ตอนที่ 16 : บทที่ ๑๖ : ฝันอันสูงสุด
บทที่ ๑๖ ฝันอันสูงสุด
พ.ศ. ๒๕๐๐
ชายหนุ่มในชุดนักเรียนนายร้อยค่อย ๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยครั้นเมื่อรถยนต์สีครีมของบิดาแล่นมาจอดยังลานน้ำพุของวังอรุณรัตน์ สถานที่ที่ซึ่งเขานั้นเข้าออก
เป็นประจำตั้งแต่อ้อนแต่ออก แม้ว่าจะสอบติดโรงเรียนนายร้อย แต่เมื่อครั้นมีวันหยุดหม่อมหลวงภัทรดนัยในวัยสิบเก้าปี ก็ต้องแวะเวียนมาสอนดนตรีพระโอรสของเจ้าเจ้าของวังเป็นประจำ
“ทำตัวดี ๆ นะภัทร หน้าที่ของเรามีอะไรก็ทำตามนั้น ประเดี๋ยวสักหัวค่ำพ่อจะขับรถมารับ” คุณชายภาคภูมิกล่าวกับบุตรชายก่อนที่คุณภัทรจะลงจากรถ
“ครับผม เอ่อ คุณพ่อครับ ประเดี๋ยวเย็นนี้ผมนั่งรถรางกลับเองก็ได้ครับ” ชายหนุ่มกล่าวกับผู้เป็นบิดา หวังให้อีกฝ่ายพอใจที่ตนโตแล้ว และดูแลตนเองได้ คุณชายภาคได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับทันที แล้วจึงขับรถออกจากบริเวณวังไป
“สวัสดีค่ะ โอ้โห คุณภัทรไม่เห็นหน้าค่าตาเป็นเดือน กลับมาคราวนี้คมเข้มขึ้นเยอะเลยนะคะ โรงเรียนทหารคงฝึกหนักน่าดูเชียว” สาวรับใช้ของวังทักขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม คุณภัทรเองก็ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความเขิน เพราะตั้งแต่เข้าโรงเรียนทหารไปก็แทบไม่ได้ดูแลตัวเองเลย จนตอนนี้ผิวขาว ๆ ที่ได้มาจากแม่นั้นแทบไม่เหลือติดตัวเพราะไหม้แดด
“สวัสดีครับ คุณนมครับ พระองค์ท่านอยู่ไหมครับ ผมจะได้ไปเข้าเฝ้า” คุณภัทรยกมือไหว้เจ้าหล่อนแล้วเอ่ยปากถาม
“อ๋อ พระองค์ทรงเสด็จไปงานสมาคมข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านชายทรงเล่นอยู่ในสวนโรมัน ให้นมไปเรียนให้ไหมเจ้าคะ” เจ้าหล่อนร่ายยาวอย่างคนคุ้นเคย เนื่องจากคุณภัทรเองก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าของวังอรุณรัตน์
“ไม่เป็นไรครับ ประเดี๋ยวผมไปหาท่านชายเองดีกว่า นมอิ่มจะได้ทำธุระของนมด้วย ขอบพระคุณครับ” คุณภัทรเสนอ และดูสาวใช้ก็เห็นด้วยเช่นกัน
จากนั้นคุณภัทรก็เดินลัดตัวอาคารและตรงไปยังสวนโรมันของวังทันที เขาจำได้ว่าสถานที่โปรดในวังอรุณรัตน์ของเขาเองก็คือที่แห่งนี้ เนื่องจากมีการประดับประดาด้วยรูปปั้นหายากจากต่างประเทศ ชายหนุ่มจึงรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้มาเยือน แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องหาลูกศิษย์แก้มกลมของเขาให้เจอก่อน
“พี่ภัทร!” เสียงเจื้อยแจ้วของพระโอรสของวังอรุณรัตน์ดังขึ้นทันที ท่านชายมิ่งขวัญในวัยสิบห้าปีโผล่มาจากพุ่มไม้ทำเอาเขารู้สึกตกใจนิด ๆ คงเพราะนึกสนุกอยากแกล้ง แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้ชายชาติทหารอย่างเขากลัวไม่
“ออกมานี่เลย ถ้าคุณนมจับได้ ประเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” คุณภัทรหัวเราะแล้วออกคำสั่งกับเจ้านายจอมดื้อ คิดไปแล้วก็เกือบสิบปีแล้วเหมือนกันตั้งแต่ที่เขานั้นได้มาเยือนวังอรุณรัตน์ และเป็นพี่ชายคนสนิทของหม่อมเจ้ามิ่งขวัญ อรุณรัตน์เสียอย่างนั้น เพราะเขาเป็นคนแรกที่สอนอีกฝ่ายเล่นฟลุต จากนั้นมาท่านชายก็ไม่ยอมเรียนฟลุตกับใครอีกเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ชั้นครูมาจากไหนก็ตามที
“อืม เราจะออกไปเดี๋ยวนี้— พี่ภัทร!” จู่ ๆ ท่านชายมิ่งขวัญก็ร้องขึ้น สีหน้าของคนตัวขาวไม่สู้ดีนัก
“มีอะไรหรือครับ” คุณภัทรรีบปรี่ตรงไปหาอีกฝ่ายตรงพุ่มไม้ทันที
“มีอะไรไต่หลังมิ่งก็ไม่รู้!” ท่านชายตัวกลมเริ่มเบะปากราวกับจะร้องไห้ออกมา
“อยู่นิ่ง ๆ นะครับ ประเดี๋ยวพี่ดูให้” คุณภัทรกล่าวแล้วรีบเดินอ้อมไปดูด้านหลังของพุ่มไม้ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหักกิ่งไม้ออกเพื่อช่วยเจ้านาย ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเข้าไปได้อย่างไรก็ตามที
“มะ...มันคืออะไรหรือครับ มิ่ง...มิ่งกลัว มันออกไปหรือยัง”
“ฮะ—ฮ่า ๆ ๆ” คุณภัทรระเบิดหัวเราะออกมาทันที เมื่อส่องแล้วเห็นว่ามีดอกพุดซ้อนตกลงไปอยู่ตรงปกคอเสื้อด้านหลังของท่านชาย ในทีแรกนึกไปก่อนเสียแล้วว่าคงเป็นแมลงมีพิษที่ไหนได้ ท่านชายกลับกลัวไปเองเสียนี่
“พี่ภัทรขำอะไรน่ะครับ มิ่งกลัวนะ!” ท่านชายมิ่งขวัญโวยวายเสียงสูง
“ไม่ใช่ตัวอะไรหรอกครับ ดอกไม้น่ะ ก็มิ่งเล่นมุดเข้ามาในดงดอกพุดซ้อนนี่” คุณภัทรว่าพลางล้วงมือหยิบดอกพุดซ้อนออกมาจากปกเสื้อของท่านชาย จากนั้นจึงเดินไปด้านหน้าของพุ่มไม้
“อ้าว จริงหรือครับ” คนตัวขาวทำตาโต
“จริงสิ ดอกไม้น่ะเป็นของสวยงาม จะไปทำร้ายใครได้เล่า—” คุณภัทรว่าพลางหยิบดอกพุดซ้อนทัดหูท่านชายมิ่งขวัญอย่างเอ็นดู แต่เขาต้องชะงักเมื่อคล้ายจะจับสังเกตได้เหมือนกันว่าท่านชายของเขานั้นผอมลงไปมาก จากแก้มย้วย ๆ ตอนนี้ก็ดูเหมือนพองลมเสียมากกว่า อีกทั้งใบหน้าหวานของท่านชายก็รับได้ดีกับดอกไม้ดังกล่าวเสียด้วย เขาไม่ปฏิเสธใจตัวเองแม้แต่น้อยว่าท่านชายมิ่งขวัญนั้นงามมาก...มากจนหัวใจของเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
งามงั้นหรือ...
