ตอนที่ 5 : ปล่อยมือ
ปล่อยมือ
ข้าคือซูหลิวหยาง
เกิดในตระกูลซู ตระกูลที่ถูกเรียกว่ามั่งคั่งที่สุดในแผ่นดิน เเต่ข้าก็ไม่สามารถใช้เงินที่มีซื้อใจคนที่ข้ารักกลับคืนมาได้
ข้าเป็นหญิงที่ถูกยกย่องว่างดงามเพียบพร้อมทั้งความสามารถเเละกิริยาของหญิงผู้ดีพึงมีเเต่ตอนนี้ดวงตาของข้าบวมชํ้าเเละผมเผ้ารุงรังไม่มีเค้าโครงของสตรีผู้ดีสักนิด
ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ดปีก็ถูกส่งขึ้นเกี้ยวสมรสเข้าบ้านสามี เเต่อยู่ได้ไม่กี่วันข้าก็ขอหย่า
หลังจากขอหย่าข้าก็วิ่งออกมาทันที วิ่งออกมาเห็นม้าขาวตัวนึงก็ขึ้นขี่มันโดยไม่คิด ด้วยความอับอาย ความโกรธ ความเศร้า หรืออะไรก็เเล้วเเต่ ข้าตัดสินใจขี่ม้าตัวเดียวกลับบ้านตระกูลซูทันทีทั้ง ๆ ที่รู้ว่านั่นเป็นการประชดประชันที่โง่งมขนาดไหน และการใช้อารมณ์เเล้วหนีออกมาโดยไม่คิด ผลร้ายจึงเริ่มเเผลงฤทธิ์ ม้าขาวที่วิ่งเต็มฝีเท้ามาด้วยเวลานานเริ่มหอบ ข้าต้องหยุดพักก่อนที่มันจะล้มลงเสียก่อน
ข้าลงจากม้า ผูกเจ้าขาวที่หายใจถี่ไว้กับตอไม้ เเล้วนั่งลงข้างตอไม้นั่น เมื่อได้อยู่นิ่ง ๆ ในหัวก็วนซํ้าภาพเดิมจนข้ารู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำเรื่องโง่ ๆ ลงไป
ข้าถึงกับ… คุกเข่าขอร้องเขา! นั่นไม่จำเป็นเลย เเค่อำนาจตระกูลก็มากพอที่จะบีบให้หานเฟิงเขียนใบหย่าเเล้ว!!
ข้าใช้สองมือทุบหัวตัวเองเหมือนการทำเช่นนั้นจะทำให้ข้าลืมความทรงจำนั่นได้ ซึ่งเเน่นอนว่ามันไม่ได้ผล เเถมยังทำให้รู้สึกเจ็บอีก ข้าลุกขึ้นเเล้วเดินวนไปวนมาเหมือนคนบ้า รอบกายข้าเป็นป่าที่ไม่คุ้นตา จึงทำให้ข้าเป็นบ้าเข้าไปใหญ่
เเล้วสถานที่นี่มันส่วนใดของโลกกัน?
จู่ ๆ ข้าก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จนต้องเอาหัวตัวเองโขกกับต้นไม้ต้นหนึ่งอีกสองสามที
ข้าหลงทาง
เมื่อรู้สึกถึงความโง่ของตัวเองข้าก็อยากจะย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน หนีออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีผู้ติดตาม ไอ้ม้าตัวเดียวนี่ก็ไม่ช่วยให้ข้าไปถึงบ้านได้หรอก ส่วนเรื่องเส้นทางกลับตระกูลซูน่ะหรือ ข้าจำไม่ได้เลยสักนิด….
นี่มันน่าอายนัก! เเล้วข้าก็ทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะมีคนมาช่วยน่ะหรือ!
ความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมจนข้าเเทบยืนไม่ไหว สองมือข้าปิดใบหน้าตนเองที่กำลังจะสะอื้นอีกครั้ง ในความมืดใต้เปลือกตา ข้าเห็นหานเฟิง
ไม่ ไม่ ไม่
ข้ายอมตายดีกว่าจะเจอเขา
เมื่อข้าเปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าหานเฟิงก็หายไป ดวงตาข้าก็มองเห็นความจริงเบื้องหน้า เเสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับไปใต้ช่องเขา ลมพัดเเผ่วเบา ต้นหญ้าเตี้ย ๆ ลู่ลับลมบนผืนดิน เเต่ห่างไปอีกสิบเก้า พื้นดินเป็นปึกเเผ่นก็หายไป
ข้าเดินเข้าไปใกล้ พื้นดินที่หายไปนั้นเเทนที่ด้วยอากาศอันว่างเปล่า
ทางข้างหน้าคือหุบเหว
เสียงลมกำลังกระซิบบอกข้า เพียงเหยียบลงไปบนอากาศว่างเปล่า ข้าจะได้โบยบิน ได้รับอิสระ ได้รับการปลดปล่อย หานเฟิงจะหายไป ความทรงจำเเย่ ๆ จะหายไป ความรู้สึกเจ็บปวดที่ข้าได้รับก็จะหายพร้อมร่างกายที่เเหลกสลาย
ข้ามองลงไปยังหุบเหวลึกเบื้องล่าง
หานเฟิง….
หากข้าตายท่านจะเสียใจหรือไม่
หุบเหวที่ข้ายืนเหยียบอาจไม่ลึกที่สุด เเต่มันก็ลึกพอที่จะฆ่าคน
ก่อนที่ข้าจะเห็นมือของยมทูต ส่วนลึกในใจข้าสะท้อนภาพชายอีกคนที่ไม่ใช่หานเฟิง
ข้าหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงหน้าเขา หัวเราะด้วยความเจ็บปวดเหมือนมีดกรีดเเทง ความทรงจำเลวร้ายในอดีตนั้นไม่เคยหายไป
ข้าเจ็บป่วยเขาไม่สน ข้าคุกเข่าอ้อนวอนเขาไม่เคยเห็นใจ จนข้าเเต่งงาน จนข้าลาจากบ้านเกิดเขาก็ไม่เคยเเม้จะบอกลา เเต่บางทีถ้าข้าตาย... ชายคนนั้นอาจจะยอมมางานศพข้าก็ได้
ข้าก้าวขาออกไปข้างหนึ่ง เมื่อความตายอยู่เบื้องหน้า ข้าพบว่ามันคือความสุข
ลาก่อน… ท่านอา... จิ่นเลี่ยว..
ลาก่อนหานเฟิง
ลาก่อน… ท่านพ่อ...
“ฮี้ ๆ ….” เสียงม้าขาวข้างหลังทำให้ข้าชะงักเท้าที่กำลังก้าวออกไปนิ่ง
ข้าค่อย ๆ เอี้ยวคอไปมองเจ้าม้าขาว มันโดนผูกไว้กับต้นไม้เเละมองมาทางข้าด้วยดวงตาหวาดกลัว กระทืบเท้าอีกทีสองทีเรียกร้องความสนใจ เเละพยายามสะบัดหัวออกจากเชือกที่พันธนาการมันไว้กับตอไม้
คิ้วข้ากระตุก
มันกำลังกลัวว่าข้าจะตายไปโดยลืมปล่อยมันไปใช่หรือไม่….
“ก็ได้ ๆ ปล่อยเจ้าไปก็ได้” ข้าหันตัวกลับ ความคิดอยากตายมลายไปสิ้นเหมือนเป็นเพียงความคิดผิดพลาดชั่ววูบที่ตัวข้าคงไม่กล้าทำมันจริง ๆ เมื่อไปถึงตัวเจ้าม้าขาว ข้าก็คิดตกได้ว่าถ้าหาชุมชนสักชุมชนเจอก็เเค่จ้างคนเเถวนั้นไปส่งที่จวนสกุลซูก็พอเเล้ว จะได้ไม่ต้องไปเจอหน้าหานเฟิงอีก
จังหวะนั้นเอง มือของข้าที่กำลังจะดึงเชือกคล้องตอไม้ออกดี ๆ อยู่ ๆ ก็รู้สึกถึงเเรงลมที่ดึงตัวข้าออกมาจนล้มลงกับพื้นพร้อมกับต้นไม้ใบหญ้ารอบกายที่ถูกพัดอย่างบ้าคลั่ง เเรงลมปริศนาไม่หยุดเเค่นั้นมันยังพัดรุนเเรงไม่มีจบสิ้นเหมือนข้าอยู่ท่ามกลางพายุกระหนํ่า เจ้าม้าเองที่โดนเเรงลมปะทะก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
ข้าที่กำลังทั้งตกใจเเละงุนงง ปัดป่ายมือไปทั่วเพื่อไม่ให้ถูกพัดไปตามกระเเสลม เเต่รอบกายไม่มีอะไรให้เกาะนอกจากเจ้าม้าขาวข้างกาย ข้าคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของมันได้ทันก่อนที่จะถูกลมดูดเข้าไป
นี่มันลมบ้าอะไรกัน !!
