สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต่างก็มีอายุขัยของตนหากมนุษย์ส่วนมากมีอายุขัยเพียงแปดสิบปีเป็นอย่างสูงแล้วเหล่าผู้ฝึกเซียนเองก็มีอายุขัยของตนเองเช่นกันแต่อายุขัยของผู้เดินบนวิถีเซียนบางคนอาจนับไปถึงร้อยๆปีพันๆปีเลยก็ว่าได้แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ล้วนแล้วขึ้นอยู่กับระดับตบะของแต่ละคนทั้งสิ้น
บนโลกที่มีเซียนชุดขาวคอยเหาะเหินอยู่บนอากาศเซียนทุกคนนั้นล้วนต่างก็แสวงหาซึ่งความนิรันดร์และการบรรลุขึ้นไปยังม่านหมอกแห่งท้องฟ้าสีรุ้งอันงดงามทั้งสิ้น ถึงแม้จะฟังดูเรียบง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งใดแต่กลับต้องล้มลุกคลุกคลานเกลือกกลิ้งตลอดชีวิตอันยืนยาวที่ผ่านมาอยู่ร่ำไป น้อยคนนักที่จะทำสิ่งนั้นสำเร็จได้
หยางลู่เหวิน (杨露雯) เองก็เป็นเพียงเซียนคนหนึ่งที่เดินอยู่บนวิถีเซียนเองเช่นกันซึ่งยู่ปิงเองนั้นไม่ได้ทำเพื่อตนเองทั้งสิ้นแต่ทำเพียงเพราะต้องการที่จะรู้ว่าทำไมผู้คนถึงโหยหาซึ่งสิ่งนี้
หยางหลู่เหวินเป็นบุตรของผู้ฝึกเซียนชายหญิงคู่หนึ่งที่พลังตบะไม่ได้แก่กล้ามากนักทำให้ทั้งสองต่างจากเขาไปตั้งแต่ยังเด็กเพียงเพราะยู่ปิงนั้นเมื่อถูกคลอดออกมาจากครรภ์มารดานางก็สิ้นใจลงทันทีส่วนบิดาก็ตายลงขณะเข้าร่วมสงครามเซียนระหว่างสองอาณาจักรที่ยังลุกลามยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้จึงเหลือเพียงแต่ลู่เหวินผู้เดียวที่ยังมีลมหายใจอยู่
เขาอยู่บนหนทางเซียนตั้งแต่เด็กไม่ใช่เพียงเพราะตนเองทั้งสิ้นแต่เพื่ออยากเข้าใจในสิ่งที่มารดาและบิดาโหยหาซึ่งก็คือการบรรลุขึ้นไปบนม่านหมอกสีรุ้งต่างหากทุกๆวันยู่ปิงจึงปล่อยวางในเรื่องต่างๆรอบกาย ไม่นำเรื่องขุ่นมัวมารบกวนจิตใจรวมทั้งเพ็ญซึ่งตบะของตนเองอยู่ตลอดทุกค่ำคืนด้วย
เวลาล่วงเลยจะย่างก้าวร้อยปีแล้วหยางลู่เหวินเองก็ยังคงไว้ซึ่งการบำเพ็ญเซียนอยู่เช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน
"ลู่เหวินนี่เจ้าก็จะย่างเข้าร้อยปีแล้วแต่เจ้ากลับไม่คิดอยากหาคู่บรรเพ็ญของเจ้าหน่อยหรือ?"
