ตอนที่ 17 : ผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้น
เรือนไม้หลังงามไหม้เป็นเถ้าถ่าน ขี้เถ้าสีเทาดำล่องลอยตามลม คนใช้ในจวนถูกปลุกกลางดึกกำลังช่วยกันดับไฟที่ยังไม่มอด
ข้าเหม่อมองเรือนไม้ของตนเอง เเละยืนนิ่งเพื่อไว้อาลัย
"มันเป็นสัตว์อสูรในคราบมนุษย์ เจ้าต้องเชื่อข้านะ ! " จ้านหลิวตะโกนโหวกเหวกอยูข้างหน้าข้า
"บุกรุก ! บุกรุก ! " เฟยหงขู่ฟ่อ ๆ อยู่ข้างหลังข้า ไฟในมือเจ้านกตัวเเสบยังไม่ดับสนิท
"เเสดงร่างจริงของเจ้าออกมาซะอสูร ! " จ้านหลิวชักดาบ
" ไม่ ! " เฟยหงเชิดหน้าใส่
"หลิวหยาง ! หลบไปเสีย ข้าจะฆ่ามัน ! " จ้านหลิวตลบตัวมาด้านหลังข้า เฟยหงไหวตัวทันจึงสับเท้าย้ายตำเเหน่งมาหลบด้านหน้าข้าเเทน
ข้ายกมือขึ้นนวดขมับ รีบวิ่งมาดูเพราะกลัวเฟยหงที่นอนอยู่ในห้องข้าจะเป็นอะไร ที่ไหนได้ เจ้านกโง่นี่กลับเป็นตัวต้นเพลิงเสียเอง
"หยางเอ๋อร์ เจ้าห้ามสักหน่อยเถิด ก่อนจะมีอะไรเสียหายไปมากกว่านี้" เสียงเรียบนิ่งของท่านอาทำเอาข้ารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ จึงต้องรีบห้ามทัพจ้านหลิวกับเฟยหงเสียก่อน
"เขาไม่เป็นอันตรายหรอก คุณชายจ้าน ท่านเก็บดาบไปก่อนเถิด" ข้าห้ามจ้านหลิวก่อน ส่วนเฟยหงเเค่ลูบหัวสองทีก็สงบเเล้ว
"ข้าเห็นมันอยู่บนเตียงเจ้า นี่เรียกไม่อันตรายหรือ ? " จ้านหลิวเถียงขึ้น ซํ้ายังไม่ยอมเก็บดาบ
"อ่า... ข้าให้เขานอนตรงนั้นเอง"
"เจ้าให้มันนอนด้วยเนี่ยนะ ! นี่เจ้า... เจ้า... มีความสัมพันธ์อะไรกับมันกันเเน่ ? "
"เป็นคำถามที่ดี เเต่ถ้าให้ข้าเล่าเเล้วเรื่องมันยาว ดังนั้นข้าไม่เล่าเเล้วกัน ว่าเเต่ท่านเถอะ มาทำอะไรที่ห้องข้าดึก ๆ ดื่น ๆ " ข้าตัดบทเอาง่าย ๆ เฟยหงไม่ได้กลับร่างเดิม ดังนั้นความยังไม่เเตก ส่วนจ้านหลิวจะคิดว่าเฟยหงเป็นสัตว์อสูรประเภทใดหรือเป็นอะไรกับข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ
"อะ...เอ่อ... ข้าไม่ได้คิดย่องเข้าห้องเจ้าเลยนะ ! " จ้านหลิวหน้าเเดงเถือกทันที ข้ายิ้มกริ่มรอคำตอบ คำพูดเเถชุ่ย ๆ ของข้าได้ผล จ้านหลิวไม่ได้ใส่ใจว่าเฟยหงจะเป็นตัวอะไรเเล้ว
"ข้าเห็นผู้หญิงนางหนึ่ง ท่าทางมีพิรุธ จึงตามนางมาจนถึงห้องเจ้า เเต่พอเข้ามาถึงก็เห็นเเค่เจ้านั่นเเล้ว" จ้านหลิวชี้มาทางเฟยหงเเล้วรีบเเก้ตัว
ข้าพยักหน้า หลังจากนั้นเป็นอย่างไรก็พอนึกออก เฟยหงไม่ชอบหน้าจ้านหลิวอยู่เเล้ว บุกเข้าไปถึงที่ขนาดนั้นไม่เเปลกที่เขาคิดจะเผาท่าน...