ข้าเกาะขาเจ้าม้าเเน่น เมื่อมองไปตามเเรงลมข้าพบว่ามันมาจากเหวนั่น เเรงลมดูดทุกอย่างลงไปในเหว เหล่าใบไม้ปลิวว่อนเเละร่วงลงไป ข้ากลืนนํ้าลายความกลัวเกาะกุมจิตใจ ความกล้าที่จะตายเมื่อครู่เองก็ไม่เหลือเเล้วเช่นกัน เเต่ยังไม่ทันคิดว่าที่มาที่ไปของลมพายุประหลาดนี่คืออะไร เจ้าม้าขาวก็เริ่มตะเกียกตะกายต้านลมอย่างบ้าคลั่ง
“อยู่นิ่ง ๆ สิ!” ข้าพยายามตะโกนบอกเจ้าเดรัจฉานตัวโต สิ่งที่ยึดมันอยู่มีเพียงเชือกบางที่ผูกกับตอไม้ไม่ไห้หลุดไป
ใช่ เเค่เชือก บาง ๆ
ปึดดด!!
เสียงเชือกเส้นน้อยส่งเสียงน่าใจหาย มันกำลังจะขาด
เจ้าม้าขาวเองก็คงได้ยินเสียงเชือกที่ใกล้จะหลุดเต็มที เชือกน้อยคงต้านทานเเรงลมพายุที่ดึงทั้งคนทั้งม้าได้อีกไม่นาน
ข้าเเละเจ้าม้าขาวสบตากัน
เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นที่ข้ารู้ว่าเจ้าเดรัจฉานนี่คิดอะไร มันก็ยกกีบเท้าอีกข้างขึ้นมา เล็งที่หน้าข้า เเละถีบ
พลั่ก!!
ข้าต้องปล่อยมือทันทีเมื่อโดนม้าดีดกะโหลก ในสถานการณ์ที่ยํ่าเเย่ ลมปริศนาดึงทุกสิ่งให้ร่วงลงสู่หุบเหว เเรงดีดของเจ้าม้าขาวช่วยส่งตัวข้าเข้าสู่พายุ เมื่อไร้สิ่งเกาะเกี่ยว กายข้าก็ถูกสูบลงไปทันที ก่อนที่ตัวข้าจะร่วงลงไปสายตาก็สบเข้ากับตาสีนํ้าตาลของเจ้าม้าขาวที่เกาะอยู่กับเชือกคล้องตอไม้อย่างหวงเเหน
หากข้ากำลังจะตาย นี่อาจเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่คุณหนูผู้งดงามอย่างข้าได้พูดออกมา
“ไอ้ม้าเวรรรรรรรรรรรร”
________
ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้บุนวมด้วยสายตาล่องลอย ใบหน้าคมคายไร้การเเสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตารูปใบหลิวเหม่อมองห้องกว้างตามฐานะตนด้วยสายตาว่างเปล่า จนนัยน์ตา,นัยตาสีดำนั้นมาหยุดอยู่ที่ซุปกระดูกหมูถ้วยหนึ่ง
ในชั่วชีวิตของหานเฟิง นี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกิน
สายลมหนึ่งกระชากหน้าต่างห้องให้เปิดออก หานเฟิงดีดตัวขึ้นทันทีเเละชักดาบออกจากฝักเมื่อรับรู้ถึงลมปราณที่อันตราย
“ข้าเอง” เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้านหลังเขา หานเฟิงมือสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่านั่นคือเสียงใคร
จอมยุทธ์หนุ่มเก็บดาบเเละค่อย ๆ เบี่ยงกายหันหลังกลับโดยขยับตนให้ปิดบังถ้วยอาหารบนโต๊ะนั่นเล็กน้อย
