ตอนที่ 5 : บทที่ ๕ : ขนมรสฝาด
บทที่ ๕ ขนมรสฝาด
ปัง! ลูกกระสุนสีเงินบางเฉียบพุ่งตรงสู่เป้ายิงปืนทันทีเมื่อชายหนุ่มร่างสูงลั่นไกออกไป เจ้าของดวงตาเหยี่ยวยกระดับสายตาเพื่อมองผลงานของตนอีกครั้ง คุณภัทรถอนหายใจทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นว่าเขายิงพลาดจุดกึ่งกลางของเป้าไปหลายเซนติเมตร ทหารผู้น้อยหลายคนที่เข้าร่วมฝึกด้วยเมื่อเห็นดังนั้นก็กระซิบกระซาบกันด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อชายหนุ่มเหล่มองด้วยหางตาก็ทำให้เหล่าพลทหารหุบปากด้วยความเกรงกลัว
“ผิดคาดนะคุณภัทร ปกติไม่เคยพลาดเลยนี่หว่า” ชายบุคลิกน่าเกรงขามที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยทัก
“สงสัยฝีมือจะตกเสียแล้วกระมังครับผู้พัน” หม่อมหลวงภัทรดนัยพูดติดตลกแม้ลึก ๆ แล้วตนเองก็แปลกใจเหมือนกัน
“คนเก่งยังไงเสียก็เป็นคนเก่ง จะมาบอกว่าฝีมือตกมันเป็นไปไม่ได้หรอก” ผู้บังคับบัญชาหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนจะเดินมาตบไหล่ร้อยโทหนุ่ม
“ก็กล่าวกันเกินไปครับ” คุณภัทรเช็ดกระบอกปืนแล้วส่งให้กับร้อยตรีดนตร์นายทหารรุ่นน้อง
“พูดก็พูดเถิด มีเรื่องใดทำให้คุณภัทรว้าวุ่นใจหรือ” ผู้พันกระซิบคล้ายกับว่าจับสังเกตได้
“…”
“ผู้หมวดครับ! เอ่อ คือมีคนฝากสิ่งนี้มาให้ครับ!” พลทหารจากอีกหน่วยวิ่งหน้าตื่นตรงเข้ามาหาคุณภัทร ท่าทีลุกลี้ลุกลนของทหารผู้น้อยทำให้คนอื่น ๆ ที่เตรียมฝึกยิงปืนหันมามองด้วยความสนอกสนใจ
“มาอีกแล้วว่ะ มึงคิดเหมือนกูไหม” ร้อยตรีดนตร์กระซิบกระซาบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยืนนับจำนวนกระบอกปืนอยู่
“เออ ขอบใจ” คุณภัทรรับกล่องเหล็กจากพลทหารแล้วถอนหายใจ ใบหน้าหล่อของเขาบิดเบี้ยวไปตามอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“วันนี้เป็นอะไรหนา” ร้อยตรีตัวเตี้ยพยักหน้าอย่างรู้กันกับร้อยตรีดนตร์ แทนที่จะสงสัยว่าใครเป็นคนให้มา พวกเขากลับสงสัยว่าของในกล่องคือสิ่งใดมากกว่า ในเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาสักพักใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเหล่าทหารรู้กันไปทั่วทั้งกองพันว่าร้อยโทหม่อมหลวงภัทรดนัยกำลังมีกาฬวิฬาร์รูปงามมาติดพัน อีกทั้งยังเป็นกาฬวิฬาร์เจ้าอีกต่างหาก
“ไอ้ดนตร์ เอาไปกินไป” คุณภัทรเมื่อเปิดกล่องดูแล้วพบว่าเป็นขนมปุยฝ้ายสีสวยถูกจัดเรียงไว้เต็มกล่อง เขาก็ยื่นกล่องให้กับนายทหารรุ่นน้องทันที
“ชะอ้าว ขนมปุยฝ้ายก็ไม่ชอบหรือครับพี่ภัทร คุกกี้วันก่อนกระผมยังทานไม่หมดเลย ทองม้วนวันโน้นกว่าจะหมดก็ปาไปสองวั—โอ๊ย!” ร้อยตรีดนตร์ที่พูดเจื้อยแจ้วถึงกับร้องขึ้น เมื่อโดนคุณภัทรแพ่นกบาลเข้าอย่างจัง
“พูดมากจริง ไม่กินกูจะเอาไปให้เจ้าปริม” คุณภัทรเอื้อมมือไปดึงกล่องจากมือของดนตร์คืน ทว่าอีกฝ่ายก็กอดกล่องไว้แน่นอย่างคนตะกละ
“ไม่โปรดของหวานหรือคุณภัทร” ผู้พันที่มองเหตุการณ์อยู่กล่าวยิ้ม ๆ แล้วถามชายหนุ่ม
“เคยโปรดน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“ได้กินบ่อยแล้วน่ะซีเลยเบื่อ ก็อย่างว่าเป็นถึงนายทหารรูปหล่อว่าที่คนนำขบวนสวนสนามปีนี้ คงเนื้อหอมไม่เบา ทั้งบรรตาสาวหรือกาฬวิฬาร์ก็ต่างอยากจับจอง ขนาดกาฬวิฬาร์เจ้ายังแจ้นเสด็จมาหาถึงกองพันไม่เว้นแต่ละวัน” นายทหารผู้มาใหม่กล่าว เจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้มเดินตบหลังพลทหารให้กลับไปทำหน้าที่
ร้อยโทมนัส วงศ์อัศวิน เป็นอันฬาหนุ่มรูปร่างสูงพอ ๆ กับคุณภัทร เขามีผิวสีน้ำผึ้ง และมีใบหน้าหล่อคมเข้มราวกับดาราหนังใหญ่ นายทหารหนุ่มคนนี้เป็นคนปากเสีย ปากไว ทั้งยังใจร้อน เรียกได้ว่านิสัยของเขาแทบจะอยู่ขั้วตรงข้ามกับคุณภัทรเกือบทั้งหมด แต่ถึงกระนั้น มนัสก็เป็นนายทหารที่มีความสามารถมากพอจะสูสีกับคุณภัทร อีกทั้งการที่เขาเป็นลูกของนายพลใหญ่ ทำให้นายทหารคนอื่น ๆ ต้องยำเกรง
