ตอนที่ 9 : ตลอดไป
ตลอดไป
"ตลอดไปนั้นนานเเค่ไหนหรือ"
"จวบจนชีวิตจะหาไม่"
จวบจนชีวิตจะหาไม่.....
ข้าไม่ควรเชื่อคำพูดนี้เเต่เเรก
ทั้งจากหานเฟิง เเละจากชายคนนั้น คำสัญญาเป็นเเค่คำโกหก
หกปีก่อน ข้าในวัยสิบเอ็ดปี หลังถูกกิ่งไม้เเทงทะลุท้องจนเกือบตายจึงถูกส่งกลับบ้านสกุลซูทันที ร่างไร้สติโดนหามขึ้นเปลออกจากสำนักในวันนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองจะไม่ได้กลับมาที่สำนักอีก
ใช่เเล้ว ข้าไม่ได้กลับสำนักอีกเลยตั้งเเต่วันนั้น
หลายคนคิดว่าแผลข้าสาหัสจนขวัญเสีย จึงเลิกเดินในเส้นทางอันตรายอย่างฝึกยุทธ
เเต่สิ่งที่พวกเขาคิดนั่นไม่จริงเลย แผลปางตายนั่นเป็นเพียงเรื่องเล็ก…
ร่างบาดเจ็บสาหัสของข้าถูกส่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเเล้ว โชคร้าย ช่วงที่ข้าเกิดเหตุเป็นเวลาที่หมอเทวดาในสำนักบูรพาทั้งหมดไม่อยู่ เเละอย่าได้พูดถึงหมอในละเเวกใกล้เคียง เพราะ 'ละเเวกใกล้เคียง' สำหรับสำนักบูรพาคือป่า เเละเขา เเละป่า เเละทะเลสาป สำนักเซียนผู้ถือตนว่าตัดขาดจากโลกิยะไม่คิดตั้งสำนักใกล้เมืองสักนิด ซึ่งเเน่นอนว่าบ้านสกุลซูเเละสำนักบูรพาค่อนข้างห่างไกลกัน ซํ้ารถม้าที่พาข้าลงเขาอยากจะลงเเส้ม้าให้เร็วก็กลัวจะขับเร็วเกินไปจนกระเทือนถึงแผลคุณหนูซูเข้า ดังนั้นจนกว่าจะถึงบ้าน ข้าก็เจียนตายเเล้ว
เเต่ปาฏิหาริย์กลับเกิด
เมื่อกลับถึงบ้าน ข้าที่หายใจรวยรินกลับมาหายเป็นปกติในหนึ่งคืน ในตอนดึกวันนั้นข้าถูกปลุกด้วยเสียงดังโครมครามนอกจวนเเละเสียงฝนตกหนัก แผลบนท้องของข้าเเห้งหายเหลือเพียงเนื้อแผลเป็นนูนน่าเกลียด ข้าไม่รู้สึกเจ็บจากเเผลเเล้ว เเม้จะประหลาดใจ เเต่เสียงดังด้านนอกเรียกความสนใจข้ามากกว่า
ต้นเหตุของเสียงด้านนอกคือพ่อข้า เขาถือดาบ ลมปราณอัดเเน่นพวยพุ่งออกจากร่างใหญ่
ข้างหน้าเขาคือร่างอาบเลือดของท่านเเม่
บิดาข้ากำลังสังหารมารดาข้า
นั่นคือสิ่งที่ข้าเห็น
ท่าพ่อจับดาบ ท่านเเม่นอนนิ่งบนพื้น พี่ชายข้ายืนอึ้งอยู่ไม่ไกล
"ท่านพ่อ ! " ข้าในวัยเด็กวิ่งเข้าไปกอดขาท่านพ่อ เพื่อไม่ให้เขาลงดาบอีกครั้ง เเม่ข้าบาดเจ็บสาหัส เเต่ยังมีลมหายใจนางเหม่อลอยจ้องมองท่านพ่ออย่างเจ็บปวด
"หู่ผีอิงอู่" เสียงของท่านพ่อที่เรียกเเม่ข้านั้นไม่เหมือนเดิม มันเต็มไปด้วยความโกรธ เเละคับเเค้นจนบ้าคลั่ง
"เจ้าหลอกข้า... จนถึงตอนนี้..." ท่านพ่อยกดาบขึ้น เขาเตรียมฟาดฟันลงอีกครั้ง ครั้งนี้เพื่อคร่าชีวิต....
