียน ทำให้ผู้ชายคนนี้ดูดีมากๆในสายตาของเขา คนตรงหน้าค่อยๆถอดหูฟังออกก่อนจะม้วนเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเป็นฝ่ายโค้งทักทายแบมแบมก่อน
“Yes , I’m Bambam and you….?”
“I’m Mark , Jackson’s friend.”
“Okay … Can you speak Korean ?” เมื่อเห็นว่าภาษาอังกฤษของเขาเริ่มถึงทางตัน แบมแบมจึงตัดสินใจถามอีกคนออกไป
“ผมพูดได้ครับ” คำตอบเป็นภาษาเกาหลีทำให้แบมแบมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกคน
“ขอโทษด้วยนะครับ ภาษาอังกฤษของผมมันค่อนข้างแย่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณรู้จักคุณยูคยอมรึเปล่า ?” แบมแบมถามหาอีกคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
“ไม่นี่ครับ ผมมาคนเดียว เขามาไฟลท์เดียวกับผมเหรอครับ ?”
“พี่แจ็คสันบอกว่ามาพร้อมกันนี่ครับ”
‘ ขอโทษนะคร้าบ~~ ’
เสียงตะโกนดังขึ้นจากระยะไกล ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะสังเกตเห็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งยกมือขึ้นโบกไปมา ผู้ชายคนนั้นมาพยายามแทรกตัวออกมาจากผู้โดยสารขาออกในสนามบิน แล้ววิ่งตรงเข้ามาหาแบมแบมที่ถือป้ายชื่อยืนรออยู่
ร่างสูงโย่งเกินวัยกับรอยยิ้มที่โชว์เขี้ยวของคนตรงหน้าทำเอาแบมแบมถึงกับตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่แจ็คสันบอกว่า คนๆนี้อายุเท่ากับเขา แถมยังเด็กกว่าเขาถึงหกเดือน แต่รูปร่างท่าทางและเบ้าหน้ากลับเพอร์เฟคต์เกินอายุวัยนี้เสียอีก
ทว่า เจ้าของใบหน้าหล่อนั้นทำให้มาร์คถึงกับหันหน้าหนีทันที
นั่นมันไอ้เด็กหมีที่เจอที่สนามบินเมื่อตอนบ่ายนี่ !!!!
“ขอโทษที่ช้านะครับ พอดีผมหลงทาง ผม คิมยูคยอมครับ”
“อ…อา… ครับๆ ผมชื่อแบมแบมครับ”
“รอนานมั้ยครับ ?”
“ไม่เลยครับ ไม่เลย” แบมแบมตอบด้วยอาการลนลานเล็กน้อย ในขณะที่ตาก็จ้องคนร่างสูงที่อายุเท่ากับเขาอย่างไม่วางตา
“แล้วนั่น…” ยูคยอมชี้ไปที่มาร์คที่ยืนหันหลังให้เขาสองคน
“อ๋อ พี่มาร์คครับ เพื่อนพี่แจ็คสัน”
“งั้นเหรอ แสดงว่าเป็นรุ่นพี่ของผมใช่มั้ยครับ สวัสดีคร…” ยูคยอมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทาย แต่เมื่อเห็นอีกคนหันกลับมา ก็ทำให้ร่างสูงถึงกับฉีกยิ้มที่มาร์คคิดว่ามันกวนประสาทที่สุดออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่เจอกันในร้านกาแฟ
“…” คนผมแดงที่ตัวเล็กกว่ายืนจ้องหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจเมื่อเห็นหน้าเด็กคนนี้
“อ้าว คุณต้วนอี้เอิน บังเอิญจังเลยนะครับ” น้ำเสียงติดทะเล้นของยูคยอมทำให้มาร์คหันไปถลึงตาใส่
“อย่าเรียกฉันด้วยชื่อนั้นเด็ดขาด เราไม่สนิทกัน ฉันชื่อมาร์ค !”