“หุบปากเน่า ๆ ของมึงซะไอ้มนัส!” คุณภัทรแค่นยิ้มแล้วปรี่ตรงไปจับคอเสื้อนายทหารคนดังกล่าวอย่างแรง นัยน์ตาเหยี่ยวเดือดดาลพร้อมมีเรื่อง
“โอ้โห น้ำตาจะไหลว่ะ ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมาถึง คุณภัทรของเราก็มีน้ำโหได้เหมือนกัน” ร้อยโทมนัสยกมือขึ้นตบมืออีกฝ่ายที่จับคอเสื้อของตนอยู่ เขายกยิ้มกวนท้าทาย
“หยุดเดี๋ยวนี้ เห็นกูเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง!” ผู้พันกล่าวตำหนิผู้หมวดทั้งสองที่กำลังจุดชนวนวิวาท
“ปล่อยซีครับคุณภัทร” ร้อยโทมนัสไม่วายสบตาชายหนุ่มอย่างถือดี
แม้คุณภัทรจะโมโหกับคำพูดจากปากเพื่อนร่วมรุ่นมากเพียงใด แต่เมื่อ
ได้ยินคำสั่งของผู้พัน เขาก็จำใจต้องปล่อยมือลงแล้วหันไปยืนรับคำสั่งเหมือนเดิม ในขณะที่ร้อยโทมนัสเมื่อเป็นอิสระแล้วก็ยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้กับผู้พัน จากนั้นจึงเดินแยกกลับไปหน่วยที่ตนจากมาพร้อมกับพลทหารคนสนิท
“สงสัยแม่งแค้นที่พี่ภัทรจะได้เป็นคนนำขบวนม้าแหง ๆ เลยว่ะ” ร้อยตรี
ดนตร์บ่นอุบกับเพื่อนร่างสันทัด
“แต่ตอนพี่ภัทรขึ้น กระผมนี่แทบพนมมือเลยนะครับ ไม่เคยเห็นพี่ท่านเป็นเช่นนี้มาก่อน ปกติหน้าก็ดุอยู่แล้ว สยองฉิบหาย” นายทหารอีกคนว่าพลางพนมมือ
“พี่ภัทร ๆ อย่าหาว่าผมเซ้าซี้เลยนะพี่นะ ผมว่าพี่ควรออกไปพบท่านชายบ้าง” ดนตร์พูดพลางกระซิบกับคุณภัทร
“ไม่จำเป็น”
“แต่กลิ่นของท่านชายหอมฟุ้งไปทั่วเลยนะพี่ พี่ไม่ได้กลิ่นหรือ อันตรายนะนั่น” นายทหารรุ่นน้องกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไว้สักช่วงบ่ายแล้วกัน มึงเถอะ ฝึกอยู่ก็ไปฝึกซีวะ” คุณภัทรชะงักคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ คนตัวสูงหัวเสียเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่ท่านชายมิ่งขวัญดื้อแพ่งมาใช้พื้นที่ที่กองพันโดยไม่กินยากักกลิ่น มันก็ทำให้ทั่วทั้งกองพันปั่นป่วนไปหมด ในทีแรกก็คิดว่าหากหลบหน้าไปเรื่อย ๆ ท่านชายคงจะท้อและล้มเลิกความตั้งใจไปเอง ทว่าที่ไหนได้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าก็ยังมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังหาขนมมาฝากเขาทุกเมื่อเชื่อวัน
เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงพักกลางวัน โรงอาหารที่กองพันแน่นขนัดไปด้วยเหล่านายทหารที่ต่อแถวรับอาหารจากแม่ครัว เสียงช้อนกระทบจานดังขึ้นบ้างเป็นระยะแต่ไร้ซึ่งเสียงการพูดคุยใด ๆ แต่คุณภัทรก็รู้สึกได้ถึงแววตาจากเหล่าทหารอันฬาทั้งหลายที่ส่งมาหาตน ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ในเมื่อพักหลังมานี้ตนได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักไปแล้ว
“นั่งด้วยซีวะ” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง กลิ่นเปลือกไม้ใหญ่ทำให้คุณภัทรรู้ได้ทันทีว่าร้อยโทมนัสคงไม่จบกับตนง่าย ๆ จึงทู่ซี้มาก่อกวนถึงที่
“เชิญ” ชายหนุ่มร่างสูงกล่าวโดยไม่ปรายตามอง
“ขอบคุณครับ หม่อมหลวงภัทรดนัย” ร้อยโทมนัสหัวเราะในลำคอแล้วทิ้งตัวนั่งข้างคุณภัทร พลางส่งสายตาตอกกลับไปยังดนตร์ที่มองมาอย่างไม่ชอบใจนัก
“ว่าก็ว่าเถอะว่ะ เมื่อไหร่มึงจะจัดการเรื่องกาฬวิฬาร์เจ้านั่นเสียทีวะ” ร้อยโท
ผิวเข้มพูดขึ้นโดยไม่รีรอให้คุณภัทรถามถึงธุระปะปังใด ๆ โดยปกติแล้วร้อยโททั้งสองก็เป็นคู่ชิงดีชิงเด่นมาแต่สมัยเรียน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมนัสจะพิศวาสอยากผูกมิตรกับคุณภัทร
“กูคุยแล้ว แต่ท่านชายทรงรั้นไม่ไป เป็นถึงเจ้าจะขัดใจมากก็กระไรอยู่” คุณภัทรว่าพลางตักข้าวกิน