ข้าในวัยเด็กเเม้ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมท่านพ่อถึงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เเต่ก็รั้งตัวเข้าปกป้องท่านเเม่โดยไม่หวาดกลัวความตาย
บิดาข้ายังมีสติพอที่จะหยุดดาบเมื่อเห็นข้า ดวงตาของเขาเปลี่ยนจากจ้องมองท่านเเม่เป็นจ้องมองร่างเล็กที่พยายามจะหยุดดาบของเขาเเทน ดวงตาสีเเดงน่ากลัวทำข้าตัวสั่น สายตานั่นไม่ใช่สายตาของท่านพ่อที่ข้ารู้จัก
'มัจจุราช' นั่นคือฉายาของเขา ผู้สังหารพรรคมารนับไม่ถ้วน อดีตหัวหน้าตระกูลซูผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า สายตาของเขาในวันนั้นคือสายตาที่ใช้มองศัตรูพรรคมาร ไม่ใช่มองภรรยา หรือมองลูกในไส้
"ถอยไปเสีย" เสียงของท่านพ่อเย็นเยียบ ข้านํ้าตารื้น เเต่ก็ฝืนตัวขวางท่านเเม่ไว้ สมองคิดหาทางเเก้สถานการณ์อย่างฉับไว
"ท่านพี่ ! เร็ว ! " ข้าตะโกน ซูเว่ยคือคนที่ว่องไวที่สุดในบ้าน ไม่ทันขาดคำ พี่ชายที่เเสนดีก็รู้ว่าต้องทำอะไร ลำเเสงเเห่งยันต์สาดออกมาจากข้างหลังข้าในพริบตา ยันต์เคลื่อนย้ายถูกใช้ออกไปเเล้ว
"ทำอะไรของเจ้า! " มัจจุราชผู้ตั้งตัวไม่ทันโวยวายเมื่อเห็นพี่ข้าพาท่านเเม่หายไปในพริบตาที่เขาไม่ระวังตัว
"ท่านพ่อ... ทำไม? " ข้าเสียงสั่น นํ้าตานองหน้า
ทำไมถึงพยายามจะฆ่าท่านเเม่?
"นางมาร..." มัจจุราชที่กำลังโกรธจัดไม่เคยปราณีใคร เขาไม่ได้มองข้าด้วยซํ้า มองเพียงรอยเลือดบนพื้นที่ถูกชะล้างหายไปกับสายฝน เช่นเดียวกับเจ้าของรอยเลือด
ท่านพ่อตอบคำถามของข้าด้วยฝักดาบ
ข้าถูกฟาดกระเด็นอัดกระเเทกกับกำเเพงหิน เเม้จะเป็นการใช้ฝักดาบเเทนคมดาบ เเต่เเรงของท่านพ่อก็ยังรุนเเรงเท่าเดิม ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นก่อนสลบไปคือใบหน้าเปียกปอนของชายคนนั้น ข้าไม่เเน่ใจว่านั่นคือนํ้าฝนหรือนํ้าตากันเเน่
ข้ามารู้ทีหลังจากปากของท่านอา ว่าจริง ๆ เเล้วท่านเเม่เป็นคนพรรคมาร นางปิดบังท่านพ่อมาโดยตลอด จนให้กำเนิดพี่ข้า เเละข้า ความลับที่นางพยายามปกปิดถูกเปิดโปงคือตอนที่นางใช้วิชามารสร้างปาฏิหาริย์ คืนชีวิตที่จวนเจียนจะดับลงของข้า แผลข้าจึงหายเร็วกว่าปกติ เเละเเลกมาด้วยความลับที่พยายามปิดมาครึ่งชีวิตของเเม่ข้า