“โอ๊ะโอ… แบ่งแยกความสนิทสนมจากการเรียกชื่อเหรอเนี่ย”
“…”
“คร้าบ~ เรียกคุณมาร์คก็ได้ … ไปกันได้รึยังครับ ?” พูดใส่มาร์คพอให้อีกคนหัวเสียเล่นๆ ก่อนที่ยูคยอมจะหันกลับมาหาแบมแบมที่ยังงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า
“ครับๆ” แบมแบมพยักหน้า ก่อนจะเดินนำทั้งสองไปที่ลานจอดรถของทางสนามบิน โชคดีที่มาร์คกับยูคยอมขนสัมภาระมาไม่เยอะมาก ต่างคนต่างมีกระเป๋าลากเพียงคนละใบ และกระเป๋าเป้ใส่ของที่จำเป็นไว้อีกหนึ่งใบ ทำให้ไม่ต้องรบกวนแบมแบมแม้แต่น้อย
ทั้งสามคนเดินมาที่ลานจอดรถท่ามกลางความเงียบ ไม่มีใครชวนคุยอะไรแม้แต่น้อย บรรยากาศระหว่างคนแปลกหน้าทั้งสามคนถูกปกคลุมด้วยความอึดอัด ได้ยินเพียงแค่เสียงรถยนต์และเสียงล้อรถที่ขึ้นลงลานจอดรถ
R R R R ~
แบมแบมรับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา จากการฟังแล้ว ทำให้สองหนุ่มที่เดินตามหลังสันนิษฐานว่า คนที่โทรเข้ามาน่าจะเป็นแจ็คสัน และเรื่องที่คุยก็คงไม่พ้นการมาถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพของพวกเขาสองคน แบมแบมก้มหน้าคุยเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนมาร์คและยูคยอม
ปิ๊น ปิ๊น !
“น้อง ระวัง !!!!”
ตุ้บ !
เสียงบีบแตรรถที่ขับย้อนศรเข้ามาผิดเส้นทาง ตามมาด้วยเสียงตะโกนของมาร์ค ก่อนที่เขาจะกระชากแบมแบมที่กำลังจะเดินตัดหน้ารถเข้ามา แบมแบมที่สูญเสียการควบคุมจึงถลาเข้ามาชนกับมาร์คเข้าอย่างจังจนกระเป๋าเดินทางของเขาล้มลงกับพื้น และมาร์คที่ยืนอยู่ด้านหน้าของยูคยอมก็เซเข้าไปชนยูคยอมอีกทอดหนึ่ง โดยมีคนตัวสูงที่สุดที่อยู่ด้านหลังใช้แขนประคองเอวของมาร์คเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“…”
“แม่งไม่ได้ดูรึไงวะว่าขับย้อนศร” มาร์คมองตามรถคนนั้นก่อนจะสบถอย่างหัวเสีย
“เห็นตัวเล็กๆนี่หนักใช้ได้เลย”
เป็นยูคยอมที่ทำลายบรรยากาศความตึงเครียด ทำให้มาร์คนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขากำลังกอดแบมแบมเอาไว้ ในขณะที่ตัวเองก็อยู่ในวงแขนของยูคยอมอีกทีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรีบผละตัวเองออกจากอีกคนอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ?” มาร์คทำทีไม่สนใจคนที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่รีบปล่อยแขนตัวเองออกจากแบมแบมแล้วจึงถาม
“ผ…ผมโอเคครับ ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ” แบมแบมโค้งศีรษะให้ ก่อนจะวิ่งหนีไปที่รถเพื่อกลบอาการเขิน
“เอ้า แล้วคิดจะขอบคุณคนนี้บ้างมั้ย หืม ?” ยูคยอมแสร้งกระแอมขึ้นมาพลางมองอีกคนที่เขาเพิ่งจะช่วยไปเมื่อครู่นี้ ก่อนจะยิ้มแป้นแล้นพร้อมชี้ตัวเอง
“เออ ขอบใจ !” มาร์คขอบคุณแบบไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเดินลากกระเป๋าตามแบมแบมออกไป โดยมียูคยอมเดินปิดท้าย
กลับเกาหลีตอนนี้ทันมั้ยวะ !!!
