ตอนที่ 19 : งานชุมนุม
งานชุมนุม
ล้อรถเข็นเบียดกับพื้นหินขุรขระจนกระดอนไปมา ซูจิ๋นไฉ่หน้าเบี้ยวทุกครั้งที่รถเข็นกระเเทกพื้นหิน เเต่ก็พยายามอดกลั้นไว้จนกระทั่งมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง
"ออกไปก่อน" หัวหน้าตระกูลซูสั่งกับพ่อบ้านผู้เข็นรถเข็นมาส่งตน พ่อบ้านชราถอยห่างออกไปอย่างรู้งาน
จนพ่อบ้านคนสนิทออกไป รอบข้างจึงเงียบจนน่าอึดอัด ไม่มีเเม้ลมพัดผ่าน สถานที่วังเวงเเห่งนี้มีเพียงเสียงลมหายใจของซูจิ๋นไฉ่
"ท่านพี่ สบายดีหรือไม่ ? " หัวหน้าตระกูลซูเอ่ยขึ้นในที่สุด ไม่รู้ว่าเสียงพูดของเขาจะส่งไปถึงคนที่อยู่ในกระท่อมหลังนั้นได้หรือไม่
ความเงียบเป็นคำตอบที่ทำให้ซูจิ๋นไฉ่ต้องถอนหายใจ
"ท่านคงรู้ว่าคืนนั้นมีผู้บุกรุก โชคดีที่หยางเอ๋อร์อยู่กับข้า เเละคนที่นอนบนเตียงนางไม่ใช่นาง จึงไม่เป็นอะไร ถึงไฟจะเผาเรือนไปทั้งหลังก็เถอะ " ซูจิ๋นไฉ่เล่าต่อ โดยไม่สนว่าคนในกระท่อมจะฟังหรือไม่ได้ฟัง
"อีกอย่าง… อสูรจำเเลงที่หยางเอ๋อร์พามาด้วย ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นอสูรชนิดใด ถึงจะดูไม่เป็นอันตราย เเต่ข้าก็อยากให้ท่านลองตรวจสอบมันสักครั้ง เเล้วก็ วันนี้หยางเอ๋อร์นาง…"
"ขาเจ้าเป็นอะไร" ในกระท่อมมีเสียงชายคนหนึ่งตอบกลับมาในที่สุด เเม้จะขัดตอนที่ซูจิ๋นไฉ่กำลังพูด เเต่หัวหน้าตระกูลก็ยิ้มออกมาอย่างยินดีที่ได้ยินเสียงคนที่ไม่ได้คุยมาเเสนนาน
"ตกบันได"
"คนอย่างเจ้าตกบันได ? "
"สี่ตีนยังรู้พลาด"
"…"
"ข้าคิดว่าท่านควรออกไปดูหยางเอ๋อร์เสียหน่อย" ซูจิ๋นไฉ่พูดต่อเมื่อเสียงในกระท่อมเงียบไปอีกรอบ
"เรื่องของนาง ไม่เกี่ยวกับข้า" ชายผู้อาศัยในกระท่อมตอบกลับมาด้วยเสียงเเผ่วเบา
"ไม่เกี่ยวอย่างไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านเองก็ออกตามหานางตอนที่นางหายไป ท่านพี่ นี่มันหลายปีเเล้ว ท่านคิดจะเป็นเเบบนี้ไปถึงเมื่อไร หยางเอ๋อร์หายไปสองปี นางไม่ได้เล่าให้ข้าฟัง ข้าจึงไม่รู้ว่านางต้องเจออะไรบ้าง เเต่นางต้องการท่าน นางต้องการพ่อ… พ่อเเละเเม่ … "
ไม่มีเสียงตอบจากคนในกระท่อม ซูจิ๋นไฉ่รู้สึกเหมือนคนบ้าที่พูดกับตัวเอง
"เฮ้อ…" หัวหน้าตระกูลถอนใจ ใช้สองมือจับล้อรถเข็นออกเเรงดันล้อ หันหัวออกจากหน้ากระท่อม
"ข้ามาวันนี้เเค่จะบอกว่านางไปที่งานชุมนุมจอมยุทธ เเละหวังว่าท่านจะไปดู หรือเเอบไปดูเสียหน่อยก็ได้ ในสำนักบูรพา...ข้าส่งคนไปดูเเลนางมากไม่ได้" ซูจิ๋นไฉ่ทิ้งท้ายก่อนเรียกให้พ่อบ้านมาเข็นรถพามันกลับเรือน