เรื่องหลังจากนั้นเเม้ท่านอาไม่ได้เล่า ข้าก็รู้ทันที ท่านพ่อเกลียดพรรคมารมาก ทั้งชีวิตของมัจจุราชคือการฆ่าฟันศัตรู เเต่วันนึง ดันมารู้ว่าคนข้างกายที่ตนรักก็เป็นพรรคมารเช่นกัน
เรื่องในคืนนั้นจึงเกิดขึ้น
หลังจากวันนั้น ท่านพ่อก็ยกท่านอาขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเเทน เเล้วย้ายตนไปอยู่ในกระท่อมเก่า ๆ ใกล้จวนสกุลซู เขาบ้าคลั่งอยู่กับการฝึกวิชา เเละไม่ออกมาอีกเลย ทั้งยังลั่นวาจาไว้ว่าหากหู่ผีอิงอู่มาเหยียบจวนสกุลซูอีก เขาจะฆ่านาง
ท่านอาจัดการให้เรื่องที่พ่อเเม่ข้าเเยกทางกันให้ถูกปิดเงียบ คนอื่น ๆ คิดว่าอดีตหัวหน้าตระกูลซูเเละฮูหยินของเขาอยากใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบ จึงล้างมือจากยุทธภพไม่ปรากฏตัวอีก
เป็นการปิดข่าวที่น่าขันสิ้นดี ....
ตัวข้าเเละพี่ชายในตอนนั้นเหมือนกำลังไต่เชือกข้ามหุบเหว ท่านพ่อดึงฝั่งหนึ่ง ท่านเเม่ดึงอีกฝั่งหนึ่ง ข้าคงจะไต่เชือกต่อไปได้หากทั้งสองคนยังจับเชือกอยู่ เเต่ท่านพ่อปล่อยมันเเล้ว ข้ากับท่านพี่ไม่อาจไต่ต่อไปได้จึงต้องกอดเชือกห้อยต่องเเต่งอยู่กลางหุบเหวอย่างหวาดกลัว โดยมีท่านเเม่ร่างผอมบางพยายามดึงมันขึ้น
เเต่นางมีเเรงไม่พอ
ข้าจึงปล่อยมือ เพื่อให้นํ้าหนักของเชือกเบาลง
เพื่อให้ท่านเเม่ดึงพี่ชายข้าขึ้นไป ส่วนข้าร่วงลงสู่หุบเหว
ข้าไปหาท่านพ่อไม่ได้เพราะข้าเป็นลูกสาวของหญิงพรรคมาร เเละข้าก็ออกตามหาท่านเเม่ไม่ได้เพราะท่านพ่อข้าพยายามจะฆ่านาง
ความรักที่ข้าเคยได้รับ อยู่ ๆ ก็หายไป เเม้อยู่บ้านเดียวกัน สายเลือดเดียวกัน เเต่ท่านพ่อไม่เคยมาหาข้าอีกเลย ข้าคุกเข่าหน้ากระท่อมผุ ๆ นั่นทั้งวันทั้งคืนเขาก็ไม่ออกมาพบข้า ข้าอ้อนวอนทั้งนํ้าตาเขาก็ไม่เเม้จะชายตาเเล จนข้าเเต่งงานออกจวนไป ก็ไม่มีเเม้เงาของท่านพ่อ
ท่านอาพยายามดึงข้าขึ้นจากหุบเหว เเต่ร่างข้าเเหลกสลายเเล้ว ความรักที่ท่านอามีให้ ความรักที่ลูกพี่ลูกน้องข้ามีให้ เเม้มีมากเท่าใดข้าก็รู้สึกว่ามันไม่เคยพอ
ข้ามองตัวเองในกระจก สิ่งที่สะท้อนในนั้นคือซูหลิวหยางวัยสิบเอ็ดปี พ่อข้าคือจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อ ตระกูลข้าคือตระกูลที่รํ่ารวยที่สุด ข้าคือเด็กหญิงอัจฉริยะ ห้าขวบสัมผัสปราณ เจ็ดขวบบ่มเพาะปราณ ข้าก้าวหน้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน จนพวกเขากลัวข้า มากกว่าที่จะรักข้า
