ตอนที่ 29 : บะหมี่
บะหมี่
การใช้ยันต์เคลื่อนย้ายบ่อยครั้งไม่ใช่สิ่งที่ดีนักสำหรับผู้ที่มีเเมลงพิษอยู่ในร่าง เเต่เมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในพรรคมาร หานเฟิงก็ได้เเต่กัดฟันเค้นปราณในร่างมาฉีกยันต์เคลื่อนย้ายอีกครั้ง
ถิ่นพรรคมารปรากฏเเก่สายตา ประมุขน้อยก้าวฉับ ๆ เข้าสู่ห้องของมารดาทันทีที่มาถึง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือมารดาในสภาพไร้สติ ตั้งเเต่เล็กจนโต เเม้เเต่ยามที่สู้กับจูเทียนต่อให้ร่างร่อเเร่เเค่ไหนนางก็ไม่ยอมหมดสติ เเต่ในวันนี้…. เเม้เเต่เงาของศัตรูก็ยังไม่ทันได้เห็น นางก็ล้มหมอนนอนเสื่อเสียเเล้ว…
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” หานเฟิงกล่าวถามเสียงเรียบ เเต่เเววตาสงบนิ่งนั้นสั่นกระเพื่อมไม่หยุด
หมอชราโค้งคำนัพให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบด้วยเสียงที่เเหบเเฟ้ง “ประมุขน้อยอย่าได้กังวล มหามารดามีพลังเทพอัคคีปกป้อง วิชาย้อนกลับนี้จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
ใต้ชายเสื้อมือของหานเฟิงกำเเน่น อันตรายถึงชีวิตหรือ… ใครกันที่คิดใช้วิชาย้อนกลับเอาชีวิตท่าน…
มารดา ต่อให้ร้ายดีอย่างไรก็ยังเป็นมารดา หานเฟิงเดินออกจากห้องทันทีด้วยดวงตาเย็นเยียบ ฉีกยันต์เคลื่อนย้ายอีกครั้ง เมื่อเเสงสีขาวสว่างวาบ ประมุขน้อยที่พึ่งเหยียบพรรคมารได้ไม่นานก็กลับมายืนนอกเขตสำนักบูรพาในชั่วพริบตา เมื่อปราณถูกใช้ เเมลงพิษในร่างชายหนุ่มจำนวนหนึ่งถูกปลุกขึ้นมาจากการจำศีล เเละดิ้นเร่าอย่างยินดีเพราะได้กลับมาสูบเลือดสูบเนื้อเจ้าของร่างอีกครั้ง หานเฟิงกัดฟันทนความเจ็บปวดก้าวฉับ ๆ เข้าสู่สำนักบูรพาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเเรงอาฆาต หากศิษย์คนใดมาเห็นหานเฟิงผู้เยียบเย็นในสภาพนี้คงต้องตกใจเป็นเเน่ เเต่เพราะการระดมพลตามหาวิหคชาดทำให้วันนี้สำนักบูรพาค่อนข้างเงียบเหงาจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
ในเวลาอันสั้น เเรงแค้นก็พาหานเฟิงมาถึงชายจมูกดีคนหนึ่งกับไม้กวาดในมือของมัน
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่” เสียงของหานเฟิงทำให้หลี่เจี๋ยหันตาบอด ๆ ของมันมาตามเสียง
“คุณชายหาน มีเรื่องอันใดให้ข้ารับใช้หรือ ?”
