ตอนที่ 34 : ความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์
“หนุ่มรูปงามที่มากับคุณหนูซูเป็นใครกัน”
“เจ้าเห็นสีผมของเขาหรือไม่ หาได้ยากนัก”
“โอ้…. เจ้าดูเขาสิ เป็นคุณชายจากที่ใดกัน
“คุณหนูซูกลับมาได้ไม่นานก็จะแต่งงานใหม่แล้วหรือ”
ลั่วลั่วรู้สึกรำคาญ เหตุใดผู้หญิงทั้งงานจึงเอาแต่พูดเรื่องชายผมแดงที่อยู่กับซูหลิวหยางนัก แม้ชายผู้นั้นจะดูดีหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีความสามารถมากไปกว่าประมุขน้อยของนางแน่!
ลั่วลั่วน้อยหันไปมองหานเฟิง นางจึงพบว่าประมุขน้อยของนางมองซูหลิวหยางตลอดงาน ส่วนซูหลิวหยางก็มองรัชทายาทตลอดงาน รัชทายาทเองก็มองถ้วยชาตลอดงาน พอรัชทายาทลุกออกไป ซูหลิวหยางจึงลุกตาม ข้าและหลี่เจี๋ยจึงต้องลุกตาม
นี่มันความสัมพันธ์แบบใดกัน!!
“เจ้าอยู่นี่” หานเฟิงเอ่ย ไม่ได้หันไปมองว่าบอกกับใคร แต่คนฟังรู้ดีว่าเป็นใคร หลิ่งอี้ผู้น่าสงสารโดนทิ้งไว้ที่โต๊ะอีกเช่นเคย
เมื่ออกมาจากโถงได้ หานเฟิงก็กลายเป็นเงาเงาหนึ่งที่เดินตามซูหลิวหยางจากระยะไกล ๆ เดินไปได้ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มตาสีฟ้าที่ติดตามซูหลิวหยางก็โดนทิ้งไว้ คนผู้นั้นมองซ้ายมองขวาประหนึ่งกำลังดูต้นทาง หานเฟิงหยุดกึกทันที ก่อนจะไปพูดกับหลี่เจี๋ย
“ล่อไว้”
หลี่เจี๋ยสุดแสนจะรู้งาน และโดยไม่ต้องใช้กำลัง คนตาบอดเช่นมันก็แสร้งทำเป็นถามทางให้จอมยุทธตาสีฟ้าคนนั้นไปส่งได้
หานเฟิงตามเงาของซูหลิวหยางไปต่อเมื่อทางสะดวก ทั้งคู่เดินผ่านทหารยามบางครั้ง แต่ในวันงานเช่นนี้วังหลวงบางส่วนจะเปิดให้เดินไปเดินมาได้ แต่ก็ไม่นึกว่าตำหนักเย็นที่ถูกทิ้งร้างจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“นางมาทำอะไรที่นี่กันหรือเจ้าคะ” ลั่วลั่วถามออกมา แม้รู้ว่าคงไม่ได้คำตอบ แต่นางแค่อยากทำลายความเงียบระหว่างนางกับหานเฟิง
หานเฟิงไม่ได้ตอบเพียงแต่มองนางแวบหนึ่ง สลับกับมองสาวใช้ของซูหลิวหยางที่ถูกทิ้งไว้หน้าสวนดอกสือซว่าน
ลั่วลั่วเห็นแล้วก็รู้หน้าที่ นางเดินเข้าไปหาสาวใช้ด้วยรอยยิ้มละไม ส่วนหานเฟิงก็หายไปในเงา
“สวนแห่งนี้ข้าเข้าไปดูได้หรือไม่”
สาวใช้ท่าทางอํ้าอึ้ง นางพูดอย่างสุภาพตอบกลับมา “เอ่อ ได้โปรดรอสักครู่นะเจ้าคะ นายของข้ากำลังคุยธุระสำคัญอยู่ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“หือ? สวนแห่งนี้เป็นของเจ้าหรือไร” ลั่วลั่วกล่าว หางตาของนางเห็นเงาดำของหานเฟิงเดินเข้าสวนไปแล้ว ระหว่างที่นางดึงความสนใจสาวใช้ผู้นี้ เป็นอันว่าคำสั่งของประมุขน้อยบรรลุผล
“เอ่อ… อย่างไรก็ได้โปรดรอสักครู่เถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้เลิกลั่กตอบ ลั่วลั่วรู้สึกรำคาญนางนัก ซํ้ากับความเกลียดซูหลิวหยางอยู่ก่อน นางมารตัวน้อยจึงยกยิ้มชั่วร้ายก่อนมองทาสตัวเล็ก ๆ ของซูหลิวหยาง
“เจ้าชื่ออะไร”
“เอ๋? ขะ… ข้า.. ชื่ออิงอี๋เจ้าค่ะ….” สาวใช้งุนงงกับคำถามที่ถูกเปลี่ยนกะทันหัน
“อิงอี๋ เจ้าหายไปสักคนนายหญิงของเจ้าคงเสียใจใช่หรือไม่”
“หา….? ทำไมจู่ ๆ ท่านถึง …?”
