ตอนที่ 27 : มาร
มาร
หานเฟิงจ้องมองกลุ่มคนเบื้องหน้า คนสิบกว่าคนยืนเรียงเเถวยาว เก้าคนเป็นศิษย์สำนักบูรพา อีกหนึ่งคนเป็นคนทำความสะอาดของสำนัก
มองเผิน ๆ ทั้งสิบคนนี้คือคนสำนักบูรพา เเต่ในความจริงพวกเขาคือพรรคมารที่เเฝงตัวเข้ามาเหมือนกับหานเฟิง หลังจากตี้หม่าตาย มหามารดาก็เปิดไพ่สิบตัวละครลับให้มารองตีนรองเท้า นับเป็นการสนับสนุนในการทำภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายทางหนึ่ง เเต่ประมุขน้อยก็แอบรู้สึกเกินคาดอยู่บ้างที่พรรคมารมีสายลับเเฝงตัวอยู่มากเช่นนี้
“พวกเจ้าออกจากสำนักมาพร้อมกันมากขนาดนี้ ไม่กลัวเจ้าสำนักจับได้หรือ ?” หานเฟิงกล่าวถาม เเม้สถานที่นัดพบเเห่งนี้จะเป็นที่ลับ อยู่ห่างไกลหูตาท่านเจ้าสำนักเชวี่ย เเต่คนหายไปสิบคน มีหรือจะไม่เอะใจ
“ประมุขน้อยไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าลั่วลั่ว เชี่ยวชาญวิชาหุ่นผี ตัวปลอมของเราทั้งสิบตอนนี้ยังอยู่สำนักบูรพา ไม่เป็นที่สงสัยเเน่นอนเจ้าค่ะ” หญิงสาวหน้าหวานตอบ หานเฟิงพยักหน้า สามารถควบคุมหุ่นผีในระยะไกลขนาดนี้ นับว่านางไม่ธรรมดา สิบคนที่มหามารดาส่งมาคราวนี้ อาจมีประโยชน์กว่าตี้หม่าก็เป็นได้
หานเฟิงเริ่มจากถามชื่อพวกเขาทีละคน เพื่อการใช้งานในภาคหน้า จำเป็นต้องรู้ว่าใครถนัดอะไร หรือทำอะไรได้บ้าง
“หวงฉง เชี่ยวชาญการใช้ดาบขอรับ”
“ซูจิ้ง ข้าถนัดการสะกดรอยเจ้าค่ะ”
การเเนะนำตัวดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้ายที่ทำเอาหานเฟิงประหลาดใจไม่น้อย
“เจ้าคือ….”
“เรียนประมุขน้อยข้ามีนามว่าหลี่เจี๋ย”
ชายผู้นั้นตอบ หานเฟิงพินิจมองใบหน้าของเขา หลายปีที่อยู่ในสำนักบูรพา เขารู้จักชายคนนี้ในนาม ชายตาบอด
ตาดำของหลี่เจี๋ยเป็นสีขาวขุ่น บ่งบอกว่าเขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดอย่างคนปกติ เเต่เขาอยู่ที่นี่ได้ มาหาหานเฟิงในที่ลับเเห่งนี้ได้ เเละประกาศตัวว่าเป็นสายพรรคมาร หานเฟิงเห็นหลี่เจี๋ยมาตั้งเเต่เข้าสำนัก ชายคนนี้กวาดใบไม้ในสวนทุกเช้า โดนศิษย์ปากไม่ดีในสำนักเรียกเขาว่าไอ้บอดทุกวัน
หลี่เจี๋ยใส่ชุดขาดมอซอตัวเดิมตลอด กวาดใบไม้เงียบ ๆ เเละหายไปเมื่อสวนสะอาดเเล้ว สิ่งเดียวที่น่าเเปลกเกี่ยวกับหลี่เจี๋ยคือเขาไม่เเก่ขึ้นเลย
พรรคมารมีสายลับเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ…
“ท่านถนัดอะไรหลี่เจี๋ย” ความยำเกรงบางอย่างที่หานเฟิงก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนสั่งให้เขาเรียกหลี่เจี๋ยด้วยคำว่า ท่าน
“ข้าจมูกดีขอรับ” สิ้นคำตอบของหลี่เจี๋ย ลั่วลั่วหัวเราะคิกคักอยู่เเถวหน้า
หานเฟิงเพียงเเค่ขมวดคิ้วอย่างฉงน มหามารดาส่งชายจมูกดีคนหนึ่งมาให้ข้า?
