ตอนที่ 9 : บทที่ ๙ : ลมทะเลหวน
บทที่ ๙ ลมทะเลหวน
คุณภัทรถอนจูบจากคนเตี้ยกว่าช้า ๆ เขายิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหลับตาสนิท คนตัวสูงกว่ายกมือขึ้นลูบศีรษะของท่านชายที่เขารักอย่างอ่อนโยน เมื่อท่านชายมิ่งรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันเบาบางจึงได้เงยหน้าขึ้นมองคุณภัทร
ไม่ได้ฝันไปจริงด้วยซีนะ
“พี่ภัทร...” เจ้าของริมฝีปากกระจับเอ่ยเสียงเบา
“ว่าอย่างไรครับ” คุณภัทรยิ้มรับ มือหนายังคงลูบศีรษะของท่านชายอย่างเพลิดเพลิน จนท่านชายนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเห็นตนเป็นแมวหรือไร
“พี่ภัทรทราบได้อย่างไรเรื่องที่ม่านหมอกคือมิ่ง” ท่านชายถาม ทั้งที่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่คุณภัทรจะไม่รู้ การที่มีคนหน้าเหมือนหม่อมเจ้ามิ่งขวัญราวกับแกะมันก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าทั้งหน้าเหมือนอีกทั้งยังมีวรรณะและกลิ่นเดียวกัน มันก็คงจะเกินจริงไปเสียหน่อย
“ไม่ใช่จริง ๆ มิ่งก็รู้อยู่แล้วหรือว่าพี่ก็แกล้งเล่นละครตามน้ำ” คุณภัทรถามกลับ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของท่านชายมิ่ง เขาก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี “อันที่จริงก็รู้ตั้งแต่วันที่ไปเมาอยู่ริมหาดแล้ว ทำไมพี่จะจำท่านชายของพี่ไม่ได้เล่า อีกอย่างพี่ก็ทราบอยู่แล้วว่าวังริมหาดเป็นสมบัติของสกุลอรุณรัตน์...”
“อืม...ก็จริงครับ...” ท่านชายมิ่งเม้มปากเป็นเส้นตรง พอนึกถึงการกระทำของตนเองก็รู้สึกอายไม่น้อย เขามัวแต่ให้ความรู้สึกครอบงำจิตใจ จนสร้างละครฉากใหญ่ขึ้นมา ลึก ๆ ในใจเองก็คิดไว้ว่าหากคุณภัทรยังคงเล่นละครตามน้ำ เขาเองก็จะยอมทิ้งตัวตนหม่อมเจ้ามิ่งขวัญแล้วกลายมาเป็นม่านหมอกให้รู้แล้วรู้รอด
“พี่รู้นะว่ามิ่งคิดอะไร...พี่จึงได้พูดดักเอาไว้อย่างไรล่ะ” คุณภัทรยิ้มบาง นึกถึงคำพูดที่ตนพูดกับท่านชายเกี่ยวกับเรื่องเวลาก่อนหน้า “ระหว่างมิ่งขวัญกับม่านหมอก มิ่งก็น่าจะรู้นะว่าพี่ชอบใครมากกว่ากัน ดังนั้นเป็นมิ่งขวัญน่ะดีแล้ว”
“...” ท่านชายมิ่งก้มหน้างุด ใบหูของเขาขึ้นสีอีกครั้ง บทอีกฝ่ายจะพูดตรงก็ตรงจนใจหาย ทำให้ท่านชายทำตัวไม่ถูก
“กลับไปเดินเล่นกันต่อที่งานกันไหมครับ อยากเดินเล่นต่ออีกไหม ทราบดีว่ามิ่งไม่เคยมางานอย่างนี้มาก่อน” คุณภัทรถาม ถึงอีกฝ่ายจะโกหกหลายเรื่อง แต่การที่ท่านชายบอกกับเขาว่าไม่เคยมางานวัดนั้น ถือเป็นเรื่องจริงไม่กี่เรื่องที่ออกจากปากม่านหมอก
“มิ่งอยากเดินเล่นที่งานต่อ” ท่านชายมิ่งว่าพลางกระตุกชายเสื้อของอันฬาหนุ่ม เพราะเมื่อครู่มัวแต่นึกน้อยใจเดินหนีออกมาก่อน ทำให้ไม่มีเวลาเดินเที่ยวมากนัก ยอมรับในทีแรกที่ได้เห็นงานวัดก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเสียจนเก็บไม่อยู่ แต่เพราะต้องพรางตัวเป็นม่านหมอกเลยไม่อาจแสดงอาการออกมาได้มาก
“ได้ซีครับ พี่จะพาเที่ยวให้หนำใจเลย ดีไหม” คนตัวสูงกล่าวแล้วยื่นมือมาให้จับ หม่อมเจ้าหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อหู ไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์ในคืนนี้คือเรื่องจริง บางทีเขาและคุณภัทรอาจกำลังอยู่บนดวงจันทร์แล้วจริง ๆ ก็เป็นได้ ดวงจันทร์ที่ห่างไกลจากโลกและหามีใครรู้ตัวตนของเขาสองคนไม่