“ทัดหูให้มิ่งหรือครับ” ท่านชายหัวเราะแล้วส่งรอยยิ้มมาให้เด็กหนุ่มคล้ายกับจะลองเชิง
“พะ...พี่ว่ามิ่งออกมาดีกว่า เราต้องเรียนฟลุตกันนะ” คุณภัทรรีบเดินไปหยิบกล่องฟลุตในกระเป๋าทันที อาจเพราะยังเด็กเขาจึงไม่เข้าใจนักว่าความรู้สึกราวกับผีเสื้อบินวนในท้องนั้นคืออะไร
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๖
วังริมหาด ณ ขณะนี้เรียงรายไปด้วยเก้าอี้และโต๊ะที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว ซุ้มทางเข้างานแต่งที่ถูกถักทอด้วยดอกพุดซ้อนทั้งซุ้มตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น หากมองเลยไปจากซุ้มแล้ว จะพบกับเวทีสีขาวที่มีพื้นหลังภาพทรายสีขาวกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ภายในตำหนัก ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำขลับกำลังทอดสายตาเก็บภาพบรรยากาศข้างนอกอยู่เงียบ ๆ
เจ้าของใบหน้าหวานหัวเราะเล็ก ๆ เมื่อเดินหันหลังแล้วเห็นตนเองในกระจก ทั้งที่เป็นวันสำคัญ แต่ดวงตาของท่านชายกลับดูบวมเป่งกว่าปกติ อาจเป็นเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักในตอนเช้า ตั้งแต่ในตอนที่คุณภัทรฝ่าด่านประตูเงินเข้ามาหา จวบจนถึงการรดน้ำสังข์ เขาไม่เคยกลั้นไม่ให้น้ำตาคลอเบ้าได้เลย โดยเฉพาะตอนที่พระบิดาอวยพรให้ตนและเจ้าบ่าว และตอนที่เห็นคุณชายภาคอยู่ในพิธี
พิธีช่วงเช้าเป็นไปตามขนบธรรมเนียมไทยถูกต้องทุกประการ หลังจากพิธีรดน้ำสังข์ก็เป็นเวลาสังสรรค์พูดคุยของญาติบ่าวสาวและแขกเหรื่อ ท่านชายมิ่งจำได้ว่าตนแซวเรื่องร้องเพลงชื่นชีวิตของว่าที่สามีไปหลายต่อหลายครั้ง จนคุณภัทรถึงกับหน้าแดงหูแดงไปหมด พอเข้าช่วงสายก็เป็นเวลาที่ผู้มาร่วมงานพักผ่อนหลัง
จากต้องออกมาร่วมงานแต่เช้า และให้เวลาแต่งหล่อสวยจนกว่าจะถึงเวลาห้าโมงเย็นตามฤกษ์งานเย็น
ส่วนพิธีในตอนเย็นนั้นองค์ฯ โชติทรงเสนอให้จัดงานกึ่งแบบฝรั่ง เนื่องจากการควงพระโอรสหัวแก้วหัวแหวนไปส่งถึงมือเจ้าบ่าวในวันแต่งงาน ถือเป็นความฝันของผู้เป็นพ่ออย่างพระองค์ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีพิธีที่ออกไปทางศาสนาคริสต์ใด ๆ เนื่องจากบ่าวสาวนั้นนับถือศาสนาพุทธทั้งคู่
“งามยิ่งนักค่ะ ดิฉันแต่งตัวให้กาฬวิฬาร์ชายมาก็ไม่น้อย แต่ฝ่าบาททรงสิริโฉมที่สุดจริง ๆ” หญิงสาวผู้ดูแลการแต่งกายของท่านชายมิ่งกล่าวขณะจัดแจงชุดสูทให้เขา “ไม่น่าล่ะ ใคร ๆ ถึงเรียกฝ่าบาทว่ากาฬวิฬาร์เจ้า”
“เธอก็พูดเกินไป” ท่านชายยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวกับหล่อน
“หาไม่ได้หรอกกระหม่อม งานวันนี้ท่านชายงามที่สุดก็ถูกแล้ว” คุณชาย
ทั่วงาน
“อ้าว ชายสองชุดนั่นน่ารักดีนะ” ท่านชายทักขึ้น เมื่อเห็นว่าสหายคนสนิทสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่เทอะทะสำหรับคนท้อง ชุดงานเย็นของคุณชายสองดูน่ารักน่ามองระคนน่าเอ็นดู
“เป็นพระกรุณา...” คุณชายสองพึมพำแล้วดึงแขนเสื้อของผู้เป็นสามีเอาไว้แน่น จู่ ๆ โดนชมก็คงจะเขินไม่น้อย
“กระผมเลือกให้น่ะครับ ว่าจะพาสองมาฝากไว้ที่นี่ก่อน ส่วนผมจะแยกไปกับเจ้าบ่าวมัน” ดั่งเพลิงกล่าวกับเขาด้วยท่าทางสบาย ๆ คงเพราะนิสัยขี้ร้อนจึงทำให้ชายหนุ่มถอดสูทแล้วเอาพาดแขนเดินไปมา
“อืม มานั่งเล่นกับกันจนกว่าจะถึงเวลาเถอะ กันอยากได้เพื่อนคุยพอดี” ท่านชายมิ่งพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“กระหม่อมอยากมาอยู่กับท่านชายอยู่แล้วต่างหาก” คุณชายสองบุ้ยปากใส่สามีไปหนึ่งครั้ง ก่อนที่ดั่งเพลิงจะออกไป ดูท่าจะดื้อขึ้นกว่าหลายเดือนก่อนหลายเท่า อาจเป็นฤทธิ์ของเด็กสองคนในท้องคุณชายสองก็เป็นได้
“มานี่ โบจะหลุดแล้ว ให้พี่ผูกให้ก่อนเร็ว” ดั่งเพลิงที่กำลังจะเดินออกไปสังเกตเห็นริบบิ้นสีดำบนคอของคุณชายสองจะหลุด เขาจึงเอื้อมมือไปผูกมันด้วยความเคยชิน “มาอยู่นี่อย่าดื้อวิ่งไปมานะครับ ไม่เช่นนั้นค่ำนี้จะต้องงดขนม”
“ครับ พี่เพลิง” คุณชายสองเองก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจอะไร ทั้งยังพยักหน้าหงึกหงักรับทราบอย่างว่าง่าย
ภาพดังกล่าวทำเอาทั้งช่างแต่งหน้าแต่งตัวและท่านชายถึงกับยืนมองด้วยความเอ็นดู โดยเฉพาะคนตัวขาว เรียกว่าในหลายเดือนมานี้เหล่ากาฬวิฬาร์เองก็เริ่มแต่งตัวด้วยริบบิ้นผูกคอมากขึ้น แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ว่าที่สามีของตนจะนำมันมาผูกบ้าง พอเห็นริบบิ้นบนคอของคุณชายสอง เขาก็แอบนึกอยากมีบ้างเหมือนกัน ยิ่งพอคิดว่าหากจะผูกริบบิ้นที่คอได้ ตนต้องผ่านการตีตราก่อน คนตัวขาวก็หน้าเห่อร้อนทันที ยิ่งในค่ำนี้จะต้องเข้าหอด้วยแล้ว
“ท่านชายทรงเป็นอะไรหรือกระหม่อม สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก” คุณชายสองหันมาถามมิ่งขวัญทันที หลังจากที่ดั่งเพลิงเดินออกไปจากห้อง
“ไม่มีอะไร ชายสองไปนั่งเล่นที่รังกับกันไหม” ท่านชายมิ่งรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาจูงมือคุณชายสองไปยังประตูที่เชื่อมห้องแต่งตัวและห้องนอนอยู่ เพราะเหลือเวลาอีกราวชั่วโมงกว่าจะห้าโมงครึ่งตนจึงไม่รู้จะทำอะไรมากนัก ถ้าหากเป็นเวลาปกติตนคงออกไปขี่ม้าหรือเดินเล่นริมหาดแล้ว