“ข้าถามว่าเป็นเจ้าหรือไม่ที่ทำร้ายเเม่ข้า !” หานเฟิงตะคอกใส่โดยที่ลืมตัวว่าตนอยู่ในสำนักบูรพา มิใช่พรรคมาร
หลี่เจี๋ยสะดุ้ง มันส่ายจมูกฟุดฟิดอยู่สองสามที เมื่อรู้ว่ารอบตัวไม่มีคนภายนอกอยู่ก็โล่งใจได้เล็กน้อย “ประมุขน้อย ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด เเละที่นี่คือสำนักบูรพามิใช่พรรคมาร ได้โปรดระวังด้วย”
หานเฟิงหลับตาเเละสูดหายใจลึกเรียกสติก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา
“มหามารดาถูกวิชาย้อนกลับทำให้หมดสติ หากไม่ใช่พวกเจ้าที่คิดก่อกบฎเพื่ออดีตประมุขเเล้วจะเป็นใครได้อีก”
หลี่เจี๋ยได้ฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วอย่างเเปลกใจ"มีเรื่องที่ท่านยังไม่เข้าใจประมุขน้อย เรื่องเเรกพวกเราจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่ได้รับคำสั่งจากท่านหรือท่านประมุข เรื่องที่สอง ในพวกเราไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะใช้วิชาย้อนกลับกับมหามารดาจนถึงขั้นหมดสติได้"
หานเฟิงได้ยินดังนั้นก็ยังมีเเววตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ เเม้เเต่หลี่เจี๋ยที่ตาบอดก็ยังเดาอารมณ์ของเขาได้ ชายตาบอดจึงต้องพูดต่อ
“วิชาย้อนกลับเป็นจุดอ่อนเดียวของทั้งวิชาหุ่นกระบอกเเละหุ่นผี ใช้ไปเท่าใด ย้อนกลับเป็นเท่าตัว เเต่มหามารดากลับใช้วิชาหุ่นกระบอกกับคนมากมายท่านเองน่าจะทราบดี ที่นางใช้วิชาเช่นนี้โดยไม่เกรงกลัวได้นั้นก็เพราะวิชาย้อนกลับทั่ว ๆ ไป ใช้กับนางไม่ได้ผล"
“หึ… เจ้าจะบอกว่าคนที่ทำร้ายเเม่ข้าเป็นยอดฝีมืองั้นหรือ”
“ตรงกันข้ามเลย วิชาย้อนกลับที่ทำร้ายมหามารดาได้ มีไม่กี่คนที่ใช้เป็นก็จริง เเต่ไม่ถึงกับเป็นยอดฝีมือก็ใช้ได้ มีวิชาย้อนกลับประเภทหนึ่งที่ใช้ปราณน้อยนิดย้อนกลับพลังของผู้ใช้วิชาหุ่น เเม้ข้ายังไม่เห็นอาการของมหามารดาในตอนนี้เเต่ก็พอจะเดาได้ สิ่งที่ทำให้นางเเพ้มิใช่พลังของศัตรู เเต่เป็นพลังของนางเอง"
หานเฟิงขมวดคิ้วเเน่น เเมลงพิษในตัวดิ้นพล่าน
“ใครกันที่ใช้วิชาเช่นนี้ได้….”
“สำนักเงาพราย ท่านคงรู้จัก วิชาย้อนกลับประเภทนี้อยู่ในตำราวิชาลับของพวกมัน”
เงาพราย…. หานเฟิงครุ่นคิด สำนักที่ทำตัวเสมือนเงาดังชื่อ งานประลองที่ผ่านมาสำนักนี้ก็เพียงเเค่เข้ามาดูการประลองเท่านั้น ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่มีศิษย์มาก เเค่เงาที่คอยตามติดสำนักใหญ่เข้าร่วมการปราบมาร
หานเฟิงหันหลังกลับทันที คิ้วขมวดแน่นเป็นปม
“ท่านจะไปไหน” หลี่เจี๋ยเดินตามมาติด ๆ
“ไปหาพวกมัน”
“ไปแล้วท่านจะทำอะไรได้”
“มันทำร้ายมารดาข้า คิดจะให้ข้าอยู่เฉย ๆ รึ” หานเฟิงหันหลังกลับไปมองชายตาบอดด้วยดวงตาอันเย็นชา
“ใช่ และข้ามีเหตุผลสองข้อให้ท่านอยู่นิ่ง ๆ อย่างแรก ตำราวิชาย้อนกลับเล่มนั้นหายสาบสูญไปจากสำนักเงาพรายหลายปีเเล้ว ผู้ที่ทำร้ายมารดาท่านอาจจะไม่ใช่สำนักเงาพรายอีกต่อไป เรื่องนี้ควรคิดให้รอบคอบ อย่างที่สอง ข้าคิดว่าท่านคงมีเเรงยืนอยู่ได้อีกไม่นาน”
หานเฟิงงุนงง ข้อเเรกนั้นพอเข้าใจ แต่ข้อที่สอง…..
“อั่ก ! !”
