ตอนที่ 3 : คนเปลี่ยน
คนเปลี่ยน
“อุหวาาา เป็นรักลึกซึ้งยิ่งนักเจ้าค่ะ” หลิ่งอี้อุทานออกมาเมื่อได้ฟังเรื่องราวของข้ากับหานเฟิง ข้ายิ้มเล็กน้อย นั่นสินะ ถึงอย่างไรเราก็แต่งงานกันแล้ว ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เรื่องสายตาเย็นชาเมื่อคืน ข้าจะคิดมากไปทำไม
ในห้องอาหาร ไอน้ำลอยกรุ่น หลิ่งอี้ช่วยข้าหยิบจับของในครัวเพื่อทำอาหาร หานเฟิงหลังจากเจอกันเมื่อคืนเขาก็มีเรื่องในตระกูลต้องไปดูแล ข้าจึงยังไม่ได้พบหน้าเขาในวันนี้
ซุปกระดูกหมูมีแต่กลิ่นหอมของสมุนไพรไร้กลิ่นคาว จนท้องของหลิ่งอี้ร้องครวญคราง
“แหะๆ ...คุณหนู... โอ๊ะ...นายหญิง ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ” เด็กตัวน้อยยิ้มเขิน
“ข้านำไปให้หานเฟิงก่อน ส่วนที่เหลือข้าให้เจ้าหมดดีหรือไม่” ข้าลูบหัวนาง หลิ่งอี้แทบจะตรงข้ามกับอิงอี๋ทุกประการ นางใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กน้อย มิได้จริงจังดุดันเหมือนอิงอี๋
“นายหญิงเจ้าคะ” เมื่อนึกถึงอิงอี๋ อิงอี๋ก็เดินเข้ามา นางดูรีบร้อน “เจ้าสำนักเชวี่ยและท่านเชวี่ยหลี่จวินขอพบท่านเจ้าค่ะ”
อาจารย์กับศิษย์พี่หรือ? อ้า... ไม่สิ ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักบูรพาแล้ว
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ข้าเอ่ยตอบนาง ข้าไม่ควรจะให้ท่านผู้อาวุโสรอ แต่ว่า... น้ำซุปถ้าไม่ทานตอนร้อน ๆ จะไม่อร่อยน่ะสิ… ข้าลูบคางคิดเล็กน้อยก่อนจะมองอิงอี๋สลับกับหลิ่งอี้ เเล้วจึงเลือกมาคนหนึ่ง
“หลิ่งอี้ ข้าวานเจ้านำซุปถ้วยนี้ไปให้หานเฟิงได้หรือไม่ บอกเขาด้วยว่าขอโทษที่ข้าไม่ได้มาเอง” ข้าปิดชามซุปแล้วยื่นไปให้หลิ่งอี้ แม้ข้าอยากจะนำมันไปให้เขาเองมากกว่าก็ตาม
“ข้าจะนำไปทันทีเจ้าค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยตอบข้า แล้วโดดข้ามธรณีประตูออกไป อิงอี๋ที่อยู่หน้าประตูมองนางด้วยความไม่ไว้วางใจเล็กน้อย
“นางคงไม่แอบทานเองนะเจ้าคะ” อิงอี๋ใส่ไฟทันทีที่หลิ่งอี้ลับตาไป
“ไม่หรอก เจ้าคิดมากไปแล้ว” ข้ายิ้มขำ ถ้าอิงอี๋ไม่กัดหลิ่งอี้สักวันข้าคงเบื่อแย่
บ่าวรับใช้ของตระกูลซูถูกซื้อด้วยเงิน แต่ก็มีบางคนทีซื้อด้วยสิ่งที่มีค่ากว่านั้น เช่นอิงอี๋และหลิ่งอี้ ข้าซื้อพวกนางด้วยบุญคุณ นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าเชื่อใจพวกนางมากกว่าคนอื่น ๆ จนต้องพามาบ้านสามีด้วย
เมื่อเดินมาถึงห้องของข้า ร่างของคนสองคนก็ปรากฏ หนึ่งวัยกลางคนนั่นคือเชวี่ยฟางหยวน เจ้าสำนักบูรพาผู้โด่งดัง อีกหนึ่งวัยหนุ่มนั่นคือเชวี่ยหลี่จวินซึ่งเป็นทั้งศิษย์ของท่านเจ้าสำนักเเละคุณชายรองตระกูลเชวี่ยผู้มีข่าวลือหนาหูว่าชมชอบผู้ชายด้วยกัน แม้ไม่ได้เจอทั้งสองคนนานถึงหกปีข้าก็จำพวกเขาได้ทันที คนทั้งสองคนเมื่อเห็นหน้าข้าแววตาก็เต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างปิดไว้ไม่อยู่
“ซูหลิวหยางคารวะท่านเจ้าสำนัก” ข้าประคองมือโน้มตัวคารวะชายผู้อาวุโส ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มอีกคน และประคองมือคารวะเช่นเดียวกัน “ไม่เจอกันนานทีเดียวคุณชายหลึ่”
เมื่อข้าเงยหน้าขึ้นก็พบแววตาหม่นหมองของทั้งสองตอบกลับมา
ข้าคงไม่ได้ทำอะไรผิดมาใช่หรือไม่?