อ่า... ถึงเเม้สิ่งที่ถูกเผาจะเป็นห้องข้าเเทนตัวท่านก็ตาม
"ใครกันที่มีพิรุธ... ท่านคงไม่ได้มองคนใช้ในจวนข้าผิดไปหรอกนะ"
"ผู้หญิงชุดเเดงที่ใส่เครื่องประดับเต็มตัวอย่างกับเจ้าสาวในชุดวิวาห์ เดินทอดน่องอยู่ในจวนเจ้าดึก ๆ ดื่น ๆ พอจะเรียกมีพิรุธได้หรือไม่ ? "
"..."
ถึงจะดูไม่น่าเชื่อเเต่ข้ารู้สึกว่าผู้หญิงที่มีลักษณะแบบนั้นช่างคุ้นนัก
"นางไปไหน ? "
"ไม่รู้ พอสัตว์เลี้ยงของเจ้าเห็นข้าก็จ้องจะจุดไฟใส่เเล้ว ข้าเลยคลาดกับนาง" จ้านหลิวชี้หน้าไปทางเฟยหง ข้าลูบหัวนกของข้าอีกหลาย ๆ ทีเพื่อไม่ให้มันจุดไฟขึ้นมาอีก
"นี่ดึกเเล้วไปนอนเถอะ" ข้าหันหลังบอกลาจ้านหลิว ไม่ได้ถามเรื่องหญิงปริศนานั่นอีก
เเต่เรื่องผู้หญิงที่จ้านหลิวพูดถึงก็ยังกวนใจข้า ลักษณะเฉพาะเเบบนี้กระตุ้นความทรงจำของมารพิษในหัว อย่างไรก็หวังว่าหญิงปริศนาในวันนี้จะไม่ใช่คนเดียวกับที่ข้าคิด
"หยางเอ๋อร์" ห่างออกไป ท่านอายืนยิ้มมองกองขี้เถ้า เขาเพียงเรียกชื่อข้า ไม่ได้ถามเรื่องสัตวฺอสูรที่ข้าเก็บมาเลี้ยง ไม่ได้ต่อว่าเรื่องเผาบ้าน หรือเอาผู้ชายเข้ามานอนในห้อง ซํ้ายังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องค่าซ่อมเเซม เเต่เเค่เรียกชื่อข้าเฉย ๆ ด้วยนํ้าเสียงอันเรียบนิ่งก็ทำเอาข้าหนาวสั่นไปทั้งตัว
"ท่านอา.... ข้า...จะพยายามทำงานทดเเทน" ข้ายิ้มเเห้ง หลานสาวหายหัวไปสองปี กลับมาอีกทีก็มีเรื่องวุ่นวายให้เสียเงินเสียทองไปทั่ว ความรู้สึกท่านอาตอนนี้ เดาไม่ยากนัก
"ข้าดีใจที่เจ้าสนใจงานของตระกูล เเต่จะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่พยายามทำอะไรเลย" ท่านอาหันมามองข้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเเต่ทำให้ข้าหัวหด
ข้าอยากร้องไห้เสียตรงนั้น ก่อนหันไปมองทั้งจ้านหลิวทั้งเฟยหงอย่างคาดโทษ
ตัวปัญหาพวกนี้ต่างหากที่ผิด ! ไม่ใช่ข้านะ !
...
ถึงเเม้ข้าจะเอาพวกมันเข้าบ้านมาก็เถอะ...!
____________
โถงใหญ่พรรคมาร ในเวลาเดียวกัน
ตี้หม่าวันนี้ย่องเบาออกจากสำนักบูรพาทันทีเพื่อรายงานเรื่องสำคัญเเก่มหามารดา เเม้การกลับมาพรรคมารในเวลาที่ทุกสำนักธรรมระเเวดระวังอันตรายเช่นนี้จะเสี่ยงให้ความเเตก เเต่เรื่องในวันนี้ อย่างไรตี้หม่าก็ต้องหลบกลับมาพรรคมารด้วยตนเองให้จงได้
เเต่เมื่อมาถึงบัลลังก์ของมหามารดา ที่นั่งเคลือบทองตรงนั้นกลับว่างเปล่า
มหามารดาไปไหน ?