@ ROOM 707 , Bambam’s Condominium | 00.30 AM
เวลาเที่ยงคืนครึ่ง เป็นเวลาที่ช่างเหมาะกับอาหารมื้อดึกสำหรับหนุ่มโสดทั้งหลาย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบ 10 กระป๋องที่ถูกกินจนหมดเกลี้ยงโดยผู้ชายหกคนถูกวางซ้อนกัน บางคนอย่างเช่น แจบอม และ ยูคยอมยังคงนั่งกินต่อ ส่วนมาร์ค ยองแจ แจ็คสันที่มีสถานะเป็นหัวหน้าทริป และแบมแบมที่เป็นเจ้าของบ้าน ได้แต่นั่งมองอีกสองหนุ่มที่กำลังมีความสุขกับการกิน แม้ว่าทุกคนจะไม่รู้จักกันก็ตาม (แน่นอนว่าแจ็คสันคือข้อยกเว้น)
“ฟู่~ อิ่มแล้ว ขอบคุณครับ !” คนที่อายุน้อยที่สุดในห้องอย่าง ยูคยอม วางถ้วยลงกับพื้นก่อนจะโค้งขอบคุณแบมแบมซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน
“ขอโทษที่ไม่ได้พาไปซื้อของกินนะครับ ตอนนี้ร้านคงปิดหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่เรื่องมากอยู่แล้ว”
“เอาล่ะ งั้นระหว่างนี้ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันและกันนะ” แจ็คสันพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าทุกคน (ยกเว้นแจบอม) อิ่มกับอาหารมื้อดึกแล้ว
“…” ทุกคนหันมามองแจ็คสันพร้อมกัน
“คนแรก อิมแจบอม… ไอ้คนที่นั่งซดบะหมี่อยู่นั่นแหละ สถาปนิกมือวางอันดับหนึ่งของบริษัท อ๊คกรุ๊ป”
“หา !?! อ๊คกรุ๊ป !!!!” เป็นยองแจและยูคยอมที่เผลออุทานออกมาเมื่อได้ยินชื่อบริษัท
“ทำไม ?” แจบอมหันขวับไปมองคนแปลกหน้าสองคนที่อายุน้อยกว่าเขาที่กำลังนั่งอ้าปากค้างอยู่
“พ… พี่ทำงานอ๊คกรุ๊ปจริงดิ !?!” ยูคยอมถามด้วยใบหน้าที่ออกจะไม่เชื่อหูตัวเอง
อ๊คกรุ๊ป บริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆของเกาหลีใต้ที่ฝากผลงานสถาปัตยกรรมและงานก่อสร้างชื่อดังไว้มากมาย และขยายสาขาไปยังสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังถือหุ้นส่วนกับบริษัทอื่นๆอีกมากมายในเกาหลี เรียกได้ว่าเกาหลีใต้แทบทั้งประเทศแทบจะกลายเป็นของอ๊คกรุ๊ปเกือบทั้งสิ้น และเป็นชื่อบริษัทที่คนเกาหลีทุกคนต้องรู้จัก
“โคตรเจ๋ง !” ยองแจออกปากชมคนหน้าตี๋ที่นั่งกินบะหมี่อย่างสบายใจ
“เอ้า คนต่อไปชื่อ มาร์ค อิมพอร์ตจาก LA เป็นช่างภาพอิสระ เคยถ่ายภาพให้ดาราดังในเกาหลีกับนักร้องมานับไม่ถ้วน”
“เดี๋ยวนะครับ…” ยูคยอมยกมือขึ้นเพื่อขอขัดจังหวะ
“…” มาร์คหันไปมองค้อนใส่คนตัวโย่งที่เขาฟาดฟันสายตาด้วยมาพักใหญ่ เรียกได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่คอนโดแห่งนี้ เขากับยูคยอมก็แทบจะวางมวยกันทันที อันที่จริงน่าจะเป็นเขาฝ่ายเดียวมากกว่าที่รู้สึกโมโหเวลาเห็นหน้าเด็กคนนี้ เพราะยูคยอมเองก็ยังยิ้มร่าและทำตัวปกติกับทุกคน
“มาจาก LA ชื่อมาร์ค … แล้วชื่อต้วนอี้เอินล่ะ ?”