เมื่อผ่านประตูไม้ทรงชิโนโปรตุกีสไปก็ปรากฏเป็นห้องนอนที่ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย แต่ข้างเตียงนั้นคือกองหมอนขนาดใหญ่นับยี่สิบใบ ด้านบนกองหมอนนั้นมีตุ๊กตาหมีราคาแพงและตุ๊กตากระต่ายจากงานวัดวางอยู่ อันเป็นจุดที่ตนนั้นมักจะมานอนพักผ่อนเล่นยามเหนื่อยล้า ตั้งแต่เริ่มศักราชใหม่เมื่อสองเดือนก่อน ท่านชายมิ่งก็เริ่มไม่นอนที่เตียงเหมือนอย่างเคย คล้ายกับร่างกายนั้นต้องการที่จะนอนในรังเสียตลอดเวลา
“สบายจริง” คุณชายสองพึมพำขณะค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนกองหมอน คนตัวเล็กต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะต้องรับผิดชอบลูกน้อยในท้องถึงสองคน
“ดูสิ บ่นเหมือนคนมีอายุเลย เสด็จพ่อก็ชอบตรัสเช่นนี้เวลาทิ้งตัวนั่ง”
ท่านชายมิ่งหัวเราะขณะมองท่าทางของสหายคนสนิท
“กระหม่อมปวดหลังน่ะ คงเพราะเดินไปเดินมามากไปเสียหน่อย” คุณชายสองพึมพำขณะยกกล้องฟิล์มขึ้นส่อง
“ชายสอง กันขอจับท้องอีกได้ไหม” คนตัวขาวมองหน้าท้องของสหายสลับกับใบหน้าของสหาย ดวงตาที่ดูน่าแกล้งให้ร้องไห้เมื่อครู่เป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฝ่าบาททรงรู้ตัวหรือไม่ว่าทรงขอจับหน้าท้องกระหม่อมบ่อยมาก ต่อไปอยากจับก็ให้เอามือมาแตะเลยก็ได้นะ กระหม่อมไม่ว่าหรอก” คุณชายสองหัวเราะคิกคักแล้วจับมือของมิ่งขวัญมาทาบบนท้อง
“เอ๊ะ...ชายสอง!” ท่านชายมิ่งตาโตทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหน้าท้องคุณชายสองขณะวางมือลงไป แม้ว่าก่อนหน้านี้ขอลองจับไปหลายคราว แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกได้เลยว่าหลานกำลังดิ้น
“เด็ก ๆ คงเริ่มหิวอีกแล้วมัง...อย่างที่กระหม่อมเคยทูล สองคนนี้เขาชอบดิ้นเมื่อหิวและก่อนนอนน่ะกระหม่อม” คุณชายตัวผอมยิ้มบางแล้วยกมือขึ้นลูบ
หน้าท้องของตน
“น่ามหัศจรรย์จริง...กันอยากมีลูกบ้าง” เจ้าของปากกระจับพึมพำเบา ๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่านชายมิ่งอยากมีลูกขึ้นมา หากอิงตามหลักวิชาการคงเป็นเพราะเขาจัดอยู่ในช่วงวัยที่พร้อมสำหรับการมีลูก แต่หากตามความรู้สึกแล้วนั้น ท่านชายเพียงแค่ปรารถนาจะมีเจ้าตัวน้อยกับคนที่รักเท่านั้น
“หะ...หากฝ่าบาทอยากมีลูก ฝ่าบาทต้องรับสั่งกับคุณภัทรนะกระหม่อม” คำพูดอันใสซื่อของคุณชายสองทำเอาท่านชายมิ่งถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ในจังหวะที่เขาหัวเราะอยู่นั่นเอง คุณชายสองก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเขาเอาไว้ทันที
“จะถ่ายทำไมถึงไม่บอกกันก่อนล่ะ เกิดออกมาน่าเกลียดจะทำอย่างไร” ท่านชายทักท้วง
“เจ้าบ่าวเขาขอมานี่ครับ ว่าอยากให้ถ่ายรูปเจ้าสาวของเขาไว้เยอะ ๆ” คุณชายสองโยกตัวไปเบียดกับไหล่ของมิ่งขวัญเบา ๆ เชิงหยอกล้อ
“จริงหรือ...พี่ภัทรบอกเช่นนั้นหรือ” คนตัวขาวพึมพำแล้วกดหน้าลงไปยังตุ๊กตาหมีนามมนตรีในอ้อมกอด เจ้าบ่าวของเขาก็เป็นเสียอย่างนี้ นึกจะทำอะไรก็ชอบทำเป็นความลับเสมอ
“กระหม่อมจะโกหกญาติของกระหม่อมทำไมกัน” คุณชายสองตอบกลับอย่างเขินอาย ใครเล่าจะไปคิดว่าทั้งหม่อมเจ้ามิ่งขวัญและหม่อมราชวงศ์อนิละจะมีสามีจากสายตระกูลเดียวกัน
กาฬวิฬาร์ทั้งสองพากันหัวเราะให้กันด้วยความเขินอายกับหัวข้อที่เพิ่งได้คุยกัน หลังจากนั้นทั้งสองสลับกันถ่ายรูปในรังหมอนกันไปมา จนกระทั่งเวลาล่วงเลยจวนจะถึงฤกษ์งานยามเย็น
ก๊อก...ก๊อก...เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกความสนใจจากกาฬวิฬาร์ทั้งสองได้อย่างดี ทั้งสองหันกลับมามองหน้ากันอย่างใคร่รู้ เพราะผู้มาใหม่นั้นมีกลิ่นอันฬาแต่ไม่ใช่กลิ่นโซลเมตของทั้งคู่ เมื่อยามที่คนตัวขาวมองไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่ จึงพอจะเข้าใจได้ว่าใครกำลังยืนรออยู่หลังประตูบานดังกล่าว
“พ่อมารับเจ้าสาวไปส่งมอบให้เจ้าบ่าวแล้ว” เสียงของพระบิดาดังขึ้นในไม่กี่อึดใจ ถ้อยคำที่องค์ฯ โชติทรงใช้แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นไม่ต่างกับพระโอรสแม้แต่น้อย
งานเสกสมรสที่ตกแต่งด้วยสีขาวล้วนในทีแรก บัดนี้สีขาวภายในงานถูกย้อมไปด้วยแสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเย็น แขกเหรื่อทั้งระดับเจ้านายและสามัญชนต่างแต่งตัวกันอย่างโก้หรูด้วยชุดราตรีแบบฝรั่ง อาหารทะเลนานาชนิดถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะตัวยาวที่ต่อกันนับสิบ ส่งผลให้ตรงโต๊ะอาหารเป็นส่วนที่มีสีสันที่สุดในงาน วงดนตรีเริ่มขับกล่อมบทเพลง Fly Me to the Moon เปิดงาน
ในคืนนี้กระต่ายจะได้ครองรักกับดวงจันทร์ของมันจริง ๆ เสียที
เจ้าบ่าวตัวสูงใหญ่ดูกระวนกระวาย ขณะยืนรอเจ้าสาวของเขาอยู่ฝั่งปลายสุดของพรมสีแดง ชุดทหารเต็มยศแบบสโมสรสีขาวที่เขาสวมใส่นั้นดูโดดเด่นเป็นสง่า ทรงผมที่ถูกจัดแต่งเปิดให้เห็นหน้าผากเล็กน้อยทำให้ดูแปลกไปกว่าปกติ เพราะชายชาติทหารอย่างเขา ใช่ว่าจะยี่หระกับการแต่งกายมากนัก ว่ากันว่านัยน์ตาเหยี่ยวของคุณภัทรนั้นมีเสน่ห์อยู่แล้ว แต่ยามเมื่อมันสะท้อนกับแสงไฟสีทองของดวงอาทิตย์ก็ยิ่งชวนมองไม่อาจละสายตาได้เลย