“เข้าใจเเล้ว ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะถาม” หานเฟิงกลับเข้าประเด็น เหล่าสมุนกลับมายืดตัวตรงรอฟังคำสั่ง
“มีใครเคยเห็นจูเทียนร่างมนุษย์หรือไม่ ?”
คำถามเเรกทำเอาเหล่าสายพรรคมารสูดหายใจลึกจนปอดสั่น
“ประมุขน้อย จูเทียนเกิดพร้อมอดีตเจ้าสำนัก เเละหายไปพร้อมอดีตเจ้าสำนัก ในรุ่นของเรา… ข้ายอมรับว่าเกิดไม่ทันยลโฉมของจูเทียน หรือต่อให้ทัน ก็ใช่ว่าจะพบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพรรคกันได้ง่าย ๆ ข้าคิดว่าผู้ที่มีตำเเหน่งสูงพอที่จะพบจูเทียนมีเพียงผู้อาวุโสของพรรคไม่กี่คนกับมหามารดาเท่านั้น” หญิงสาวลั่วลั่วเป็นตัวเเทนในการตอบคำถาม
หลังการปรากฏตัวครั้งนั้น หานเฟิงมั่นใจว่าจูเทียนอยู่ในขั้นที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้เเล้วเเน่ ๆ หากรู้หน้าจูเทียนร่างมนุษย์ การค้นหาครั้งนี้จะง่ายขึ้นมาก
“ข้าเข้าใจ คอยดูสถานการณ์ต่อไป พวกเจ้าไปได้เเล้ว” หานเฟิงถอนหายใจ เพราะความไม่รู้เรื่องวิหคชาดเลย ทำให้สุดท้ายวันนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องอันใด ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเเละเหม่อมองไปที่หน้าต่าง ในใจคิดวางเเผนการใหม่อย่างไม่หยุดพักจนคิ้วขมวดมุ่น กระทั่งเสียงฝีเท้าของสายพรรคมารหายไป หานเฟิงก็พึ่งพบว่ายังมีอีกหนึ่งที่ยังอยู่กับเข้า
“ท่านยังไม่ไปอีกหรือหลี่เจี๋ย” หานเฟิงถามทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันไปมอง ชายตาบอดยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ที่เดิม
“มีบางเรื่องที่ข้าควรพูดกับท่านเพียงลำพัง” หลี่เจี๋ยตอบ
“เรื่องอะไร ?”