ชายหนุ่มกระอักเลือดก่อนที่จะได้ถาม ร่างกายอ่อนล้าในพริบตา หัวเข่ากระเเทกพื้นเสียงดังสนั่น ความเจ็บปวดแล่นจากกลางหน้าอกและเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกาย ดวงตาของหานเฟิงพร่ามัวเเต่ก็ยังพอเห็นมือเปื้อนเลือดของตน
โลหิตที่กระอักออกมามีปรสิตคลานยั้วเยี้ย บางตัวตกลงสู่พื้น บางตัวชอนไชเข้าผิวหนัง พวกมันตัวเล็กมาก เเต่เมื่อเทียบกับตอนที่พวกมันยังเป็นไข่ ขนาดของพวกมันในตอนนี้นับว่าโตขึ้นมากทีเดียว
เสียงฝีเท้าของหลี่เจี๋ยเข้ามาใกล้ สงบ นิ่งเรียบ เเละเชื่องช้า หานเฟิงใช้ตาพร่ามัวแหงนมองไปยังใบหน้าของชายตาบอด
“ก่อนตี้หม่าตายน่าจะเตือนให้ท่านหยุดใช้ปราณไปเเล้ว เหตุใดจึงไม่ฟัง” หลี่เจี๋ยเตือนเสียงนิ่ง หานเฟิงไม่ได้ตอบเพราะชิงหมดสติไปเสียก่อน
__________
ตลาดยามเช้า อากาศหนาวเย็น ข้านั่งเหม่อมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างเหม่อลอย เเละฝากกระเพาะที่กำลังโอดโอยไว้กับร้านบะหมี่
บะหมี่ถูก ๆ หรือจะเหมาะกับลิ้นคุณหนูซู เถ้าเเก่คงคิดอย่างนั้นทันทีที่เห็นหน้าข้า โดยไม่รู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาต่อให้เป็นเนื้อเน่า ๆ ข้าก็เคี้ยวกลืนลงท้องได้
เมื่อวาน ทันทีที่กลับถึงจวนข้าก็หลับเป็นตาย ทิ้งเรื่องวุ่นวายทั้งหมดในหัวเเละนอนอย่างสงบสุขไปได้หนึ่งคืน เเละตื่นมาพร้อมกลิ่นควันไฟ เฟยหงกับจ้านหลิวหาเรื่องทะเลาะกันเเต่เช้า ผลเป็นอย่างไรข้าไม่ทราบ เพราะหนีออกมาอยู่เงียบ ๆ เสียก่อน ช่วงเวลาอันเงียบสงบของข้าอย่าพึ่งจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้เลย
บะหมี่ร้อนขึ้นโต๊ะพร้อมยิ้มนุ่ม ๆ ของเถ้าเเก่ เมื่อได้กลิ่นหอมข้าก็ซาบซึ้งนํ้าตาจะไหล หยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมโซ้ย
“เจ้าใส่น้อยไปแล้ว ใส่อีกสิ !”
“ยานี่เเรงมากนะ…. ข้าคิดว่าเเค่นี้คงพอเเล้วกระมัง….”
“ใส่มากกว่านี้มันจะไม่ตายเอาหรือ”
“มันก็แค่ขอทานไร้ค่า ใครจะสนเล่าว่ามันตายหรือไม่ !”
ประโยคสนทนาของเด็ก ๆ วัยต่อต้านโต๊ะข้าง ๆ ทำเอาข้าต้องวางตะเกียบ เด็กสามสี่คนทั้งหญิงทั้งชายกำลังรุมใส่บางอย่างลงในบะหมี่ พวกมันกำลังเถียงกันว่าจะใส่มากหรือน้อย เเล้วทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เอาตัวบังชามบะหมี่ไว้ เเม้มองไม่เห็นเเต่ข้าได้กลิ่น กลิ่นที่คนปกติคงไม่รู้สึก กลิ่นที่ชวนให้ข้าคิดถึง
พิษอสูร….