ทั้งสองพากันกลับมายังบริเวณงานอีกครั้ง เมื่อท่านชายมิ่งได้ยินเสียงเชียร์โห่ร้องจากเวทีมวยก็สนใจยิ่ง คนตัวขาวรีบจูงมือของคุณภัทรให้ตรงไปยืนมุงด้วยกันกับกลุ่มคนที่รายล้อมรอบเวที เมื่อรู้สึกถึงแรงสะกิดตรงชายเสื้อจึงหันไปเห็นแสนทัพที่ส่งยิ้มมีเขี้ยวหน้าแป้นแล้นมาให้ ในมือของแสนทัพตอนนี้ไม่มีอีกแล้วขนมสายไหมก้อนใหญ่ มีเพียงขันน้ำที่มีปลาหางนกยูงว่ายวนไปมาเท่านั้น
“แสน ไหนบอกว่าไปตกปลาทองอย่างไรล่ะ ทำไมจึงได้ปลาเล็กมา” ท่านชายกลับไปทำตัวเป็นม่านหมอกอีกครั้ง ตลอดระยะเวลาที่อยู่หัวหิน นอกจากผู้พัน ภริยาของผู้พัน และคุณภัทรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่มีใครทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ หม่อมเจ้ามิ่งขวัญ อรุณรัตน์
“อ๋อ ฉันช้อนจนสตางค์หมดแต่ก็ไม่ได้ปลาทองเลยจ้ะพี่หมอก พี่เจ้าของซุ้มแกเวทนาเลยยกปลาหางนกยูงให้” แสนทัพว่าพลางยกขันในมือขึ้นอวดท่านชาย
“แล้วไปตักปลาน่ะมีที่เลี้ยงแล้วรึ” คุณภัทรก้มหน้าถาม เพราะเครื่องเสียงที่ดังสนั่นและเสียงเชียร์ของไทยมุง ทำให้พวกเขาทั้งสามต้องตะเบ็งเสียงคุยกัน
“ตายจริง! ฉันลืมคิดไปเสียสนิทเลยจ้ะคุณหลวง” แสนทัพที่เหมือนเพิ่งนึกออกก็หน้าเหวอทันที ถ้าหากให้ทายใจ กลับบ้านไปคราวนี้ไม่วายคงโดนมารดาดุเอาแน่
“อยากดูมวยหรือไง” คุณภัทรถามแสนทัพ เมื่อเห็นว่าเด็กชายชะเง้อคอมองไปที่ลานมวยที่อยู่ห่างพวกเขาไปไม่กี่เมตร
ท่านชายมิ่งหันไปมองแสนทัพที่กำลังเขย่งปลายเท้าดูมวยตามคุณภัทร ท่าทางของเด็กชายทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ ไทยมุงจำนวนมากที่อยู่รอบลานทำให้คนรอบนอกแทบจะมองไม่เห็น ขนาดท่านชายเองที่มีรูปร่างสูงอยู่ยังเห็นหัวนักมวยไว ๆ เห็นจะมีเพียงคุณภัทรผู้ส่วนสูงมากกว่าคนปกติทั่วไปที่เพียงยืนเฉย ๆ ก็มองเห็นทั่ว ดังนั้นอย่าว่าแต่แสนทัพ คนธรรมดาทั่วไปก็ยากที่จะมองเห็น
“อยากซีจ๊ะคุณหลวง ใคร ๆ ก็ว่านี่เป็นคู่เด็ดของคืนนี้เชียวนะ” แสนทัพว่าพลางเขย่งปลายเท้าชะโงกหน้ามองเวที
“ขี่หลังฉันเอาไหม” คุณภัทรกล่าวยิ้ม ๆ นายทหารหนุ่มย่อตัวลงเพื่อให้เด็กชายขี่หลัง แสนทัพเห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสหลุดมือ เด็กชายจับขันใส่ปลาในมืออีกข้างให้มั่น ก่อนจะค่อย ๆ ปีนหลังคุณภัทร
“โอ้โห เห็นชัดแจ้งแดงแจ๋เลยจ้ะคุณหลวง!” เด็กชายผิวเข้มร้องดีใจ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายเมื่อได้โอกาสดูมวยคู่เด็ดของงานเสียที
“เอาขันมานี่สิ ประเดี๋ยวพี่ถือให้” หม่อมเจ้าหนุ่มว่าพลางแบมือขอขันน้ำจากเด็กชาย โดยแสนทัพก็ยอมส่งให้โดยดี ยิ่งเมื่อถึงคราวนักมวยเจ้าถิ่นตีศอกนักมวยจากพระนครเข้าเต็มแรง เสียงเฮก็ยิ่งทวีคูณดังขึ้นไปอีก แม้ว่าเวลาของทั้งสามจะหมดไปกับการดูมวย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียวเชียว เพราะมวยคู่นี้นั้นชกสนุกสนานสมคำเลื่องลือ
“ขนมน้ำตาลปั้นไหมจ๊ะ ขนมน้ำตาลปั้นไหม” เสียงชายชราดังขึ้นแทรกเสียงเฮของไทยมุง ไม่นานเจ้าของเสียงดังกล่าวก็เข้ามาใกล้พอที่ท่านชายมิ่งขวัญจะได้ยิน คนตัวขาวหันไปตามต้นเสียง จึงพบกับขนมหลากสีที่มีรูปร่างต่าง ๆ ทั้งดอกไม้และสิงสาราสัตว์ เขามองขนมรูปร่างแปลกตาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“นี่มันอะไรหรือ” ท่านชายหันไปถามชายชราอย่างสนอกสนใจ
“ขนมน้ำตาลปั้นจ้ะ ฉันปั้นเองเลยนะ อยากได้สักชิ้นสองชิ้นไหม” ชายชรายิ้มกว้างแม้ในปากจะเหลือฟันไม่กี่ซี่ มือที่เหี่ยวย่นยื่นถาดที่ตนคล้องคอเอาไว้ให้ท่านชายมิ่งได้เห็นชัดขึ้น