ยังไม่ทันที่อิงอี๋จะกล่าวจบ หมัดสังหารของลั่วลั่วก็พุ่งเข้าไปแล้ว
_____________
เส้นทางที่เหล่าบริวารล่อไว้ให้หานเฟิงเดินสะดวก เจ้าตัวกลับใช้ไม่คุ้มค่านัก
เงาของซูหลิวหยางอยู่ด้านหน้า ชายผมแดงผู้นั้นตามมาติด ๆ ไม่ห่าง จนกระทั่งวันนี้หานเฟิงก็ยังไม่รู้ว่าชายผมแดงที่อยู่กับซูหลิวหยางนอกจากร่วมทุกข์ร่วมสุขฝ่าฟันช่วงเวลาในกรงพ่อค้าทาสมาด้วยกันแล้ว ทั้งสองมีความสัมพันธ์อื่นด้วยหรือไม่
งานประลองชายคนนี้ก็ปรากฏตัว
เทศกาลหมื่นปีชายคนนี้ก็ปรากฏตัว
ประหนึ่งเงาดำที่ตามติดไม่เคยห่าง
งานประลองก็พูดได้ว่าเป็นผู้ติดตาม มิได้สลักสำคัญ แต่งานสำคัญที่ต้องอยู่หน้าบัลลังก์ ซูหลิวหยางไว้ใจพาคนคนนี้มาด้วย ซํ้ายังเดินเคียงข้าง มิได้เดินตามเหมือนคนอื่น ๆ แม้ไม่มีการหมั้นหมายเกิดขึ้น แต่ผู้พบเห็นก็พอจะดูออกว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
หานเฟิงตามทั้งสองคนมาได้ระยะหนึ่งก็หยุด
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงลุกตามมา เมื่ออยู่ไกลนางก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่อยู่ใกล้เกินไปก็กลัวว่านางจะหลีกหนี หานเฟิงจึงหยุดเพียงเท่านี้ อยู่ในระยะที่มองเห็นนาง แม้นางจะมองไม่เห็น
จังหวะนั้นเองที่แสงสีเงินวาบผ่าน เงาดาบเป็นประกายฟาดฟันใส่ซูหลิวหยางรวดเร็วเกินกว่าหานเฟิงจะขยับ ชายผมแดงหยุดมันไว้ด้วยมือเปล่าก่อนที่หานเฟิงจะได้ก้าวออกไป ชายหนุ่มใจเต้นระสํ่า สติไม่อยู่กับตัว เมื่อเพ่งมองชัด ๆ จึงเห็นว่าเจ้าของดาบคือรัชทายาท
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก สักพักองครักษ์ของรัชทายาทก็เข้าผสมวง หานเฟิงรู้สึกสับสน จะก้าวออกไปก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรได้ หากซูหลิวหยางรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยอีกคนนางคงตกใจในความชุลมุนที่ตนเองก่อขึ้นไม่น้อย
หานเฟิงไม่ได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นคุยกัน เห็นเพียงการกระทำ เมื่อเหตุการณ์สงบซูหลิวหยางก็หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมามอบให้รัชทายาท แม้ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่หานเฟิงรู้ได้ทันทีว่านั่นคือยาวิเศษเหมือนที่นางมอบให้จักรพรรดิด้วยกลิ่นที่โชยมาจากกล่อง
รัชทายาทลังเลแต่ก็รับไว้ หานเฟิงเห็นเช่นนั้นแล้วในใจก็คิดไปหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความน้อยอกน้อยใจ ซูหลิวหยางแจกยาวิเศษนี้ไปทั่ว นางก็รู้ว่าเขาถูกพิษที่รักษาไม่หาย เหตุใดคนที่นางคิดจะมอบยาให้จึงไม่มีเขาอยู่ในนั้น