ร้อยโทหม่อมหลวงภัทรดนัยหันไปยิ้มให้กับบิดาและมารดาที่ยืนอยู่เคียงข้าง เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตนเอง ณ ตอนนี้เขานั้นทั้งรู้สึกตื่นเต้นและเป็นประหม่าเอาเสียมาก อีกไม่กี่นาทีพ่อตาของเขาจะจูงมือบุตรกาฬวิฬาร์เจ้ามาส่งต่อให้กับเขาได้ดูแลไปตลอดกาล
ยามเมื่อกลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนลอยเข้ามาแตะจมูก ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ากลิ่นดอกพุดซ้อนดอกนี้นั้นพิเศษกว่าดอกอื่น ๆ หากแต่เจ้าดอกนี้นั้นถูกสร้างมาเพื่อเขาเท่านั้น เมื่อมองไปเห็นบุคคลที่เขารออยู่ เขาถึงกับอ้าปากเล็ก ๆ คล้ายกับว่าถูกสะกด ท่านชายมิ่งขวัญ อรุณรัตน์ช่างดูงดงามในชุดสูทสีดำขลับกับโบสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตขาวด้านใน ด้วยเพราะคุณภัทรเป็นคนไม่ละเอียดลออในการแต่งกายอย่างที่ว่าไป คุณภัทรจึงรู้เพียงว่าท่านชายของเขานั้นงามนัก...งามจนหาใดเปรียบไม่ได้
วงดนตรีเปลี่ยนมาเล่นเพลงชื่นชีวิตอย่างรู้งาน จนคุณภัทรต้องหลุดหัวเราะออกมาด้วยความอาย เขาไม่อาจละสายตาจากท่านชายมิ่งขวัญที่เดินตรงมาหาเขาพร้อมพระบิดาได้เลย คล้ายราวกับว่าดวงจันทร์ที่ส่องสว่างของเขานั้นกำลังจะเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเขา นายทหารหนุ่มรับมือเรียวของว่าที่ภรรยาจากมือของพ่อตา หลังจากนั้นองค์ฯ โชติก็ทรงรับไมโครโฟนจากนายจรัญเพื่อประกาศเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจรู้อยู่แล้ว
“สายัณห์สวัสดิ์ เราอยากขอบใจทุกท่านที่มาร่วมงานเสกสมรสของลูกเราและหม่อมหลวงภัทรดนัย เด็กสองคนผู้มีความรักอันยิ่งใหญ่ หาใช่เพียงเพราะเป็นโซลเมตเท่านั้น สองคนนี้ได้พิสูจน์ให้ได้ประจักษ์แล้วว่าต่อให้มีอะไรขีดกั้นระหว่างเขาสองคนไว้ มิ่งขวัญและคุณภัทรจะฝ่าฟันมันได้เพื่อกันและกัน เรารู้สึกยินดีและเปี่ยมสุขอย่างมาก คิดดูแล้วก็น่าใจหายที่ลูกต้องออกเรือนไป แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ได้เตรียมใจเรื่องนี้มาแต่แรก ขอบใจทุกคนจริง ๆ ที่มาเป็นสักขีพยานความรักของเด็กสองคนนี้...และพ่อเองก็ขอให้คุณภัทรและมิ่งขวัญใช้ช่วงชีวิตต่อไปนี้ด้วยกันอย่างมีความสุข เคียงคู่กันตลอดไป” องค์ฯ โชติทรงตรัสออกมาจากใจจริง
ระหว่างที่องค์ฯ โชติทรงมีพระดำรัสอยู่ คุณภัทรรู้สึกได้ถึงแรงบีบจากมือเรียวของคนรัก ถึงท่านชายมิ่งขวัญจะวางสีหน้าเป็นสุข แต่คงจะใจหายเหมือนกัน เพราะในแต่ละขั้นแต่ละตอนของการเสกสมรสนั้น ก็บ่งบอกได้ว่าหลาย ๆ อย่างของท่านชายกำลังเปลี่ยนไป
“เรื่องต่อไปที่เราจะแจ้ง อย่างที่ทุกท่านคงทราบดีเรื่องกฎ โอรสของเราได้เข้ากราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์สักพักแล้วและเข้ารับพระสังข์พระราชทาน เพื่อเสกสมรสกับร้อยโทหม่อมหลวงภัทรดนัย หาญเดโช ดังนั้นแต่นี้ไปจะไม่มี หม่อมเจ้า
มิ่งขวัญ อรุณรัตน์...มีเพียงแต่ มิ่งขวัญ หาญเดโช เท่านั้น เราจะถือว่าทุกคนรับรู้โดยทั่วกันต่อแต่นี้ไป ขอบใจ” องค์ฯ โชติตรัสแล้ว พระองค์จึงทรงส่งไมโครโฟนคืนให้กับนายจรัญ จากนั้นก็ทรงโผกอดพระโอรสเพียงพระองค์เดียวอีกครั้ง
“พ่อรักลูกนะ” องค์ฯ โชติตรัสกับท่านชายในอ้อมกอด คุณภัทรเองนึกนับถือ
ใจเจ้านายพระองค์นี้เหลือเกิน ชายหนุ่มปฏิญาณกับตนเองในใจว่าเขาจะต้องรักคนรักของเขาให้ได้เท่ากับองค์ฯ โชติที่มีท่านชายมิ่งขวัญเป็นดั่งดวงใจเสมอมา
“…” ท่านชายมิ่งไม่ได้ทูลตอบกลับพระบิดาเพราะกลัวจะร้องไห้ออกมา เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ในอ้อมกอดของพระบิดาเท่านั้น
“ฝากมิ่งขวัญของพ่อด้วยนะลูก” องค์ฯ โชติตรัสกับนายทหารหนุ่ม จากนั้นก็ทรงยกพระหัตถ์ตบไหล่คุณภัทรเบา ๆ
“กระหม่อมจะดูแลท่านชายด้วยชีวิตของกระหม่อม จะรักและเทิดทูนภรรยาดั่งที่สามีคนหนึ่งจะทำได้พ่ะย่ะค่ะ” คุณภัทรตอบกลับเสียงหนักแน่น ชายหนุ่มบีบมือของคุณมิ่งเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้อุ่นใจ
หลังจากนั้นดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไปในพื้นน้ำ แผ่นฟ้าเริ่มถูกย้อมด้วยสีดำเฉกเช่นเดียวกับผืนทะเลหัวหิน แสงไฟในงานจึงยิ่งส่องสว่างสวยงามไปทั่วอาณาบริเวณ ราวกับงานเฉลิมศกใหม่ขนาดย่อมก็ไม่ปาน พิธีกรของงานจึงได้มีการเชื้อเชิญบิดามารดาของเจ้าบ่าวขึ้นมากล่าวอวยพรตามลำดับ
“ต่อไปกระผมขอเชิญหม่อมราชวงศ์ภาคภูมิและคุณน้าหลิวขึ้นมากล่าวคำอวยพรบนเวทีครับผม” คุณภัทรหันไปมองยังบิดามารดาของตน แม้ว่ามารดาจะดูไม่สบอารมณ์บิดาเสียหน่อย แต่ทั้งสองก็พากันขึ้นเวทีมาแต่โดยดี
“เอ่อ...ก็ขอให้รักกัน มีความสุข อยู่คู่กันอายุยืนยาวนะลูก” คุณชายภาคภูมิกล่าวตะกุกตะกักตามประสาคนพูดไม่เก่ง แต่ถึงกระนั้นเสียงหัวเราะของคนในงานก็ทำให้งานดูครื้นเครงได้ดี เมื่อคุณภัทรมองไปที่โต๊ะญาติผู้พี่ เขาก็เห็นว่า