“เจ้าแล้วไงวะ ที่ทำอยู่เนี่ยมันทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว เกิดมีทหารกลัดมันวิ่งเข้าใส่จะทำอย่างไร” ร้อยโทมนัสเบ้ปากแล้วกล่าวต่อ ดนตร์เองก็แอบสะอึกเพราะเขาเองก็เห็นด้วย ใช่ว่าจะไม่เคยได้กลิ่นกาฬวิฬาร์แต่กลิ่นจากตัวหม่อมเจ้ามิ่งขวัญนั้น แม้จะไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร แต่ภายในใจก็สัมผัสได้ว่าช่างหอมเย้ายวนเหลือเกิน
“กูจัดการเองได้” ชายหนุ่มตอบกลับ
“เหอะ มึงเองก็คงพอใจใช่ไหมล่ะ มีกาฬวิฬาร์งามมาอ่อยเช้าอ่อยเย็นแบบนี้ ถ้าเป็นกูคงจับทำเมียเสียให้สิ้นเรื่อง ไหน ๆ ก็อยากมีผัวทหารอยู่แล้ว” มนัสยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวแหลม
“ไอ้เวร ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” เสียงแหบต่ำของคุณภัทรดังลั่นไปทั่วทั้งห้องอาหาร จากการที่ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพรวดพราด โต๊ะอาหารก็ล้มลงดังโครม รวมถึงจานชามบนโต๊ะก็ตกตามไปด้วย
คุณภัทรไม่ได้สนใจข้าวปลาอาหารที่ลงไปกองกับพื้น เขาปรี่ไปกระชาก
คอเสื้อของร้อยโทมนัสทันที ครั้งนี้ไม่มีการยั้งมืออีกต่อไป คุณภัทรแกว่งหมัดตรงไปยังใบหน้าของมนัสอย่างจงใจ จนอีกคนล้มลงไปกองรวมกับเศษอาหารที่กระจัดกระจายบนพื้น เหล่าพลทหารต่างหันมามองด้วยความสนใจ บ้างก็เริ่มพนันกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ในเมื่อทหารหนุ่มทั้งสองจัดว่าเป็นมือดีของกองพันทั้งคู่
“ไอ้เหี้ยนี่! เลือดร้อนเหมือนกันนี่หว่า” ร้อยโทมนัสพ่นน้ำลายลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นตรงไปหาคุณภัทร “ที่กูพูดไปมันแทงใจดำมึงน่าดูซีนะ!”
“มึงอยากมีเรื่องนักใช่ไหม ออกไปด้านหน้ากับกู ไปต่อยกันให้รู้เรื่อง!” คุณภัทรกล่าวพลางลากร้อยโทมนัสออกไปยังด้านหน้าโรงอาหารที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับสนามม้า โดยที่มีดนตร์วิ่งตะโกนห้ามศึก แต่ชายหนุ่มไม่ฟังอะไรอีกต่อไป เขาผลักมนัสลงกับพื้นอีกครั้ง รอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นสู้อย่างวิถีอันฬาหมัดแลกหมัด พลทหารเกือบทั้งกองพันส่งเสียงฮือฮาล้อมวงเข้าดูศึกคราวนี้อย่างสนุกสนาน
“ดี! กูไม่ยอมโดนฝ่ายเดียวหรอก” มนัสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาพุ่งตัวเข้าหาคุณภัทรทันที เกิดการคลุกวงในกันอลหม่าน ร้อยโททั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร เพราะฝีมือที่ฉกาจพอกันทำให้ต่างฝ่ายต่างรับและหลบหมัดกันได้สูสี
“ฉิบหายแน่กู ฉิบหายแน่ ๆ” ดนตร์ที่ยืนมองอยู่ยกมือขึ้นกุมหัวอย่างเคร่งเครียด ในเมื่อการต่อสู้นี้เป็นเรื่องของคนสองคน ครั้นจะทะเล่อทะล่าวิ่งเข้าไปไม่แคล้วคงโดนสักหมัดสองหมัดเป็นแน่
คุณภัทรพลาดท่าล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบสวนมนัสให้กระดอนไปอีกทางเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะเข้าประชิด สมรภูมิเริ่มร้อนระอุเพราะทั้งสองฝ่ายต่างสะบักสะบอมด้วยเลือดและคราบดิน ทั้งสองลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เตรียมวิ่งใส่กันอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่จะได้แลกหมัดก็ต้องหยุดชะงัก รวมถึงนายทหารผู้น้อยที่ล้อมวงอยู่เช่นกัน
“พี่ภัทร!” อันฬาฉกรรจ์ทั้งหมดหันไปมองยังบุคคลมาใหม่ที่มีกลิ่นหอมหวานต่างวรรณะ เหล่าพลทหารถอยกรูดออกเป็นทาง เมื่อหม่อมเจ้ามิ่งขวัญปรากฏตัวพร้อมกับผู้บังคับบัญชาการใหญ่
“มิ่งขวัญ” คุณภัทรหลุดปากพูดกับตนเองเบา ๆ ในขณะที่สายตายังมองค้างไปยังหม่อมเจ้าหนุ่ม
“ปะ—เป็นอะไรมากไหม” ท่านชายมิ่งเดินปรี่เข้าหาทหารหนุ่มตัวสูงโย่งทันที ท่านชายยกมือเรียวสวยสัมผัสใบหน้าฟกช้ำของชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง
“ร้อยโทหม่อมหลวงภัทรดนัย ร้อยโทมนัส พวกคุณไปพบผมที่ห้องเดี๋ยวนี้!” ผู้พันออกคำสั่งเด็ดขาด เมื่อได้ยินดังนั้นคุณภัทรก็จับมือของหม่อมเจ้าหนุ่มลดลงแล้วเดินตามผู้บัญชาการไป ทิ้งให้คนตัวขาวมองตามด้วยความเป็นห่วง
“เฮอะ” ร้อยโทมนัสส่งเสียงฮึ่มในลำคอ ขณะเดินตามผู้พันและคุณภัทรแล้วจำต้องผ่านหม่อมเจ้ามิ่งขวัญ
“รักษามารยาทบ้างเถอะ” ดวงตาคู่สวยของหม่อมเจ้าหนุ่มเองก็เงยหน้าขึ้นสบตากับมนัสอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้นายทหารผิวเข้มรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ไม่แปลกใจเสียเลย ว่าทำไมอันฬาทั่วพระนครถึงได้สนใจในตัวฝ่าบาทกันมากมายเพียงนี้นะกระหม่อม” ร้อยโทมนัสยิ้มเยาะแล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป
“ขอประทานอภัยขอรับกระหม่อม ได้โปรดเสด็จกลับไปยังพื้นที่ส่วนรวมเถิดนะกระหม่อม” ร้อยตรีดนตร์เดินมากล่าวกับท่านชายอย่างกล้า ๆ เกรง ๆ นึกเป็นห่วงที่ท่านชายเข้ามาที่ส่วนในของกองพันมากเกินไป เขายอมรับว่ากลิ่นของท่านชายอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวท่านชายเองได้
“อืม เราจะไปแล้ว ถ้าพี่ภัทรออกมารบกวนมาแจ้งเราด้วยนะ” คนตัวขาวพยักหน้าให้กับเหล่าผู้ติดตาม
“เอ่อ ฝ่าพระบาท” ดนตร์ทำท่าลุกลี้ลุกลนอีกครั้ง ก่อนจะยื่นกล่องเหล็กที่ตนถือเอาไว้แต่แรกให้กับหม่อมเจ้ามิ่งขวัญ
“มีอะไรรึ สิ่งนี้เรามอบให้พี่ภัทรนี่” ท่านชายถามกลับเมื่อเห็นกล่องขนมในมือของร้อยตรีดนตร์
“มอบให้พี่ภัทรก็จริงหรอกกระหม่อม แต่เจ้าตัวเขาแอบเอามายัดให้กระหม่อมไปทานตลอดตั้งแต่คราวขนมทองม้วนแล้ว กระหม่อมเลยคิดว่าหาก
ท่านชายให้กับมือพี่ภัทรเองเจ้าตัวอาจจะรับไว้จริง ๆ ก็ได้” ดนตร์ร่ายยาวแล้วถอนหายใจ
“เรา...เรานึกว่าพี่ภัทรเอาไปทานตลอด งั้นก็ขอบใจนะ” เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของคนตัวขาวก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ท่านชายยื่นมือรับกล่องขนมเอาไว้แล้วจึงเดินจากไป
“เฮ้อ นี่ล่ะหนา...” ดนตร์ถอนหายใจ แต่เมื่อหันมาเห็นเหล่าพลทหารที่ยังยืนมุงกันอยู่ก็โวยวายทันที “เอ้า! พวกเอ็งหมดสนุกแล้วก็ไปหาข้าวกินซีวะ!”
เวลาผ่านไปราวกับชั่วโมง ร้อยโททั้งสองก็เดินออกมาจากห้องผู้บังคับบัญชาการใหญ่ มนัสเดาะลิ้นก่อกวนราวกับเป็นผู้ชนะแล้วเดินจากไป ขณะที่คุณภัทรกลับส่ายหัวระอากับท่าทีของอีกฝ่าย แต่ไหนแต่ไรมนัสก็ไม่เคยญาติดีและก่อกวนเขาเสมอ และทุกครั้งคุณภัทรก็อดทนอดกลั้นได้ ทว่าในวันนี้ เขากลับเสียสติทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไป นั่นจึงเป็นเหตุให้คุณภัทรเองผิดหวังกับตนเองไม่น้อย เมื่อเดินออกมาสักพัก เขาก็พบกับดนตร์ที่กำลังจูงม้าไม่ใกล้ไม่ไกล ฝ่ายรุ่นน้องเมื่อเห็นเขาออกมาแล้วก็รีบปรี่เข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอย่างไรพี่ โดนอะไรไหม” นายทหารรุ่นน้องถาม
“โดนลงโทษนิดหน่อย”
“นิดหน่อยเนี่ยมันคืออะไรล่ะพี่”
“มาเฝ้าม้าตอนกลางคืนวันคู่ ส่วนไอ้มนัสวันคี่” คุณภัทรตอบเสียงเรียบแล้วลูบหัวม้ารัก
“โอย ค่อยยังชั่ว ไอ้ผมก็นึกว่าพี่จะโดนปลดจากขบวนพิธีเสียแล้ว” ดนตร์ยกมือขึ้นมากุมหน้าอก
“เออ ไอ้ดนตร์ กูว่าจะชวนไป—”
“พี่ภัทรครับ” เจ้าของกลิ่นดอกพุดซ้อนโผล่มาอีกครั้งอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงเรียกความสนใจจากนายทหารทั้งสองได้อย่างดี ท่านชายกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมา ในมือของคนตัวขาวมีกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่อยู่ในมือ สงสารก็แต่ผู้ติดตามจากวังอรุณรัตน์ที่ต้องวิ่งตามนายของตน
“ฝ่าบาทมีธุระอันใด” คุณภัทรถอนหายใจแล้วหันไปส่งสายตาดุกับเจ้าของฉายากาฬวิฬาร์เจ้าที่ใคร ๆ เขาเรียกกัน
“ให้มิ่งทำแผลให้นะ” ท่านชายมิ่งยิ้มกว้างแล้วชูกล่องปฐมพยาบาลในมือขึ้น
“แต่...”