_________________
“เจ้าเห็นอิงอี๋หรือไม่” ข้าเอ่ยปากถามจ้านหลิวหลังจากเดินกลับมาก็ไม่พบอิงอี๋ที่ข้าใช้ให้ดูต้นทาง ในใจเกิดสงสัยขึ้นมา
“ไม่ นางไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ” จ้านหลิวถามกลับอย่างงุนงง ข้าส่ายหัวตอบไป
หลังจากพบปะรัชทายาทและมอบยาวิเศษข้าก็ไม่ได้คุยอะไรมากก่อนกล่าวลา เมื่อเห็นยามนี้ดึกมากแล้วจึงตรงดิ่งมาที่รถม้าเพื่อกลับจวน แต่ระหว่างทางกลับไม่พบอิงอี๋ที่สมควรจะยืนรออยู่
“ให้ข้าไปหานางไหม” จ้านหลิวออกตัวอาสา
ข้าครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวนางก็กลับมา”
“สาวใช้เจ้าทั้งคนทิ้งกันดื้อ ๆ เลยหรือ ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำตัวลับล่อ ๆ ให้ข้าดูต้นทาง ไปทำอะไรมากันแน่” จ้านหลิวที่เห็นข้ากำลังจะขึ้นรถม้าก็เอ่ยรั้งไว้ก่อน แต่ข้าไม่ได้ใส่ใจและเข้าไปนั่ง เฟยหงเองก็ตามมา
“อิงอี๋ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว นางไม่หลงทางหรอก ไปทำงานของเจ้าเสียทีสารถี” ข้าตอบจ้านหลิวจากในรถม้า แม้เจ้าตัวจะบ่นอุบอิบเบา ๆ อยู่ข้างนอกแต่ก็ยอมทำตามสั่งแต่โดยดี จ้านหลิวตั้งแต่ข้าเริ่มนับเป็นสหายก็ออกลายเป็นตาแก่ขี้บ่นทีละน้อย ท่าทางเยือกเย็นนิ่งขรึมที่พบเจอกันครั้งแรกไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวไปสักระยะ ข้าจึงเปิดม่านรถ และเอ่ยปากถามจ้านหลิว
“ข้าให้เจ้าดูทาง มีคนผ่านไปบ้างหรือไม่”
“แค่คนตาบอดคนหนึ่งเดินมาถามทาง นอกจากนั้นก็ไม่เห็นใคร เจ้าถามทำไม สรุปแล้วเจ้าไปทำอะไรกันแน่?” จ้านหลิวตอบคำถามเดียว แต่ตั้งคำถามอีกสองคำถาม
“ข้ารู้สึกมีคนตามข้า” ข้าไม่ได้ปิดบัง บอกออกไปตรง ๆ
“เจ้าไปทำอะไรผิดมาหรือจึงมีคนตามไม่ได้”
“แค่ให้ของขวัญแก่รัชทายาทเท่านั้น ….” ข้าตอบจ้านหลิว ในขณะเดียวกันก็ตอบตนเองไปด้วย ข้ารู้สึกมีคนตาม จึงให้คนดูต้นทางตามสัญชาตญาณเพราะกังวลอันตราย แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว แค่มอบของ ข้าไม่ได้ทำอันใดผิด ไม่ได้ไปในสถานที่ต้องห้าม ดังนั้นมีคนตามหรือไม่มีคนตามจะสำคัญอะไร
“เอ๊ะ ของขวัญที่เจ้าให้ไป คงไม่ใช่ยาวิเศษเช่นเดียวกับของจักรพรรดิหรอกนะ”
“ชิ้นเดียวกัน” ข้าตอบจ้านหลิวนิ่ง ๆ ตัวรถสั่นเล็กน้อยบอกอาการตกใจของจ้านหลิวได้เป็นอย่างดี
“ยานั่นจะใช้ได้จริงหรือ… จักรพรรดิดูมีพระวรกายแข็งแรง องครักษ์และหมอหลวงฝีมือดีรายล้อม ยาที่เจ้ามอบไปคงไม่บูดก่อนกระมัง" เมื่อเปิดเรื่องยา จ้านหลิวก็ถามเรื่องยาต่อ
ที่จ้านหลิวพูดแม้จะแดกดันไปบ้าง แต่ก็ไม่นับว่าผิด ข้าจึงไม่ได้เถียง แต่กลับอธิบายแทน
“จริง ๆ แล้วยาวิเศษยังมีสรรพคุณอีกอย่างที่ข้าไม่ได้พูดออกไป”
“อะไร?”