“ยุ่ง !”
“พวกนายรู้จักกันมาก่อนเหรอ ?” แจ็คสันมองหน้าเพื่อนตัวเล็กสลับกับรุ่นน้องหุ่นหมี
“ไม่ / ก็ประมาณนั้น” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน แต่เป็นคนละคำตอบ
“ตกลงยังไงวะ ?”
“เจอที่สนามบินเฉยๆ ไม่มีอะไร” มาร์คตอบด้วยเสียงที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดเล็กน้อย
“อะไรว้า~ ผมอุตส่าห์เก็บพาสปอร์ตมาคืนพี่เลยนะ”
“ก็แล้ว…”
“พอๆ หยุดเลย นี่ชวนมาเที่ยว ไม่ได้ให้มาทะเลาะกัน โอเค้ ? Just Relax baby~” แจ็คสันยกมือห้ามทั้งสองคน ก่อนจะตบบ่ามาร์คเพื่อให้อีกคนใจเย็นลง
“คนถัดไป ชเวยองแจ รุ่นน้องผู้น่ารักของฉันเอง นักเขียนนิยายออนไลน์ที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ชื่อดัง เจ้าของนามปากกา CYJ_96”
“หา !!! คนนี้น่ะเหรอ !!!” แบมแบมที่นั่งเงียบอยู่นานตะโกนขึ้นมา พร้อมชี้ยองแจด้วยความตื่นเต้น
“ท…ทำไม…เหรอ ?” ยองแจมองคนที่พูดภาษาเกาหลีสำเนียงแปลกๆด้วยความงุนงง
“พี่เป็นคนเขียนเรื่อง สายลมห่มฟ้า ใช่มั้ย ?? ที่นางเอกเป็นคนไต้หวัน พระเอกเป็นคนเกาหลี แล้วก็มีรุ่นน้องที่ชอบพระเอกไง ใช่พี่รึเปล่าครับ !?!” แบมแบมรัวใส่เป็นชุด อีกทั้งยังเล่ารายละเอียดได้อย่างแม่นยำ
“ก็… ใช่ เอ่อ… เคยอ่านด้วยเหรอ ?” กลับกลายเป็นยองแจที่เริ่มออกอาการตื่นเต้นแทน นิยายเล่มนั้นเป็นเรื่องที่เขาเขียนไว้เมื่อสามปีก่อน และเป็นเรื่องแรกที่ได้ตีพิมพ์ แม้ว่าจะไม่ได้โด่งดังเป็นพลุแตก แต่ก็ได้ขึ้น TOP 10 หนังสือยอดนิยมในเวลานั้น
“อ่านครับ ผมชอบมากๆ ผมเรียนภาษาเกาหลีจากนิยายของพี่นี่แหละ ผมอ่านตอนที่ผมย้ายไปอยู่เกาหลีใหม่ๆ หูย พี่แจ็คสันโคตรเจ๋งเลย รู้จักคนดังแบบนี้ด้วย เขินจัง เอ่อ… ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอจับมือหน่อยได้มั้ยครับ” แบมแบมยื่นมือไปตรงกลางวง มือเล็กที่สั่นเล็กน้อย แสดงถึงความตื่นเต้น ทำให้ยองแจอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ยินดีเลย ขอบคุณมากนะ !” ยองแจฉีกยิ้มก่อนจะจับมือแบมแบมที่ออกอาการดีใจจนคุมสติไม่อยู่
“โอ้โห… ไม่ยักกะรู้ว่ารุ่นน้องของฉันจะป็อปได้ขนาดนี้” แจ็คสันแกล้งแซว