“เราสั่งให้นั่งลงอย่างไรเล่า” ท่านชายมิ่งออกคำสั่งเสียงแข็งเมื่อเห็นว่าคุณภัทรมีท่าทีจะปฏิเสธ ดนตร์หันไปสบตากับผู้ติดตาม เขายิ้มแห้งอย่างเข้าใจหัวอกเดียวกัน จากนั้นทั้งดนตร์และผู้รับใช้ก็ปลีกตัวไปเฝ้ามองทั้งสองไกล ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านชายและคุณภัทร
ท่านชายมิ่งขวัญถือวิสาสะจูงมืออีกฝ่ายมานั่งยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงแล้วจึงเริ่มใช้สำลีเช็ดหน้าให้กับนายทหารหนุ่ม คุณภัทรเองก็เหนื่อยใจไม่น้อยจึงปล่อยท่านชายเอาแต่ใจตนเสียให้พอ คุณภัทรลอบมองไปยังใบหน้าหวานที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดหน้าเช็ดแผลให้กับตน นอกจากกลิ่นดอกพุดซ้อนที่ลอยขึ้นมาแตะจมูกอย่างจังแล้ว ชายหนุ่มก็สังเกตได้ว่าใบหน้าของท่านชายเมื่อสี่ปีก่อนนั้นยังดูอ้วนกลมกว่านี้ ทว่าตอนนี้ไม่มีอีกต่อไป เหลือเพียงใบหน้าที่งดงามราวกับตัวเอกในวรรณคดีเท่านั้น ที่เขาว่ากันว่ากาฬวิฬาร์จะงามยิ่งในวัยยี่สิบคงเป็นเรื่องจริง
เป็นดอกพุดซ้อนที่อยู่บนยอด
“ไม่เห็นจะรู้สึกแสบใด ๆ เลยกระหม่อม”
“ไม่แสบก็ดีแล้ว แสดงว่าไม่เจ็บ”
“กระหม่อมเกรงว่าท่านชายจะลืมเอาสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อเสียมากกว่า”
“เอ๊ะ ต้องใช้ด้วยรึ” ท่านชายเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ด้วยแววตาสงสัย จนคุณภัทรต้องกระแอมกลบเกลื่อนที่ตนแอบยิ้มกับความใสซื่อของคนตัวขาว ไม่น่าแปลกใจนักที่ท่านชายจะทำอะไรเช่นนี้ไม่เป็น
“ให้กระหม่อมทำเองดีกว่า ท่านชายควรเสด็จกลับวังไปได้แล้วนะกระหม่อม” คุณภัทรกล่าวแล้วก้มลงไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลอย่างช่ำชอง
“จะมีบ้างไหมที่ได้คุยแล้วไม่ขับไสไล่ส่งกัน” ท่านชายมิ่งยู่ปาก เงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดใจ
“กระหม่อมเคยทูลไปแล้วว่าการไม่เสวยยากักแล้วเสด็จมาที่นี่มันอันตราย”
“ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งเราไปบ้านพี่ภัทรแทนจะดีไหม เราเองก็คิดถึงน้องปริมจะแย่” ท่านชายกล่าวแล้วยกยิ้ม
“ไม่ได้นะกระหม่อม!” คนตัวสูงเมื่อได้ยินดังนั้นก็โพล่งเสียงดังเสียจนเจ้าราตรีกาลที่ยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ใกล้ ๆ สะดุ้งเพราะความตระหนก
“เราขอเหตุผลว่าทำไมถึงไปไม่ได้”
“เช่นนั้นกระหม่อมเองก็ขอเหตุผลที่จะเสด็จไปยังบ้านของกระหม่อม จะเอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้” สีหน้าของคุณภัทรกลับมาดุอีกครั้ง
“พี่ภัทรเองก็ไม่เคยกินขนมที่เรานำมาให้เหมือนกันนั่นล่ะ เอาแต่ใจ” คนตัวขาวหน้าบึ้งตึงไปใหญ่อีกทั้งยกเรื่องอื่นขึ้นมาเสริม
“กระหม่อมกำลังเพ็ดทูลถึงเรื่องที่จะเสด็จไปยังบ้านของกระหม่อมอยู่นะกระหม่อม”
“ไม่รู้ล่ะ รับขนมไว้ซะ แล้วเราจะคิดอีกทีว่าจะไปหรือไม่ไป” ท่านชายมิ่งยังคงดื้อดึงอีกทั้งยังหยิบกล่องขนมปุยฝ้ายจากเมื่อเช้ามายัดใส่มือของคุณภัทรอีก
“โปรดฟัง ท่านชายไม่ควรเสด็จมาที่นี่หรือแม้แต่เสด็จไปที่บ้านของกระหม่อมเองก็ตาม การกระทำแบบนี้มันคือการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวและทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ” คุณภัทรร่ายยาว
“พี่ภัทรบอกแต่ให้มิ่งฟัง แล้วเมื่อไหร่พี่ภัทรจะฟังมิ่งบ้าง”
“ท่านชาย ได้โปรดทรงมีเหตุผลบ้าง”