เด็ก ๆ พวกนี้ไปหาพิษอสูรมาจากไหนกัน…
ข้านั่งนิ่ง มองดูการกระทำของพวกมัน การลอบสังหารโดยใช้พิษดูจะเป็นที่นิยมมากในยุคนี้ เด็กชายคนหนึ่งถือชามบะหมี่ที่หึ่งไปด้วยกลิ่นพิษเข้าไปให้ขอทานผมขาวข้างถนน ขอทานคนนั้นเมื่อเห็นเด็กชายเดินเข้ามาหาก็ตื่นขึ้นจากอาการสะลึมสะลือ เเละตื่นขึ้นทันตาเมื่อเห็นชามบะหมี่ ชายยาจกรับมาอย่างยินดีโอบอุ้มชามใบนั้นประหนึ่งอุ้มบุตร เด็กชายที่ทำภารกิจที่เพื่อนยัดเยียดมาให้เสร็จก็วิ่งกลับทันทีโดยไม่สนว่าตนพึ่งจะมอบความตายให้เเก่มนุษย์คนหนึ่ง
ข้าลุกขึ้นทันควัน เเละปรี่เข้าไปหาชายขอทาน ชายน่าสงสารคนนั้นคงกำลังหิวมากจึงยกชามบะหมี่ขึ้นจรดปาก ข้ากำลังตกใจกลัวว่าพูดดี ๆ คงจะห้ามไม่ทันจึงยกเท้าขึ้นเตะชามบะหมี่เสียก่อน
เสียง เพล้ง ! ดังขึ้นในเสี้ยววินาที ชามบะหมี่ผสมพิษสาดกระจาย คนรอบข้างตกใจ ชายขอทานตกใจ เด็กที่คิดพิเรนทร์วางยาพิษตกใจ ข้าเองก็ตกใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก อารามตกใจอยู่ได้ไม่นาน จังหวะต่อมาคนรอบข้างที่เห็นภาพข้าทำร้ายขอทานผู้น่าสงสารก็ชี้นิ้วขึ้นด่า ชายขอทานวิ่งออกไปแล้ว เด็ก ๆ ที่กลัวความผิดก็หายตัวเข้าไปในฝูงชนตามตัวจับไม่ได้ ส่วนข้าก็ได้แต่แลซ้ายแลขวาอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะเเก้ตัวอย่างไรดี
“นั่นคุณหนูซูมิใช่หรือ”
“เหตุใดนางจึงทำตัวเช่นนี้”
“ข่าวลือที่ว่านางเหี้ยมโหดคงเป็นเรื่องจริง !”
ข้าฟังคำด่า ชาวบ้านธรรมดาไม่เข้าใจหรอกว่าแซ่ซูมีอิทธิพลอย่างไร ปิดปากคนอย่างเลือดเย็นขนาดไหน เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมกลางถนน ไม่มีใครคิดนิ่งเฉยทั้งนั้น ข้าเกิดเข้าใจความรู้สึกของเฉียวฟงขึ้นมาชั่วขณะ พยานไม่มี หลักฐานสาดกระจายอยู่บนพื้น คนร้ายหลบหนี ความคิดที่จะเเก้ตัวจึงหายไป ริมฝีปากข้าปิดลงอย่างเงียบ ๆ
ข้ากวาดตามองพวกเขาช้า ๆ ทีละคน ๆ ….
ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นสิ่งใดในตาข้า เเต่พวกชาวบ้าน ทั้งหญิงชาย คนเเก่ เด็ก คนชรา หุบปากลงทีละคน
ข้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ถึงขนาดนี้เเล้วพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ดีเเล้วที่ขอทานนั่นไม่เก็บบะหมี่หกมากิน ไม่มีใครตายก็เพียงพอ ข้าก้าวช้า ๆ ฝูงชนที่เเม้มีดวงตาไม่เป็นมิตรก็ยังแหวกทางให้ข้า
ระหว่างทางข้าโยนเหรียญให้พ่อค้าซาลาเปา เเล้วหยิบซาลาเปาร้อน ๆ มาสองลูก หลังจากละทิ้งความคิดที่จะกลับไปนั่งซดบะหมี่ท่ามกลางผู้คน
ไม่ว่าจะเจอเรื่องเฮงซวยมามากเเค่ไหน ข้าก็ไม่เคยรู้สึกหิวน้อยลง
_________
เเค่หญิงสาวสูงศักดิ์เตะชามบะหมี่ของขอทาน ดูจะเรียกความสนใจจากคนได้หลายคน รวมถึงชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มองสถานการณ์ด้านล่างด้วยสายตาวาวโรจน์
“ท่านลงไปตอนนี้ประชาชนจะเเตกตื่น” ผู้ติดตามข้างกายของชายหนุ่มเอ่ยขึ้น สถานการณ์ด้านล่างจบลงด้วยสายตาของหญิงสาว เเล้วนางก็เดินอาด ๆ ออกไปโดยไม่มีใครคิดแตะต้อง
“นางเป็นใคร” ชายหนุ่มถามเสียงเย็น เเม้คนในตลาดจะเลิกรา แต่ดวงตาดำขลับของเขาก็ยังจับจ้องเงาของหญิงสาวที่เดินห่างออกไป