“เสียดายจัง ไม่ได้เอาหนังสือติดมาด้วย อดขอลายเซ็นเลย”
“ไว้ถ้ากลับเกาหลีจะส่งเล่มใหม่มาให้พร้อมลายเซ็นเลย” ยองแจพูดพร้อมส่งยิ้มให้แฟนคลับชาวต่างชาติของตัวเอง
“เอ้า พอๆ เลิกอวยกันก่อน เดี๋ยวคืนนี้แนะนำไม่จบ คนต่อไป … คิมยูคยอม หลานรหัสฉันเอง ตอนนี้เรียนปีสี่ กำลังปั่นโปรเจคต์จบอยู่”
“ฝากตัวด้วยนะคร้าบ~~” ยูคยอมยิ้มแป้นพร้อมโค้งให้ทุกคนในฐานะคนที่อายุน้อยที่สุด
“ทางนี้ก็เช่นกัน” ทุกคนพยักหน้ารับ เว้นแต่มาร์คที่นั่งเท้าค้างอยู่เฉยๆ
“มาร์ค ไม่น่ารักเลย น้องมันอุตส่าห์โค้งให้นะ” แจ็คสันหันไปดุเพื่อนตัวเองที่นั่งหน้าง้ำหน้างออยู่
“…”
“ไม่เป็นไรหรอกฮะ…” ยูคยอมพูดพลางก้มหน้าลงพร้อมท่าทีที่ดูจ๋อยลงไป ยิ่งทำให้ทุกสายตาหันไปมองมาร์คในทำนองที่ว่า ทำไมทำกับรุ่นน้องแบบนั้น ?
มาร์คกรอกตาขึ้นบนเพดานพร้อมด้วยอาการฟึดฟัดเล็กน้อย ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าเด็กตัวโตแอบเหล่ตามาทางเขาพร้อมยิ้มที่ติดไปทางเจ้าเล่ห์ยิ่งทำให้มาร์คหัวเสียมากกว่าเดิม
ไอ้เด็กสตรอว์เบอร์รี่ !!!!
“เออ !” มาร์คตอบแบบห้วนๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
“และคนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด แบมแบม รุ่นน้องที่เป็นบัดดี้สมัยเรียนของฉันเอง และเป็นผู้สนับสนุนการที่พักในครั้งนี้”
“เออ พี่ ถามไรหน่อย เห็นว่ามีอีกคนนึงไม่ใช่เหรอ ?” ยูคยอมทักขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่า ยังขาดอีกคนหนึ่งตามที่แจ็คสันบอกจำนวนไว้ในตอนแรก
“อ๋อ อีกคนนึงเป็นหมอ แต่มันติดงานว่ะ ขึ้นเครื่องตีสาม คงถึงพรุ่งนี้เช้า”
“…” ไม่มีคำตอบใดๆนอกจากการพยักหน้าของทุกคน เป็นสัญญาณให้รับรู้ว่าตอนนี้ทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางกันเต็มที
“แล้วคืนนี้จะแบ่งห้องนอนกันยังไง ?” มาร์คหันไปถามแจ็คสัน
“ผมอยากนอนกับพี่ยองแจ” แบมแบมรีบยกมือเสนอตัวทันที โดยที่ยองแจก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้เด็กหมี” มาร์ครีบออกตัวทันที
“ทำไม ? ไม่ไว้ใจผมเหรอ ? แหม… ผมไม่ปล้ำพี่หรอก” ยูคยอมพูดพร้อมเบะปาก
“รู้เว้ย !!”