ชายชราที่หน้าตาเหี่ยวย่นผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาขณะกำลังนั่งจิบชาอยู่บนยอดเขาอันวิจิตรงดงามพลางทอดสายตาลงไปดูลงเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยเมฆาอันบางเบาลอยตลบอบอวลอยู่ด้านล่างยอดเขาสูงชันแห่งนี้แต่ถึงกระนั้นเหล่าเมฆหมอกก็ไม่อาจขึ้นมาจนสุดยอดเขาไป๋เมิ่งแห่งนี้ได้ ชายชรามองภาพตรงหน้าซักพักก่อนที่จะเบนสายตาไปมองยังชายชุดขาวผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของตน
ชายผู้สวมอาถรณ์ขาวสะอาดหมดจดเพียงปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำน่าฟังออกมา"ท่านก็รู้ว่าข้ามิชอบบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีแบบนั้น"เสียงของชายผู้นี้ฟังยังไงก็ดูน่าฟังเหมือนดังเสียงของสายน้ำอันสงบราบเรียบที่เมื่อฟังแล้วถึงกับต้องให้ความรู้สึกสบายใจปลอดโปร่งอย่างถึงที่สุดเหมือนดั่งมีสายน้ำมาชโลมไปทั่วกายอันเหนื่อยล้าของตนเลยก็ว่าได้
"เฮ้อเจ้าก็เป็นซะอย่างนี้ข้าก็เลยหนักใจตายตาไม่หลับอยู่เช่นนี้ไงเล่า"ชายชราส่ายหัวอย่างหนักใจ
"ท่านจะได้อยู่กับข้าไปอีกร้อยๆปีพันๆปีไม่ดีหรือ?"
ชายผู้เป็นหัวข้อสนทนาตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกหนหนึ่งแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิมแต่อย่างใด...ยังราบเรียบดุจดั่งผู้พ้นจากทางโลกไปแล้วก็ไม่ปานเช่นเดิม
"ลู่เหวินนี่เจ้ากล้าขัดข้าอยู่อย่างนั้นหรือ!!?"ชายชราตวาดขึ้นมา
"ข้าดูแลเจ้ามาตั้งแต่เจ้าเกิดจนตอนนี่อายุเจ้าก็เจ็ดสิบสองปีจะร้อยปีอยู่วันยังค่ำแล้วเจ้ากลับไม่หาคู่บำเพ็ญของเจ้าซักทีแล้วจะให้ข้าวางใจปล่อยเจ้าไว้บนโลกนี้ได้อย่างไร!!?"
"ก็ข้ายังไม่มีคนที่พึงใจ"
"ยังไม่มีคนที่พึงใจ...มีเซียนหญิงนับหมื่นๆคนต่างหมายปองเจ้ากันทั้งนั้นแต่เจ้ากลับยังไม่มีที่พึงใจกระนั้นหรือ!?"
ด้วยทั้งตัวของหยางลู่เหวินเองก็เป็นเซียนคนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลาดั่งเทพบนสวรรค์ยิ่งมองก็ยิ่งเจริญหูเจริญตาสูงส่งน่านับถือส่วนระดับตบะเองก็อยู่ในระดับหลอมรวมขั้นสองทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงร้อยปีซึ่งในหมู่เซียนนั้นถือได้ว่าเป็นยอดอัฉริยะของอัฉริยะบนโลกเซียนเลยก็ว่าได้ เซียนหญิงทั่วหล้าจึงหมายปองเขากันเป็นตาเดียว
ตัวชายชราเองก็อยู่ในขั้นก่อเกิดเองเหมือนกันเขานั้นได้รับลู่เหวินเข้ามาเป็นศิษย์ตั้งแต่อายุเพียงสิบปีฉะนั้นเขาจึงเอ็นดูลู่เหวินดั่งลูกแท้ๆของตนก็ไม่ปาน หากที่เขาอยากให้ลู่เหวินมีคู่บรรเพ็ญเพียรซักทีเพราะไม่อยากเห็นคนที่เหมือนลูกในไส้ของตนจากโลกไปโดยไม่เข้าใจถึงคำว่ารสชาติของชีวิตนั่นเอง!!?
"แต่-!!?"
ในขณะที่ชายชราจะเอ่ยปากอีกทีจู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากด้านนอกของตำหนักของลู่เหวินผู้เป็นศิษย์เจ้าของสำนักเสียแล้ว
ผู้ตะโกนเมื่อครู่เพียงร้องตะโกนแค่คำว่า"ท่านเจ้าสำนักๆ"อยู่หลายรอบก่อนที่ร่างในอาภรณ์ชุดเทาจะปรากฏตัววิ่งอาดๆมาหยุดอยู่ต่อหน้าของชายชรากับหยางลู่เหวิน
"เรียนท่านเจ้าสำนักๆ"ผู้มาใหม่พูดด้วยอาการร้อนรนพร้อมพูดติดอ่างไปมาเหมือนในหัวมีแค่คำว่า'เรียนท่านเจ้าสำนักๆ'ยังไงก็ไม่ปาน
"พอแล้วเรียกข้าไปหลายรอบแล้วมีอะไรก็ว่ามา"ชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักสะบัดมือทีนึงอย่างไม่ถือสาแต่ใบหน้านั้นก็อดฉายสีหน้าไม่พอใจอยู่บางส่วน
"เรียนท่านเจ้าสำนักตอนนี้ที่ม่านเมฆาของยอดเขาไป๋เมิ่งกำลังทอแสงสีทองอยู่ขอรับ!!?"ศิษย์ร่างเล็กเมื่อกล่าวรายงานเสร็จก็ยกมือคำนับเขาด้วยสีหน้าซีดเผือก
"ว่าไงนะ!!?"