“เหตุผลของมิ่งพี่ภัทรก็รู้อยู่แก่ใจ แค่เพียงเหตุผลเดียวก็ตอบได้แล้วว่าทำไมมิ่งถึงมาหาพี่ภัทรทุกวันแม้พี่ภัทรจะหลบหน้า เอาขนมมาให้แม้พี่ภัทรจะนำไปให้คนอื่นกิน หรือหน้าด้านนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งที่โดนมองด้วยสายตาอันน่าชังจากพวกอันฬา” ไหล่ของท่านชายสั่นเทิ้มภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นและสับสน
“…”
“ถ้าอยากได้ยินมันนักก็จะพูดให้ มิ่งรัก—”
“พอเถอะกระหม่อม ถ้าหากฝ่าบาททรงรู้สึกเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทควรจะปล่อยให้กระหม่อมมีความสุข ที่ฝ่าบาททรงทำอยู่นั้นก็เพื่อตนเองเพราะฝ่าบาททรงเห็นแก่ตัว”
สิ้นเสียงประโยคดังกล่าวท่านชายก็เงยหน้ามองคุณภัทรด้วยน้ำตานองหน้า รู้ทั้งรู้ว่าหากพูดไปก็มีแต่เจ็บทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลมคงมีปัญหาตามมาอีกมาก แม้ใบหน้าของคุณภัทรจะเรียบเฉยแต่ภายในใจเขาเองก็อยากจะร้องไห้ไม่แพ้กัน
“งั้นอย่างน้อย...รับนี่ไว้เถอะนะ ขนมนี่เราทำเอง เรียนทำตั้งนานสองนาน ไม่รู้จะอร่อยถูกปากไหม” ท่านชายมิ่งที่หัวใจสลายกล่าวทั้งน้ำตา มือเรียวยื่นกล่องขนมปุยฝ้ายให้กับคุณภัทรอีกครั้ง “ถ้ารับไว้แล้วนำไปกินเราจะไม่มายุ่งด้วย อีก...อีกเลย”
คุณภัทรมองกล่องขนมอย่างกล้ำกลืน ยิ่งรู้ว่าขนมในกล่องเป็นขนมที่
ท่านชายทำมาให้เองก็ยิ่งปวดใจ แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรับมันเอาไว้ มือหนาหยิบกล่องขนมนั้นเปิดแล้วจึงหยิบขนมสีสวยสดขึ้นมากินแล้วยิ้มให้กับคู่ชะตาต้องห้ามของตน หม่อมเจ้ามิ่งขวัญเม้มปากแน่นเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหยิบกินจริง ๆ คนตัวขาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินจากไปทั้งน้ำตา
เมื่อลับหลังท่านชายไปแล้ว คุณภัทรก็ปิดกล่องเหล็กที่บรรจุขนมสีสวย ชายหนุ่มจ้องมองกล่องอย่างเลื่อนลอย รู้อีกทีบนกล่องก็มีคราบน้ำตา
“เจ็บมากไหมพี่” ดนตร์ถามขึ้นเงียบ ๆ
“เจียนตายเชียวว่ะ” ร้อยโทหนุ่มตอบ แม้เขาทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ ทว่าอันที่จริงแล้วมันไม่ไหวสักนิด เขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป มือหนายกขึ้นมาปิดหน้าของตนเองอย่างคนขี้แพ้ เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าทหารแกร่งนั้นก็ร้องไห้ได้เหมือนกัน
ณ ห้องทรงงานขนาดใหญ่ ชายสูงอายุค่อย ๆ วางภาพสเก็ตแผนผังโรงเรียนที่ตนออกแบบลงบนโต๊ะกว้าง แม้ใบหน้าจะเริ่มโรยราไปมากแต่ก็ยังจัดได้ว่าภาพลักษณ์ของเขายังดูดีสมกับเป็นราชนิกุลชั้นสูง องค์ฯ โชติเมื่อตรวจสอบงานจนแน่ใจแล้วว่าออกมาสมบูรณ์แบบจึงยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“ไปตามมิ่งขวัญมาดูนี่ทีสิ โรงเรียนกาฬวิฬาร์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วเชียวนะ” พระองค์เจ้านักสถาปนิกกล่าวกับคนรับใช้
“เอ่อ ท่านชายทรงประทับอยู่ในรังเจ้าค่ะ แม่นมรอให้การดูแลอยู่” สาวใช้ทูลตอบ
“ประเดี๋ยวนะ ทำไมมิ่งขวัญถึงทำรัง มิ่งขวัญเป็นอะไรไป ทำไมฉันถึงไม่รู้” องค์ฯ โชติถามด้วยท่าทีตกอกตกใจ เพราะตั้งแต่กลับจากอังกฤษมาพระโอรสก็ไม่มีวี่แววจะทำรังเหมือนดังกาฬวิฬาร์ทั่วไปที่มักจะทำรังเมื่อรู้สึกไม่สบายใจ หรือเข้าสู่ช่วงฤดูสมสู่ใด ๆ
“เหมือนจะมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเพคะ แต่ท่านชายไม่ได้รับสั่งอะไรมากเพียงแต่นอนกอดตุ๊กตา เอ่อ...คุณมนตรี อยู่บนกองหมอนเท่านั้น” สาวใช้ทูลตอบพระองค์
“ฉันจะขึ้นไปดูลูก”
ว่าแล้วองค์ฯ โชติก็ทรงพระดำเนินไปยังห้องของพระโอรสที่อยู่ด้านบนชั้นสองด้วยความเร่งรีบ ไม่นานก็ทรงยืนอยู่ยังหน้าห้องของหม่อมเจ้ามิ่งขวัญ บรรดาผู้รับใช้ที่ดูแลอยู่ถึงกับหมอบลงด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเจ้านาย