“เออ ไม่ทะเลาะกันๆ เอางี้ มาร์ค มึงมานอนกับกู ส่วนแจบอม…”
“คืนนี้กูกะจะดูบอล มึงให้น้องมันนอนในห้องไปเลยก็ได้ เดี๋ยวกูนอนโซฟาห้องนั่งเล่น” แจบอมเสนอก่อนจะเข้าไปขนผ้าห่มและหมอนออกมาจากในห้องเสร็จสรรพ
“เออ เอาตามนั้นไปก่อนละกัน งั้นก็แยกย้าย จะอาบน้ำยังไงก็จัดคิวกันเองละกันนะ ฉันไปละ บาย”
แจ็คสันโบกมือลาให้ทุกคนก่อนจะชิ่งเข้าห้องนอนไป รวมไปถึงทุกคนที่บอกลากันและกันเพื่อลดช่องว่างระหว่างกัน ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอน แบมแบมนอนกับยองแจ มาร์คนอนกับแจ็คสัน อีกห้องหนึ่งที่มีเพียงยูคยอมคนเดียว และแจบอมที่ออกมานอนดูฟุตบอลที่ห้องนั่งเล่น ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงใดๆออกมาจากทุกห้อง ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ความเงียบ ก่อนที่ทั้งห้องจะมืดสนิท มีเพียงแสงจากจอโทรทัศน์ที่แจบอมนั่งดูเท่านั้น
11 April @ ROOM 707 , Bambam’s Condominium | 09.25 AM
ขณะนี้ภายในห้องชุดของแบมแบมยังคงเงียบสนิท แม้ว่าจะเป็นเวลาสายแล้วก็ตาม ทว่ายังไม่มีใครตื่นแม้แต่คนเดียว
R R R R ~
เสียงโทรศัพท์ของแจ็คสันที่ตั้งโหมดสั่นเอาไว้ดังขึ้น แม้ว่าจะไม่มีเสียงริงโทน แต่มันก็สั่นดังพอที่จะทำให้แจบอมซึ่งนอนอยู่ด้านหน้าตื่นขึ้นมาทั้งๆที่เขาเพิ่งนอนได้แค่สี่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปดึงโทรศัพท์ของแจ็คสันที่ชาร์จอยู่มุมห้องรวมกับของทุกคน ก่อนที่จะถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องของแจ็คสันกับมาร์คที่ยังคงนอนหลับสนิท
“แจ็คสัน…” แจบอมที่ยังงัวเงียเขย่าเรียกแจ็คสัน
“…”
“แจ็คสัน”
“…”
“ไอ้สั้น… โทรศัพท์” แม้ว่าอยากจะตะโกนใส่เพื่อนขี้เซาใจจะขาด แต่แจบอมกลับไม่มีแรงมากพอ จึงได้แต่วางโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ไว้บนหลังของแจ็คสันแล้วเดินออกไปนอนต่อ
“เชี่ย อะไรวะ !” แจ็คสันพึมพำทั้งๆที่เปลือกตายังปิดสนิท พยายามใช้แขนของตัวเองคลำหาโทรศัพท์ที่ยังสั่นอยู่บนแผ่นหลังของเขา
- ปาร์ค จินยอง -
ทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา แจ็คสันก็แทบจะกระโดดลุกขึ้นมานั่งพร้อมสะบัดหัวแรงๆก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแขวนที่บอกเวลาเก้าโมงครึ่ง
เวรแล้ว !!!
“ยอโบเซ…” แจ็คสันกลั้นใจกดรับ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจบ น้ำเสียงเรียบนิ่งของคนปลายสายก็พูดตัดหน้าขึ้นมาทันที
[แจ็คสัน ฉันถึงแล้วนะ นายอยู่ไหน ?]
“เอ่อ…”
[นายยังไม่ตื่น ฉันทายถูกใช่มั้ย ?]
“อา… ขอโทษทีนะจินยองอา เมื่อคืนฉันนอนดึกน่ะ ก็เลย…” ไม่มีคำตัวแก้ตัวใดๆนอกจากคำขอโทษของแจ็คสัน เขารู้ดีเลยว่าตอนนี้จินยองต้องยืนหน้าหงิกอยู่ที่สนามบินแน่ๆ
[งั้นไม่ต้องมารับฉัน เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง คอยบอกทางให้ด้วย]
“จะดีเหรอจินยอง ? นี่ไม่ใช่เกาหลีนะ เดี๋ยวก็…”
[แล้วนายจะให้ฉันนั่งรอหรือไง ? ฉันไม่ได้ความอดทนสูงขนาดนั้น เดี๋ยวฉันจะเรียกแท็กซี่แล้วนะ บอกชื่อคอนโดมาที]
“BVK Condominium ห้อง 707”
[อืม … Sorry , Do you know BVK Condominium ?] เท่าที่ฟังดู เดาได้ว่าจินยองคงจะเรียกรถแท็กซี่แล้ว
“ฉันคุยให้มั้ย ?”