“ศิษย์น้อง! ใยเจ้าทำตัวห่างเหินถึงเพียงนี้เล่า ไม่เจอกันไม่นานเจ้าไม่นับข้าเป็นศิษย์พี่เเล้วหรือ” เชวี่ยหลี่จวินตัดพ้อพร้อมเข้ามาโอบไหล่ข้า พาไปนั่งร่วมโต๊ะน้ำชากับพวกเขา ข้าอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ ไม่นึกว่าเขาจะน้อยใจเพียงเพราะข้าไม่เรียกเขาว่า ศิษย์พี่ อีกอย่าง ไม่เจอกันไม่นานของเชวี่ยหลี่จวินนั่นคือหกปี ส่วนท่านเจ้าสำนัก แม้ไม่พูด ข้าก็ดูสีหน้าเขาออกว่าไม่อยากให้ข้าทำตัวห่างเหินนัก
“ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักบูรพาแล้ว ให้ข้าเรียกท่านว่าศิษย์พี่คงไม่เหมาะกระมัง” ข้ายกชายเสื้อขึ้นปิดปากที่กำลังขำอย่างสุภาพกับอาการง้องอนของเชวี่ยหลี่จวิน
“เสี่ยวซู...เจ้าเปลี่ยนไปมาก” ท่านเจ้าสำนักเอ่ยขึ้น มองข้าด้วยความแปลกใจเช่นเดียวศิษย์ของเขา
“เจ้าสุภาพขนาดนี้เลยหรือ” เชวี่ยหลี่จวินมองข้าขึ้น ๆ ลง ๆ ก่อนจะเดินอ้อมไปอ้อมมารอบตัวข้า แล้วสูดจมูกฟุดฟิด “เจ้ากินข้าวมาหรือ กลิ่นนี้มัน...”