“อย่างเเรก กำจัดวิหคชาดไม่ใช่ความคิดที่ดี”
หานเฟิงหันขวับมามองชายตาบอดทันที “เป็นคำสั่งของมหามารดา ข้าจะขัดอย่างไรได้”
หลี่เจี๋ยยืนนิ่ง ในดวงตาขาวขุ่นนั้น หานเฟิงรู้สึกว่าชายผู้นี้กำลังจ้องมองเขาอยู่ จ้องมองอย่างทะลุปรุโปร่ง
“วิหคชาดเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พรรคมาร เราใช้มันเพื่อสร้างบารมีของพรรคมาหลายทศวรรษ หากกำจัดมันนั่นอาจหมายถึงคราวที่พรรคมารต้องถอยหลัง”
หานเฟิงเอียงคอจ้องมองหลี่เจี๋ย ชายตาบอดคนนึง กำลังพูดเรื่องที่เป็นภัยต่อชีวิตของตัวเอง เช่นการขัดคำสั่งมหามารดา
“เจ้าเป็นคนที่มหามารดาส่งมาให้ช่วยกำจัดจูเชวี่ยไม่ใช่หรือ ? เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน หรือว่าท่านเเม่อยากทดสอบข้า ? " หานเฟิงขณะนี้เต็มไปด้วยความงุนงง เเละดวงตาขุ่นมัวของหลี่เจี๋ยก็ไม่ช่วยให้อะไรกระจ่างชัดขึ้น
“ท่านเข้าใจผิดเเล้วประมุขน้อย ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะคำสั่งของมหามารดา” หลี่เจี๋ยให้คำตอบที่เชื่องช้าจนน่ารำคาญ
“เเล้วเพราะใคร” หานเฟิงทักท้วงด้วยความหงุดหงิด
“ข้ามาที่นีเพราะคำสั่งของท่านประมุข”
ประมุข ! ?
หานเฟิงรู้สึกทั้งร่างเอนเอียงจนยืนไม่อยู่ ท้องใส้ในกายปั่นป่วน พรรคมารมีตำเเหน่งประมุขไว้ให้คนคนเดียวเท่านั้น คนที่ตั้งเเเต่เกิดมาหานเฟิงก็ไม่เคยเห็นหน้า
“เจ้าหมายถึงท่านพ่อหรือ ?” เสียงของประมุขน้อยเเหบเเห้ง เสมือนความอ่อนเเอในจิตใจถูกบีบให้เเสดงออกมา
“ไม่ผิด ก่อนจากพรรคมารไป คำสั่งสุดท้ายของท่านประมุขคือให้ดูเเลท่าน”
คำตอบของหลี่เจี๋ยทำให้เเววตาของหานเฟิงกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เด็กที่ต้องการความดูเเล ต้องการให้ปกป้อง ต้องการในสิ่งที่เเม่ของเขาไม่เคยให้
หลี่เจี๋ยตาบอด เเต่มันไม่ได้ใบ้ ปากของมันยังขยับต่อ
“ข้าอยากให้ท่านรู้ มีพรรคมารอีกมากที่ต่อต้านมหามารดาเเละพร้อมหนุนท่านให้ขึ้นสู่บัลลังก์ประมุข”
เมื่อได้ยิน หานเฟิงก็ได้เเต่นิ่งงัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเค้นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
กบฏ
ข้ารับใช้ใต้เท้ามหามารดามีมากมายที่เป็นหนามเเหลมคมรอวันนางเสื่อมอำนาจ คนเหล่านั้นคือคนที่รอคอยการกลับมาของประมุข น่าประหลาดใจที่มีคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้าเขาเเล้ว เเต่น่าเสียดาย….
“ท่านมาหนุนข้าตอนนี้ ไม่สายไปหรือ ข้าคงมีอายุได้อีกไม่นาน ท่านสนับสนุนผิดคนเเล้ว" หานเฟิงพูดด้วยนํ้าเสียงขมขื่น เเมลงพิษในกายจำศีลเพราะเลือดกระเรียนทองคำ เเต่มันจะอยู่นิ่ง ๆ ในร่างนี้ไปอีกนานเท่าไรกันเชียว
“นั่นคือเหตุผลที่ข้ามา” หลี่เจี๋ยตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เพราะโลหิตของผู้มีกายพิษเป็นหนทางเดียวที่จะขับเเมลงพิษออกจากร่างท่านข้าจึงอยู่ที่นี่ ข้าเคยได้กลิ่นเลือดของมารพิษ จึงจำได้ว่าเลือดของผู้มีกายพิษมีกลิ่นเช่นไร ข้าต้องหาผู้มีกายพิษมาให้ท่านได้เเน่ ประมุขน้อยโปรดอย่าเป็นกังวล”
หานเฟิงอึ้งไป ประโยคเมื่อตอนเเนะนำตัวของหลี่เจี๋ยย้อนกลับมา ที่บอกว่าจมูกดีเรื่องจริงหรือเนี่ย….