“งามจริง...” ท่านชายมิ่งขวัญพูดขึ้นเบา ๆ ขณะมองขนมน้ำตาลปั้นรูปทรงดอกไม้ตรงหน้า
“คล้าย ๆ กับขนมโลลิพอปของฝรั่งน่ะ” คุณภัทรที่ละสายตาจากเวทีตรง
หน้าพยายามอธิบาย ขณะเดียวกันแสนทัพก็หันมาให้ความสนใจเช่นเดียวกัน “แต่จะเป็นงานศิลป์มากกว่าหน่อย รูปทรงพวกนี้คุณตาเขาดัดให้เป็นรูปร่างเอง”
“ฉันอยากได้รูปม้า!” เด็กชายแสนร้องขึ้น เด็กชายละความสนใจจากเวทีมวยแทบจะทันทีที่ของหวานมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ไอ้หนุ่ม ซื้อให้ลูกเมียเอ็งสิ” ชายชรากล่าวแล้วหัวเราะตามประสาคนแก่ที่นึกเอ็นดู
“เมียฉันหรือตา” ตาเล็ก ๆ ของคุณภัทรเบิกกว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยิน
หลังจากที่คุณภัทรหันหน้ามามอง ท่านชายมิ่งขวัญก็เริ่มจะรู้ตัวและพอจะตีความออกว่าชายชราสรุปเอาเองว่าเขาและคุณภัทรนั้นเป็นสามีภรรยากัน คนตัวขาวอมยิ้มน้อย ๆ กลบเกลื่อนทั้งที่หน้าขึ้นสีไปจนถึงใบหู เจ้าของใบหน้าหวานหันไปมองยังคุณภัทรอีกครั้ง นึกแอบลุ้นในใจว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร
“ตาเข้าใจ เมียเอ็งงามเพียงนี้ จะมีลูกตั้งแต่อายุน้อยก็ไม่แปลกหรอก สมัยตาก็มีลูกเร็วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าสมัยนั้นมีเพียงแค่หญิงชายที่รักกันได้” ชายชราว่าพลางระลึกความหลัง ในช่วงวัยรุ่นของคุณตายังไม่มีวรรณะใหม่เกิดขึ้น คำว่าอันฬา บรรตา หรือกาฬวิฬาร์นั้นยังไม่ปรากฏบนโลกเลยด้วยซ้ำ เขาหันไปถามท่านชายอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “งามล่มเมืองอย่างนี้เป็นกาฬวิฬาร์ใช่ไหมเรา”
“ใช่จ้ะ คุณตาก็พูดเกินไป ว่าแต่ว่าพี่ซื้อให้ฉันกับลูกหน่อยซีจ๊ะ” ท่านชายมิ่งขวัญหันไปพูดกับคุณภัทรเชิงหยอกล้อ คนตัวขาวหัวเราะเล็ก ๆ เมื่อเห็นว่าใบหูของคุณภัทรขึ้นสีไม่ต่างจากตน ในขณะที่แสนทัพเองก็หัวเราะคิกคักอย่างรู้งาน
“มะ...มิ่ง...เอ่อ...หมอกอยากได้อะไรหยิบเลย พี่จะซื้อให้” นายทหารหนุ่มว่าพลางหลบสายตาของท่านชาย จากนั้นเขาก็กระแอมกลบเกลื่อนความเขิน
“ขอบใจจ้ะ ฉันรักพี่นะ” ท่านชายยังคงแกล้งคุณภัทรต่อ ริมฝีปากสวยเอ่ยคำหวานแล้วหยิบเอาขนมน้ำตาลปั้นสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นรูปทรงดอกกุหลาบของตน ส่วนอีกชิ้นนั้นเป็นรูปม้าสำหรับแสนทัพ
“ขอให้รักกันยืนยาว ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเลยนะไอ้หนุ่ม เมียเอ็งงามจริง ๆ” ชายชราอวยพรหลังจากที่รับเงินจากคุณภัทรไป ไม่นานเขาก็เดินหายไปกับฝูงไทยมุง
“พ่อจ๋าแม่จ๋า ฉันหิว” แสนทัพเอ่ยปากแซวท่านชายและคุณภัทร นายทหารหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นจึงแกล้งเอนหลังให้เด็กชายตกใจเล่น แต่แทนที่จะกลัวแสนทัพกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะรู้สึกสนุกสนาน
“ถ้ามีลูก พี่ภัทรอยากมีลูกวรรณะใดหรือครับ” คนตัวขาวเอ่ยปากถามยิ้ม ๆ จะว่าไปก็เกือบสี่ปีแล้วที่ตนและชายตรงหน้าได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันเหมือนเก่า หม่อมเจ้ามิ่งขวัญในวัยที่โตขึ้นก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างหม่อมหลวงภัทรดนัยนั้นอยากมีครอบครัวแบบใด
“วรรณะใดก็ไม่สำคัญ หากเป็นอันฬาคงเก่งกล้า เป็นบรรตาก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนของสังคม...” เจ้าของดวงตาเหยี่ยวตอบกลับพลางใช้ความคิด แสนทัพที่เกาะหลังเป็นตุ๊กแกก็หันไปให้ความสนใจกับคำตอบของคุณภัทรเช่นเดียวกัน