“เสริมสมรรถภาพทางเพศ”
“…”
จ้านหลิวเงียบ แม้ไม่ได้ถามต่อแต่ข้าก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงอธิบายต่อ
“หลังจากหลินกุ้ยเฟยให้กำเนิดรัชทายาท ฝ่าบาทก็ไม่มีทายาทต่ออีกเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ"
ข้าเกริ่นออกมาสั้น ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องลับลมคมในอะไร ชาวบ้านชาวช่องต่างรู้และวิจารณ์กันไปทั่ว ฮองเฮาองค์ปัจจุบันตั้งแต่แต่งมาก็เหมือนเป็นเพียงเครื่องประดับ ไม่ได้ตั้งครรถ์หรือให้กำเนิดบุตร สนมในวังยิ่งแล้วใหญ่ ตำหนักสนมแต่ละท่านกว้างขวางอบอุ่นแต่ไม่ต่างจากตำหนักเย็นที่กษัตริย์ไม่เคยเหยียบเท้าเข้ามา
“บุรุษไม่เข้าหาสตรี จะคิดว่าชอบไม้ป่าเดียวกันก็ไม่ผิด แต่ฝ่าบาทมิได้ไม่เคยให้กำเนิดทายาท แต่เคยให้กำเนิดมาแล้วทั้งสิ้นสี่คน แม้จะตายแล้วทั้งหมดจนเหลือเพียงรัชทายาทก็เถิด ดังนั้นจะมีเหตุผลใดอีกที่พระองค์ไม่มีบุตรนอกจากเป็นหมัน เรื่องนี้ชาวบ้านคุยกันทั่วไป แต่เจ้าอย่าได้เอ็ดไปเดี๋ยวจะหัวขาดเอาได้ แม้แต่จะพรรณนาสรรพคุณยาว่าเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศต่อหน้าพระองค์ข้ายังไม่กล้าเลย”
แต่ข้าไม่พูด ก็ใช่ว่าพระองค์จะคิดไม่ได้
“ก็ได้ยินมาบ้าง…” จ้านหลิวพยักหน้าตอบรับพร้อมขมวดคิ้วมุ่นทันใด “แต่เจ้าทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสร้างศัตรูให้รัชทายาทหรอกหรือ รัชทายาทเป็นรัชทายาทเพราะเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียว หากมีเด็กเกิดมาเพราะยาของเจ้าคงไม่เป็นผลดีต่อรัชทายาทกระมัง”
ข้าส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ หลงคิดว่าจ้านหลิวเป็นคนซื่อมาเสียนาน เหตุใดจึงเอาเรื่องหักเหลี่ยมชิงบัลลังก์มาพูดกับข้าได้
“เด็กที่เกิดมาอย่างไรก็ต้องอายุห่างถึงยี่สิบปี ซํ้าเกิดมาแล้วก็ใช่ว่าจะมีความสามารถเช่นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ข้าแค่ไม่อยากให้จักรพรรดิมีบุตรเพียงคนเดียวให้ราชฎรขบขันเท่านั้น”
จ้านหลิวออกเสียงเออออ เมื่อเข้าใจแล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่ยาของเจ้าใส่อะไรลงไปมันถึงได้เหม็นขนาดนั้น”
ข้ากลอกตานึกสูตรยา ถึงขอทานผู้นั้นจะบอกว่ามันลํ้าค่า แต่สำหรับข้ามันไม่ได้สำคัญถึงขั้นบอกใครไม่ได้ ระหว่างที่ข้ากำลังพล่ามออกมานั้นก็เหลือบไปเห็นเฟยหงที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าอยากออกไปเล่นหรือ” ข้าถามเฟยหง วิหคชาดหันมาด้วยดวงตาใสซื่อและพยักหน้าแรง ๆ ข้ายกยิ้มขบขันให้กับท่าทางของเขาก่อนจะหันไปพูดกับจ้านหลิว
“สูตรยาอยู่ในห้องปรุงยา ข้าคงวางไว้แถวนั้น เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด ข้าจะออกไปเที่ยวเสียหน่อย”
“หา?”