"ท่านผู้นั้นยังไงก็ไม่ยอมออกมาหรือขอรับ" พ่อบ้านจางผู้ตามรับใช้ตระกูลซูมานานเอ่ยถามระหว่างที่กำลังเข็นรถเข็นให้นายของตน
"คงคิดจะเเก่ตายในนั้นกระมัง" ซูจิ๋นไฉ่เอ่ยตอบ หัวหน้าตระกูลวัยกลางคนเหม่อมองขึ้นฟ้า นกฝูงหนึ่งร้องเสียงหลงกระพือปีกเหมือนกำลังบินหนีอะไรบางอย่าง
ซูจิ๋นไฉ่อมยิ้มออกมา
"เเต่...ลูกสาวทั้งคน คนเป็นพ่อจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร"
_________________
"ศิษย์พี่จะปกป้องเจ้าจากสารเลวหานเฟิงเอง" ศิษย์พี่หลี่กล่าว
"ให้ข้านั่งเป็นเพื่อนนะเจ้าคะ" อิงอี๋ตามมารินนํ้าชาอยู่ข้าง ๆ ข้า
"ข้านั่งด้วย" จ้านหลิวเบียดเข้ามาอีกคน
"…ข้าบอกเเล้วว่าข้าไม่เป็นอะไร" ข้านั่งตัวลีบท่ามกลางคนสามคนที่เบียดเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับข้า กลายเป็นว่าหานเฟิงที่สมควรนั่งใกล้ข้าถูกเบียดโดยคนสามคนจนเรานั่งห่างกันในที่สุด
"โต๊ะเดียวนั่งกันสามคนไม่เยอะไปหรือ..." ข้ารู้สึกอบอุ่นเสียจนร้อนจนต้องเอ่ยบอก
ในความเป็นจริง โต๊ะของอิงอี๋กับจ้านหลิวจะอยู่ข้างหลังข้า เยื้องไปข้างหลังด้านซ้ายเเละขวา ส่วนศิษย์พี่หลี่เเม้ควรนั่งกับเหล่าศิษย์สำนักบูรพา เเต่ฐานะคุณชายรองสกุลเชวี่ยเขาก็มีสิทธิ์นั่งบนชั้นสูงเช่นกัน
"อือ… ข้าว่าเบียดเกินไปจริง ๆ " ศิษย์พี่หลี่ลุกขึ้น หันหลังไปลากโต๊ะข้างหลังมาต่อโต๊ะข้า ก่อนจะนั่งลง "ค่อยกว้างขึ้นหน่อย
"…"
ข้านิ่งอึ้ง ทุกคนเขยิบตัวขยับขยายอย่างรู้งาน เเม้ว่าข้าจะพยายามไล่ให้ไปนั่งกับที่ให้เรียบร้อย บอกว่าไม่ต้องสนใจข้ากับหานเฟิง พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะนั่งเป็นเพื่อนข้า สุดท้ายข้าก็ไร้คำจะพูดจนต้องปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ
"คุณหนูเจ้าคะ…" เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้า เรียกความสนใจของข้ากับเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสาม
คนที่เรียกข้าคือหลิ่งอี้… เเต่เป็นหลิ่งอี้ที่ไม่ได้อยู่ในฐานะสาวใช้ของข้าอีกต่อไปแล้ว
สาวใช้คนสนิทของข้าอย่างอิงอี๋ เป็นคนเเรกที่ทนไม่ไหวเมื่อเห็นหน้าหลิ่งอี้
"นี่เจ้า ! ยังกล้า…"
"หลิ่งอี้ มานั่งนี่" หานเฟิงโต๊ะข้าง ๆ พูดขัดก่อนที่อิงอี๋จะพูดจบ เพราะเสียงของเขาทำให้ข้าต้องหันไปมองอดีตสามีเล็กน้อย เเละสบเข้ากับดวงตาดำสนิทของหานเฟิงที่มองมาทางข้าพอดี