“หึหึ….” ประมุขน้อยหัวเราะในลำคอ ในความจริงเเล้วเขาสมควรบอกเรื่องกบฏคนนี้กับมหามารดา เเต่หลี่เจี๋ยคงคิดมาดีเเล้ว หากหานเฟิงรายงานเรื่องนี้ หลี่เจี๋ยก็จะไม่ดมกลิ่นหาผู้มีกายพิษให้เขาเช่นกัน
“ท่านคิดจะเอาเรื่องจมูกดีของท่านมาขู่ข้าให้ร่วมมือหรือ ข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อด้วยซํ้า ท่านเอาอะไรมามั่นใจว่าข้าจะช่วย ข้าคิดว่าท่านเอาเวลาไปดมกลิ่นหาประมุขของท่านจะดีกว่า" ยามพูดออกมา หานเฟิงเพียงพูดเล่น ๆ เเต่นึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบที่เป็นจริงเป็นจังกลับมา
“ข้าไม่เคยคิดขู่ท่านอีกทั้งไม่มีความจำเป็นอันใดที่ข้าจะต้องดมกลิ่นหาท่านประมุข เพราะใกล้เวลาที่ท่านประมุขจะกลับพรรคเเล้ว”
____________
“เจ้าจะกลับสำนักบูรพา ?”
ข้าเเคะหูระหว่างที่ฟังจ้านหลิวคะยั้นคะยอถาม รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัว เเต่สารถีกลับละเลยหน้าที่เเล้วปล่อยให้อิงอี๋ของข้าไปทำหน้าที่เเทน
“เจ้าจะกลับไปทำไม ลืมตัวไปเเล้วหรือว่าเจ้ามีปราณนั่นอยู่ กลับไปเรียนในสำนักธรรม ไม่กลัวความเเตกหรือ !” จ้านหลิวยังพูดไม่หยุด ปราณนั่นที่เขาพูดถึงก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากปราณมารในตัวข้า
ในรถม้า เฟยหงนอนหลับปุ๋ยหนุนตักข้า จ้านหลิวขี้จ้ออยู่ที่นั่งอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อสารถีอู้งานอิงอี๋จึงเนรเทศตัวเองไปเป็นสารถีเเทนเพื่อคุมม้าให้พาเรากลับจวนสกุลซูอย่างปลอดภัย หลังจากเรื่องต่าง ๆ ผ่านไป ข้าคิดว่าเสี่ยงตายอยู่ในงานประลองต่อไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ข้าอยู่สองวันก็ทั้งโดนผลักตกผา ทั้งโดนวางยา โดนลอบฆ่าสารพัดเเล้ว ไหนจะพ่วงเรื่องเฟยหงมาด้วยอีก อยู่ต่ออีกลมหายใจเดียวก็เหมือนอยากเอาชีวิตไปทิ้ง
“เจ้านี่ช่างคิดเเทนข้าเสียจริงจ้านหลิว” อยู่ด้วยกันมาสักพัก ข้าเริ่มรู้สึกสนิทกับจ้านหลิวมากขึ้น คำพูดเหน็บเเนมในบางคราวจึงกลายเป็นเรื่องปกติ