“…” ท่านชายยังคงนิ่งรอคำตอบจากอีกฝ่าย ยิ่งอยากรู้ไปใหญ่ว่าใจของอีกฝ่ายคิดเช่นไร หากมีลูกเป็นแมวดำชนชั้นล่างของสังคม วรรณะเดียวกันกับเขา
“หากเป็นกาฬวิฬาร์ก็คงน่ารักน่าชังและเก่งเหมือนแม่เขา” คุณภัทรกล่าวจากนั้นจึงเอียงคอมองคนตัวขาว สิ่งที่ท่านชายแกล้งหยอดไปในทีแรก มันไม่ได้สู้ประโยคนี้ประโยคเดียวของคุณภัทรเลยด้วยซ้ำ ท่านชายมิ่งขวัญทำได้เพียงอมยิ้มแล้วหันไปมองยังเวทีมวยแก้เขิน
“แหม มวยเขาเลิกแล้วจ้ะพี่หมอก หันไปจะได้ดูอะไรล่ะ” แสนทัพกล่าวพลางเลียขนมน้ำตาลปั้น
“ไม่กินหรือ” คุณภัทรถามท่านชายอีกครั้ง สายตาเหยี่ยวของเขามองไปยังขนมน้ำตาลปั้นในมือของคนตัวขาว
“มันสวยจนฉันไม่อยากกินมันเลย” ท่านชายมิ่งขวัญในคราบม่านหมอกกล่าว มือเรียวยกขนมทรงสวยขึ้นมาเพ่งพินิจ
“ของสวยงามอย่างนี้ ทิ้งไว้นานมันก็จะสลายโดยตัวของมันเอง ต้องเลือกว่าจะกินหรือไม่ก็ทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันนะ” นายทหารหนุ่มกล่าวกับคนตัวเล็กกว่า แม้ว่าประโยคนี้จะฟังดูเข้าใจยากไปเสียหน่อย แต่มันก็ทำให้ท่านชายเองก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หรือไม่บางทีเขาอาจจะคิดมากไป
“ฉันว่าเราควรกลับกันได้แล้ว” ท่านชายมิ่งขวัญบอกกับคุณภัทรและแสนทัพ เมื่อหันไปเห็นว่ากลุ่มไทยมุงเมื่อครู่ได้สลายตัวไปแล้ว บ้างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็เดินแวะซุ้มนั่นนี่ แต่เพลานี้หลายซุ้มก็เริ่มเก็บของกันไปแล้ว
“พี่ก็ว่าเช่นนั้น ว่าแต่เอ็งเถอะไอ้แสน เอ็งมางานนี้ยังไง” คุณภัทรกล่าวกับเด็กชายที่ขี่หลังตนอยู่
“ฉันเดินมากับแม่จ้ะ แต่แกบอกจะกลับไปก่อน ฉันเลยว่าจะเดินเลียบชายหาดกลับไป” แสนทัพตอบกลับนายทหารหนุ่ม
“เช่นนั้นขี่ม้ากลับกับพี่ไหม” ท่านชายหันไปถาม หากเดินเท้าจากที่วัดคงต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงกองพัน ยิ่งเห็นเป็นเด็กก็ยิ่งรู้สึกสงสารไม่อยากให้ลำบาก ยิ่งท่านชายมาขออาศัยที่บ้านของผู้พัน เจ้านายของแสนทัพด้วยแล้ว
“พี่หมอกกับคุณหลวงขี่ม้ากันมาหรือจ๊ะ นี่พี่หัดวันสองวันก็ขี่คล่องแล้วหรือ” แสนทัพตาโตทันทีเมื่อได้ยินคำว่าขี่ม้าจากปากของท่านชาย ไม่แปลกที่แสนทัพจะแปลกใจเพราะลำพังการขี่ม้ามันไม่ได้หัดเพียงวันสองวันจึงจะขี่ได้ มีก็แต่คนขี่เป็นแต่แสร้งไม่เป็นเท่านั้นที่จะทำได้
“เจ้าหมอกน่ะมีพรสวรรค์ วันพรุ่งให้ไปขี่ม้าที่พระนคร ฉันพนันได้เลยว่าคงได้รางวัลอย่างต่ำก็ชมเชย” คุณภัทรกล่าวอย่างรู้ทัน เนื่องจากรู้ดีว่าท่านชายมิ่งขวัญนั้นทรงม้าเก่งกว่าใคร ฝีมือบังคับม้าไม่ใช่เพียงเหนือกว่ากาฬวิฬาร์แต่อาจจะเหนือกว่าทหารจากกองพันม้าบางคนด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่องค์ฯ โชติผู้เป็นพระบิดาส่งท่านชายเรียนทรงม้าตั้งแต่ยังเล็ก
“โอ้โห เช่นนั้นฉันจะไว้ใจไปกับแม่แล้วกันจ้ะพ่อจ๋า” แสนทัพรีบปีนลงจากหลังคุณภัทรแล้วย้ายฝั่งไปยืนเคียงข้างท่านชายมิ่งขวัญทันที อีกทั้งยังไม่วายหยอกล้อทั้งสองด้วยการเล่นพ่อแม่ลูกอีกหน
“เอ็งนี่นะ ตามมา ฉันผูกม้าไว้ริมทะเลโน่น” คุณภัทรพึมพำ จากนั้นเขาก็เดินนำแสนทัพและท่านชายมิ่งไป ฝ่ายท่านชายที่จูงมืออยู่กับแสนทัพเองก็ลอบมองแผ่นหลังของคุณภัทรโดยไม่พูดอะไร เพราะสัมผัสภายในใจก็รู้ดีไม่ต่างกันว่าต่างฝ่ายต่างเขินกันแค่ไหน เมื่อคุณภัทรยกมือขึ้นมาลูบต้นคอมันก็อดที่จะทำให้ท่านชาย
อมยิ้มไม่ได้ หากในตอนนี้ทะเลจะแปรปรวนก็จะแปรปรวนไปด้วยความหวั่นไหวล่ะมัง