"พวกท่านเเต่งงานกันรึยัง" ข้าถามหานเฟิงเสมือนถามเพื่อนสนิท มิใช่ผัวเก่า เพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสามของข้าหันขวับมามองทันที
"คุณหนู… ข้าไม่เคยคิดจะ… ข้าไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะเป็นเช่นนี้…" หลิ่งอี้ไม่ได้ยอมนั่งลงตามคำขอ นางพยายามเดินเข้ามาหาข้า "คุณหนู ท่านยังเป็นคุณหนูของข้าเสมอ ข้าคิดว่าท่านคงไม่โกรธข้าเรื่องนี้…"
"…ข้าเเค่ถามว่าจะเเต่งหรือยัง ข้าจะได้ไปร่วมงาน" ข้าตอบซื่อ ๆ จริงอยู่ที่ข้าเคยโกรธนางจนเกือบทำร้ายตัวเอง เเต่เรื่องผ่านมานานขนาดนี้ อีกทั้งข้าได้ยินว่าฮูหยินเชวี่ยเตรียมจัดงานเเต่งเเล้วด้วย การไปงานเเต่งของนาง เเสดงความยินดีกับนางน่าจะทำให้ทุกคนที่คิดว่าข้ายังรักหานเฟิงอยู่ได้คิดใหม่ เเละเรื่องค้างคานี่จะได้หายไปเสียที
"ไปร่วมงานหรือไปพังงานกันเเน่" ฮูหยินเชวี่ยที่พึ่งเดินเข้างานมาร่วมวงสนทนาพร้อมหัวหน้าตระกูลเชวี่ยผู้กำลังห้ามปรามภรรยาของตนอย่างสุดชีวิต
"ไปนั่งกับหานเฟิงเสียสิ ลูกสาวข้า" ยังไม่ทันที่ข้าจะได้เอ่ยเเก้ตัว ฮูหยินก็เชิดหน้าพร้อมลากหลิ่งอี้ไปนั่งที่เเล้ว
"หานเฟิงกับสาวใช้เจ้านั่งด้วยกัน… นี่จะเเต่งกันจริง ๆ หรือเนี่ย ข้าคิดว่าเป็นเเค่ข่าวโคมลอยเสียอีก" จ้านหลิวเหลือบมองโต๊ะข้าง ๆ เเล้วหันมานินทากับข้าด้วยเสียงเเผ่วเบา
"ท่านอยู่เเต่ในสำนัก สนใจข่าวชาวบ้านเช่นนี้ด้วยหรือ" ข้าตอบกลับจ้านหลิว
" ข่าวชาวบ้านอะไรกัน นักกวีทั่วเเผ่นดินเล่าเรื่องเจ้าไปถึงไหนเเล้วรู้เรื่องหรือไม่" ศิษย์พี่หลี่ออกตัวเป็นผู้รู้เเล้วเล่าต่อ ด้วยเสียงกระซิบเช่นกัน "เรื่องที่เจ้ากับหานเฟิงเเต่งงานกันเเบบคลุมถุงชน ส่วนสาวใช้เจ้าคือรักเเท้ของเขา เจ้าพยายามจะฆ่านางเเต่หานเฟิงช่วยนางไว้ได้ทัน สุดท้ายก็ไล่เจ้าออกจากจวน ส่วนเจ้าก็โดนพ่อค้าทาสจับไปทรมาน ถูกข่มขืน ชดใช้กรรมที่พยายามฆ่าคนไว้ ! "
"ช่างตรงกับความจริงนัก…" ข้าประชดออกมาเมื่อฟังจบ
"เขียนเป็นนิยายเเล้วด้วย ขายดีมากในเมืองหลวง ! "
"…"
"เเต่เมื่อครู่เหน็บเเนมเรื่องเเต่งงานได้เจ็บสุด ๆ ไปเลยเจ้าค่ะ เห็นหน้านางไหมเจ้าคะ หงอไปเลย" อิงอี๋เองก็ร่วมวงด้วย เเม้เสียงกระซิบของนางจะต่างประเด็นก็ตาม
"ข้าไม่ได้เหน็บเเนมเสียหน่อย ที่จะไปงานเเต่งข้าพูดจริง ๆ นะ…"
"เอ๊ะ ถ้าเจ้าไปจริง นักเขียนคนนั้นไม่เขียนภาคสองหรอกรึ ภรรยาเก่าทวงเเค้นกลางงานเเต่ง"
"..."
การขอบัตรเชิญงานเเต่งของสองคนนั้นเพื่อจบเรื่องในอดีตคงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องจริง ๆ ...