ยังไม่ทันที่จ้านหลิวจะได้ห้ามอะไรข้าก็โดดลงรถม้าไปกับเฟยหงแล้ว
บรรยากาศภายนอกครึกครื้น แม้จะดึกดื่นแต่ามท้องถนนก็ยังมีผู้คนพลุกพล่าน แสงเทียนระยิบระยับแต่งแต้มให้บรรยากาศไม่ต่างจากยามกลางวัน เฟยหงตื่นตาตื่นใจกว่าข้าจนวิ่งนำไป ข้าได้แต่ถอนใจแล้วเดินตามเงียบ ๆ
แม้วันนี้จะเหนื่อยมาก แต่จริง ๆ แล้วออกมาเที่ยวเล่นบ้างก็ดีเหมือนกัน หากนับดูตามเวลาที่หายไปในเขตอาคมข้าไม่ได้เที่ยวงานเทศกาลมานานมากแล้ว ซํ้าเมื่อก่อนหลังจากที่ท่านพ่อกับท่านแม่แยกทางกัน ข้าก็หมดอารมณ์ที่จะออกเที่ยวเตร่อีก ท่านอาเคยพาข้ามาบ้างครั้งสองครั้งแต่ทุกครั้งข้าก็ไม่ได้สนุกสนานเท่าใดนัก
เฟยหงแวะแผงนู้นแผงนี้ไปทั่วและหยิบของมาโดยไม่จ่ายเงิน ข้าเดินตามเขาต้อย ๆ และโยนเหรียญให้พ่อค้า จังหวะหนึ่งที่ข้าคิดถึงท่านอา ยามข้าออกไปเตร่ข้างนอกท่านอาก็ต้องตามจ่ายเงินให้ข้าเช่นนี้ใช่หรือไม่
ระหว่างทางข้าเดินผ่านสามีภรรยาคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเมื่อเห็นหญิงสาวชอบสิ่งใดก็ออกเงินซื้อให้โดยไม่อิดออดช่างเป็นบุรุษที่น่าชื่นชมยิ่ง พอตัดมาที่ข้ากับเฟยหงนั้นยากจะพูด วันนี้เฟยหงทำตัวดีกว่าทุกวัน อยู่หน้าบัลลังก์ก็เรียบร้อยไม่ดื้อรั้นเรียกเสียงชื่นชมจากผู้คนได้มาก แต่มาดคุณชายที่อุตส่าห์สร้างสรรค์มากำลังพังทลายภายในเทศกาลนี้แล้ว
ข้าได้แต่ทอดถอนใจ แต่ระหว่างที่ละสายตาจากเฟยหงไปชั่ววูบ เขาก็หายไปจากครรลองสายตาของข้า
“เฟยหง?” ข้าลองเรียกชื่อ แต่คนพลุกพล่านเบียดเสียด พ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงทั้งสองข้างทางจนเสียงข้ายากจะลอดออกไป ข้าเบียดตัวไปกับผู้คนข้างหน้า ถอยก็ยาก เดินหน้าก็ติดขัด เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้ข้าเป็นกังวล แต่อย่างไรก็ต้องเดินตามกระแสฝูงชน พลางมองซ้ายมองขวาไปทั่ว ระหว่างที่คิดจะโดดขึ้นฟ้าหาเงาของเฟยหงดีหรือไม่มือข้างหนึ่งก็คว้ามาจับแขนข้าแน่นแล้วฉุดออกจากฝูงชนเข้าสู่ซอยมืดข้างทาง
ข้าตื่นตกใจไปชั่ววูบ แต่พอเห็นเจ้าของมือที่ดึงข้าออกมาก็ผ่อนคลายลง
“เจ้าหายไปที่ใดมา ทำไมไม่รอข้า!” ข้าบ่นใส่เฟยหง วิหคชาดยามนี้อยู่ในเงามืด ข้าไม่เห็นหน้ามัน แต่อาภรณ์ที่สวมใส่ข้าเป็นคนเลือกให้นั้นลืมได้ยาก
มือของเฟยหงออกแรงรัดแขนข้าแน่นขึ้นจนข้าขมวดคิ้ว ข้าเริ่มสงสัยว่าคนตรงหน้ามิใช่นกน้อยที่ข้าเก็บมาเลี้ยง จึงได้ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ ๆ แสงไฟสลัว ๆ สาดให้เห็นหน้ายักษ์แทนที่หน้าของหน้าของเฟยหง ไม่ใช่หน้ายักษ์ที่เป็นหน้าโกรธแต่เป็นหน้ายักษ์ที่เป็นหน้ากาก
“เจ้าไปเอาหน้ากากมาจากร้านไหน! ถ้าหยิบของมาก็ต้องจ่ายเงินเจ้ารู้หรือไม่!” ข้าตีแขนเฟยหงไปแรง ๆ ทีหนึ่งเมื่อเห็นหน้ากากนั่น ข้าโดนกล่าวหาว่าแย่งข้าวขอทานมาแล้ว ไม่ต้องการข้อหาเพิ่ม!