ดั่งเพลิงหัวเราะแล้วพูดกับเจ้าสัวเส็งว่าบิดาของเขาพูดไม่เก่งเสียเลย
“อะไรกันคุณ ดูพูดเข้า...สวัสดีค่ะ ดิฉันนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ให้การต้อนรับท่านชายมิ่งขวัญสู่ครอบครัวเรา ในฐานะแม่แล้ว ดิฉันกล้าพูดได้ว่าเด็กสองคนนี้รักกันมากเหลือเกิน และพวกเขาก็เลือกที่จะขีดชะตาชีวิต ก้าวผ่านชนชั้นและศักดินา ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนได้รักกัน อีกประการดิฉันก็ภูมิใจเช่นเดียวกันที่ภัทรดนัย บุตรชายของดิฉันนั้นตาถึงอย่างถ่องแท้ มีบุญได้รักกับท่านชายผู้งามหยดย้อยและมีความสามารถ ต่อจากนี้ไปแม่ก็ขอให้ลูกทั้งสองมีความสุขเสียทีนะลูก” การพูดของคุณหลิวนั้นแตกต่างจากสามีลิบลับ ทั้งให้ความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ขณะ
เดียวกันก็ติดตลกเสียจนเจ้าบ่าวอายม้วนไปเหมือนกัน สมแล้วกับที่เป็นน้องสาวของเจ้าสัวเส็ง ผู้ที่ตอนหลังเฮโลประกาศกร้าวว่าอยากมีหลานเยอะ ๆ อย่างไม่อาย ก่อนจะนำคนในงานดื่มอวยพรแก่บ่าวสาวตามธรรมเนียม
เนื่องจากเป็นงานที่มีผู้ใหญ่ชั้นเจ้านายมาจำนวนมาก งานในค่ำนี้จึงได้ตัดส่วนสัมภาษณ์บางส่วนออกไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสม และเป็นการให้เกียรติ
ราชสกุลเทววงศ์ที่มาร่วมงาน การที่ป่าวประกาศกลางงานว่าบ่าวสาวนั้นพบรักกันตั้งแต่ในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นก่อนหน้าการหมั้นหมายกับคุณชายหมอวัชระดูจะไม่เหมาะสมนัก ลำดับงานส่วนนี้จึงถูกทดแทนด้วยการให้แขกเหรื่อรับประทานอาหารและรับฟังมหรสพตามอัธยาศัย ระหว่างนั้นบ่าวสาวก็จะเดินไปสวัสดีและกล่าวขอบคุณแขกผู้มาร่วมงานตามโต๊ะต่าง ๆ แทน จนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสมในการลอดซุ้มกระบี่อันเป็นอีกพิธีสำคัญของงาน
“สวัสดีครับ ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติมาร่วมงาน” คุณภัทรกล่าวขณะที่ไล่เดินวนมายังโต๊ะด้านหน้า ซึ่งเป็นโต๊ะของครอบครัวเทววงศ์และเกริกวานิช ภาพของดั่งเพลิงที่รินน้ำให้คุณชายสอง และเด็กสาวผมทองที่นั่งตักท่านชายภพผู้กำลังกินขนมอยู่ ทำให้เขาและท่านชายมิ่งหันมามองกันอย่างเอ็นดู
“ยินดีด้วยนะครับ” คุณชายหมอวัชระกล่าวกับคุณภัทรและอดีตคู่หมั้น จากนั้นแหม่มผมทองหน้าสวยอีกคนก็หันมากล่าวแสดงความยินดีตาม แม้คุณภัทรจะได้เจอกับภรรยาและลูกสาวของคุณชายหมอไม่กี่ครั้ง แต่ก็พูดได้ว่าเซซิเลียภรรยาของคุณชายหมอ เป็นแหม่มที่งดงามราวกับภาพวาดหญิงงามในโบสถ์คริสต์ ขณะที่ลูกสาวผู้เป็นอันฬาอย่างเด็กหญิงโซเฟียก็ฉลาดหลักแหลม จนขึ้นแท่นหลานรักของท่านชายภพในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
“มิ่งเองก็ยินดีกับพี่ชายหนึ่งด้วยนะครับ” ท่านชายมิ่งกล่าว เมื่อบ่าวสาวทั้งสองเห็นแหวนเดิมของท่านชายบนนิ้วนางเซซิเลียจึงยิ้มอย่างรู้ทันให้กับคุณชายหมอ ทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องกระแอมแก้เขิน
“ยินดีด้วยนะคะคุณภัทร ท่านชาย ไม่สิ คุณมิ่งขวัญ ขอให้รักกันมั่นคงและยืนยาวแบบนี้ตลอดไปนะคะ” หม่อมผกากล่าวขึ้นบ้าง ทั้งสองจึงประนมมือรับคำอวยพรด้วยความยินดี
“ดูท่าอีกหน่อยวังเทววงศ์คงมีเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันหลายคนเลยนะครับ”
ท่านชายมิ่งกล่าว ขณะมองไปยังโซเฟียหรือหนูโซ่ผู้กำลังป้อนขนมให้กับท่านปู่
“เช่นนั้นบ้านหาญเดโชก็ต้องรีบมีแล้วนะคะ เด็กหลายคนจะได้เลี้ยงให้เป็นเพื่อนกัน” หม่อมผกาหยอดใส่ทำเอาบ่าวสาวถึงกับยืนเกร็ง คุณภัทรลอบเห็นว่าดั่งเพลิงนั้นส่งยิ้มกวนมาให้คล้ายจะสนับสนุนแม่ยาย
“ครับผม...”
“ใกล้จะถึงพิธีลำดับต่อไปแล้วนะครับ ขอเชิญบ่าวสาวมาเตรียมตัวด้าน
หน้าเวทีด้วยครับ” เสียงของจรัญประกาศออกไมโครโฟน คุณภัทรและท่านชายมิ่งต้องขอตัวจากโต๊ะสุดท้ายและเดินไปยังด้านหน้าเวทีที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อมองเลยซุ้มดอกไม้หน้างานไป จะเห็นได้ว่ามีนายทหารนับสิบนายในชุดขาวเป็นทางการเต็มยศ ทั้งยังสวมหมวกและถือดาบกระบี่ในมือ เมื่อยามจรัญให้สัญญาณ นายทหารทั้งสิบก็ได้ทยอยเดินผ่านซุ้มดอกไม้ด้วยลักษณะเดินสวนสนามเข้ามา โดยนายทหารทั้งหมดที่มาจัดซุ้มกระบี่ให้คุณภัทรก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อน ๆ รุ่นพี่รุ่นน้องที่โรงเรียนเตรียมทหารทั้งสิ้น
“ระหว่างนี้กระผมขอพูดถึงความสำคัญของการลอดซุ้มกระบี่นะครับ การลอดซุ้มกระบี่ในพิธีแต่งงาน นั่นก็หมายถึงการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ครอบครัวทหาร นั่นคือเจ้าสาว และเพื่อให้บ่าวสาวนั้นระลึกไว้ว่าไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ๆ ในวันข้างหน้า บ่าวสาวก็จะร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคทุกประการ ไปได้อย่างราบรื่นเหมือน
กับการลอดซุ้มกระบี่ครับผม โดยนายทหารผู้รับหน้าที่ถือกระบี่ในวันนี้ ได้แก่ หนึ่ง...ร้อยเอกมนัส วงศ์อัศวิน...สอง...”