เบื้องหน้าเขาคือหญิงสาวคนหนึ่ง เเม้ใบหน้าจะดูอ่อนเยา เเต่หานเฟิงรู้ดีว่าอายุนางไม่ได้น้อย ๆ เเล้ว ใบหน้าของนางงดงาม ริมฝีปากนางเเดงดุจโลหิต ดวงตาฉายเเววของความร้ายกาจเอาไว้ นางเเต่งกายด้วยชุดหรูหราสีเเดงตัดกับเครื่องประดับทองทั้งชุด ทั้งตัวของนางที่เเต่งกายเสียเต็มยศ ดูก้าวเดินลำบากนักเเต่การปรากฏตัวของนางนั้นกลับว่องไวจนหลอกสายตาของศิษย์อันดับหนึ่งเเห่งสำนักบูรพาได้
“ท่านเเม่....” หานเฟิงก้มหัวคารวะหญิงชุดเเดง
หากเหล่าผู้คนในยุทธภพมาได้ยินคำนี้ออกจากปากหานเฟิงทุกคนต้องตะลึงเป็นเเน่ หานเฟิงถูกรู้จักในฐานะเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านเจ้าสำนักเก็บมาเลี้ยง เเม้ฮูหยินตระกูลเชวี่ยจะเป็นผู้ใกล้เคียงที่สุดที่เขาจะเรียกว่าเเม่ได้ เเต่หานเฟิงก็ไม่เคยเรียกนางว่าเเม่มาก่อน
เพราะเหานเฟิงสงวนคำเรียกนี้ไว้ให้เเม่เเท้ ๆ ของตนเท่านั้น
“ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าจะหย่าเเล้ว” ไม่รอให้หานเฟิงได้รินชาต้อนรับ ‘ท่านเเม่’ ก็เข้าเรื่องสำคัญทันที
“นั่นเป็นความประสงค์ของนาง” หานเฟิงตอบ
“เเต่ไม่ใช่ความประสงค์ของข้า” หญิงชุดเเดงขัดด้วยเสียงเย็น นางใช้ดวงตาดุร้ายจ้องมองเข้าไปในตาสีนิลของบุตรชาย
“ตระกูลซูจะเพิ่มอำนาจของเจ้า สิ่งที่เจ้าควรทำคือเเต่งงานเเละฆ่านาง ! มิใช่ปล่อยนางไป !” หญิงชุดเเดงตะคอกด้วยเสียงเเหลม ปราณบางอย่างที่มากับเสียงนั้นทำให้เเจกันเเตกทันทีเเม้ไม่มีใครสัมผัสมัน
“ข้าไม่คิดว่านางจะขอหย่า” หานเฟิงกล่าวอย่างใจเย็นไม่สะทกสะท้านกับความโกรธของหญิงตรงหน้า
“นางไม่มีสิทธิ์ !” เสียงตวาดของนางตามมาด้วยฝ่ามือที่ฟาดเข้าหน้าของบุตรชาย
“ต่อให้ข้าไม่หย่า ตระกูลซูก็จะกดดันให้ข้าเขียนใบหย่าอยู่ดี ท่านเเม่ได้โปรดเข้าใจ” หานเฟิงพยายามอธิบายด้วยเหตุผล เเต่นั่นกลับทำให้หญิงชุดเเดงทวีความโกรธขึ้นมาอีกเมื่อเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ดั่งใจ
“เจ้ากล้าเถียงข้าเเล้วหรือ?” เสียงของนางเย็นเยียบขึ้น “เจ้าคงอยู่สุขสบายกับชื่อเสียงเงินทองจนหลงลืมตัวตนไปเเล้ว…”
หญิงชุดเเดงก้าวเข้าไปใกล้บุตรชายของนาง เเละจ้องเข้าไปในดวงตาสีนิลลํ้าลึก นางพยายามหาอารมณ์ใดใดก็ตามที่อาจปรากฏบนใบหน้านั้น เเต่นางก็ไม่พบสิ่งใด เเวบนึงที่นางรู้สึกโมโห เเต่ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าคนที่สร้างสิ่งมีชีวิตไร้อารมณ์นี่ขึ้นมาคือนางเอง
“ตอบข้ามา เเท้จริงเจ้าเป็นใคร” นางเริ่มด้วยคำถาม
“ประมุขน้อยพรรคมาร” เสียงตอบของหานเฟิงนั้นชัดเจนเหมือนทุกครั้ง
“เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร”
“ทำลายพันธมิตรเจ็ดพรรค ล้างเเค้นให้ท่านพ่อ”
หญิงชุดเเดงเมื่อเห็นบุตรชายยังไม่ลืมที่นางสั่งสอนเเม้ผ่านมาเกือบสิบปีก็ลดอารมณ์โกรธลงเล็กน้อย นางยกมือผอมขึ้นมาประคองใบหน้าของหานเฟิงเเล้วกล่าวเเผ่วเบา
“ดีมาก … เเต่ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง” หญิงชุดเเดงฉีกยิ้ม นี่เป็นเรื่องที่นางประหลาดใจที่สุด “เด็กคนนั้นที่เจ้าจะเเต่งเป็นภรรยาน้อย เจ้ารักนางจริงหรือ”
“ข้ารักนางตั้งเเต่เเรกพบ” หานเฟิงตอบ ดวงตายังสงบนิ่งเหมือนเช่นเดิม
“งั้นหรือ…” หญิงชุดเเดงรู้สึกยากจะเชื่อ นางไม่คิดว่าสุดท้ายบุตรชายที่นางสร้างขึ้นมาจะรักใครเป็นจริง ๆ นางจับจ้องดวงตาของหานเฟิงไม่ลดละ เเละเอ่ยสิ่งที่นางคิดออกมา
“ข้าคิดว่าเจ้าทำเพื่อให้ซูหลิวหยางถอยห่างจากเจ้าเสียอีก...”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ สายตาของหญิงชุดเเดงเหลือบไปที่ซุปกระดูกหมูด้านหลังหานเฟิง หล่อนปล่อยมือออกจากใบหน้าของบุตรชายอย่างช้า ๆ
“ข้าคงคิดมากไปเอง… เเต่หากสำนักมารกลับมาเฟื่องฟู นางก็ต้องตายเพื่อชดใช้กรรมที่เเม่ของนางทำไว้อยู่ดี”
หญิงชุดเเดงหมุนตัวนางเดินไปที่หน้าต่างเเละเหม่อมองออกไปนอกตำหนัก
“ท่านเเม่ โปรดระวังผู้ใดพบเห็นด้วย ฐานะของท่าน ข้าไม่อาจกลบเกลื่อนได้” หานเฟิงเอ่ยเตือนเมื่อหญิงชุดเเดงอยู่ใกล้หน้าต่างบานนั้นจนเกินไป
หากมีผู้ใดพบเห็นมหามารดาเเห่งพรรคมารในห้องของเขา ชื่อเสียงที่หานเฟิงพยายามสร้างมาในพรรคฝ่ายธรรมจะสลายหายไปในวันเดียว
“เด็กคนนั้นดูนางจะรักเจ้าจริง ๆ” หญิงชุดเเดงไม่ได้สนใจที่หานเฟิงเตือนเเม้เเต่น้อย นางมองไปที่หญิงสาวหน้าตาใสซื่อคนหนึ่งที่กำลังมองมาทางนางเช่นกัน
เด็กหญิงคนนั้นคือหลิ่งอี้ หญิงรับใช้ที่กำลังรู้สึกผิดกับการหักหลังนายหญิงของตน
หญิงชุดเเดงยิ้มให้หลิ่งอี้ เมื่อนึกได้ว่าเด็กน้อยซูหลิวหยางคนนั้นร้องไห้ฟูมฟายขนาดไหนตอนรู้ว่าหานเฟิงรักหญิงอื่น นางก็หยักมุมปากสีเเดงสดยกยิ้มเเละรู้สึกสะใจมากทีเดียว
“ให้นางเจ็บปวดก่อนตายเสียหน่อยก็ดี” หญิงชุดเเดงพูดเสียงเบากับตนเอง ก่อนจะหันมาหาหานเฟิง
“ข้าไม่อาจรอได้เเล้วหานเฟิง…” เสียงของมารดานั้นนุ่มนวล เเต่มันกลับบีบคั้นหัวใจของบุตรชายเป็นที่สุด “คุณหนูสกุลซูคนนั้นตายไปสักคนแผนการของเราก็คงไม่เสียหายอันใด”
หานเฟิงเบิกตากว้างขึ้นทันทีเมื่อได้ยินนางพูด เป็นครั้งเเรกที่หญิงชุดเเดงเห็นความรู้สึกในดวงตานั้น