ทันที่ที่ชายชราหรือเจ้าสำนักหม่าเพ่ยซานได้ยินคำรายงานเสร็จมือเหี่ยวย่นก็ทุบโต๊ะไม้เนื้อดีด้วยความตกตะลึงไปทีนึง
เขามีชีวิตเป็นนับพันปีแล้วม่านเมฆาที่ถูกเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆเป็นคนสร้างขึ้นมานั้นเขาไม่ยักกะเคยเห็นเห็นม่านเมฆาพวกนี้เปลี่ยนสีจากสีขาวพิสูทธิ์เลยแม้แต่น้อยเลยซักคราแต่ไฉนจู่ๆจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้กันเล่าหรือว่ามีเรื่องดีอันใดเกิดขึ้นชายชราคิด
"นำทางข้าไป"หม่าเพ่ยซานตัดสินใจลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตาออกไปข้างนอกยังทิศทางที่ม่านเมฆาอยู่
"ขอรับ"ศิษย์ชุดขาวขานรับแล้ววิ่งเตาะเตะออกไปข้างนอกเพื่อนำทางหม่าเพ่ยซานทันที
เมื่อชายผู้เป็นเจ้าสำนักกำลังจะจากไปแล้วลู่เหวินเองก็ทำท่าจะลุกออกไปข้างนอกเช่นกันเพื่อหลีกหนีเรื่องวุ่นวายที่น่าจะตามตนมาหลังจากนี้นั่นเอง ลางสังหรของเขามักถูกเสมอว่าถ้าตนตามชายชราไปจะต้องมีเรื่องน่าปวดหัวมาให้ตนแน่ๆเขาจึงค่อยๆขยับเขยื่อนอย่างเชื่องช้าเพื่อเดินหนีไปจากตรงนั้นิให้ชายชราผิดสังเกตุ
"ลู่เหวินอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะหนีไปเข้าญาณอีกแล้วหยุดการกระทำของเจ้าแล้วตามข้ามา แถมเจ้าเองก็เป็นผู้คุมยอดเขาไป๋เมิ่งอยู่มิใช่รึ?"
ชายชราพูดเสียงเย็น
ด้วยที่ชายชราเองเป็นถึงผู้มีพลังตบะถึงขั้นก่อเกิดเซียนไหนเลยการขยับเขยื่อนตัวเพียงนิดเดียวของลู่เหวินจะลอดพ้นสายตาของเขาไปได้ อย่าว่าแต่ตัวของลู่เหวินเลยเพียงแค่เศษฝุ่นธุลีเล็กๆขยับเขยื่อนลอยไปมาในห้องอันโอ่อ่าของตนเขาก็สามารถรับรู้ได้
ได้ยินดังนั้นแล้วลู่เหวินเองก็ได้แต่ยอมเดินตามชายชราออกไปยังตีนเขาด้านล่างอย่างไม่เต็มใจนักแต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ปริปากบ่นซักคำ
ก่อนหน้านี้ด้านล่างยอดเขาไป๋เมิ่งที่เต็มไปด้วยหมอกบางๆทั่วทั้งยอดเขานั้นช่างเต็มไปด้วยความสงบราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝันเสียอย่างไรอย่างนั้นแต่ไม่นานมานี้จู่ๆม่านเมฆาที่เป็นค่ายอาคมของยอดเขาไป๋เมิ่งนี้กลับทอสีทองอันแสนสว่างเรืองรองที่แสดงถึงรังสีความรุ่งโรจน์ได้อย่างน่าตระการตา ซึ่งปรากฏการเช่นนี้ถึงแม้หุบเขาไป๋เมิ่งจะมีเมฆหมอกตลอดแต่กลับไม่เคยฉายสีทองอร่ามเช่นนี้มาก่อนเลยเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่เดิกเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้
เซียนฝึกหัดแต่ละคนที่สังเกตุถึงความเปลี่ยนแปลงของม่านเมฆาเองก็ต่างพากันเหาะเหินบ้างวิ่งบ้างเป็นขโยงมาดูความผิดปกติของม่านเมฆากันทั้งสินจนเซียนน้อยผู้มาบอกข่าวมิอาจจะแทรกตัวเข้าไปได้เลย เมื่อมาถึงเซียนน้อยผู้นั้นได้แต่เขย่งตัวเพื่อสูดอากาสหายใจอย่างเวทนาพลางกระโดดโหยงๆขึ้นลงเพื่อตะโกนว่า"หลีกทางๆหน่อย"แต่ก็มิมีเซียนผู้ใดได้ยินเลย
"ท่านหม่าเพ่ยซานมา!!?"