สิบเอ็ดขวบ คือวัยที่ข้าตัดสินใจทำสิ่งที่โง่ที่สุดลงไป ข้าเลิกฝึกวรยุทธ เเล้วหันมาเเต่งตัว ทำอาหาร เล่นดนตรี บังคับตนเองให้เป็นเปลี่ยนจากเด็กเเก่นเเก้วหาเรื่องใช้กำลังไปทั่วให้เป็นหญิงงามที่มีกิริยางดงาม บอบบาง น่าเอ็นดู
ข้ารู้สึกมีความสุขที่สายตาคนรอบข้างมองข้าเปลี่ยนไป เเม้จะต้องเเลกมาด้วยความอึดอัดกับการทำสิ่งที่ข้าไม่อยากทำ
พวกเขารักข้า
ข้าต้องการความรัก
เเม้ความรักเหล่านั้นไม่อาจทดเเทนความรักที่ข้าเสียไปได้เลย
ข้าลูบหัวนกสีเเดง
"จนมาที่นี่ข้าถึงมาคิดได้ว่าที่ข้าทำมาทั้งหมดมันไร้สาระ" ข้าเงียบไปอึดใจหนึ่ง นกน้อยเงยหน้าฟังอย่างตั้งใจ "ถ้าข้าไม่เลิกฝึกวรยุทธตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งเสียใจ..."
"จิ๊บ ๆ " นกน้อยร้องเหมือนกำลังปลอบประโลมข้า
"ข้าไม่เป็นไรเเล้ว เเม้เเต่ปิ่นหยกที่ท่านพ่อให้ ข้าก็ทิ้งมันลงได้เเล้ว ข้าปล่อยวางเเล้ว" ข้าตอบมันเเละดุนหัวมันเบา ๆ อย่างเอ็นดู
รุ่งเช้าวันที่สิบสี่ในเขตอาคม ข้ากำลังเล่าประวัติชีวิตตัวเองให้นกฟัง
ถ้าข้ายังไม่บ้า ก็คงเกือบบ้า
"ข้าชื่อซูหลิวหยาง"
"จิ๊บ ๆ "
"เจ้าชื่ออะไร"
"จิ๊บ ๆ "
"หง? เฟยหง? อือ ! ชื่อนี้ดี"
"จิ๊บ ๆ ๆ "
ข้ากำลังคุยกับนก เเน่นอนว่าไม่รู้เรื่องที่พูดตอบนั่นข้อเออออไปเอง
เฟยหงกำลังตีปีกของมันเล่นนํ้าอย่างสนุกสนาน นี่เป็นนํ้าถังที่เจ็ดที่ข้าพยายามจะกดมันให้จมนํ้าตาย เเต่ก็ทำไม่ลงอีกครั้ง นกน้อยดูร่าเริงขึ้นหลังจากที่ข้านำอาหารมาให้ทุกวันตามคำสั่งมารพิษ ตรงข้ามกับข้าที่ซึมเซาลงทุกวัน
"ข้าฆ่าปลา ฆ่าไก่มาทำอาหารได้ ทำไมเเค่นกตัวเดียวถึงฆ่าไม่ได้ ! " ข้าพูดกับเฟยหง วิหคชาดเอียงคออย่างงงงวย
"เจ้าไม่ได้ตายถาวรนะเสียหน่อย พอเขตอาคมพังลงเเล้ว ข้าจะเอาเจ้าออกจากนํ้าเเล้วชุบเลี้ยงอย่างดี" ข้าเอ่ยด้วยนํ้าเสียงอ้อนวอน เเต่ไม่มีภาษามนุษย์ใดใดที่วิหคชาดฟังรู้เรื่องเลย
ข้าเปลี่ยนมามองเงาตนเองในถังนํ้าเเทน เงาของตัวข้ากำลังพูด