เฟยหงไม่ได้ตอบ แต่มันชี้ไปทิศทางหนึ่ง ข้างุนงงสงสัย ทิศที่เขาชี้ไม่มีอะไรนอกจากความมืด
เฟยหงเมื่อเห็นข้าไม่ยอมไปมันจึงดึงแขนข้าแรงขึ้นอีก ข้าเริ่มโมโหที่เจ้าตัวไม่มีเหตุผลจึงยิ้อตัวไม่ยอมไป
“เจ้าจะไปไหนกันแน่ ที่นั่นมีอะไร?” ข้าขึ้นเสียงเล็กน้อย จริง ๆ แล้วเฟยหงพูดได้แม้มันไม่ชอบพูด แต่ข้าถามออกมาแล้วยังไม่ยอมพูดกับข้า จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร
เฟยหงเหมือนรู้ตัวว่าข้าโกรธ มันจึงปล่อยมือจากข้า เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจข้าก็รู้ว่าตนคิดผิด
เฟยหงปล่อยมือแล้วจริง แต่เปลี่ยนมาโอบเอวแทนก่อนจะแบกข้าขึ้นบ่า
“เอ๋?”
ไม่มีเวลาให้ข้ามึนงง วิหคชาดในร่างมนุษย์ร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ลมปราณยอดเยี่ยม โดดทีเดียวก็พาเหาะขึ้นไปบนหลังคาแล้ว
ข้ามองพื้นดินที่ค่อย ๆ ห่างออกไปแล้วก็รู้สึกอยากจะอาเจียน เจ้านกบ้า! เจ้าเกิดคึกอะไรขึ้นมา!
“ทำอะไรของเจ้า ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” ข้าทุบหลังเฟยหงไปทีนึงอย่างโมโหและเป็นกังวล เฟยหงโดดขึ้นหลังคาอีกสองสามทีจึงหยุด
วิหคชาดปล่อยข้าลงตามสั่ง แต่เมื่อเท้าข้าแตะพื้น ยามนี้กลับไม่อยากปล่อยมือจากแขนเสื้อเฟยหงเท่าไร
ที่ที่ข้าอยู่คือหอดูดาวเจ็ดชั้นของจักรพรรดิ แน่นอนว่ามันขึ้นได้แค่จักรพรรดิ แต่ยามนี้เฟยหงพาข้าเหาะเหินมาบนชั้นที่เจ็ดแล้ว
ข้าค่อย ๆ หมุนคอตนเองไปมองเฟยหง แม้เขาจะใส่หน้ากากอยู่ แต่ข้ากลับรู้สึกได้ถึงความยินดีปรีดาของจากหลังหน้ากากนั่น
“เฟยหง! นี่เจ้า! …”
ปัง!
แสงสว่างสาดเข้าตาข้าทำให้ตกใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
ปัง! ปัง!