ไฟเเห่งความโกรธกำลังลุกไหม้ในความมืด
หญิงชุดเเดงหยัดยิ้มขึ้นอีก
“ข้าจะทำให้เหมือนอุบัติเหตุวางใจเถิดบุตรของข้า”
สิ้นคำ ร่างของนางก็หายไปกับสายลม ไม่เหลือเวลาให้หานเฟิงเอ่ยคำใด
ไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองใด ๆ ทันทีที่ร่างหญิงชุดเเดงใช้วิชามารย้ายตนออกไป หานเฟิงก็เปิดประตูออกจากจวนรีบตามเงาสีเเดงนั่นไปอย่างร้อนรน
เเต่เเล้วร่างเล็กร่างหนึ่งก็ทำให้เขาต้องเสียเวลา
หลิ่งอี้ยืนตัวเปียกอยู่หน้าประตู นางค้างในท่ามือหนึ่งกำลังเคาะบานประตู มือหนึ่งถือกำไลหยก เเต่ยังไม่ได้เเตะอะไรหานเฟิงก็พรวดออกมาก่อนเเล้ว
“อ๊ะ นายท่านเดี๋ยวก่อน ! ” หลิ่งอี้กระโจนออกมาขวางหน้าเขาทันทีก่อนที่เขาจะเดินอ้อมนางไป “ขะ… ข้าไปหาหยกชิ้นนี้ในสระบัวมา” หลิ่งอี้ยื่นหยกเขียวมาให้เขา
“ไว้ก่อน” หานเฟิงที่กำลังร้อนรนเบี่ยงตัวหลบอีกรอบ เเต่เด็กน้อยหลิ่งอี้ก็ตามมาอีกด้วยการยื้อชายเสื้อเขาไว้
“นายท่านโปรดรอก่อนเจ้าค่ะ! ข้า… ข้าคิดว่าเรื่องเเต่งงาน.. ข้าไม่คู่ควร...”
“ข้ากำลังรีบ” หานเฟิงตัดบททันที “นายหญิงเจ้าอยู่ไหน” เเต่เมื่อนึกได้ว่าหญิงรับใช้ของซูหลิวหยางอยู่ที่นี่ เขาก็โพล่งถามออกมาทันทีเเละใช้สองมือเขย่าไหล่หลิ่งอี้ให้นางรีบตอบ เสื้อผ้าของหลิ่งอี้เปียกปอน เขารู้ว่าหลิ่งอี้มีความพยายามที่จะหาหยกนั่นมาหลายวัน เเม้อากาศเย็นนางก็ยังลงไปงมหาหยกชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาคืน เเต่เขารีบเกินกว่าที่จะมาซาบซึ้งในนํ้าใจอันห้าวหาญของนาง
“นายหญิง… หลังจากเมื่อครู่นางก็วิ่งไปที่คอกม้า… เเล้วก็ควบม้าออกไปสักพักเเล้วเจ้าค่ะ….” หลิ่งอี้พูดตะกุกตะกัก นางยังตกใจกับใบหน้าของหานเฟิงที่ไม่เหลือโครงหน้าของคุณชายผู้เย็นชาอีกเเล้ว
“ไปที่ไหน” หานเฟิงถามต่อ
“นางบอกจะกลับบ้านเจ้าค่ะ…”
สิ้นคำ หานเฟิงก็ผละออกไปทันที เพียงหลิ่งอี้กะพริบตาร่างของหานเฟิงก็หายไปด้วยความเร็วสูงสุดเเล้ว
ท่ามกลางอากาศเบาบาง วิชาตัวเบาเหยียบย่างบนอากาศอย่างเร่งรีบ ความรู้สึกของหานเฟิงมีเพียงความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปซึ่งได้เเต่เพียงตะโกนอย่างเจ็บปวดในอกก็เท่านั้น
ข้าไม่ควรปล่อยมือเจ้าไปเลย!!
______
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คนที่สารเลวที่สุดก็ยังเป็น หานเฟิงเหมือนเดิมค่ะ
อืม คนใช้ก็คิดไม่ซื่อ ไอผช.ก็เฮงซวย....แล้วทุกคนจะเสียใจ เพราะนางจะเปลี่ยนแล้ว...มั้ง