ข้ามองรอบกาย เเขกเหรื่อเริ่มมามากขึ้นจนครบที่นั่ง หลายคนที่เข้ามาทักทายข้าอย่างสุภาพเพราะไว้หน้าตระกูลข้า เเละอีกหลายคนก็มองเมินไปเลยหรือมองเเละเเอบซุบซิบกันลับหลัง ซึ่งน่าจะซุบซิบเรื่องข่าวลือเสีย ๆ ของข้า มากกว่าเรื่องดี
ชีวิตสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาข้าทำตัวดีเป็นที่น่ายกย่องมาตลอด เเต่เพียงเเค่หายไปสองปี ก็ถูกข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ให้เเปดเปื้อนเสียเเล้วหรือ
ที่เเท้ ความคิดคนเราก็เปลี่ยนกันง่าย ๆ เช่นนี้ ปลงเสียเถิดซูหลิวหยาง
"ทุกท่านมากันครบเเล้ว เช่นนั้น ข้าขอเปิดงานชุมนุมจอมยุทธ ณ บัดนี้" เจ้าสำนักบูรพา เชวี่ยฟางหยวน ผู้เป็นเจ้าภาพจัดงาน เป็นคนกล่าวเปิดงาน "เเน่นอน การจัดงานในวันนี้จะขาดตระกูลซูผู้ให้การสนับสนุนไม่ได้เลย จอกเเรก ขอดื่มให้ตระกูลซู" เจ้าสำนักใหญ่ส่งยิ้มมาให้ข้า พร้อมยกจอกขึ้น คนทั้งงานทำตาม
ข้ายิ้มตอบตามมารยาท มองถ้วยว่างเปล่าในมือตน ไม่ได้รินสุราใดหรือเเม้เเต่ยกขึ้นดื่ม ข้าเพียงมองมันจนจบการดื่มเพื่อให้เกียรติ เเละจนถึงเวลาที่ตัวเเทนตระกูลซูเช่นข้าจะพูดอะไรสักเล็กน้อย
"ข้ายินดีที่ได้มาร่วมงาน น่าเสียดายที่หัวหน้าตระกูลมาไม่ได้ จึงฝากของขวัญเหล่านี้มาให้พวกท่าน" ข้ารู้สึกว่าท่านอาจะฝากคำพูดมาให้ข้าพูดมากกว่านี้ เเต่ข้าจำไม่ได้จึงเอ่ยเพียงสั้น ๆ
ข้าพูดจบ คนของตระกูลซูก็เข้ามาในงานพร้อมเเจกจ่ายยาเม็ดเล็กสีนํ้าตาลที่ใส่ขวดกระเบื้องเคลือบมาอย่างดี
"นี่เป็นยาเสริมปราณบริสุทธิ์ที่ตระกูลข้าจัดทำ หวังว่าทุกท่านจะพอใจ" ข้าพูดจบก็นั่งลง ปล่อยให้เหล่าชาวยุทธสนใจกับยาขวดเล็กที่พึ่งเเจกให้
ยาเสริมปราณบริสุทธิ์ ก็เหมือนกับการกินปราณบริสุทธิ์เข้าไปโดยไม่ต้องเสียเวลารวมปราณ มีประโยชน์ต่อชาวยุทธมาก เเต่ราคาเเพง ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจะใจบุญขนาดเอามาเเจกให้ทุกคนเช่นนี้
พูดเปิดงานจบ เเจกของจบ ข้าก็หมดหน้าที่กับงานนี้เเล้ว ส่วนวันที่เหลือจะเป็นการประลองยุทธซึ่งข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ดู ข้าที่นั่งตามมารยาทกินดื่มเป็นสักขีพยานการเปิดงานสักพักก็กำลังสอดส่ายสายตามองคนในงาน
ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ... สงบเรียบร้อยไปหรือไม่...
ข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง...