ข้ากะพริบตาปริบ ๆ มองสะเก็ดไฟที่แตกกระจาย พลุหลากสีถูกจุดขึ้นพร้อมกันทั่วเมือง เมื่อมองจากที่สูงและเงียบสงบเช่นนี้ ภาพที่ออกมาทำเอาข้าทึ่งไปชั่วครู่
เฟยหงชี้ไปที่พลุบนฟ้ายามคํ่าคืน ก่อนจะหันมากล่าวกับข้า
“งดงาม”
ประหนึ่งเวลาถูกหยุดไว้ แม้มันไม่ได้หยุดไว้จริง ๆ พลุบนฟ้ายังส่งเสียงปึงปัง ดวงตาใต้หน้ากากของเฟยหงยังมีประกายใสซื่อเคลื่อนไหว
เมื่อรู้ว่าเฟยหงทำทั้งหมดนี่เพื่ออะไรข้าจึงยกยิ้มขึ้นลืมความโกรธและความกังวลไปหมดสิ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา
“เจ้า …. ฮ่า ๆ …. เจ้าทำข้าตกใจหมด …” ข้าหัวเราะจนต้องนั่งลง หัวเราะไปได้สักพักก็ไม่รู้จะร้องไห้ต่อดีหรือไม่
ช่วงหนึ่งที่ข้าเห็นเฟยหงทำตัวแปลกไปเมื่อครู่ ข้านึกว่าเขา… เป็นคนอื่นไปแล้ว
ข้าหยุดหัวเราะแล้ว เฟยหงนั่งลงข้าง ๆ และชื่นชมทิวทัศน์กับข้า แต่จู่ ๆ อารามณ์ของข้าก็เปลี่ยนเป็นเศร้า
ข้าควรจะพูดเรื่องหนึ่ง ข้าควรพูดตอนนี้ เพราะถ้าไม่พูดตอนนี้ ข้าจะถลำลึกลงไปและไม่สามารถพูดมันออกมาได้อีก
“เฟยหง เจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้าอายุประมาณห้าสิบปี เจ้าจะจำความได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นใคร" ข้ามองฟ้ายามคํ่า แสงไฟ บ้านเรือน และผู้คน ข้ามองทั้งหมดข้างหน้านั่น แต่ไม่กล้ามองเฟยหง
“ข้าไม่รู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะเป็นเจ้าอีกหรือไม่ ถ้าหาก… ถ้าหาก… เจ้าไม่ใช่เจ้าอีกต่อไป" ข้ากลั้นใจและหันไปมองเฟยหงช้า ๆ รู้สึกขอบคุณหน้ากากโง่ ๆ ที่อยู่บนหน้าเขาทำให้ข้าพูดออกมาได้ง่ายขึ้น
“ถ้าเจ้ารู้ตัวว่าเจ้าไม่ใช่เฟยหงแล้ว … ก็จงจากไปเสียเถอะ”
เพราะข้าคงไม่อาจทนดูได้หากเจ้าต้องเปลี่ยนเป็นอื่น
เฟยหงที่ข้ารู้จักคือนกน้อยใสซื่อในห้องใต้ดินตัวนั้น ยี่สิบปีที่อยู่กับมันคือช่วงเวลาแห่งการผันเปลี่ยนในชีวิตข้า แม้จะทรมานแต่ก็ยังลํ้าค่า ข้าเลือกสู้เพราะมัน ข้าโกรธเพราะมัน ข้าอยากปกป้องมัน ข้านึกเศร้าที่ช่วงเวลาเหล่านั้นคงเป็นแค่ช่วงเวลาอันเล็กน้อยสำหรับชีวิตอมตะของวิหคชาดเมื่อความทรงจำทั้งหมดกลับมา
หากมันต้องกลายเป็นวิหคตัวอื่นต่อหน้าต่อตาข้า ข้าขอยอมหลอกตัวเองว่าเฟยหงบินหนีไปดีกว่า
รอบกายข้าหนาวเย็นขึ้นชั่วขณะ เสียงผู้คนคึกคักด้านล่างประหนึ่งห่างไปพันลี้ ข้าไม่ได้กล่าวอันใดอีกนอกจากยิ้มเศร้า
“เอาล่ะ นี่ดึกมากแล้ว เรากลับกันเถอะ” ข้าพูดตัดบทและลุกขึ้น ก่อนจะโดดลงหอไปดื้อ ๆ มีปราณบริสุทธิ์ วิชาตัวเบาของข้าก็ไม่แพ้ใคร ปีนลงหอเจ็ดชั้นจึงไม่ใช่เรื่องลำบาก
ข้าวิ่งต่อไป ไม่ได้หันกลับมามองอีก
เฟยหงไม่ได้ตามออกมาในทันที วิหคชาดยังคงนั่งนิ่ง
ใช้ชีวิตมาพันปี เวลามนุษย์ผ่านไปไวสำหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เดินช้าที่สุดสำหรับจูเทียน
‘กลับมา เมื่อเจ้าพร้อม’
นํ้าเสียงของคนผู้นั้นยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวของวิหคชาด มันถอนใจและเอื้อนเอ่ยกับสายลม
“ข้ายังไม่พร้อม”
______________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถ้าจำความได้ เฟยหงจะเปลี่ยนไป แค่ไหนกันนะเนี่ย
อยากเชียร์น้องนกผู้ซึ่งเป็นจูเทียนแล้วแน่เลย
แต่คงเชียร์ไม่ขึ้น
เรือพร้อมครับ