เซียนฝึกหัดน้อยอีกคนตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่าเซียนฝึกหัดทั้งหลายรอบๆนั้นต่างไม่รอช้ารีบถอยกรูกันออกมาเป็นแถวเพื่อเปิดทางให้หม่าเพ่ยซานได้ย่างกายเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง
'รู้งี้ข้าเอ่ยนามของท่านหม่าเพ่ยซานแต่แรกก็ดีสิ!!?'เซียนน้อยคิดเขาถึงกับอุส่าฝ่าวงล้อมเข้าไปป่าวประกาศแต่ทำไมไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของเขากันบ้างเลยล่ะ!!?
หม่าเพ่ยซานในตอนแรกนั้นได้จินตนาการถึงเหตุผลมากมายนานับประการที่ทำให้ม่านเมฆาอันเป็นอาคมป้องกันภัยของสำนักได้เปลี่ยนสีแต่เมื่อมาถึงกลับเห็นแต่เพียงตะกร้าสานชั้นดีใบหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้อยู่ตีนยอดเขาทำเอาหม่าเพ่ยซานที่เป็นถึงเจ้าสำนักอันน่านับถือแทบอยากจะจับเซียนน้อยที่วิ่งแจ้นมาหาเขามามะเหงกซักทีหนึ่ง เขาอุส่าเร่งรุดมาดูแทบตายแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าถึงกับเป็นแค่ตะกร้าสานใบหนึ่ง!!?
สงสัยม่านเมฆาคงจะไกล้เสื่อมแล้วเป็นแน่ถึงแสดงปฎิกิริยาต่อตระกร้าสานธรรมดาๆใบนี้ หม่าเพ่ยซานคิดอย่างหงุดหงิดพลางสะบัดตัวเดินหนีไปแต่ทันใดนั้นเองเสียงๆหนึ่งก็ดังออกมาจากตระกร้าสานเหมือนจะรั้งตัวเขาไว้ก็ไม่ปาน
"แอ๊ๆ"เสียงนั้นทำให้หม่าเพ่ยซานที่กำลังหัวเสียถึงกลับต้องหันหน้ากลับไปทอดมองยังตะกร้าสานใหม่อีกคราหนึ่งด้วยความใคร่รู้
'ทารกงั้นรึ?'
หม่าเพ่ยซานค่อยๆย่างกายเข้าไปไกล้ตะกร้าสานมากกว่าเดิมแล้วชะโงกหน้าตาเหี่ยวย่นลงไปดูข้างในตะกร้าสานซึ่งสิ่งที่ปรากฏบนครรลองสายตาของเขาก็คือเด็กทารกเพศชายผู้หนึ่งกำลังดูดนิ้วร้อง'แอ๊ๆๆ'อยู่ในตระกร้าอย่างหิวโหย
'สงสัยจะมีมนุษย์หรือเซียนผู้ใดนำมาทิ้งไว้กระมัง'
หากจะปล่อยไว้ก็ช่างน่าเวทนายิ่งแต่ว่าเด็กคนนี้ถึงกับทำให้ม่านเมฆาเปลี่ยนสีได้จะต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการมากเป็นแน่จะเลี้ยงไว้ก็มิเสียหาย หม่าเพ่ยซานรูปเคราของตนเองพลางเพ่งพิจารณาทารกตัวจ้อยในตระกร้า
"มีเซียนฝึกหัดผู้ใดบ้างที่จะอาสาเลี้ยงทารกผู้นี้?"