กว่าทั้งสามจะขี่ม้าถึงกองพันหัวหิน เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่ม เพราะคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงจึงไม่ต้องห่วงถึงแสงส่องทางใด ๆ ท่านชายและแสนทัพอยู่บนม้าตัวหนึ่ง ในขณะที่อีกตัวเป็นคุณภัทรที่บังคับนำออกห่างไปไม่ไกล
พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย หลังจากคุณภัทรจัดการต้อนม้าเข้าคอกเสร็จ เขาก็ยืนคุยกับพลทหารเฝ้าเวรเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาสมทบกับท่านชายและแสนทัพ
“คุยกันออกรสจนกระทั่งถึงกองพันเชียว” นายทหารหนุ่มเอ่ยปากแซวทั้งสอง
“ก็พี่หมอกเล่าเรื่องโน่นนี่ให้ฉันฟังเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องแถววังนะ ฉันไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าจะมีโรงเรียนมาเปิด” แสนทัพกล่าวกับคุณภัทรเสียงเจื้อยแจ้ว
“แต่ถึงอย่างนั้นโรงเรียนนี้แสนก็เข้าเรียนไม่ได้นะ” ท่านชายมิ่งขวัญว่าพลางลูบหัวเด็กชาย เพราะโรงเรียนที่ตนได้เล่าให้แสนทัพฟังเป็นโรงเรียนสำหรับ
บรรตาสตรีและกาฬวิฬาร์เท่านั้น สำหรับอันฬาอย่างแสนยังมีโรงเรียนรองรับมากมาย จะไปหาเรียนที่ไหนก็ได้
“สิ่งที่ตั้งใจใกล้จะสำเร็จแล้วซีนะ” คุณภัทรถามท่านชาย เขาจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ อีกฝ่ายเคยวาดฝันเกี่ยวกับโรงเรียนกาฬวิฬาร์เอาไว้ และผู้รับฟังก็หาใช่ใครไม่ แต่คนคนนั้นก็คือคุณภัทร ขณะที่ท่านชายไปเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนมองว่าเพ้อเจ้อทั้งนั้น ก็มีเพียงแต่นายทหารตรงหน้าที่สนับสนุนเขาโดยไม่แคลงใจ
“โถ่ ฉันล่ะอยากไปเรียนที่นั่นบ้าง” แสนทัพหน้าจ๋อยลงทันที ท่านชาย
มิ่งขวัญรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถช่วยแสนในข้อนี้ได้ ในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำเรื่องวรรณะยังเป็นประเด็นใหญ่ สำหรับท่านชายแล้ว มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นและเท่าเทียม
“นี่ก็จะสองยามแล้ว กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ทั้งสามเดินไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงยังบ้านพักของผู้พัน ท่านชายสังเกตเห็นว่าไฟในบ้านนั้นยังคงเปิดอยู่ อาจเป็นเพราะผู้พันเองก็คงรออยู่เหมือนกัน ยิ่งพอเห็นว่าท่านชาย คุณภัทร และแสนทัพมาถึงยังหน้าบ้านทางหน้าต่างแล้ว ผู้พันก็รีบออกมารับทันที
“พอเห็นว่าไปกับคุณภัทรฉันค่อยโล่งใจหน่อย” ผู้พันหญิงกล่าวพลางส่งสายตาดุมายังท่านชายและแสนทัพที่กลับบ้านมืดค่ำ
“ขอโทษจ้ะ แม่ล่ะจ๊ะท่านผู้พัน” แสนทัพถาม ดูท่าเด็กชายจะไม่ได้สำนึกใด ๆ กลับพยายามเอาขันที่บรรจุปลาหางนกยูงซ่อนหลังไปอีก สิ่งที่กลัวมีเพียงกลัวว่าแม่ของตนจะรู้เข้าเรื่องที่เอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย ทั้งยังหาสัตว์เลี้ยงมาให้เลี้ยงเป็นภาระเพิ่ม
“โน่น แม่เอ็งรออยู่ห้องโน่น” ผู้พันหญิงกล่าว พลางพยักพเยิดหน้าให้แสนทัพกลับไปยังเรือนผู้ดูแลที่อยู่หลังบ้านของผู้พันอีกที
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ ราตรีสวัสดิ์จ้ะ” แสนทัพหันมาบอกท่านชายมิ่งขวัญและคุณภัทร แล้วจึงรีบซอยเท้าวิ่งไปยังหลังบ้าน
