ตอนที่ 22 : ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม ๓: จงมั่นคงไม่เสื่อมคลาย (๓๐%)
ศักดินาอากาศ
บทพิเศษที่ ๓: จงมั่นคงไม่เสื่อมคลาย (๓๐%)
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๓
เด็กชายวัยสิบหกรูปร่างสูงโปร่ง หยุดกึกทันทีที่เห็นเพื่อนอันฬาสาวผมยาวของตนยืนฉีกยิ้มให้กับตนอยู่ เขาเอียงใบหน้าที่เป็นส่วนผสมของคำว่าหล่อและน่ารักอย่างลงตัวเล็ก ๆ ก่อนจะยิ้มใสซื่อกลับคืนไปให้เพื่อน ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนอันฬาและบรรตาล้วนสวนกุหลาบ เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ จันทิมันต์ หาญเดโช ที่ปักอยู่บนอกเสื้อนักเรียนก็เป็นที่จับตามองของใครหลายคน ไล่ตั้งแต่คณะครูจนถึงนักเรียนด้วยกันเอง
“ยังจะมายิ้มโง่อีกนะไอ้เล็ก” ถึงเด็กสาวจะมีเสียงห้าวและท่าทางห่าม ๆ ขัดกับใบหน้าสวยหวาน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับจันทิมันตุ์ ตั้งแต่เห็น เจ้ามัด หรือ มัทนี วงศ์อัศวิน และเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เกิด มันก็ส่งผลให้จันทิมันตุ์ชินชาเสียแล้ว “คิดแล้วหรือยังว่าจะสมัครเข้าชมรมอะไร ฟุตบอลหรือบาสเก็ตบอลวะ”
“ขอโทษนะ คิดว่าไม่ทั้งคู่ เล็กอยากสมัครเข้าชมรมวาดศิลป์มากกว่า” จันทิมันตุ์ตอบเพื่อน ดวงตากลมโตเหมือนมารดาล่อกแล่กไม่ยอมสบตามัทนี เนื่องจากว่าเมื่อคืนวานมัทนีให้ตัวเลือกกับเขาเพื่อเข้าชมรมกีฬา และเขาเองก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเข้าชมรมเดียวกันกับเพื่อน
“อะไรกัน วาดรูปอีกแล้ว พ่อคุณ แค่นี้ก็วาดจนไม่รู้จะเก่งไปแข่งกับใครแล้วนะเว้ย” มัทนีพูดเสียงดัง จนทำให้เด็กที่ทำเวรความสะอาดอยู่ในห้องเรียนหันมามอง “เอ็งสัญญาแล้วนี่ว่าจะเข้าชมรมเดียวกัน คิดดูนะไอ้เล็ก ชมรมบาสเก็ตบอลก็เราก็มีเฮียควันเป็นกัปตันทีม ส่วนถ้าเข้าชมรมฟุตบอล เกิดผลงานดีเราอาจได้ไปเตะงานฟุตบอลรวมสี่สถาบันเลยนะเว้ย เก่ง ๆ อย่างเอ็งน่ะเป็นมิดฟิลด์ตัวจริงได้เลยเถอะ”
“เฮียควันยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ชอบหน้าเล็กอยู่ เอ็งก็รู้” จันทิมันตุ์กล่าวพลางยิ้ม ๆ เมื่อพูดถึง เหนือควัน เกริกวานิช ญาติผู้พี่ที่เรียนร่วมสถาบันเดียวกัน ขณะที่จันทิมันตุ์เรียนอยู่ชั้นมัธยมที่สี่ เหนือควันก็เรียนอยู่ชั้นมัธยมที่ห้า
“เฮียควันก็แค่ไม่ชอบใครที่ยุ่มย่ามกับพี่รินแค่นั้นล่ะ จริง ๆ แล้วเฮียแกก็เป็นพี่ที่ดีนี่หว่า” มัทนียักไหล่ ถึงเหนือควันจะขี้แกล้งขี้จับผิดเพียงไหน แต่ก็เป็นแค่พี่สมัยเด็กคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นลูกเจ้านายของมารดาตนอีก เรียกได้ว่าเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออกไม่แพ้กัน “ผิดที่เอ็งน่ะเป็นน้องคนโปรดของพี่รินต่างหาก ถ้าโดนเฮียแกล้ง เราก็แอบเอาไปกระซิบบอกพี่รินก็ได้นี่”
“เฮ้อ นี่จะให้เล็กเข้าชมรมกีฬาให้ได้เลยใช่ไหม” เจ้าของกลิ่นมิ้นท์พึมพำ “เอาเป็นว่าจะลองไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละชมรมก่อนแล้วกัน ว่าอยู่ทั้งชมรมศิลป์และชมรมบาสเก็ตบอลได้ไหม ถ้าได้ก็จะลงชื่อทั้งสองชมรมเลย”
“โห...กะจะลงสองชมรมเลยหรือวะ ไอ้เล็กนี่เอ็งจะยอดมนุษย์ไปแล้วนะ” เด็กสาวเบ้ปาก นึกหมั่นไส้เล็ก ๆ ที่เพื่อนสนิทไม่ว่าทำอะไรก็ทำได้ดีไปเสียหมด “แต่ก็เอาเถอะ ถ้าทำได้ก็ดีไป อย่างไรอาจารย์ก็ต้องอยากได้เด็กเก่ง ๆ อย่างเอ็งอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีเด็กที่เก่งที่สุดอย่างข้าในชมรมแล้วก็ตาม”
“เอ้า เจ้าภัทรน้อย เจ้านัดน้อย!” เสียงของชายวัยใกล้เกษียณดังมาจากทางห้องพักครูหมวดสังคมที่อยู่สุดทางเดิน ทำเอาอันฬาน้อยทั้งสองถึงกับหันไปมองทันควัน “มาช่วยครูยกของทางนี้หน่อยมา!”