ตี้หม่าสงสัย ได้เเต่ตั้งคำถาม พอจะหาคำตอบ ลำเเสงของยันต์เคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
สายพรรคมารชั้นตํ่าอย่างตี้หม่าคุกเข่าลงทันทีเมื่อเห็นชายเสื้อสีเเดงออกมาจากยันต์เคลื่อนย้าย ร่างของหญิงชุดเเดงปรากฏกายตรงหน้าเขาพร้อมกลิ่นควันไฟ เเม้ตี้หม่าจะสงสัยว่าราชินีของตนไปไหนมา เเต่ก็ต้องเก็บคำถามไว้ก่อนเมื่อเห็นใบหน้าเดือดจัดของนาง
"เสนอหน้ามาทำไม ! " เเม้คุกเข่าอยู่เฉย ๆ ก็ยังโดนมหามารดาตวาดด้วยเสียงเเหลมสูง ตี้หม่ารู้สึกได้ทันทีว่าตนเองมาผิดเวลาจึงรีบก้มหน้าตํ่าลงไปอีก
"เเผนการถูกขัดขวางขอรับ ท่านประมุขได้โปรดให้อภัยเเก่ความผิดพลาดของข้า" ตี้หม่ารีบเข้าเรื่อง เเละหวังว่าการตัดสินใจเรียกมหามารดาด้วยคำเรียก ประมุข จะทำใหนางโมโหน้อยลง
"ว่าไงนะ ? " เเน่นอนว่าไม่ได้ผล หญิงชุดเเดงหันหน้าเข้าหาเเล้วตวาดใส่ทันที
"เมื่อวานนี้... เพราะผู้หญิงนางหนึ่ง... ทำให้สำนักอัสนีพ้นข้อกล่าวหา"
" ข้ารู้เเล้ว ! " มหามารดาหันหน้ามาตวาดใส่จนตี้หม่าต้องสะดุ้งโหยง
"ทะ... ทะ.. ท่าน... ประมุข ทราบเเล้วหรือขอรับ ถ้าอย่างนั้น...ข้าคิดว่าเราควรจะกำจัดนาง..."
"ข้าจะทำอยู่นี่ไง ! จะทำมาตั้งเเต่หลายปีก่อนเเล้ว ! " มหามารดาขึ้นเสียงใส่อีกครั้ง ครั้งนี้ทำเอาตี้หม่าปิดปากฉับ ไม่รู้ว่าวันนี้นางไปเจอเรื่องใดให้โมโหมา ไม่ว่าสมุนพรรคมารพูดอะไรไปก็ไม่ได้เข้าหูนางเลย
"นังเด็กนั่น ทำไมถึงรอดจากมือข้าไปได้ตั้งหลายครั้ง..." หญิงชุดเเดงเดินไปเดินมาลากชายเสื้อสีสดปัดวนอยู่บนพื้น ตี้หม่าเมื่อเห็นเจ้านายตนจมอยู่กับความคิดของตนเองก็ได้เเต่นั่งเงียบ ไม่สร้างความโมโหให้นางเพิ่มขึ้นอีก
"เจ้ายังจะนั่งอยู่อีกทำไม ไปให้พ้น ๆ ตาเสีย ! " เสียงเเสบเเก้วหูดังขึ้นมาอีก เเม้ตี้หม่านั่งอยู่เฉย ๆ ก็ใช่ว่าจะรอด เท้าของหญิงผู้สูงศักดิ์ฟาดเข้าที่หน้ามันเพื่อระบายความโกรธ เเม้เเรงถีบจะทำให้มันฟันเเทบหลุด เเต่มันก็อดสงสัยสิ่งที่ตนเห็นไม่ได้
ชุดของมหามารดามีรอยไหม้ นางไปลุยเพลิงที่ไหนมา ?
"เเล้วอย่าได้ทำอะไรมีพิรุธอีก หลังเรื่องนี้นังเด็กนั่นจับตาดูเจ้าอยู่เป็นเเน่"
"ขะ...ขะ... ขอรับ ! ! "
ตี้หม่ากุมเเก้มที่มีรอยชํ้าเเต่ก็ไม่กล้าร้องโอดโอยให้มหามารดาต้องรู้สึกรำคาญ มันกระวีกระวาดลุกขึ้นทันทีโดยที่ไม่ได้บอกบางสิ่ง
เรื่องมีพิรุธหรือ... ข้าทำไปเเล้วน่ะสิ
ประตูโถงพรรคมารเปิดออก ตี้หม่ารีบก้าวออกไปอย่างไว ก่อนที่ตนจะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของสตรีชุดเเดง เเต่ตัวมันเองที่โดนเตะไปทีหนึ่งก็ชํ้าใจหนัก เเต่ไม่คิดโทษมหามารดาผู้ทำเจ็บเเม้เเต่น้อย ในใจมันคิดโทษเพียงผู้หญิงนางหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปเท่านั้น
ซูหลิวหยางนะซูหลิวหยาง ข้าจะหาทางกำจัดเจ้าให้ได้ !