“เช่นนั้นกระผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับผู้พัน ราตรีสวัสดิ์เจ้าหมอก” คุณภัทรมองไล่หลังแสนทัพ ก่อนจะออกปากขอตัว เพราะขณะนี้ก็ดึกพอสมควร ถึงเวลาที่ต่างคนควรจะแยกย้ายไปพักผ่อน ในวันพรุ่งยังมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องทำ
“อืม ราตรีสวัสดิ์นะคุณภัทร” ท่านผู้พันหญิงกล่าว
“ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่ภัทร” ท่านชายมิ่งขวัญว่าพลางส่งยิ้มหวานให้กับนายทหารหนุ่ม
เมื่อคุณภัทรเดินจากไป ท่านชายมิ่งขวัญก็เดินตามผู้พันเข้าไปยังในตัวบ้าน ใจก็เกรงว่าจะโดนผู้อาวุโสตำหนิที่ออกไปกับอันฬา อีกทั้งยังกลับเสียดึกดื่น นึกย้อนไปถึงวันแรกที่ตนได้โทรคุยกับผู้พัน ในทีแรกนายทหารผู้นี้ก็ไม่อยากให้ตนมาตกระกำลำบาก แต่เพราะท่านชายให้สัญญาว่าจะไม่ก่อปัญหาใด ๆ เพราะเขาเพียงต้องการที่จะมาอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้การเป็นอยู่ ทว่าการที่ได้พบคุณภัทรที่นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันและเตรียมใจเอาไว้ จนทำให้เรื่องราวเลยเถิดไปกันใหญ่
“กระหม่อมเป็นห่วงฝ่าบาทมากนะกระหม่อม” ท่านผู้พันถอนหายใจพลางมองมายังท่านชาย แม้ว่าจะใช้คำราชาศัพท์แต่เจ้าหล่อนทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟาด้วยท่าทีสบาย ๆ
“เราเอาตัวรอดเก่ง อย่าห่วงไปเลย” ท่านชายมิ่งขวัญกล่าวกับผู้อาวุโสกว่า
“คราวหน้าคราวหลัง โปรดรับสั่งให้หม่อมฉันทราบด้วยเถิดนะกระหม่อม ว่าจะเสด็จไปไหนกับใคร ดีที่คราวนี้เป็นคุณภัทร หากเป็นคนอื่นหม่อมฉันคงหัวขาดเป็นแน่” ผู้พันหญิงไม่วายพูดติดตลก
“เราขอโทษนะ” ท่านชายมิ่งขวัญรู้สึกไหล่เล็กลงเพราะรู้สึกผิด มือเรียวจับพนักโซฟาแน่น เพราะได้กลิ่นลมทะเลจากทางนอกหน้าต่าง
“หม่อมฉันเกรงว่าจะมีคนรออยู่หลังบ้าน เด็จออกไปพบเขาเสียเถิด หม่อมฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้ก็ได้” อันฬาหญิงส่ายหัวแล้วยิ้มให้ท่านชาย ด้วยเพราะผ่านโลกมามาก เหตุใดเจ้าหล่อนจะไม่รู้ทันความรักในวัยหนุ่มสาว
ทั้งกองพันน่ะมีอันฬากลิ่นนี้เพียงแค่คนเดียว
“ขอบใจนะ แล้วเราจะรีบเข้านอน” ท่านชายมิ่งขวัญยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้
รับอนุญาตจากท่านผู้พัน ขาเรียวก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังบริเวณสวนหลังบ้านที่ขณะนี้มีกลิ่นไม้หอมอบอวลไปทั่ว แต่ทว่ายังมีอีกกลิ่นที่ทรงพลังไม่แพ้กัน
กลิ่นทะเล
“พี่ภัทรลืมอะไรหรือครับ เหตุใดจึงทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ” ท่านชายมิ่งขวัญเอ่ยปาก ดวงตาหยิ่งมองไปยังพุ่มไม้ริมรั้วที่เคลื่อนไหวอยู่
คุณภัทรที่ก้มตัวหลบก็โผล่หน้าจากพุ่มไม้แล้วส่งยิ้มกว้างให้ท่านชาย ท่าทางของคุณภัทรดูน่าขันไม่น้อย หมดกันทหารหาญแห่งพระนคร เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ ยิ่งเห็นว่าที่ศีรษะของคุณภัทรมีใบไม้ติดอยู่ก็ยิ่งอดขำไม่ได้
“พี่มาลามิ่ง” ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง รั้วสีขาวที่ขวางกั้นเอาไว้ดูเตี้ยเรี่ยดินไปเลยหากเทียบกับความสูงของคุณภัทร
“ก็ลากันไปแล้วไม่ใช่หรือเมื่อครู่” ท่านชายมิ่งขวัญเอียงคอถามอย่างสงสัย
“แล้วกัน เมื่อครู่พี่ลาท่านผู้พันกับเจ้าหมอก ไม่ได้ลาท่านชายของพี่เสียหน่อย” นายทหารหนุ่มตอบกลับด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง การที่คุณภัทรช่างเฟลิร์ตแบบนี้ก็เหนือความคาดหมายของท่านชายอยู่เหมือนกัน
“งั้นก็รีบลาได้แล้ว มิ่งง่วง” ท่านชายมิ่งตอบกลับ สายตายังคงจับจ้องไปที่ดวงตาเสมือนเหยี่ยวของคุณภัทร