อ้า... ใช่ ความวุ่นวายยังไงล่ะ
"เสี่ยวหยาง" เสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ข้ารู้ตัวว่าเป็นชื่อข้าจึงหันไปมอง
ชายเจ้าของเสียงปรากฏตรงหน้าข้า เขามีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาใสกระจ่าง ร่างสูงเพรียวอยู่ในชุดของสำนักอัสนี ซึ่งถ้าสมองของข้าไม่มีความทรงจำของจางเหว่ย ข้าคงลืมไปเเล้วว่าชายคนนี้เป็นใคร
"เชวี่ยเฉียวฟง" ข้าเรียกเขาด้วยชื่อเต็ม
บุตรคนเล็กสกุลเชวี่ย
อดีตศิษย์สำนักบูรพาที่ถูกไล่ออก
เด็กเวรที่เผาหางม้าของหานเฟิงเเละเป็นสาเหตุให้ข้าต้องโดนไม้เสียบทะลุท้อง
เขากราบอาจารย์ฉินสำนักอัสนีเพื่อขอเป็นศิษย์หลังจากโดนไล่ออกจากสำนักบูรพา จึงนับว่าเป็นศิษย์น้องของจางเหว่ยด้วยเช่นกัน
"เจ้าจำข้าได้ ! " เฉียวฟงเข้าหาข้าอย่างยินดีหลังข้าเรียกชื่อเขาออกไป
ข้าทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ถ้าไม่มีความทรงจำของจางเหว่ยในหัวข้า ข้าสมควรจะเกลียดเฉียวฟง เเต่ความทรงจำของจางเหว่ยบอกว่าศิษย์น้องผู้น่าสงสารของเขาคนนี้โดนดัดสันดานในสำนักอัสนีมาอย่างดีจนตอนนี้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีเเล้ว
"ศิษย์พี่ ! " จ้านหลิวทักขึ้นทันทีที่เห็นศิษย์พี่ของตน "ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง"
"ท่านอาจารย์หรือ..."
"เฉียวฟง" เสียงเข้มดังขึ้นขัดเชวี่ยเฉียวฟงที่กำลังตอบจ้านหลิว เจ้าสำนักเชวี่ยไม่รู้ลงมาจากเก้าอี้ประธานตั้งเเต่เมื่อไรเอ่ยเรียกหลานรักที่ตนไล่ออกจากสำนักด้วยเสียงเยียบเย็น
ข้านั่งตัวตรงดิ่ง ที่นั่งของข้าอึดอัดอยู่เเล้วด้วยอิงอี๋ จ้านหลิว เเละศิษย์พี่หลี่ ตอนนี้เพิ่มคนอีกสองคนที่มายืนประจันหน้ากันด้วยบรรยากาศเเปลก ๆ อีก
เจ้าสำนักเชวี่ยที่เดินลงมาเรียกสายตาจากเเขกได้เป็นอย่างดี เสียงดนตรีเบาลง ผู้คนเริ่มเงี่ยหูฟังเรื่องชาวบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจเมื่อเห็นบรรยากาศอึดอัดบริเวณรอบโต๊ะข้า
"ท่านอา..."
"เจ้ามีเรื่องอะไร" เจ้าสำนักเชวี่ยยังคงความเย็นชาไว้ในสายตาเเละนํ้าเสียง จนเฉียวฟงต้องสะอึก
"ข้ามาหานาง เพียงเเค่อยากมาขอโทษเรื่องที่ทำไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด" เฉียวฟงกลับมาคงความเเน่วเเน่อีกครั้ง
"ขอโทษ ? จนป่านนี้เเล้วน่ะหรือ" เจ้าสำนักเชวี่ยยังไม่เลิกระเเวงอดีตลูกศิษย์ เเต่เอาเถิด เรื่องที่เฉียวฟงเคยทำไว้นั้นมีมาก จนเเม้เเต่เจ้าสำนักเชวี่ยที่เมตตาปรานีผ่านไปเป็นปีก็ยังไม่หายเคือง
"ท่านอา ข้ายอมรับว่าข้าใจเสาะเกินไปจึงมาขอโทษเอาป่านนี้ เเต่อย่างน้อยก็ให้ข้าได้ทำเถอะ" เฉียวฟงก้มหัวขอร้อง ท่านเจ้าสำนักขมวดคิ้วมุ่นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
"นี่มันก็หลายปีเเล้ว ท่านอย่าเก็บเรื่องเก่ามาคิดมากเลย" ข้าเอ่ยขึ้นหวังให้บรรยากาศอึดอัดคลายลงบ้าง เเละเฉียวฟงก็ดูจะนิสัยดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เเค่รับคำขอโทษ จะมีอะไรมากมาย