"เจ้ากล้าหรือ" ตัวข้าในถังนํ้าคือซูหลิวหยางผู้งดงามเปี่ยมคุณธรรม "นกตัวนี้ตายมากี่ครั้งเเล้ว เจ้าจะฆ่ามันอีกครั้งเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือ"
ข้าจ้องมองซูหลิวหยาง
ซูหลิวหยางจ้องมองข้า
"ถ้าเจ้าฆ่ามันเจ้าก็เป็นนางมารไม่ต่างจากมารพิษนั่น"
ข้าละสายตาจากเงาตัวเอง ปิดหูด้วยสองมือ ซุกลูกตาทั้งสองกับหัวเข่า
"ข้าไม่ใช่" ข้าตอบซูหลิวหยาง
"นางมาร" ซูหลิวหยางบอกข้า "นางมาร" นางพูดซํ้า
เสียงในถังนํ้าค่อย ๆ เปลี่ยน จากเสียงเเหลมสูงของสตรี เป็นเสียงทุ้มตํ่าของบุรุษ
"นางมาร"
"จิ๊บ ๆ " เสียงเฟยหงดึงข้าออกจากห้วงความคิด ข้าเงยหน้ามองมัน สายตาของเจ้าตัวเล็กดูเป็นห่วงเป็นใย เงาซูหลิวหยางในถังนํ้าหายไปแล้ว เหลือเพียงเงาของนกสีเเดงเเละผู้หญิงสกปรก
"ข้าไม่เป็นไรเฟยหง" ข้าลูบหัววิหคชาด มันตอบรับข้าด้วยการถูหัวกับปลายนิ้วของข้าอย่างมีความสุข
สิ่งมีชีวิตอมตะ เเต่ต้องมาทรมานกับการโดนปล่อยให้หิวตายหลายต่อหลายครั้งเเละเป็นพลังให้กับเขตอาคมไปชั่วนิรันดร์ มันทรมานมามากพอเเล้ว จนข้าไม่อาจฝืนใจทรมานมันได้อีก
ข้าต้องหาวิธีอื่น ข้าไม่อยากฆ่ามัน
ข้าขึ้นมาด้านบนหลังขลุกอยู่กับเฟยหงทั้งวัน ฟ้าจะมืดเเล้วข้าต้องเตรียมทำอาหารให้มารพิษ เเละเตรียมตำรา
ก่อนมารพิษจะตื่น ข้าก็เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ชายชราตื่นมากินอาหารก่อนเหมือนเช่นทุกวัน มันไม่ได้ถามเรื่องเฟยหง ไม่เคยถามอีกเลยหลังบอกเพียงเเค่ให้ข้าไปให้อาหารมัน
"เคล็ดวิชาอาภรณ์ซ่อนเลือด..." ข้าเริ่มอ่านตำราหลังเวลาอาหารเหมือนเช่นทุก ๆ วันที่ข้าต้องมารับใช้มารเฒ่า ชายชราก็เตรียมเงี่ยหูฟังเหมือนเช่นทุกครั้งเช่นกัน
"ปิ่นซ่อนดาบ อาภรณ์วิวาห์ซ่อนโลหิต เครื่องหอมซ่อนกลิ่นคาว.." ข้าเงียบเมื่ออ่านอารัมภบทไปได้ตอนหนึ่ง ตำราเล่มนี้เป็นม้วนตำราที่เขียนบนไม้ สัญลักษณ์รูปวิหคชาดบนแผ่นไม้บ่งบอกว่าเป็นวิชาพรรคมาร เคล็ดวิชาที่เขียนไม่สั้นไม่ยาว ตอนสุดท้ายของตำราเขียนคำเตือนด้วยหมึกสีชาด ข้าเหลือบไปเห็นมันเสียก่อนที่จะอ่านจบ
"หยุดทำไม" มารพิษถามด้วยอารมณ์โมโหทันที
"ผู้อาวุโส ตำราเล่มนี้เขียนไว้ว่าฝึกได้เเค่สตรี" ข้าบอกกับมารพิษโดยไม่ปิดบัง เกือบไปแล้วหากข้าอ่านให้มารพิษฝึกก่อนค่อยเห็นคำเตือน ข้าไม่โดนตบตีก่อนหรือ
โป๊ก !