“มาใกล้ ๆ ได้ไหมครับ” คุณภัทรพูดเสียงอ่อนเว้าวอนคนตัวขาวให้เดินเข้าไปหา เนื่องจากว่ามีรั้วกั้น นายทหารหนุ่มคงไม่อยากบุกรุกบ้านของผู้เป็นนายเสียเท่าไหร่
“…” ท่านชายมิ่งขวัญเดินตรงเข้าไปหาคุณภัทรแต่โดยดี
ไม่กี่อึดใจมือหนาของคุณภัทรก็สวมกอดร่างของท่านชายเอาไว้แน่น เพราะว่าระยะห่างที่มีรั้วขวางกั้น และความสูงของคุณภัทรจึงทำให้ท่านชายต้องเขย่งปลายเท้าสวมกอดคุณภัทรคืน ใบหน้าหวานซบลงไปยังไหล่กว้างของอีกฝ่าย ยิ่งได้กลิ่นลมทะเลก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด
“ฝันดีนะครับ ท่านชายของกระหม่อม” คุณภัทรกระซิบข้างหูของคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงถอนกอดแล้วจุมพิตลงที่หน้าผากของท่านชาย
มิ่งขวัญ โดยที่คนตัวขาวก็ไม่ขัดอะไร เพียงหลับตาพริ้มรับสัมผัสจากอีกฝ่าย
“ฝันดีเหมือนกันนะครับพี่ภัทร” ท่านชายมิ่งขวัญยิ้มน้อย ๆ เขายกมือขึ้นไปลูบใบหน้าด้านซ้ายของคุณภัทร ไม่มีการพูดคุยใด ๆ ต่อจากนี้ เพราะทั้งคู่มัวแต่จ้องตากันเป็นเวลานานให้สายตาสื่อถึงกัน จนท่านชายมิ่งต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้หลบตาก่อน
“งั้นพี่ไปละนะครับ” นายทหารหนุ่มยกมือขึ้นจับหลังคออีกครั้ง ท่านชายเองก็จับสังเกตได้ว่าคุณภัทรจะจับหลังคอตนเฉพาะเวลาเขิน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเขินจนทำตัวไม่ถูกก็ควรแยกย้ายได้แล้ว
“ครับ” ท่านชายมิ่งขวัญพยักหน้ารับ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปจริง ๆ แม้ว่าท่านชายเองจะแอบมองคุณภัทรจากทางหน้าต่างอยู่เนือง ๆ จนแผ่นหลังของนายทหารหนุ่มลับหายไป หากมีพลังวิเศษหรืออะไรก็ตาม ท่านชายเองก็อยากหยุดเวลานี้เอาไว้
เวลาที่ตนนั้นได้สมหวัง...
เวลาที่คุณภัทรไม่ได้เฉยชากับตน...
เวลาที่ทั้งท่านชายและตัวคุณภัทรเอ่ยคำว่า รัก ได้โดยไม่ผิดอะไร
ร้อยโทหนุ่มเดินตรงไปยังตัวบ้านพักตนอย่างมีความสุข ความสุขที่เขาอาจจะเรียกว่าสุขที่สุดในรอบสี่ปี เขาค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกบริเวณหน้าบ้าน ขณะ
เดียวกันสายตาเหยี่ยวของเขาก็หันไปพบกับนายทหารรุ่นน้องที่นั่งชมจันทร์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ป่านนี้ทำไมยังไม่หลับไม่นอนวะไอ้ดนตร์” คุณภัทรเอ่ยปากทัก ทำให้นายทหารรุ่นน้องต้องมองเขาด้วยหางตา
“แปลกว่ะพี่ ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าดวงจันทร์สวยได้ถึงเพียงนี้” นายทหาร
รุ่นน้องละความสนใจจากเขา จากนั้นก็เงยหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง
“อะไรกัน ติดใจหัวหินซะแล้วหรือ” คุณภัทรทิ้งตัวนั่งลงข้างดนตร์แล้วเอ่ยปากหยอกล้อ ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นรุ่นน้องกับตันหยงในงานวัดเสียเมื่อไหร่ พอเห็นสภาพดนตร์ตอนนี้เขาก็ไม่อยากเอ่ยปากแซว เพราะกลัวดนตร์จะตีตนไปก่อนไข้
“พี่ว่าถ้ากลับไปพระนคร พระจันทร์จะสวยอย่างนี้ไหม” ดนตร์ถาม สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่กับดาวเคราะห์สีเหลืองนวลบนฟ้า
“กูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” คุณภัทรส่ายหัว
“ฉันน่ะโตที่ไร่ส้ม เจอส้มแต่เล็กจนเติบใหญ่ ไม่เคยชอบกลิ่นส้มมาก่อนเลย ฉันเลยอยากรู้ว่าคนทั่วไปแบบพี่ชอบกลิ่นส้มไหม” ดนตร์ตั้งคำถามอีกครั้ง
สีหน้าของมันเริ่มแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ว่ะ”
“...”