"ขอบคุณเจ้าจริง ๆ เสี่ยวหยาง ! " เฉียวฟงถลันตัวเข้ามานั่งด้านหน้าโต๊ะข้าทันทีพร้อมสุราไหหนึ่ง "ข้าจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เจ้าชอบเเอบไปดื่มสุรา ข้าจึงนำสิ่งนี้มาร่วมดื่มกับเจ้า ถือเป็นของไถ่โทษ"
ข้าเลิกคิ้ว ช่างรู้ใจข้าดีจริง สมเเล้วที่เป็นศัตรูในวัยเด็กของข้า เเม้สำนักบูรพาจะมีกฏห้ามดื่มสุราในสำนัก เเต่วันนี้เป็นงานเลี้ยง จึงยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
เฉียวฟงรินสุราใส่จอกที่ว่างเปล่าของข้า เเละให้ตัวของเขาเอง ก่อนจะยกจอกสุราชูขึ้น
"เเทนคำขอโทษของข้า" เฉียวฟงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
ข้ามองจอกที่มีสุราอยู่เต็มปริ่ม จอกที่ตั้งเเต่ข้าเข้างานมาก็ยังไม่ได้จรดริมฝีปากเเตะต้องมันเลยจนกระทั่งเฉียวฟงรินสุรา
ข้ามองจอกใบนั้นสลับกับมองใบหน้าเฉียวฟง นี่เป็นสุราที่ร่วมดื่มกับเขา เพียงข้ายกขึ้นดื่ม ก็เท่ากับว่าให้อภัยเรื่องในอดีต
ข้าจึงยกขึ้นเเละเตรียมกลืนมันลง
"เดี๋ยว ! " จอกใบน้อยยังไม่ถึงปากข้า หานเฟิงที่นั่งข้าง ๆ ก็เอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงตะคอก คนทุกคนที่ได้ยินจึงหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว ข้าพบว่านัยน์ตาของหานเฟิงยังจับจ้องมาที่ข้าไม่ห่างหาย
"เรื่องในกาลก่อน ข้าเป็นคนที่โดนท่านกลั่นเเกล้ง ไม่ใช่นาง" หานเฟิงลุกขึ้นจากโต๊ะเดินเข้ามาทางโต๊ะข้า ทิ้งหลิ่งอี้ให้นั่งเดียวดาย
ข้าเอียงคอคิดตามที่เขาพูด ก็จริงอย่างว่า อุบัติเหตุของข้าครานั้นเพราะข้ามีต้นไม้เป็นคู่กรณี เเต่อย่างไรก็ต้องหาคนรับผิดชอบ เฉียวฟงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวตอนนั้นที่สมควรได้รับโทษเเม้ความเป็นจริงเขาจะตั้งใจทำร้ายเพียงหานเฟิงก็ตาม
"อ่า..ใช่ ข้าก็จะขอโทษเจ้าด้วยเช่นกัน" เฉียวฟงดูงง ๆ ที่หานเฟิงเข้ามาขัด เเต่ก็เอ่ยขอโทษออกมาอย่างจริงใจ
"ดังนั้นสุราจอกนี้ควรเป็นของข้า" หานเฟิงไม่พูดเปล่า เขาเดินเข้ามากระชากจอกสุราจากมือข้าทันที
"อ๊ะ ! เดี๋ยวสิ นั่นจอกข้า" ข้าพยายามเอ่ยห้าม เเต่จอกสุราลอยหลุดมือเข้าปากหานเฟิงไปแล้ว
ปัง !
หานเฟิงวางจอกสุรากระเเทกโต๊ะจนข้ากลัวว่าจอกนั่นจะร้าว
"ข้าให้อภัยเเล้ว" หานเฟิงกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปท่ามกลางสายตางงงวยของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์
มีเพียงข้าคนเดียวที่จ้องมองอย่างตกตะลึง จอกใบนั้นตั้งเเต่เริ่มงานข้าไม่เคยยกมันเเตะปาก ....
นั่นเพราะมันมีพิษอย่างไรเล่า !
_____________
ทวิตเตอร์ผู้เขียนนะจ๊ะ
เอาไว้อัพนิยาย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ก็ว่าแล้ว สงสัยอยู่ว่าน้องถือจอกไว้เฉยๆทำไม ที่แท้มีพิษนั่นเอง
ไม่เอาหานเฟิงได้ไหม...
ค้างงงงงงงงงง รอไรท์
อ่านไปขำไป ค้างอีกแว้ววว