“เพราะเจ้าดูเหมือนไม่คิดอะไรเลยอย่างไรเล่าข้าจึงคิดเเทนเจ้า” จ้านหลิวยังเถียงต่อหากข้าไม่อธิบายตรง ๆ เรื่องนี้คงไม่จบไม่สิ้น
ข้าหยิบยันต์เเผ่นนึงขึ้นมาจากอกเสื้อเเล้วเเปะลงไปบนเพดานรถม้า มันคือยันต์กั้นเสียง ทำงานทันทีเมื่อถูกใช้ เเม้ประสิทธิภาพของมันจะไม่เท่าตอนที่ข้าถูกพ่อค้าทาสจับตัวไป เเต่ก็มากพอที่จะทำให้อิงอี๋ที่อยู่นอกรถม้าได้ยินเพียงเสียงอู้อี้
“เจ้าจะเเปะมันทำไม สาวใช้ที่อยู่นอกรถม้าของเจ้าไว้ใจไม่ได้หรือ” จ้านหลิวเอ่ยถามเมื่อเห็นข้าเเปะยันต์
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ใจนาง เเต่ข้าไม่อยากให้นางเป็นห่วงหากรู้เรื่องข้ามากเกินไป” เมื่อเเปะยันต์เรียบร้อย ข้าก็มีโอกาสพูดได้อย่างสบายใจ
“มีสายลับอยู่ในสำนักบูรพา เเละตี้หม่าก็เป็นหลักฐานที่เเน่นอนเเล้วว่าพรรคมารที่เเฝงตัวเข้ามาต้องการฆ่าข้า ให้ข้าคอยอยู่เฉย ๆ เหมือนตอนคอยคนวางยาพิษไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยขึ้นหรอกนะ”
“เจ้าก็เลยอยากเข้าไปเรียนต่อในสำนักน่ะหรือ ปราณมารในตัวเจ้าจะทำให้พรรคฝ่ายธรรมหมายหัวเจ้าเสียมากกว่า” จ้านหลิวยังไม่วางใจ ซั้ายังสาปแช่งข้าอีกยกหนึ่ง
“เช่นนั้นข้ายิ่งต้องรีบเข้าสำนักบูรพา” ระหว่างที่ตอบจ้านหลิว โลหิตหยดหนึ่งร่วงเเหมะลงที่เเก้มขาวของเฟยหง ปลุกนกน้อยที่นอนบนตักข้าสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน
ดวงตาสีเเดงของเฟยหงเบิกกว้างมองข้า เช่นเดียวกับจ้านหลิว
ข้าจึงรู้สึกถึงของเหลวเหนียวหนือดในจมูกตนเอง เมื่อใช้นิ้วปาดมันออก ข้าก็เห็นของเหลวสีเเดงติดอยู่บนนิ้ว
“หลิวหยาง… เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” จ้านหลิวเอ่ยถามเสียงสั่น
ข้อมองเลือดของตนด้วยดวงตาเรียบนิ่ง
“ตอนนี้ยังไม่” ระหว่างที่ตอบ ข้าก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดรอยเลือดบนนิ้วกับบนหน้าเฟยหง ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกหยิบขึ้นมามีรอยเลือดเเห้งกรังอยู่ก่อนเเล้วบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งเเรกที่โลหิตสีเเดงหยดไหลออกมา
“เจ้าเป็นอะไรกันเเน่ ?”