“พอดีฉันชอบกลิ่นดอกพุดซ้อน” คุณภัทรยิ้ม จากนั้นเขาก็ยกกระติกน้ำติดตัวขึ้นดื่ม เมื่อดื่มไปได้ไม่กี่อึกเขาก็ส่งมันให้กับนายทหารรุ่นน้อง
บางคนอาจจะเริ่มชอบเมื่อได้กลิ่นแต่คุณภัทรคงรักตั้งแต่ยังไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ
#ศักดินาอากาศ
TALK: สวัสดีค่ะ ชิววี่นะคะ
กลับมาต่อแล้วสำหรับศักดินาอากาศ หวังว่าในตอนนี้จะทำให้หลายคนอินไปกับความน่ารักของคุณำภัทรและท่านชายนะคะ ในที่สุดก็ได้เขียนมุมมองท่านชายบ้างแล้ว หลังจากอยู่กับคุณภัทรถึงสี่ตอน (ฮา) ก็แน่สิ ตอนนั้นท่านชายปลอมเป็นหมอก ครั้นจะไปเขียนพาร์ทท่านชายคงไม่ได้
แต่พี่ภัทรคะ พี่ภัทรเป็นคนหยอดเก่งไม่แพ้พี่เพลิงเลยนะคะ แม้พี่เพลิงจะหยอดตรง ๆ แต่การหยอดอ้อม ๆ แบบของพี่ภัทรก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไหนจะเจ้าแสนที่ดูจะรู้งานดีด้วย ท่านชายเองก็ใช่จะมัวแต่เขินอาย หยอดมาก็หยอดกลับได้เหมือนกันล่ะ
ในตอนนี้ก็ได้เฉลยนิด ๆ แล้วค่ะว่าท่านชายนั้นมาดูงานเรื่องโรงเรียนกาฬวิฬาร์จริง ๆ ในทีแรกไม่คิดมาก่อนด้วยว่าจะเจอคุณภัทรที่นี่ แต่พอเจอเข้าก็เลยทำอะไรไม่ถูก เลยแสร้งทำเป็นม่านหมอกไปเผื่อคุณภัทรจะลดกำแพงลงบ้างเท่านั้นเอง
สำหรับตอนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้นะคะ บ้านเราฝนตกทุกวันจนตอนนี้เราเองก็เริ่มป่วยแล้ว ดูแลสุขภาพกันด้วยเด้อ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอรู้ว่าน้องมิ่งขวัญมาที่นี่เพราะมีธุระก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเนี่ยเห็นไหมพรหมลิขิตชัดๆ โชคชะตาฟ้ากำหนดน่ะเธอรู้ไหม
ตอนนี้มันดีจังอยากหยุดเวลาแค่เพียงเท่านี้ รักตั้งแต่ยังไม่ได้กลิ่นคือใช่มาก
5555 ซะงั้นนนน แต่ยังแอบคิดว่าท่านชายน่าจะพอรุ้มั้ยว่าพี่ภัทรอยุ่นี้ แต่คงไม่คิดว่าจะเจอกันแบบนี้หรออออ โอ้ยยยยยย ชะตาฟ้าสู่ขิตขนาดนี้ เชื่อใจกันเถอะว่าโซลเมทมากกกกกห่างกันมิได้ดอก นี้บอกเลยยย ยิ้มจนแก้มเจ่บบบบ อย่างน้อยก้อทำให้พี่ภัทรมั่นใจในตัวเองซะที
เย้ๆพี่ภัทรไม่ปากแข็งแล้ววว
ประโยคที่คนขายน้ำตาลปั้นพูดกับหมอกเราคงจะแบบ แบ่งใจเป็นเขินกับกังวล แต่เมื่อรู้เรื่องหมดแล้ว บอกเลยว่าใจตอนนี้ฟูมาก โคตรเขิน พูดได้ค่ะคุณลุงงง เอาไปยี่สิบบาททท โอ๊ยยย ยเล่นต่อด้วยยยยย มีบอกรักด้วยยยย ดอหกบด่วงหกาเสืวด าห่กย . ไม่หไหวแล้วววว เอาให้ตายกันไปเลย เหมือนทดแทนตอนแรกๆที่มีแต่ดร่าม่าไป 5555 เห้ย ไอ่แสนมันรุ้งานวุ้ย สงสัยเกิดชาติหน้าต้องเป็นชิปเปอร์อยู่เรือมินฮยอนบินแน่ๆเลยวะ 55555555 โอ๊ยยยยยยยยยยย กลิ่นความรักมันตลบอบอวนไปหม๊ดดด