“ค่า! เดี๋ยวจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละค่า” มัทนีหัวเราะแห้งก่อนจะหันกลับไปขานรับอาจารย์ประจำชั้น “เมื่อไหร่ครูเฉลิมจะเลิกเรียกชื่อพ่อเราแทนชื่อเราสักทีนะ”
“ยากแล้วล่ะ เล็กเคยได้ยินครูเขาตะโกนเรียกเฮียควันว่าเพลิงน้อยด้วย...อย่างว่านะ เขาสอนมาตั้งแต่รุ่นพ่อเรานี่” จันทิมันตุ์กล่าวยิ้ม ๆ
จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปยังห้องหมวดสังคมตามคำสั่งของอาจารย์ ภาพของเด็กหนุ่มและเด็กสาวอันฬาทั้งคู่ดูจะเป็นที่จับตาของใครหลายคน ด้วยเพราะรูปลักษณ์ที่ชวนมอง และความสามารถของทั้งสองที่โดดเด่น ถึงจันทิมันตุ์และมัทนีจะเป็นลูกทหารยศนายพันและศิษย์เก่าของโรงเรียน แต่ทั้งคู่ต่างก็สอบเข้ามาเรียนด้วยตนเองทั้งคู่
ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่สวนกุหลาบ รายมัทนีก็พอจะรู้เรื่องชื่อเสียงของพวกตนตามประสาเด็กที่เติบใหญ่ในเมืองหลวง ทว่าจันทิมันตุ์กลับไม่รู้อะไรเลย เพราะตั้งแต่เกิดจนอายุได้สิบหกปีจันทิมันตุ์ก็เติบโตและอาศัยอยู่ที่หัวหินกับครอบครัวมาตลอด พ่อและแม่ก็เลี้ยงเขาให้เหมือนกับเด็กชาวบ้านทั่วไป เรียนรู้และอยู่ท่ามกลางผืนทรายอันมีเบื้องหน้าเป็นทะเล เขาจึงไม่ได้ออกสื่อหรืองานสังคมมากนัก อุปนิสัยซื่อ ๆ แต่เก่งกาจจนน่าตกใจ ทำให้ในเวลาไม่นาน จันทิมันตุ์ก็เป็นที่รักของเพื่อน ๆ และเป็นที่ต้องการของรุ่นพี่และครูอาจารย์ในทุกชมรมก็ว่าได้
“เอ้อ มัด ค่ำนี้ขอไปนอนที่บ้านด้วยหน่อยสิ” จันทิมันตุ์กล่าวกับเพื่อนสนิทขณะเดินออกจากตัวอาคารหลังช่วยงานอาจารย์เสร็จ และถึงเวลาเลิกเรียน “อยู่บ้านคนเดียวมันเบื่อ”
“ผู้รับใช้เสด็จตาเอ็งที่วังตั้งเยอะตั้งแยะ มาเบื่ออะไรกันเล่า” มัทนีส่ายหัวยิ้ม ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนสนิทขอไปนอนที่บ้านของตน “แต่ก็นะ...บ้านข้าน่ะวันไหนเอ็งอยากมานอนก็นอนได้เสมอ พ่อกับแม่ยิ่งอยากให้ไปอยู่เลยด้วยซ้ำ”
“อยู่เลยก็ดีน่ะสิ...” จันทิมันตุ์เกาหัวแกรก “แต่ว่านะ...ถ้าไปอยู่ คุณแม่ต้องดุเล็กแน่เลยเชียว อุตส่าห์ส่งมาให้เรียนรู้อยู่ตัวคนเดียวให้ได้ในพระนคร แต่ดันไปอาศัยกินนอนที่บ้านลุงนัดบ้าง แปะเพลิงบ้าง”