“ข้าทำอาหารมาน่ะเจ้าค่ะ” ข้ารู้สึกขัดเขิน กลิ่นตัวข้าแรงมากเชียวหรือ
“ทำอาหาร...” เชวี่ยหลี่จวินถอยกรูดออกไปทันที “อาหารของเจ้า... กินได้หรือ”
ข้าแทบจะหัวเราะลั่นออกมา สมัยอยู่สำนักบูรพา อาหารของข้าไม่ต่างจากยาพิษเท่าใดนัก
“ฝีมือข้าพัฒนาไปมาก ถ้าไม่รังเกียจข้าจะนำมาให้พวกท่านได้ลองชิม”
“พัฒนาหรือ.. พัฒนาไปทางใด...” เชวี่ยหลี่จวินหางคิ้วกระตุก ดูเขาไม่เชื่อใจข้าเท่าใดนัก
“เอาล่ะ ๆ หลี่จวิน เจ้าเลิกพูดเล่นเสียที ไม่เจอกันนานหกปีเสี่ยวซูจะเปลี่ยนไปบ้างก็ไม่แปลก” อาจารย์โบกไม้โบกมือพลางตัดบทสนทนาของข้ากับอดีตศิษย์พี่ที่ดูท่าไม่น่าจบง่าย ๆ
“เสี่ยวซู ข้าเป็นพ่อหานเฟิง อย่างไรก็ต้องมาดูลูกสะใภ้ แต่อีกเรื่องที่อยากจะถามเจ้า” เจ้าสำนักเชวี่ยจนในที่สุดก็เริ่มสนทนาอย่างจริงจัง
“เชิญว่ามาเถิด” ข้าตอบ แอบดีใจกับคำเรียกลูกสะใภ้ไม่น้อย จึงหยิบกานํ้าชา รินชาให้พ่อสามีสักถ้วย
“เจ้าสนใจกลับสำนักหรือไม่” เจ้าสำนักถามขึ้น รอยยิ้มของข้าแข็งค้างทันที ถ้วยนํ้าชาใบน้อยมีนํ้าชาเอ่อล้นออกมาจนไหลท่วมโต๊ะหินอ่อน คนทั้งสองไม่ได้สนใจนํ้าชา เเต่จ้องมองปฏิกิริยาของข้าตาไม่กะพริบ รวมทั้งเชวี่ยหลี่จวินที่นาน ๆ ทีจะอยู่นิ่ง
“เจ้าสำนัก...ท่านหมายถึง...” ข้ารู้สึกใบหูอื้ออึงไปชั่วขณะ
“กลับไปเรียนวรยุทธอย่างไรเล่า!” เชวี่ยหลี่จวินพูดสรุปให้ทันที พร้อมทุบโต๊ะป้าบ ๆ
บางสิ่งบางอย่างในใจข้าปะทุขึ้น ข้ารู้สึกว่าเลือดร้อนระอุ ความทรงจำยามหมัดกระแทกถูกอกบนสนามประลอง ความเจ็บปวด เสียงดาบที่เสียดสีกัน ลมปราณที่เดือดพล่าน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักบูรพายังประทับอยู่ในหัวของข้าเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ข้าวางกานํ้าชาลง เเล้วกุมมือตัวเองที่จู่ ๆ ก็ชื้นเหงื่อ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวจุกอยู่ในหู ข้ายังจำยามที่ออกจากสำนักได้ ต้นไม้ที่แทงทะลุลำตัวของข้า ความเจ็บปวด ความทรมาน
น่าแปลกที่ข้าไม่รู้สึกกลัวเลย มันเป็นอีกความรู้สึก... ที่เรียกว่าความตื่นเต้น
เพียงชั่ววินาที จู่ ๆ ใบหน้าของคนคนหนึ่งก็วนเข้ามาในความทรงจำปิดกั้นความรงจำในหัวของข้าจนหมด
ข้ารู้สึกเหมือนพึ่งสะดุ้งตื่นจากฝัน
“ท่านอาจารย์...อ่ะ...เอ่อ... ท่านเจ้าสำนัก ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว ซํ้ายังแต่งงานแล้วอีก ข้าคิดว่า...”
“แต่งงานแล้วอย่างไร ๆ เจ้ามิใช่ไร้พรสวรรค์เสียหน่อยถึงเรียนวรยุทธ์ไม่ได้ เจ้าเคยถูกเรียกว่าอัจฉริยะนะ จำไม่ได้แล้วหรือ!!” เชวี่ยหลี่จวินตัดบทพูดของข้าก่อนที่ข้าจะปฏิเสธออกมา
“แต่...” ข้าได้แต่อ้ำอึ้ง
“เจ้ายังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ คิดให้ดี ๆ เถิด” เจ้าสำนักเชวี่ยมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ข้า ไม่อยากให้ข้ารีบตัดสินใจนัก หรือก็คือไม่อยากให้ข้าปฏิเสธโดยไวนัก หลังจากนั้นเราจึงเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น เชวี่ยหลี่จวินดูท่าจะหาเรื่องตั้งคำถามกับข้าได้ไม่หยุดหย่อน แถมยังอยากลองซุปกระดูกหมูของข้าจนอิงอี๋ต้องไปนำมาให้ชิม ชิมแล้วเขาก็ยังไม่เชื่อว่าข้าทำเองอีกต่างหาก แต่ดูจากสีหน้าอาจารย์ที่ร่วมชิมกับเชวี่ยหลี่จวินแล้ว ข้าก็มั่นใจได้ว่าอาหารของข้ารสชาติดีขึ้นไม่น้อย
พวกเราสนทนากันจนเวลาล่วงเลยไปมากกว่าจะล่ำลากันได้ ข้ารู้สึกอบอุ่นเล็ก ๆ ในอก หกปีผ่านไป ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของข้ากับคนในสำนักจืดจางลงเลย แต่แล้วกับหานเฟิงเล่า...