“มิ่งขวัญลูก พ่อเข้าไปได้หรือไม่” ผู้เป็นบิดาตรัสเสียงดังพอที่จะให้บุตรชายที่อยู่ในห้องบรรทมได้ยิน เพราะทุกครั้งที่กาฬวิฬาร์ทำรังหากเป็นวรรณะอื่นที่ไม่ใช่พวกเดียวกันก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปในรังได้ โดยเฉพาะวรรณะขั้วตรงข้ามอย่างอันฬา
“เสด็จพ่อ...” ด้านท่านชายมิ่งขวัญเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นพระบิดาก็กระชับอ้อมกอดรัดคุณมนตรีตุ๊กตาหมีตัวโปรดแน่นกว่าเดิม ดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์ฉ่ำไปด้วยน้ำใสลามไปจนถึงขนตา
“พ่อเป็นห่วงลูกนะมิ่งขวัญ”
“ทรงเข้ามาเถิด”
เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง ชายวัยกลางคนก็เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูแล้วเข้าไปยังภายในห้องของพระโอรส ยังไม่ทันได้ตั้งตัวท่านชายมิ่งขวัญก็กระโจนเข้าสวมกอดพระผู้เป็นบิดาทันที
“ร้องออกมาให้หมดเสีย ใครกันใจร้ายทำกับลูกพ่อได้” องค์ฯ โชติกล่าวพลางลูบหลังพระโอรสที่ร้องไห้ตัวสั่นในอ้อมกอด
“มิ่งไม่อยาก หยะ—อยู่แล้ว” ผู้เป็นลูกกล่าวเสียงอู้อี้แล้วซบหน้าลงกับไหล่ของผู้เป็นบิดา
เสียงไพเราะของนายจรัญ ขับกล่อมดังไปทั่วบาร์ฝรั่งในค่ำคืนนี้ หลังจากที่ลูกพี่ลูกน้องของคุณภัทรอย่างดั่งเพลิงได้ขอเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมของ Elvis Presley ไปเมื่อครู่ ดั่งเพลิงยกไวน์สีเข้มแล้วปั้นหน้านิ่งล้อเลียนหม่อมหลวงภัทรดนัยเป็นครั้งที่สามตั้งแต่นัดเจอกัน จนคุณภัทรเองก็อดที่จะเตะขาผู้พี่ไม่ได้
“เพิ่งสังเกตว่าตาเอ็งดูบวม ๆ นี่ก็โดนต่อยมาสองข้างเลยหรือวะ” หนุ่มเจ้าสำราญเอ่ยปากถามคุณภัทร
“เออ” คุณภัทรตอบเสียงเรียบปัดรำคาญ เขารู้อยู่แก่ใจว่าหากบอกดั่งเพลิงไปตรง ๆ ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ ไม่แคล้วเพื่อนทั้งสองคงจะล้อเขาไปจนตายแน่
“เออนี่ คุณภัทร พวกกาฬวิฬาร์เวลาเขาทำรังนี่เขาจะอยู่ในรังนานไหมวะ” ดั่งเพลิงยักไหล่ ก่อนจะถามเรื่องที่พักหลังหนุ่มเจ้าสำราญค่อนข้างจะให้ความสนใจ
“เท่าที่รู้ก็นาน ตราบเท่าที่ความรู้สึกไม่ดีจะหมดไปนั่นล่ะมัง แต่เอ็งก็ทำถูกแล้วที่ให้เสื้อคุณชายสองไป อย่างน้อยถ้าในรังมีกลิ่นของคู่ก็จะยิ่งทำให้ออกจากรังไวขึ้น” คุณภัทรตอบ ขณะที่พูดเหมือนกับเขานึกบางอย่างขึ้นได้ เขาจึงวางมีดกับช้อนลงบนจานอย่างเหม่อลอย
“แปลกว่ะ แต่ก็น่าสนใจ—อ้าว ไอ้ดนตร์!” ดั่งเพลิงร้องขึ้นทันทีเมื่อเห็นนายทหารลูกน้องเพื่อนโผล่เข้ามาในบาร์
“สวัสดีครับพี่เพลิง แหะ ๆ หล่อเหมือนเดิมเลยนะครับ” ดนตร์ยกมือไหว้
ดั่งเพลิงแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คุณภัทร
“พูดดีว่ะ อยากดื่มอะไรไหม ฉันเลี้ยง” ดั่งเพลิงยกยิ้มแล้วเทไวน์ใส่แก้วจนหมด
“ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมมีเรื่องต้องคุยกับพี่ภัทร พอดีโทรไปแล้วน้องปริมบอก
ว่าพี่ภัทรออกมาเที่ยว คิดไม่ผิดจริง ๆ ว่าจะอยู่ที่นี่กัน” ร้อยตรีดนตร์อธิบายยาวเหยียดแต่ดั่งเพลิงเองก็ฟังแค่ประโยคแรก ๆ เท่านั้น เพราะชายหนุ่มตัวหนาหันไปให้ความสนใจกับบรรตาสาวโต๊ะถัดไปมากกว่า
“เรื่องอะไรวะ” คุณภัทรหันไปถามรุ่นน้อง
“พอกลับไปบ้านก็มีสายจากไอ้โต้งโทรมาแกล้งน่ะซีพี่ ว่าผมกับพี่โดนย้ายไปประจำที่หัวหินตั้งเดือนสองเดือน ก็เลยมาถามพี่ให้แน่ใจนี่ไงเล่า” ดนตร์หยิบ
มันฝรั่งในจานขึ้นเคี้ยวแล้วกล่าว