“ปราณมาร” ข้าตอบระหว่างที่ทำความสะอาดคราบเลือด “หากสะสมอยู่ในร่างกายนาน ๆ ไม่นำออกมาใช้ มันจะทำลายตัวผู้ใช้เสียเอง ทำให้เสียสติ บ้าเลือด ควบคุมตัวเองไม่ได้ เเละกัดกร่อนสุขภาพร่างกาย"
นี่คือสาเหตุที่การดูดซับปราณมารเป็นเรื่องต้องห้ามในพรรคฝ่ายธรรม การนำของต้องห้ามมาใช้ ย่อมมีผลข้างเคียงของมัน
เหตุการณ์ในงานประลองย้อนกลับมา ตัวข้าที่พุ่งเข้าใส่หลิ่งอี้โดยไม่คิดทำให้ข้ารู้สึกกลัวตัวเองขึ้นมา หากปล่อยไว้นาน มันจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตัวข้ายามอยู่ในเขตอาคมมีอสูรให้ปลดปล่อยปราณมารนับร้อย เเต่โลกภายนอกนั้นต่างกัน ข้าต้องเก็บมันไว้ตลอด คราเดียวที่ข้าใช้ปราณมารออกมาก็คือยามที่ประมือกับจ้านหลิว ซึ่งนั่นเป็นเพียงปราณมารอันน้อยนิดจากที่มีทั้งหมด
“ชะ… เช่นนั้นเจ้าก็ใช้ออกมาเสียสิ เจ้าใช้กับข้าเลยก็ได้” จ้านหลิวละลักละลํ่าบอก ข้าเข้าใจว่าเขาเป็นห่วง เเต่ข้ากลับส่ายหัวปฏิเสธ
“เจ้าเคยเป็นพรรคมารเสียเปล่านะจ้านหลิว หรือมารพิษทรมานเจ้าจนสมองกลับไปเเล้วกันเเน่ ปราณมารน้อยนิดที่ข้าปล่อยออกมา อาจล่อพรรคธรรมได้เป็นฝูง ตอนที่ปล่อยปราณมารมาประมือกับเจ้าข้าใช้เหตุผลว่าเพราะวิหคชาดได้ เเต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าหากข้าปล่อยปราณมารออกมาบ่อย ๆ จะไม่มีใครสงสัย” ข้าตอบจ้านหลิวอย่างเฉยชาระหว่างที่ซับเลือดในจมูก
“เเล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
“นี่ยังไงล่ะ อีกเหตุผลที่ข้าต้องกลับสำนักบูรพา” ข้าจ้องจ้านหลิวก่อนจะให้คำตอบกับคำถามที่ค้างคาไว้ “ปราณมารเเละปราณเซียนหักล้างกันโดยธรรมชาติ การดูดซับปราณเซียนเพื่อกดปราณมารในร่าง อาจเป็นทางรอดเดียวของข้า”
เเล้วจะมีที่ใดมีปราณเซียนหนาเเน่นเท่าสำนักบูรพาอีกเล่า
จริงอยู่ที่กลับสำนักข้าอาจเสี่ยงตาย
เเต่ไม่กลับข้าก็เสี่ยงตายเช่นกัน
ข้าดึงยันต์กั้นเสียงออกเพื่อบ่งบอกว่าจบการสนทนาลับ ๆ ระหว่างข้ากับจ้านหลิวเเล้ว เมื่อเก็บยันต์กับเก็บผ้าเช็ดหน้าเรียบร้อย ข้าก็ถดตัวไปข้างหน้าเปิดม่านออกเพื่อคุยกับอิงอี๋
“อิงอี๋ ข้าพึ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไปที่ที่นึง เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่”
“ที่ไหนหรือเจ้าคะ” อิงอี๋หันกลับมาถาม พร้อมทำตามคำสั่ง
ข้าตอบนางด้วยรอยยิ้ม
“จวนสกุลเชวี่ย ข้าว่าจะไปหาหลิ่งอี้เสียหน่อย”
__________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ที่คนอื่นคิดแบบนั้นอาจเพราะมหามารดาเหมือนมีปมเรื่องที่คนรักไปรักคนอื่น และคนอื่นที่ว่าก็ดูจะเป็นแม่นางเอก
พ่อนางเอกหายตัวไป พ่อหานเฟิงก็หายตัวไป
ปมมันดูขมวดๆ วนเวียนรอบตัวสองคนนี้
จนชวนให้คิดว่า อาจจะมีพ่อคนเดียวกันรึเปล่า
แต่นี่ไม่คิด เพราะอยากให้หานเฟิงเป็นพระเอกแหละ
เคมีคู่นี้ดีมาก แถมต่างฝ่ายต่างก็มีรักลึกซึ้งซึ่งกันและกันขนาดนั้น
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ก็อยากให้คู่นี้ได้อยู่ด้วยกันในที่สุดจริงๆ นะ
สนุกๆๆ รอคอยตอนต่อไป