เหล่าเซียนฝึกหัดทุกคนที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นเมื่อได้ยินชายชรากล่าวเสร็จก็พากันส่ายหน้ากันทันควันถึงบางคนอาจจะไม่ได้ส่ายหน้าแต่ก็พากันยิ้มเจื๋อนไปตามๆกันซึ่งก็ถือว่ามิใคร่จะเลี้ยงทารกน้อยอยู่ดี
แค่จะหาเวลาส่วนตัวของพวกเขาไปบำเพ็ญเพียรพวกเขายังแทบจะไม่มีเสียด้วยซ้ำนี่ถ้ารับเด็กทารกที่พึ่งลืมตาดูโลกได้ไม่เพียงกี่วันไปแล้วนั้นเวลาอันมีค่าของพวกเขาคงจะหลุดลอยไปไกลแบบไปแล้วไปลับเป็นแน่!!?
"เฮ้อ"
ชายชราอดถอนหายในเสียงดังอย่างหนักใจไม่ได้เสียทีนึง ไม่ว่ามองไปทางไหนเหล่าเซียนฝึกหัดซึ่งขึ้นชื่อว่าจิตใจประเสริฐกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปยังไม่ยอมช่วยเลี้ยงชีวิตอันน้อยนิดจ้อยร่อยนี้เลย แต่เมื่อชายชรากวาดสายตาไปรอบๆของตนอีกทีก็พบเจอกับลู่เหวินที่ได้แต่ยืนนิ่งอยู่เงียบๆมิปริปากหรือแสดงอาการใดออกมาเลย จู่ๆหัวสมองของเขาที่ผ่านเวลามานับพันปีก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
"ลู่เหวินในเมื่อทุกคนปฏิเสธไปหมดทุกคนแล้วคงเหลือแค่เจ้าสินะที่มิได้กล่าวสิ่งใด"ชายชรากล่าวพลางกวาดสายตาไปมองปฏิกริยาบนใบหน้าไร้อารมณ์ของศิษย์ผู้หน้าตายด้านเสียยิ่งกว่าอะไรของตน
วินาทีนั้นจู่ๆคิ้วเรียวของลู่เหวินก็เลิกขึ้นทีนึงอย่างหยุดไม่อยู่แต่หลังจากนั้นลู่เหวินก็ค่อยๆเก็บอาการและเงยหน้าไปมองยังหลีหม่าเพ่ยซานด้วยความฉงนสนเท่ห์เหมือนต้องการรู้ว่าทำไมตนถึงต้องเป็นคนรับภาระแบบนี้ไปด้วย
"เจ้ารับทารกผู้นี้ไปเลี้ยงหน่อยละกันดูท่าทารกคนนี้จะชอบเจ้าเสียด้วยสิ"
ไม่มีแม้แต่คำอธิบายหม่าเพ่ยซานกล่าวซ้ำให้หยางลู่เหวินได้ยินอีกคราหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่กลั้นขำอันปิดไม่มิด
"แอ๊ๆ"ไม่รู้ว่าตั้งแต่คราใดทารกน้อยก็ยืนมือมาจับปลายอาภรณ์ของลู่เหวินพร้อมยิ้มร่าหัวเราะอย่างชอบใจไปเสียแล้ว ไม่ต้องบอกหยางลู่เหวินก็รู้ว่าหม่าเพ่ยซานนั้นแอบใช้พลังผลักตะกร้าทารกน้อยให้เข้ามาหาตนเป็นแน่
"..."