“บ้านเอ็งนี่ก็แปลกนะ...บ้านไหน ๆ เขาก็ชมก็เชิดชูลูกที่เป็นอันฬาทั้งนั้น มีบ้านเอ็งเนี่ย เตะเอ็งออกมานอกบ้านเสียอย่างนั้น ฮ่า ๆ” มัทนีเสริม เพราะตนก็ไม่เข้าใจวิธีการเลี้ยงลูกของบ้านเพื่อนสนิทเท่าไหร่ เนื่องจากครอบครัวของตนนั้นมีแต่อันฬา ไล่เรียงตั้งแต่ลุง ๆ ลูกพี่ลูกน้อง และน้องชายของตนก็เป็นอันฬากันทั้งหมด
“โรงเรียนคุณแม่เป็นโรงเรียนที่มีแต่กาฬวิฬาร์กับบรรตาหญิงนี่นา...เคยบอกไปแล้วนี่ ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ เพื่อนสนิทกันจริงหรือเปล่าไอ้คุณมัด” จันทิมันตุ์กระตุกผมแกละข้างหนึ่งของเพื่อนเบา ๆ เพื่อก่อกวน ทำเอามัทนีถึงกับหันมาฟาดกระเป๋าหนังจาค็อบใส่หลังเด็กหนุ่มดังตุ้บ เขาพยายามแก้ต่างให้บิดาและมารดา ที่คุณภัทรละคุณมิ่งส่งเขามาเรียนที่พระนครก็เพราะอยากฝึกให้จันทิมันตุ์ดูแลตนเอง และได้รับการศึกษาที่เหมาะสม เนื่องจากตัวคุณมิ่งเองเห็นแววความฉลาดของลูกชายคนกลางที่สามารถพัฒนาได้ไกล หากได้เรียนกับครูอันฬาเก่ง ๆ ในเมืองใหญ่ “คิดแล้วยังตกใจไม่หาย มาถึงนี่ ใครจะคิดว่าเสด็จตาจะเป็นเจ้า แม่ตัวเองก็เป็นเจ้า เข้าใจว่าตัวเองเป็นลูกทหารกับครูชาวบ้านมาตลอด คุณปู่กับคุณย่าก็ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”
“ปู่กับย่าเอ็งจะบอกอะไรล่ะ ดูคำนำหน้าเสด็จตาเอ็งด้วย ว่าก็ว่าเถอะนะ เสด็จตาของเอ็งยิ่งแล้วใหญ่ ตรัสบอกหลาน ๆ มาได้อย่างไรว่าพระองค์เป็นชาวประมง” มัทนีหัวเราะร่วน นึกเอ็นดูเพื่อนสนิททุกครั้งยามเมื่อจันทิมันตุ์พูดถึงเสด็จตา เพราะรู้ว่าครอบครัวของจันทิมันตุ์พยายามเลี้ยงเพื่อนและพี่น้องให้ธรรมดาที่สุด จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องฐานันดรที่ไม่ใช่เรื่องทั่วไปให้ฟัง จนกระทั่งจันทิมันตุ์โตและมารู้ด้วยตนเองเมื่อตอนย้ายมาเรียนใหม่ ๆ เด็กสาวจำได้ถึงขั้นว่าเพื่อนสั่งให้คนรถขับรถไปบ้านย่า แล้วขอให้ย่าช่วยอธิบายเรื่องฐานันดรต่าง ๆ ให้ฟัง ซ้ำยังแวะมาที่บ้านของตนเพื่อถามพันโทมนัส พ่อของตน เพื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่มารดาของจันทิมันตุ์เป็นหม่อมเจ้าชายมาก่อน