"โอ๊ย ! " ข้าร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อมารพิษโยนฟืนท่อนนึงใส่หัวข้า อ่านก่อนก็โดนอยู่ดีหรือนี่
"คิดว่าข้าโง่รึ วิชามารอันใดกันฝึกได้เพียงสตรี อย่าได้คิดหลอกข้า ! " เสียงตวาดของมารพิษตามท่อนฟืนมาติด ๆ ข้าลูบหัวตนเอง บนนิ้วมีเลือดติดมา
"ผู้อาวุโส ข้าไม่คิดหลอกท่าน" ข้ารีบเเก้ตัว ของใกล้มือมารพิษอันถัดไปคือขวาน ข้ากลัวว่ารอบต่อไปจะไม่ใช่เเค่ฟืน
มารพิษไม่เชื่อในทีเดียว ข้าจึงต้องอ่านให้มันฟัง เเต่ข้าอ่านได้เเค่ครึ่งเดียวก็ต้องหยุด
ดวงตาข้าเบิกกว้าง เลือดสูบฉีดไปทั่วกาย เจอของดีเข้าเเล้ว ทางรอดของข้า
เคล็ดวิชาของ 'อาภรณ์ซ่อนเลือด' คือการ ซ่อนตัวตน อีกนัยหนึ่งก็คือการซ่อนระดับการฝึกยุทธ นี่เป็นวิชาของพรรคมารที่มีไว้ปิดบังตัวตนในโลกที่พรรคมารถูกไล่ล่า ข้าไม่เเปลกใจเลยที่ท่านเเม่สามารถปิดบังระดับขั้นของตนจากท่านพ่อได้เมื่อพรรคมารมีวิชาร้ายกาจเช่นนี้อยู่ เเละหากข้าฝึกวิชานี้...
ข้าก็จะสามารถฝึกวรยุทธได้โดยที่มารพิษไม่รู้
"จบเเล้ว? " มารพิษถาม ดึงสติข้าจากห้วงความคิด
"จบเเล้วเจ้าค่ะ" ข้าปั้นเสียงโกหกให้ดูปกติที่สุดก่อนตอบ
"เฮอะ ! ใครกันที่เขียนวิชาห่วย ๆ นี่" มารพิษสถบ ข้าจึงต้องรีบหาชื่อผู้เขียนวิชามาตอบมัน
"ผู้เขียนก็คือ... หู่ผีอิงอู่..." ข้ารีบอ่านรีบตอบ
"เฮอะ นังผู้หญิงทรยศเองรึ" มารพิษสถบ เเต่จากนั้นมันพูดว่าอะไรต่อข้าก็ไม่ได้ยินเเล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ...
เหงื่อในกายข้าเย็นเฉียบ ตัวอักษรที่คุ้นเคยทำให้ข้าต้องกวาดตาอ่านชื่อนั้นซํ้า
หูผีอิงอู่ ?
นี่มันชื่อเเม่ข้า !
________________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจอตำราของท่านแม่แล้ว น่าจะฝึกได้นะเนี่ย