“ไอ้โต้งมันไม่ได้แกล้งมึงหรอก เรื่องจริง” คุณภัทรตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หา! อะไรนะพี่” นายทหารรุ่นน้องร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ทำให้หนุ่มสาวในร้านหันมามองเป็นตาเดียว
“อาทิตย์หน้ามึงกับกูต้องไปช่วยดูแลเรื่องม้าที่หัวหิน ผู้พันหมายมั่นจะส่งไปแต่แรกแล้ว” คุณภัทรตอบกลับเสียงเรียบ
“ทำไมต้องเป็นผม...” จู่ ๆ ดนตร์ก็อยากยกซดไวน์ราคาแพงของดั่งเพลิงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เขารู้สึกว่าอยู่พระนครก็สะดวกสบายดีอยู่แล้ว จึงรู้สึกเสียใจที่ต้องระเห็จไปไกลถึงประจวบคีรีขันธ์
“อ้าว ไอ้คุณภัทรไม่เห็นบอกกันเลยนะเรื่องนี้” ดั่งเพลิงพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ก็แค่หัวหินเองไหมวะ ไม่ได้ไกลจากนี่เท่าไหร่ นั่งรถไฟไม่นาน” คุณภัทรบ่นอุบพลางยกมือขึ้นลูบมุมปากที่เป็นแผล
“เอาวะ เผื่อจะเจอเนื้อคู่กับเขาบ้าง” นายทหารรุ่นน้องถอนหายใจแล้วพูดปลอบใจตนเอง
“เออ ไอ้ดนตร์...” คุณภัทรพูดขึ้น จากนั้นเขาก็ล้วงมือไปยังกระเป๋ากางเกงสแล็กของตนเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง
“มีอะไรครับพี่”
“เอาผ้าเช็ดหน้านี้ไปให้กับคนรับใช้ที่วังอรุณรัตน์ทีสิ บอกว่าเป็นผ้าโพกหัวของคุณมนตรี” ชายหนุ่มส่งผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนให้กับรุ่นน้อง โดยที่เพื่อนสนิทอย่างดั่งเพลิงปรายตามองเขาอย่างอึ้ง ๆ
#ศักดินาอากาศ
อีกทั้งตอนนี้มีการพูดถึงศัตรูผู้ชิงดีชิงเด่นของพี่ภัทรอย่างร้อยโทมนัสเสียด้วย คิดว่าเมจเป็นใครคะ เราใบ้ให้ว่าอยู่วง 17..
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ร้อยโทมนัสปากไม่ดีมาก ไม่ชอบเลย แต่ตอนคุณภัทรจะฝากผ้าเช็ดหน้านี่ฝากไปให้น้องมิ่งขวัญหรือเปล่าคะเนี่ย
ร้องไห้เลยสงสาร น้องมิ่ง คือเข้าใจพี่ภัทรนะว่าที่ทำไปเพราะคิดว่าไม่คู่ควรกับน้อง แต่ทำแบบนี้มันยิ่งทำให้เจ็บปวดมั้ย อยากให้เลิกโกหกและบอกท่านพ่อว่าทั้งสองคนเป็น soulmate กัน ท่านพ่อรักท่านชายขนาดนั้นไม่มีวันทำให้น้องเสียใจหรอก แต่ก็ยังดีที่พี่ยังจำได้ว่าน้องมิ่งมีคุณมนตรีอยู่ แอบยิ้มเลยอ่ะ ร้องไห้ต่อดีกว่า กระซิกกระซิก
พี่ภัทรทำไมปากแข็ง
สักวันเถอะคุณภัทร ถ้าน้องหมดความพยายามจะมีคนเจ็บจนตายจริงๆ หึ
ไม่ไหวววววว อ่านมาถึงร้อยตรีตัวเตี้ย เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่โนปะคะ 55555555 ถึงจะกร๊าวใจกับพี่ภัทรเวอร์ชั่นโมโหก็เถอะนะพี่ โอ๊ยยย ขำอะะะะ โอ้โหหหห เอามันเลยพี่ภัทร กระทืบมันให้จมตีนนนนนนนนนนนนนนนน -าามากกกกกกก แล้วไอ่คนที่จะโดนกระทืบรายต่อไปก็พี่ภัทรนี่แหละ โอ๊ยยยย สงสารท่านมิ่ง สงสารมาก พี่อย่าใจแข็งมากสิวะ วันไหนที่น้องเขาไม่ตามต่อแล้วพี่นั้นแหละจะเสียใจปานตาย จัมวรั้ย!! เนี้ยยยยยยยย ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี สงสารน้องมนตรีก็ได้อะ!!
อ่ออออ !!!! ร้อยโทมนัส!! มินกยูของวอนอูใช่มั้ยพี่ โอ๊ยยยย แต่ละคู่! ต้องอ่านต่อใช่มั้ยคะ 5555
ก็(น่าจะยัง)ไม่เศร้านะ นี่ยังพอรับได้อยู่ 555
ตอนแรกนึกว่าที่โดนจับหมั้นแสดงว่าเจ้ามิ่งเป็นโซลเมทกับคุณชายหนึ่งซะอีก ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะยุ่งยากและเศร้าจริงๆแน่ พอรู้ว่าพี่ภัทรกับเจ้ามิ่งเป็นโซลเมทกันอยู่แล้วก็โล่งใจขึ้นมาเลยค่ะ 555 ไม่ต้องกลัวอะไรอีกละ 5555
ขอบคุณนะคะ
ชายภัทรก็ใจร้ายจัง โหย สงสารชายมิ่ง ตอนพูดว่าต้องหน้าด้านไปหาทุกวันจนคนอื่นมองไม่ดีแต่ก็ยังไป เศร้าแทน
ปล. มนัสคือใครทำไม-งี้