“จริง ๆ เล็กก็โกรธนิดหน่อย ที่ไม่มีใครยอมบอกเรื่องนี้กับเล็กเลย แต่ก็เข้าใจคุณแม่คงไม่อยากให้เล็ก พี่ใหญ่ หนูนิด ยึดติดกับคำนำหน้าอะไรนั่น” จันทิมันตุ์พึมพำ นึกภาพตนเมื่อเกือบเดือนก่อนที่ตื่นตระหนกกับวังของเสด็จตา และคำบอกเล่าของผู้รับใช้ เขาเกิดมาสิบหกปีกลับไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตาของตนมีวังใหญ่กลางกรุงฯ ภาพของเสด็จตาของเขา มีแค่คุณตาที่ชอบแวะมาเล่นกับหลาน ๆ ทุกเย็นจากบ้านริมหาดถัดจากบ้านตนเท่านั้น ถึงแม้ว่าบ้านริมหาดของตาจะใหญ่กว่าบ้านชาวบ้านธรรมดาไปหลายขุม แต่เพราะความไร้เดียงสาที่ไม่รู้ว่าฐานันดรคืออะไร หม่อมหลวงในชื่อบิดาตนก็ไม่เคยสงสัย ทำให้ไม่ได้เตรียมใจว่าเจ้าชายเจ้าหญิงในเทพนิยายจะอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อม
คุณแม่เคยเป็นเจ้าชาย
“กล้าโกรธคุณน้ามิ่งด้วยหรือ ไม่จริงหรอก ข้าน่ะไม่เชื่อ เล็กรักคุณน้ามิ่งจะตายชัก” มัทนียิ้มกว้างอย่างรู้ทัน นอกจากจันทิมันตุ์จะเป็นเพอร์เฟคแมนแล้ว เด็กสาวก็รู้ว่าเพื่อนเป็นแฟมมิลี่แมนอีกด้วย “เฮ้อ ถ้าวันนี้คุณหนูเล็กไปนอนบ้าน อย่างนี้ข้าก็ได้นั่งรถคันโก้กลับบ้านน่ะสิ ดีเหมือนกันขี้เกียจไปเบียดบนรถเมล์”
“ไม่...วันนี้เล็กว่าจะลองนั่งรถเมล์ ดังนั้นเอ็งต้องพานั่ง” จันทิมันตุ์ยิ้มตาหยี เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะให้คนขับรถที่วังไปเอาเสื้อผ้าตนไปให้ที่บ้านวงศ์อัศวิน ส่วนตนก็จะชิมลางนั่งรถโดยสารประจำทางในพระนครครั้งแรก “ระดับผู้เชี่ยวชาญในการโหนรถอย่างคุณมัดแล้ว เล็กไว้ใจนะ”
“ไอ้นี่...จริง ๆ เลยเชียว มีรถนั่งดี ๆ ล่ะไม่นั่ง ไม่รู้จะอยากลำบากทำไม” มัทนีเบ้หน้า บางทีตนก็นึกอิจฉาจันทิมันตุ์หรือเด็กบ้านเกริกวานิชที่อยู่กันอย่างคุณหนู ขณะที่บิดาของตนเลี้ยงให้ตนกึ่งตามใจกึ่งลำบาก “งั้นเอาอย่างนี้ วันวิสาขบูชาที่จะถึง เอ็งจะกลับบ้านที่หัวหินใช่ไหม ข้าขอไปด้วยสิ ไหน ๆ เอ็งก็ไปนอนบ้านข้าแล้ว ช่วยขอแม่ข้าให้ที ข้าอยากไปทะเล”
“อ่า...เล็กไม่แน่ใจว่าจะได้กลับไปหรือเปล่านะ” จันทิมันตุ์ทำเป็นคิดตามเพื่อน ก่อนจะแกล้งพูดให้ใจเสีย “คุณน้าวาดจะให้หนูมัดไปเที่ยวไหมนะ...จะให้ไปไหมนะ...”