“เสี่ยวซู ข้ายังอยู่จวนสกุลเชวี่ยอีกเดือนก่อนกลับสำนัก หากเจ้าตัดสินใจได้แล้วมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” เจ้าสำนักเอ่ยก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมเชวี่ยหลี่จวิน
เมื่อร่างทั้งสองหายลับไป ข้ารู้สึกดีอยู่มากที่ไม่ได้โดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนในจวนสกุลเชวี่ย
เงาหนึ่งกระโดดออกมาจากมุมมืดด้านหลังข้า เหมือนกระรอกน้อยเเสนซนที่พึ่งโผล่ออกมาจากที่ซ่อนหลังจากเเอบฟังเหล่ามนุษย์สามคนคุยกัน
“หลิ่งอี้ กลับมาแล้วหรือ” ข้าทักนางและจำนางได้ทันทีโดยไม่ได้หันไปมอง
“เจ้าค่ะ ส่งนํ้าซุปถึงมือนายท่านเลยเจ้าค่ะ” หลิ่งอี้โดดมาข้าง ๆ ข้า เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้เเล้ว
“เขาว่าอย่างไรบ้างหรือ” ข้าถามนาง แม้ใบหน้าข้าจะเรียบนิ่ง แต่ในใจก็แอบหวั่นไหวมิใช่น้อย
“เอ... พอข้าบอกว่านายหญิงฝากมาขอโทษที่ไม่ได้มาเอง เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แล้วก็ ๆ ... นายท่านฝากมาบอกว่านายหญิงไม่ต้องมาเองหรอกเจ้าค่ะ”
หัวใจข้าหล่นวูบ ข้ามองหลิ่งอี้ที่พูดด้วยความใสซื่อ นางคงไม่รู้ว่าคำนั้นมีผลต่อข้ามากแค่ไหน...
ข้ายิ้มให้นาง แม้จะฝืนมากเท่าใดก็ตาม ดีแล้วล่ะ ถ้าเป็นอิงอี๋คงจะบิดเบือนคำพูดนั้นเพื่อให้ข้าสบายใจมากขึ้น
ดีแล้วล่ะ... ดีแล้ว... ที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เหมือนเดิม
“งั้นคราวหน้าข้าคงต้องวานเจ้าอีกแล้วหลิ่งอี้” ข้าเอ่ยกับนาง ด้วยเสียงที่สั่นเทา
____________
“นางเปลี่ยนไปมากทีเดียว” เชวี่ยหลี่จวินเอ่ยกับอาจารย์ของเขาหลังจากลํ่าลากับศิษย์น้องที่ไม่ได้พบมานาน
“อืม” เจ้าสำนักพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“ทั้งสุภาพขึ้น การแต่งกายก็ดูดีขึ้น ทำอาหารก็เป็น อ้อ...ไม่น่าเชื่อว่านางจะเคารพท่านกับข้าได้”
สิ้นประโยคของเชวี่ยหลี่จวิน เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ ใบหน้าเหมือนจู่ ๆ ก็นึกถึงความทรงจำอันโหดร้ายขึ้นมาได้ เชวี่ยหลี่จวินลูบเเขนทั้งสองข้างถูไปถูมาเมื่อรู้สึกหนาวโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะเเอบนินทาศิษย์น้องกับอาจารย์อีกสักประโยค
“แค่แต่งงานทำให้นางมารกลายเป็นนางฟ้าได้เลยหรือ”
____________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