[ไม่เป็นไร เขาบอกว่ารู้จัก มันไม่ไกลเท่าไหร่ งั้นแค่นี้นะ ถึงแล้วจะโทรหา]
“เข้าใจแล้ว ขอโทษทีนะจินยอง” หลังจากกดตัดสายโทรศัพท์ไปแล้ว แจ็คสันก็ล้มตัวลงนอนต่ออีกครั้ง
โคตรหงุดหงิด…
จินยองนั่งชักสีหน้าอยู่บนรถแท็กซี่ ยิ่งเมื่อรู้ว่าเพื่อนตัวดีที่ชวนเขามายังไม่ตื่นนอน แถมยังปล่อยให้เขารอที่สนามบินอยู่นานสองนานแบบนี้ ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเป็นเท่าตัว
หลังจากนั่งแท็กซี่ออกมาประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็มาอยู่หน้าคอนโดตามที่แจ็คสันบอก แม้ว่าใจอยากจะโทรเรียกให้เพื่อนลงมารับ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเกรงใจ โชคดีที่เขาได้ยินเลขห้องที่แจ็คสันพูดไว้ในตอนแรก ร่างบางจึงลากกระเป๋าเดินเข้าไปในลิฟต์ กดปุ่มไปที่เลข 7 ก่อนที่เดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง 707 ที่แจ็คสันบอกเขาเอาไว้
ก๊อก ก๊อก
มือบางเคาะลงไปที่ประตู แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา รอไม่นานนัก จินยองก็ได้เสียงฝีเท้าจากด้านในห้องดังขึ้นและตรงมายังประตู เสียงลูกบิดประตูถูกปลดล็อกดังขึ้น ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออก จินยองที่ยืนก้มหน้ามองโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นเตรียมจะทักทายเพื่อน แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้จินยองถึงกับนิ่งสนิท ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกโพลงขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แจ็คสันซึ่งเป็นเพื่อนของเขา แต่กลับเป็นผู้ชายอีกคนที่ยังสภาพสะลึมสะลือราวกับเพิ่งตื่นนอน
เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าที่สุด
“แจบอม…”
กระซิกๆ
ถึงเม้นจะน้อย เราก็จะอัพต่อไป
ขออภัยที่อัพช้าเพราะเมื่อวานไปสอบสัมภาษณ์ศิลปากรมาค่ะ
(โดนกรรมการดุด้วย .__.)
ความสุขของรีดเดอร์คือเหตุผลการปั่นฟิคของเรา
แม้ว่าจะแอบอ่านกันเงียบๆ
แต่ถ้าทุกคนที่อ่านชอบ เราก็ดีใจค่ะ
สามารถกด FAV เพื่อติดตามได้นะคะ
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและหลงเข้ามาค่ะ :)
ปล. เจอกันได้ที่แท็ก #ฟิคโลกกลม นะคะ
จริงๆอยากให้เม้น ติ วิจารณ์ หรืออะไรก็ได้ ที่ทำให้เรารู้เกี่ยวกับฟิคตัวเอง
เราไม่รู้ว่าฟิคแนวนี้จะสนุกถูกใจคนอ่านหรือเปล่า
แต่ถ้าชอบก็กดโหวต คอมเม้นท์ซักจิ๊ด หรือสกรีมในแท็กให้เราเห็นบ้าง
อย่างว่าล่ะค่ะ ถ้ารีดเดอร์ชอบ เราก็มีความสุข
และรีดเดอร์คือกำลังใจที่สำคัญมากๆของไรท์เตอร์ทุกคน (เราเชื่อว่าแบบนั้น)
ยังไงก็ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ปล. กำหนดการอัพครั้งต่อไปยังไม่ตายตัว แต่ถ้ายอดเม้นขึ้นสัก 5 เม้นท์ อาจจะมาเร็วนะคะ จุ๊บๆ
ความคิดเห็น