ตี้หม่าเดินขับเคี่ยวเคี้ยวฟันมาได้สักพักก็เจอเหยื่อใหม่
ประมุขน้อยของมันกำลังยืนเหม่อลอยมองประตูห้องโถง ความทรงจำยามนายน้อยผู้นี้เอ่ยปากช่วยตนยามอยู่ในร้านเหม่ยฮวาทำให้ตี้หม่าต้องรีบปรี่เข้าไปเลียเเข้งเลียขา
"ประมุขน้อย ! " ตี้หม่าค้อมตัวคารวะอย่างนอบน้อม เเต่หานเฟิงยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เสมือนมองมันเป็นเพียงธาตุอากาศ
"เรื่องเมื่อวานข้าซึ้งนํ้าใจยิ่งที่ท่านช่วยขัดนาง" ตี้หม่าไม่ลดละความพยายาม มันพูดต่ออย่างเจ็บเเค้น "ถึงเเม้เเผนจะเเตกเพราะนังผู้หญิงคนนั้น เเต่คราวหน้าข้าต้องกำจัดนะ...."
ฉึก ! !
ตี้หม่าหยุดพูดกระทันหัน
มันรู้สึกถึงบางอย่างที่เฉียบคมตวัดผ่านคอตน เลือดอุ่นไหลทะลักจากบาดเเผลบางเฉียบ สมุนพรรคมารล้มลงกุมแผลของตนทันที เบื้องหน้าของมัน ประมุขน้อยหานเฟิงผู้ถือดาบมองลงมาที่มันด้วยดวงตาเยียบเย็น อำมหิต ไร้เมตตา คนตรงหน้าคือหานเฟิงผู้เป็นประมุขน้อยพรรคมาร ดาบที่ตวัดปาดคอตี้หม่ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดใดทั้งสิ้นนั่นก็คือดาบของประมุขน้อย ไม่ใช่ดาบของหานเฟิงศิษย์เอกของสำนักบูรพาที่มีชื่อเสียงเรื่องคุณธรรมในโลกภายนอกคนนั้น
"ปะ..ประมุขน้อย...ทำไม..." ตี้หม่าถามด้วยเสียงสั่นกลัว เหม่อมองดวงตาอันธการ ไม่มีความรู้สึกใดฉายบนนัยน์ตานั้น
มหามารดาโกรธก็เเสดงอาการโกรธ เเต่ประมุขน้อยโกรธ ชักดาบเลย
"ที่ข้าพูดไม่ให้นางมายุ่งเมื่อตอนนั้น เพราะไม่อยากให้นางเข้ามาเสี่ยง เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด" พูดจบ หานเฟิงก็หมุนตัวกลับ ลากดาบที่เปื้อนเลือดออกจากประตูพรรคมาร
ตี้หม่ากุมคอ นั่งนิ่งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด เเผลไม่ถึงตาย ดาบนั้นของประมุขน้อยเพียงเตือนไม่ให้มันยุ่งกับซูหลิวหยาง ไม่นึกเลยว่าประมุขน้อยจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นอย่างที่ลือกันจริง ๆ จนถึงขั้นขัดคำสั่งมหามารดาเเละลงดาบกับผู้อาวุโสเช่นมัน
เเววตาของตี้หม่าเเดงเถือกด้วยความเเค้น ซูหลิวหยาง... เเค่นางคนเดียวก็ทำให้วันนี้มันโดนถึงสองเเผล เงาของหานเฟิงหายไปไกลเเล้ว เเต่ตี้หม่ายังจมอยู่กับความคิดตน มันจะยอมให้ประมุขน้อยที่เเบกอนาคตของพรรคลุ่มหลงสตรีต่อไปแบบนี้ได้อย่างไร
ใช่เเล้ว ! ต่อให้ต้องเเลกด้วยชีวิต ! ข้าต้องกำจัดนังผู้หญิงคนนั้นให้ได้ !
________________
รุ่งเช้า สำนักอัสนี
ฉินชูเป่ากำลังนั่งมองท้องฟ้ายามรุ่งอรุณด้วยเเววตาเศร้าหมอง ชายชราร่างเล็กหลังงองุ้มดูทรุดโทรมหมดมาดของเจ้าสำนักอัสนีหลังจากการหายตัวไปของศิษย์เอกในสำนัก
ร่างกายของมันไม่ไหวเเล้ว เเต่ก็ยังฝืนหายใจต่อไปเพราะยังไม่ได้ฝากฝังสำนักไว้ให้ใคร
"อาจารย์ขอรับ มีจดหมายมาถึงท่าน" ศิษย์คนนึงเดินเข้ามาขัดความเงียบสงบของเจ้าสำนักพร้อมซองจดหมายสีขาว
"ถ้ามาจากจ้านหลิวก็เอาทิ้งไปซะ" ฉินชูเป่าเตรียมปัดมือไล่ เเต่เเล้วก็ชักมือกลับ
หรือจะอ่านเสียหน่อยดี ?