“ไอ้เล็ก...เดี๋ยวนี้ชักหัดกวนตีนใหญ่แล้วนะเอ็งนะ ข้าน่ะรู้มาเถอะว่าบ้านเกริกวานิชเขาก็จะไปเที่ยวด้วย ยังไงเอ็งก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว นี่มันงานรวมญาติชัด ๆ”
“อืม...ไม่เห็นรู้เลยว่าบ้านแปะเพลิงจะไปหัวหิน—”
“เห้ย! ไอ้สองตัวนั้นน่ะ ไปเก็บลูกบาสมาให้เฮียหน่อยเร็ว” เสียงของอันฬาหนุ่มอีกคนดังมาจากด้านหลัง ทั้งจันทิมันตุ์และมัทนีต่างมองตามลูกบาสที่กลิ้งไปหน้าประตูโรงเรียน ก่อนจะมองกลับไปยังเจ้าของเสียงดังกล่าว “เร็วเข้าครับผม”
“อะไรน่ะเฮีย มือก็มี เก็บเองสิ” มัทนีกลอกตา ก่อนจะเหน็บกระเป๋านักเรียนใต้รักแร้แล้วเท้าสะเอวบ่นเหนือควัน เพื่อนรุ่นพี่สมัยเด็กของตนและญาติผู้พี่ของจันทิมันตุ์ แต่ไหนแต่ไรเหนือควันก็ขี้แกล้งขี้แซวเสมอ “เร็วสิเฮีย ไปเก็บเองไป”
“ดุจังเว้ย ก็ได้ ๆ ไม่มีน้ำใจเลยพวกมอสี่” เหนือควันกลอกตากลับ ก่อนจะเดินไปเก็บลูกบาสที่กลิ้งมาหยุดที่ปลายเท้าของจันทิมันตุ์ “ไอ้เล็ก ป๊าเฮียบอกว่าจะยกขโยงทั้งบ้านไปหาอาภัทรล่ะ แสดงว่าเอ็งก็ต้องไปด้วยสินะ”
“เอ่อ...ครับ เฮียควัน”
“นั่นไง อย่างนี้เฉไฉไม่ได้แล้วนะโว้ยว่าไม่ได้กลับหัวหินน่ะ” มัทนีพูดดักคอจันทิมันตุ์ที่ทำหน้าล่อกแล่กเพราะถูกจับไต๋ได้ “ไม่รู้ล่ะ ช่วยพูดกับแม่ให้หน่อยนะ แม่ข้าน่ะทำงานเยอะไปแล้ว อยากให้พักบ้าง”
“ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ก็ได้ ๆ เดี๋ยวเล็กจะช่วยพูดให้นะ” จันทิมันตุ์ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ การที่เหนือควันจู่ ๆ ก็โผล่มาพูดเรื่องหัวหินไม่ใช่อะไรที่เขาคิดไว้แต่แรก และนั่นมันก็ทำให้เขาแกล้งเพื่อนไม่สำเร็จ
“คุยเรื่องอะไรกันวะนั่น” เหนือควันคว้าลูกบาสขึ้นมาถือ บุตรชายคนโตจากตระกูลเกริกวานิชมองน้องทั้งสองไปมาด้วยความไม่เข้าใจนัก เขาพูดเตือนก่อนจะเดินขึ้นตรงไปที่รถฝรั่งคันงามที่ขับมาจอดหน้าโรงเรียนเพื่อมารับตน “เอาเถอะ ไว้เจอกันวันเสาร์แล้วกัน แล้วก็นะ อย่าหวังว่าจะได้นั่งกับน้องรินล่ะ ทั้งคู่เลย เฮียจะนั่งข้างน้องรินตั้งแต่หัวลำโพงถึงหัวหินเอง ไปล่ะเด็ก ๆ บ้ายบาย”
“หวงน้องไม่ใช่เล่น ๆ แล้วนะนั่น เฮียควันหน้าตาก็เหมือนพี่รินอย่างกับแกะ แต่ไม่เห็นจะนิสัยนางฟ้าเหมือนพี่รินสักนิด” มัทนีแลบลิ้นใส่เหนือควันที่เปิดกระจกมาโบกมือให้ตนกับจันทิมันตุ์ เป็นที่รู้กันดีว่าเหนือควันนั้นหวงน้องฝาแฝดที่เป็นกาฬวิฬาร์อย่างกับอะไรดี ขนาดจันทิมันตุ์ที่เป็นญาติหรือตนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กยังเข้าใกล้แทบไม่ได้ ด้วยเพราะเป็นอันฬา “ว่าแต่รถที่วังเอ็งเมื่อไหร่จะมาวะ จะได้บอกลุงเขาว่าเอ็งไม่นอนบ้านคืนนี้ รถเมล์ไปท่าพระอาทิตย์ก็เพิ่งขับออกไปนะนั่น อีกสักพักโน่นคันต่อไปถึงจะมา”
“มัด...เล็กมีเรื่องอยากสารภาพล่ะ” จันทิมันตุ์จับไหล่เพื่อนสนิท เสียงของเด็กหนุ่มดูเบาลงจนมัทนีต้องเงี่ยหูฟัง “เล็กคิดถึงคุณแม่มิ่งมาก ๆ เลย...ถ้าไปบ้านมัดแล้ว...เล็กขอกอดน้าวาดจะเป็นอะไรไหม”
“ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย...ได้สิวะ อย่าลืมสิ แม่ข้าก็เหมือนแม่เอ็งนั่นล่ะเพื่อน”
๓๐%
ต่อในเล่ม
(สปอยไหมคะเนี่ย ฮา)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบความญาติพี่น้องมากๆเลย