จากนั้นจรัญก็เอ่ยชื่อนายทหารทั้งหมดที่มาเชิญกระบี่ให้ในงานเสกสมรส คุณภัทรมองไปยังนายทหารผู้ออกคำสั่งเรียกอาวุธแล้วก็หาใช่ใครอื่น นายทหารคนนั้นก็คือร้อยเอกมนัส ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนและคู่แข่งของเขานั่นเอง ในขณะที่นายทหารที่ยืนถือกระบี่ข้าง ๆ มนัสนั้น ก็คือร้อยตรีดนตร์ รุ่นน้องที่เขาวางใจที่สุดและเป็นทั้งผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเสมอมา ไม่นานนายทหารทั้งหมดก็ถูกมนัสออกคำสั่งชูกระบี่ขึ้นตัดกันเป็นทรงสามเหลี่ยมเหนือศีรษะ อาวุธสีเงินส่องประกายสะท้อนกับแสงไฟเป็นแสงระยิบระยับ
“มิ่งพร้อมเข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวทหารไหมครับ” คุณภัทรหันไปถามคนรักที่ควงแขนอยู่ ดวงตากลมของคุณมิ่งเป็นประกาย ขณะมองไปยังภาพกระบี่ที่ชูขึ้นสูงเบื้องหน้า
“พร้อมครับ” คุณมิ่งหันมายิ้มหวานแล้วพูดติดตลก แขนของคนตัวขาวกระชับกอดแขนของชายหนุ่มแนบแน่นเข้าไปอีก
นายทหารหนุ่มจึงพาภรรยาเดินผ่านซุ้มกระบี่ด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างกัน เพราะนี่คงเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของเขา สำหรับการลอดซุ้มกระบี่ในงานเสกสมรสกับคนที่เขารักและเทิดทูนสุดหัวใจ บทเพลงบรรเลงคลอไปในระหว่างที่ทั้งสองเดินลอดซุ้ม ทุกสายตาจับจ้องมาที่บ่าวสาวเป็นตาเดียว ทุกก้าวที่ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในซุ้มนั้นราวกับเวลานั้นเดินช้าลง และเมื่อมาถึงก้าวสุดท้ายก่อนผ่านซุ้มกระบี่ไป ก็เหมือนกับว่า
ภัทรดนัยและมิ่งขวัญกำลังจะเข้าสู่บทบาทใหม่
นั่นคือการเป็นสามีภรรยา
เมื่อลอดผ่านซุ้มกระบี่แล้ว ทั้งคู่ก็มาหยุดยังเค้กแต่งงานสูงแปดชั้นที่ถูกจัดวางไว้กลางงาน และก็ถึงคราวที่เจ้าบ่าวนายทหารจะใช้กระบี่ของตนเองตัดเค้กกับเจ้าสาว คุณภัทรกระชับมือเรียวของคนรักเอาไว้แน่นขณะจับด้ามกระบี่ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ บรรจงหั่นเค้กเป็นชิ้น ๆ เพื่อแจกให้กับแขกเหรื่อผู้ร่วมงาน หลังจากจัดการกับเค้กก้อนโตเสร็จก็เป็นอันจบพิธี โดยทหารผู้มาทำพิธีลอดซุ้มให้คุณภัทรก็กลับเข้ามาในงานอีกครั้งในฐานะแขก
เมื่อถึงคราวเจ้าสาวโยนช่อดอกไม้ คุณภัทรจำได้ว่าคนรับช่อดอกไม้ได้ไม่ใช่บรรตาสตรีหรือกาฬวิฬาร์คนใด แต่ดันเป็นมนัส ทั้งที่เป็นกฎไม่ได้ให้อันฬาหรือบรรตาชายมีส่วนในการรับช่อดอกไม้ก็ตาม เนื่องจากตอนที่ท่านชายมิ่งโยนดอกไม้ ดอกไม้เจ้ากรรมกลับจะตกใส่ศีรษะวาดฝัน จึงเป็นเหตุให้มนัสต้องรับดอกไม้ไว้ให้ และเรื่องที่ฮือฮาที่สุดในตอนนั้นก็คือมนัสตีหน้าเซ่อส่งดอกไม้ให้เสมียนหนุ่ม ขณะที่ดนตร์ก็คล้ายกับกำลังเสี่ยงดวงกับคุกทหาร เพราะเอาแต่เดินตามตันหยงอยู่ไม่ห่าง พอเห็นเช่นนั้นแล้ว คุณภัทรก็รู้สึกซึ้งใจ จนคิดเลยเถิดไปว่าหากถึงคราวงานมงคลของมนัสและดนตร์ เขาเองก็พร้อมที่จะมาทำซุ้มกระบี่ให้ด้วยความยินดี
ไม่ใช่ความบังเอิญที่งานเสกสมรสของคุณภัทรและท่านชายมิ่งจัดขึ้นในวันพระจันทร์เต็มดวง หากแต่เป็นความต้องการของบ่าวสาว ผู้ซึ่งมีความผูกพันกับเรื่องเล่าของดวงจันทร์เมื่อครั้งทั้งสองยังอยู่ที่หัวหิน ผ่านไปไม่กี่อึดใจดวงจันทร์ก็ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า ส่องแสงนวลผ่องลงมายังผืนน้ำ และงานเสกสมรสก็ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย นั่นคือการเต้นรำและสังสรรค์ นักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงแสงเดือนเมื่อพิธีกรกล่าวถึงช่วงต่อไป และเป็นธรรมเนียมอีกเช่นกันที่บ่าวสาวจะต้องเต้นเปิดฟลอร์ โดยฟลอร์เต้นรำในค่ำคืนนี้ไม่ใช่พื้นไม้ที่ถูกจัดวางไว้แต่มันคือผืนทรายริมทะเลนั่นเอง
“ให้เกียรติเต้นรำกับพี่นะครับ” คุณภัทรกล่าวกับเจ้าสาวพร้อมทั้งส่งมือมาให้ คนตัวขาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกยินดี ประโยคดังกล่าวของคุณภัทรนั้นเหมือนเมื่อตอนงานเลี้ยงต้อนรับตนกลับจากอังกฤษไม่มีผิด
“ครับพี่ภัทร แต่ว่าต้องไปเต้นบนพระจันทร์นะ” ท่านชายนึกสนุกจึงจูงมือคุณภัทรวิ่งตรงไปยังผืนทะเลที่กำลังสะท้อนแสงนวลของดวงจันทร์ ทำเอาคนทั้งงานตกอกตกใจในคราวเดียวที่อยู่ ๆ เจ้าสาวก็พาเจ้าบ่าววิ่งลงทะเล
“จริง ๆ เลย” นายทหารหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาไม่ได้ขัดขืนอะไร เมื่อเท้าทั้งสองของทั้งคู่เหยียบอยู่บนเงาของพระจันทร์ คุณภัทรก็ตั้งมือประคองที่เอวของภรรยาและค่อย ๆ เริ่มเต้นตามเพลงด้วยจังหวะช้า ๆ ถึงในงานจะมีแขกเหรื่อนับร้อย แต่เมื่อได้เต้นรำ ทั้งคู่ก็เหมือนหลุดเข้าไปยังโลกที่มีเพียงกันและกัน ภาพความสุขและรอยยิ้มในวันที่คุณภัทรรวบรวมความกล้าเพื่อไปยังพระจันทร์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนปรากฏขึ้นภายในหัวเป็นฉาก ๆ หากวันนั้นกระต่ายไม่กล้าที่จะพูดออกไป กระต่ายก็คงไม่รู้เลยว่าตนมีสิทธิ์ที่จะครอบครองดวงจันทร์มากกว่าใคร
ขณะที่บ่าวสาวกำลังเต้นรำด้วยกัน พลุดอกไม้ไฟก็ถูกจุดขึ้นไปยังท้องฟ้า สีสันหลากสีถูกแต่งแต้มไปยังท้องฟ้ายามค่ำเคียงคู่กับพระจันทร์ ก่อเกิดเป็นภาพสวยงามน่าประทับใจ ทว่าบ่าวสาวกลับไม่ได้มองไปยังพลุสวยบนท้องฟ้าเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะภาพใบหน้าของคนรักยามนี้นั้นน่ามองมากกว่า
“พี่รักมิ่งนะ” คุณภัทรกระซิบที่ข้างหูของท่านชาย ในตอนที่คนตัวขาวแนบหน้าลงกับไหล่แกร่งระหว่างที่ทั้งสองกำลังเต้นรำบนดวงจันทร์ ลมหายใจอุ่น ๆ ของคุณภัทรอดที่จะทำให้คุณมิ่งรู้สึกเขินอายไม่ได้
“มิ่งคงไม่ได้ชอบทะเลหรือสีฟ้าหรอก แต่มิ่งชอบทุกอย่างที่เป็นพี่ภัทร” ท่านชายมิ่งกล่าวแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของสามีอย่างอ่อนโยน
หม่อมหลวงภัทรดนัยกำลังกระวนกระวายใจอย่างหนัก ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลาเข้าหอร่วมเตียงจะมาเร็วได้เพียงนี้ แม้ว่าต้องรอหลายเดือน แต่นี่อีกแค่ไม่กี่นาที ตนและท่านชายมิ่งจะต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว
ชายหนุ่มกล่าวขอบพระคุณท่านชายภพและหม่อมผกา ผู้ที่ตนนับถือเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตแต่งงานราบรื่นมาปูที่นอนให้ ตามพิธีแล้วผู้ใหญ่ต้องโปรยดอกไม้ลงบนเตียง ทั้งดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย และดอกพุดซ้อนที่ขาดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็มีเครื่องขันโตกวางอยู่ตามประเพณี เมื่อเจิมหน้าผากเสร็จสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เอาแต่มองไปยังบานประตูห้องไม่ละสายตา เพราะในลำดับต่อไปองค์ฯ โชติจะทรงเสด็จมาส่งตัวเจ้าสาวที่เรือนหอ
“กระวนกระวายเชียวเรา จะได้เรื่องไหมเนี่ยพ่อทหารหาญ” คุณหลิวทักขึ้นอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นท่าทีของบุตรชาย
“ใจร่ม ๆ นะคุณภัทร ฮ่า ๆ” ท่านชายภพออกปากแซวเช่นเดียวกัน นายทหารหนุ่มจึงต้องพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางให้มากขึ้น
แกร๊ก...เสียงเปิดประตูทำเอาคุณภัทรแทบใจหล่นวูบ แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าองค์ฯ โชติจะทรงพาท่านชายเข้ามาเพื่อส่งตัวเข้าหอ เมื่อบ่าวสาวมาพร้อมกันแล้ว ทั้งคู่จึงกราบไหว้และรับฟังคำแนะนำและคำอวยพรจากผู้ใหญ่เป็นราย ๆ ไป จนกระทั่งมาถึงคุณชายภาคภูมิที่จะกล่าวคำอวยพรเป็นคนสุดท้าย
“รักและเทิดทูนน้องด้วยนะภัทร ถึงตอนนี้น้องจะไม่ใช่หม่อมเจ้าชายแล้ว แต่ลูกก็รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร” คุณชายภาคภูมิกล่าวเสียงเรียบ แต่แววตาของเขานั้นดุและค่อนข้างจริงจัง
“ความรักและความเทิดทูนต่อท่านชายของลูกจะไม่ลดน้อยลง มีแต่จะมีมากขึ้นในทุกวันครับ” คุณภัทรตอบน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน คุณหลิวผู้เป็นมารดาที่เข้มแข็งมาโดยตลอดถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เจ้าหล่อนมองไปที่คุณภัทรด้วยความภูมิใจ
“พ่อเองก็หาใช่สามีที่ดีนัก ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร แต่ขอให้ลูกทั้งสองหันหน้าคุยกันบ่อย ๆ อย่าหัวรั้นแบบพ่อแล้วกัน” คุณชายภาคกล่าวต่อจนคุณหลิวที่ร้องไห้อยู่ในทีแรก ถึงกับหลุดยิ้มแล้วตีหลังมือของเขาเบา ๆ
“ครับ/ครับ คุณพ่อ” คุณภัทรและท่านชายมิ่งขานรับพร้อมกัน สรรพนามใหม่ที่ท่านชายใช้เรียกเขา ทำเอาคุณชายภาคถึงกับไปไม่ค่อยถูกนัก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ไปนอนบนเตียงได้แล้วไป จะได้จบพิธี นี่ก็เริ่มดึกแล้ว พ่อไม่อยากรบกวน” คุณชายภาครีบเปลี่ยนเรื่องแล้วผายมือให้บ่าวสาวไปซ้อมนอนบนเตียงทันที ตามธรรมเนียมแล้วทั้งคู่จะต้องแสร้งหลับและพูดถึงเรื่องดี ๆ ด้วยกันหลังจากตื่นนอน แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าสาวจะต้องก้มกราบเท้าของเจ้าบ่าวเสียก่อน ซึ่งคุณภัทรเองก็ไม่ได้รู้สึกดีนักที่ต้องเห็นภรรยาต้องก้มกราบตน ในขณะที่ท่านชายมิ่งนั้นก้มกราบสามีอย่างไม่มีท่าทีอิดออดใด ๆ
บ่าวสาวทั้งคู่เอนตัวลงนอนบนเตียงอันโรยด้วยดอกไม้มงคล ทั้งคู่นอนตะแคงมองหน้ากันสักครู่หนึ่งแล้วจึงแสร้งทำเป็นหลับไป คิดแล้วพิธีนี้นั้นดูน่าเขินอายไม่น้อย เพราะทั้งสองคนต้องนอนข้างกันโดยมีผู้ใหญ่ยืนมองอยู่
“บ่าวสาวฝันว่าอะไรกันบ้างหรือ” องค์ฯ โชติตรัสถามเพื่อให้คุณภัทรและบุตรชายเล่นบทตามประเพณี
“พี่ฝันเห็นเงินทองมากมาย” คุณภัทรพูดตะกุกตะกักแล้วมองไปยังใบหน้าของภรรยา สิ่งดี ๆ ณ ตอนนี้เขาคิดออกไม่มากนัก คิดเพียงแค่ว่าหากมีเงินทองมากคงเป็นเรื่องดี
“จริงหรือครับ แต่มิ่งฝันว่าเรามีลูกสองคน หรือไม่ก็สาม” ท่านชายมิ่งกล่าวแล้วยิ้มกว้าง คำตอบนี้ส่งผลให้คุณภัทรที่ปกติดวงตาจะเล็กเรียวนั้นโตขึ้นทันตา ด้วยเพราะคุณภัทรไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดหยอกกันแน่
“อืม เช่นนั้นก็เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ส่งผู้ใหญ่ออกจากห้อง จำไว้ว่าคืนนี้บ่าวสาวห้ามออกจากห้องทั้งคืนนะลูก” คุณหลิวหัวเราะนิด ๆ แล้วกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบ่าวสาวก็ลุกจากเตียงและยืนส่งผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหมดทันที คำอวยพรสุดท้ายส่งมาไม่ขาดสายจนกระทั่งผู้ใหญ่คนสุดท้ายออกไป คุณภัทรค่อย ๆ เดินไปปิดประตู แล้วจึงหันไปเห็นว่าท่านชายมิ่งนั้นทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เหนื่อยหรือครับ” คุณภัทรเอ่ยปากถาม ใครจะไปคิดว่าแต่งงานจะเหนื่อยได้เพียงนี้ บางทีอาจจะเหนื่อยกว่าเดินสวนสนามรอบสนามหลวงเสียอีก
“เล็กน้อยครับ พี่ภัทร...พี่ภัทรจะทำอะไรน่ะครับ” ท่านชายมิ่งพูดไม่ทันขาดคำก็หันมามองเขาอย่างประหลาดใจ คงเพราะในมือของนายทหารหนุ่มนั้นถือถังน้ำและผ้าอยู่
“เมื่อครู่กราบเท้าพี่ไม่ใช่หรือ พี่ล้างเท้าให้นะ” คุณภัทรยิ้มน้อย ๆ แล้วถือวิสาสะนั่งยอง ๆ เช็ดเท้าให้กับภรรยา
“มันจะดีหรือครับ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยปากถาม คุณภัทรไม่ได้สนใจว่าดีหรือไม่ หากแต่คิดเพียงว่าเขาอยากทำเท่านั้น
“รองเท้ากัดซีนะเนี่ย พี่ว่าแล้วเชียว” นายทหารหนุ่มพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นว่าช่วงนิ้วก้อยของคนรักนั้นมีรอยแดงถลอก เขาค่อย ๆ บรรจงเช็ดเท้าของคนรักต่อไปเงียบ ๆ จนเสร็จ
“รู้ด้วยหรือครับ” คนตัวขาวถามด้วยความแปลกใจ
“พี่เดินกับมิ่งทั้งงานนะ ทำไมพี่จะไม่รู้สึกได้ล่ะว่ามิ่งเดินแปลก ๆ ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่ คราวหน้าอย่าทำแบบนี้นะครับ” คุณภัทรเงยหน้ากล่าวเสียงดุ
“มิ่งขอโทษครับ” ผู้เป็นภรรยาพึมพำเสียงเบา เพราะความรู้สึกที่เชื่อมถึงกันทำให้คุณภัทรรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียใจ
“อย่าคิดมากเชียวนะครับ พี่ดุเพราะเป็นห่วงมิ่งนะ” คุณภัทรกล่าว จากนั้นจึงก้มจูบลงที่หลังเท้าของภรรยา การกระทำดังกล่าวทำเอาท่านชายมิ่งตะลึง คงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครจูบที่เท้าของตนเอง
“พี่ภัทร...”