"เอ่อ... ม้าเร็วที่นำมาส่งบอกว่ามาจากสกุลซูขอรับ"
"สกุลซู ? " ฉินชูเป่าหันหน้าขวับอย่างตกใจ "ใช่ซูหลิวเหว่ยหรือไม่ ? "
"เอ่อ... มันเขียนว่ามาจากซูหลิวหยางขอรับ...." ศิษย์หนุ่มก้มลงมองจดหมายก่อนจะหันมาตอบ
"คนน้องรึ" ฉินชูเป่าเอียงคออย่างสงสัย "เอามาให้ข้า"
ศิษย์หนุ่มยื่นให้มันตามคำสั่ง เจ้าสำนักอัสนีรับจดหมายนั่นมาอย่างว่องไวเเล้วอ่านจบในรวดเดียวเพราะข้อความในจดหมายเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ เเต่ทำให้ฉินชูเป่ารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
"เด็กผู้หญิงคนนั้นรึ..." เจ้าสำนักวางจดหมายลงพลางถอนหายใจ เหม่อมองท้องฟ้ายามรุ่งอรุณด้วยนัยน์ตาฝ้าฟางของชายชรา
"เอ่อ... อาจารย์ขอรับ..." เมื่อเห็นอาจารย์อ่านจดหมายจบ ศิษย์ชายผู้ส่งจดหมายก็เอ่ยเรียก "ข้ามีบางเรื่องที่อยากขอท่านน่ะขอรับ"
"เจ้าจะกลับสำนักบูรพาเเล้วรึ"
"ฮะ.. อาจารย์ ไม่ใช่เช่นนั้นนะขอรับ ! " ศิษย์หนุ่มที่ยังไม่ได้เอ่ยขอสิ่งใดเมื่อเห็นอาจารย์ของตนรู้ทันจึงรีบละลักละลํ่าปฏิเสธ
"ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกลับมาตลอด" ฉินชูเป่าหันกลับมามองศิษย์ของตน เจ้าศิษย์ผอมเพรียวมีมารยาทในวันนี้ คือเด็กอ้วนปากเสียที่ถูกสำนักบูรพาขับไล่เมื่อแปดปีก่อน เเม้ฉินชูเป่าจะเสียเวลาพรํ่าสอนดัดสันดานมันให้ดีขึ้นมาอย่างยากลำบาก เเต่ใจจริงก็ไม่เคยคิดที่จะรั้งมันให้ติดอยู่กับสำนักเล็ก ๆ ที่อาจจะกำลังไร้อนาคตเเห่งนี้
"ท่านอาจารย์ ! " ศิษย์หนุ่มนั่งลงคุกเข่า มันมองชายชราด้วยดวงตาอันเเน่วเเน่ "ศิษย์ไม่เคยคิดอยากกลับสำนักบูรพานะขอรับ ที่ผ่านมาอาจารย์ดูเเลข้า...เอ่อ... ดูเเลข้า.... อย่างดี.... มาตลอด... เพียงเเต่ ข้าเเค่อยากกลับไปขอโทษในสิ่งที่เคยทำไว้เท่านั้น"
"เฮอะ" ฉินชูเป่าเค้นเสียงหัวเราะ เเค่พูดว่าดูเเลอย่างดียังพูดติด ๆ ขัดรึ
"ผ่านมาแปดปี ทำไมเจ้าพึ่งคิดได้ว่าควรขอโทษ สารเลวเสียจริง"
"ก็ข้าพึ่งจะกล้าบากหน้ากลับไปนี่ขอรับ..." ศิษย์หนุ่มเกาหัวตนเเกรก ๆ
"เฮ้อ... งั้นก็กลับไปเถิด" ฉินชูเป่าถอนหายใจ ไล่ไปได้อีกคนเเล้ว ไปหาที่ที่ปลอดภัยกว่านี้อยู่เถิด พวกเเกน่ะ "กลับไปที่ที่เจ้าควรอยู่เสีย เชวี่ยเฉียวฟง"
_____________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พรรคจะอยู่รอดมั๊ยเนี่ย ศิษย์เอกก็เสียชีวิตไปแล้วน่ะ