ลู่เหวินมองเข้าไปในตระกร้าสานชั้นดีที่ห่อหุ้มทารกน้อยเอาไว้และเขาก็ได้บังเอิญไปสบตากับสายตาที่ยังใสซื่อไร้เดียงสาอยู่ของทารกตัวน้อยในตระกร้าพอดีหยางลู่เหวินก็ถึงกับต้องหยุดมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีสนิมนั้นอย่างเหม่อลอย
ณ วินาทีนั้นเหมือนเวลาได้หยุดลงไปเพียงครู่เดียวหัวใจของหลงจวินก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้อย่างเลือนลางเหมือนมีสายใยบางๆได้เชื่อมต่อตัวเขากับทารกน้อยเข้าหากันเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่ลู่เหวินจะได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นเสียงของหม่าเพ่ยซานก็ดังก้องเข้ามาในโซนประสาทของลู่เหวินเสียงดังฟังชัดว่า'หากเจ้าไม่รับทารกนี่ไปข้าจะหาคู่บำเพ็ญหญิงให้กับเจ้าภายในวันนี้เลย!!?'
ลู่เหวินนั้นเกลียดการต้องหาคู่บำเพ็ญเป็นอย่างยิ่งรวมถึงการเซ้าซี้ของหม่าเพ่ยซานด้วยหากตนผูกสำพันธ์กับเซียนหญิงแล้วชีวิตอิสระที่ผ่านมาคงต้องอยู่ร่วมกันเป็นพันๆปีกับนางเป็นแน่แต่หากคิดอีกทีแล้ว...การดูแลทารกให้เติบโตจนดูแลตัวเองได้ก็ใช้เวลาไปเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง...กระมัง
คิดได้ดังนั้นลู่เหวินก็ก้มตัวลงไปหยิบทารกออกจากตระกร้าสานขึ้นมาแล้วหมุนตัวหนีโดยใช้เคล็ดวิชาตัวเบาเดินออกไปจากจุดๆนั้นทันควัน ลู่เหวินไม่ชอบที่ๆคนเยอะเพราะฉะนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นถึงขนาดว่าเซียนฝึกหัดทั้งหลายไม่สามารถเห็นแม้แต่วินาทีที่ลู่เหวินหมุนตัวเดินไปเลยทีเดียว
ในอ้อมกอดของลู่เหวินนั้นพยายามอุ้มทารกเอาไว้อย่างเบามือที่สุดโดยไม่ลืมที่จะเก็บพลังเซียนของตัวเองลงไปไม่ให้พลังอันแก่กล้าไปกระทบเข้ากับทารกน้อยให้ได้รับผลกระทบจากพลังเอาไว้ด้วย
เมื่อลู่เหวินใช้วิชาตัวเบาเดินจากไปแล้วหม่าเพ่ยซานก็ได้แต่ยิ้มกรุ่มกริ่มมองลู่เหวินเดินจากไปพลางคิดในใจอย่างอารมณ์ดีว่าหากลู่เหวินรับทารกไปเลี้ยงแล้วไม่นานนักต้องหอบทารกกลับมาเป็นแน่และยอมรับให้ตนหาคู่บำเพ็ญให้เพราะลู่เหวินได้รับข้อเสนอไปแล้วนั่นเอง
ลู่เหวินเองก็เป็นผู้ที่ไม่เคยคืนคำมาแต่ไหนแต่ไรยิ่งเขาเคร่งครัดในวิถีเซียนกว่ากว่าผู้ใดอยู่แล้วด้วยย่อมถือสัจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากถ้าลู่เหวินมิได้นำมาคืนก็คงจะไปขอความช่วยเหลือจากเซียนหญิงผู้อื่นเป็นแน่
'เห็นทีเร็วๆนี้ข้าคงจะได้เตรียมจัดงานแต่งให้ลูกศิษย์เสียแล้วสิ'ชายชราหมุนตัวพลางก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่เวทย์แล้วโคจรพลังให้มันลอยขึ้นและทยานกลับหุบเขาของตนเองไปในที่สุด
ในอนาคตอันไกล้วันนี้อาจจะเป็นวันที่หม่าเพ่ยซานตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาก็เป็นได้ที่กระทำเรื่องแบบนี้ลงไป ถึงกระนั้นตอนที่เขารู้ตัวทุกอย่างก็สายเกินแก้ไปเสียแล้วถึงขนาดที่ว่าแม้แต่มหาเซียนผู้เกรียงไกรทั่วยุธภพยังมิกล้าเข้าไปก้าวก่ายเลยก็ว่าได้...
ความคิดเห็น