“ถึงแม้ว่า ณ ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่มิ่งขวัญ แต่สำหรับพี่ มิ่งก็ยังเป็นท่านชายที่พี่จะต้องปกป้องเสมอ” นายทหารหนุ่มพึมพำจากนั้นจึงเงยหน้าไปสบตากับคนรัก แต่แล้วเขาต้องตกใจที่ดวงตาของคุณมิ่งนั้นมีสีเขียวมรกต “มิ่ง...มิ่งตาสีเขียวอีกแล้วนะ ได้ทานยาไหม”
คล้ายกับว่าช่วงนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
“…” เจ้าของใบหน้าหวานเม้มปากแล้วส่ายหัวปฏิเสธเป็นพัลวัน ส่งผลให้คุณภัทรนั้นเกิดคำถามในใจ และนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หลังผูกชะตาที่เขานั้นเคยพุ่งเข้าจะตีตราอีกฝ่าย ถ้าเป็นภัทรดนัยในตอนนั้นคงจะสติหลุดไปแล้ว
“ทำไมไม่ทานยาล่ะครับ ชักดื้อใหญ่แล้วนะเรา” คุณภัทรเอ็ดภรรยาด้วยความเป็นห่วง
“มิ่งคิดว่าถ้าหากแต่งงานไป ยาคงไม่จำเป็นเท่าไหร่นักน่ะครับ” ท่านชายมิ่งตอบ สีตาของเขากลับมาเป็นสีปกติอีกครั้ง ปากกระจับของท่านชายคว่ำลงด้วยความน้อยใจ
“…” คุณภัทรเงยหน้ามองคุณมิ่งอย่างไม่เชื่อหู ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่อถึงสิ่งใด แต่เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้ มันจึงทำให้เขาอึ้งกับคำพูดที่ตรงไป
ตรงมาของอีกฝ่าย
“ไม่...ไม่มีอะไรครับ มิ่งว่ามิ่งไปอาบน้ำดีกว่า” ท่านชายมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกหน้าเห่อร้อนจนเริ่มอยู่ไม่สุข
“มิ่งอยากมีลูกหรือครับ ไว้วันพรุ่งได้ไหม พี่กลัวมิ่งเหนื่อย” คุณภัทรยิ้มบาง จากนั้นเขาก็หยิบดอกพุดซ้อนบนเตียงขึ้นมาทัดหูภรรยา
#ศักดินาอากาศ
TALK: สวัสดีค่า ชิววี่นะคะ โอ้โห มาเช้ามากเลย ; - ;
ตอนนี้เปิดมาด้วยพาร์ทอดีตก่อน ซึ่งเราว่าจังหวะนั้นแหละที่คุณภัทรคล้ายจะตกหลุุมรักน้องมิ่งเข้าให้แล้ว และในตอนนี้ก็ไม่มีอีกแล้วนะคะ เป็นตอนที่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับงานแต่งเยอะมากค่ะ แต่เราจะท่านชายมิ่งขวัญ มีเพียง คุณมิ่งขวัญ ภรรยานายทหารเท่านั้น ฮ่า ๆ จากตอนที่แล้วที่่มีการเนียน ๆ แย็๋บ ๆ กันด้วยฮะว่าน้องมิ่งชอบเด็ก และอยากมีลูกเป็นของตนเอง คิดล่ะสิว่าคุณภัทรเขาจะมึนไม่รู้เรื่อง เชื่อเราค่ะอันฬาร้อยทั้งร้อยคิดทั้งนั้น ยิ่งเป็นอันฬาที่มีเชื้อสายจากเกริกวานิชด้วย ฮือ ไหนจะเริ่มอยากถูกตีตราแล้วด้วย ก็นะทุกอย่างมันเป็นไปอย่างถูกต้องแล้วนี่เนาะ ก็คงต้องคิดเพราะว่ากาฬวิฬาร์นั้นความเป็นแม่ในฮอร์โมนของเขาจะมีค่อนข้างสูงมากฮะ อีกทั้งถือเป็นการโทรว์แบ็คพาร์ทเต้นรำบนดวงจันทร์ด้วย เพราะอะไร ๆ หลายอย่างที่หัวหินนั้นมันอยู่ในความทรงจำของทั้งสองเสมอมานะคะ
สำหรับตอนนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ สำหรับคนที่ถามถึงสุขภาพไม่ต้องห่วงนะคะ เราดีขึ้นเยอะมาก ๆๆๆ แล้วฮะ รับประกันโดยคุณหมอ.. หวังว่าจะได้เจอกันตอนต่อไปในสัปดาห์หน้านะคะ ขอบคุณมากค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะร้องไห้แล้วมันซึ้งจนอยากจะร้องไห้เลย ฮืออ เป็นการแต่งงานที่อบอุ่นหัวใจอะไรเช่นนี้ แต่ก็แอบใจหายเหมือนกันที่ท่านชายมิ่งขวัญ อรุณรัตน์ บัดรี้เปลี่ยนเป็น มิ่งขวัญ หาญเดโช เฉยๆ แง้
ว้าดกกกกกหกกกกก อิจพี่ภัทรจิมๆๆ แต่เหมาะกันมาก จนจะร้องไห้รอบที่ร้อย ตาบวมแล้ว รักไรท์
;___;
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย พิธีรอดซุ้มกระบี่ โคตรขลั่งเลย เอ๊ะะะะะะ แหมมมมมมม่ มนัสสสสสส ส่งดอกไม้ให้คุณวาดทำไมอ่ะ จะมีอะไรมั้ยน้าา ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่น้า อยากรู้จังเลย คิคิคิคิ
อย่าว่าแต่พี่ภัทรตื่นเต้นเลยค่ะคุณแม่ อิฉันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน อหหหหหหหหหหห จูบที่เท้าของท่านมิ่งด้วย อหหห เอาไปเลย ยกให้แล้ว เอาไปเลยพี่ภัทร ดู๊! ดูคำพูดคำจาของพี่เขาสิคะ 555555555
มันดีมากจริงๆ แล้วมีfeelingร่วมไปกับทุกตัวละครด้วย คือแบบนอนอ่านไปเอามือปิดปากไป เจอฉากเขินๆ กลั้นยิ้มไม่ได้ต้องเอาผ้าห่มปิดหน้าไปด้วย เขินแทน อ่านละดีดดิ้นเป็นบ้าอยู่คนเดียว555 อาการหนักนะเรา????
กี๊ดดดดด พี่ภัทรรรรรรรรรรรรร