“นางคือคุณหนูซูหลิวหยาง จากตระกูลซู” ผู้ติดตามถอนหายใจยาวก่อนจะเล่าต่อ “นางเป็นหญิงสาวที่ดีเเต่หลังจากหย่าร้างกับเชวี่ยหานเฟิงก็เจอเเต่เรื่องเลวร้าย นางหายตัวไปสองปี เจอตัวอีกทีก็ตอนอยู่กับพ่อค้าทาส ข้าได้ยินข่าวลือว่านางความจำเสื่อมบ้าง วิปริตบ้าง สองปีที่หายไปนางคงไม่ได้เจอเรื่องดีนัก ท่านอย่าได้ถือสานางเลย เห็นใจนางเถิด”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ จนผู้ติดตามไม่เเน่ใจว่าคนผู้นี้ได้ฟังที่มันสาธยายหรือเปล่า เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ใบหน้าคมคายไร้ตำหนิประดับด้วยดวงตามุ่งมั่นแฝงอำนาจบารมีก็เบือนช้า ๆ มาสบกับดวงตาของมัน
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นางจะทำอะไรตามอำเภอใจได้” ชายหนุ่มเดินออกจากริมหน้าต่าง หยิบหมวกฟางเก่า ๆ ซึ่งไม่เหมาะสมกับฐานะของตนเเต่อย่างใดขึ้นมาสวม ตามด้วยกระบี่ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหารขึ้นมาเสียบไว้ข้างเอว
“นางเกิดในตระกูลรํ่ารวย ผู้มีอำนาจจะหยิ่งผยองสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเเปลก ใช่ว่าผู้มีอำนาจทุกคนจะใช้ชีวิตธรรมดาสามัญเหมือนเช่นท่าน” ผู้ติดตามของชายหนุ่มมองตาปริบ ก่อนจะถามขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เขากำลังสนทนาด้วยกำลังเดินผ่านธรณีประตูออกไปโดยไม่สนใจ “ท่านจะไปไหน”
“เจ้าบอกว่าข้าลงมือท่ามกลางฝูงชนไม่ได้ เช่นนั้นในที่ลับตาคนก็คงไม่ผิด”
ผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนก
“ท่านจะลงมือกับคนตระกูลซูหรือ”
ชายหนุ่มหยุดเท้า มือที่จับด้ามดาบกำเเน่น “แผ่นดินที่ข้าต้องการคือแผ่นดินที่เท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวยก็ไม่สมควรมีอำนาจเหนือกฎหมาย คนที่ใช้อำนาจข่มเหงรังเเกผู้อื่นสมควรถูกลงโทษ”
ผู้ติดตามขมวดคิ้ว มันรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดหยุดความมุ่งมั่นนั้นได้ เเต่ก็ยังอยากที่จะถามออกไป “องค์รัชทายาท ข้าสงสัยว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะไปทำมันเป็นกฎหมายตรงไหน”
“ข้านี่แหละกฎหมาย”
“…”
หลังประตูปิด ผู้ติดตามก็ได้เเต่ถอนหายใจ มันมองอาหารเย็นชืดบนโต๊ะ อาหารดี ๆ ที่ยังไม่ได้ถูกเเตะสักนิด ผู้สืบบัลลังก์ท่านนี้คงลืมความหิวไปแล้วเพียงเพราะเจอเรื่องไม่เป็นธรรม
_________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แหม่ ท่านผู้ทรงคุณธรรม
คนนี้พระเอกไหม?
หานเฟิง...แม่แกประเสริฐมากเลยสินะ ถึงทำคนอื่นได้ แต่พอโดนเอาคืน ถึงจะเป็นจะตาย...เลวทั้งแม่ทั้งลูกจริง ๆ.....ขอให้ตายเร็ว ๆ ทั้งแม่ทั้งลูกนะ แผ่นดินจะได้เจริญขึ้น
ส่วนรัชทายาท ...ความง่าวนี้ได้มาแต่ใด รักความยุติธรรม แต่ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยเนี่ยนะ....เจริญล่ะแคว้นนี้
ถ้าความคิดเห็นไม่ตงใจใครต้องขอโทษด้วยค่ะ แต่เราคิดแบบนี้จิงๆ เพราะเริ่มแรกเราชอบนะเรื่องนี้ สนุก ตลก แต่พอออกมาจากมิติพิษแล้วเรื่องมันไปไหนแล้วก้อไม่รู้