ตอนที่ 16 : ศิษย์น้องเล็ก
ศิษย์น้องเล็ก
หลังจบเรื่องในร้านเหม่ยฮวา ที่ปัญหาวิ่งเข้าใส่จนต้องออกตัวรับ ข้าคิดว่าหลังจากนี้จะโบกมือลาเรื่องวุ่นวายในยุทธภพไปตลอดกาล
เเต่ทำไมนะทำไม ข้าถึงได้เห็นเงาลาง ๆ ของเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นไล่ตามตัวข้ามาติด ๆ
เช้าวันถัดมา จวนสกุลซู ท้องฟ้าสดใส ข้าออกหน้าเเบ่งเบาภาระท่านอาโดยการช่วยคัดคนเข้ามาทำงานในจวน คนมากมายเข้ามาต่อเเถวรอเเต่เช้าเพราะตระกูลซูให้ค่าจ้างอย่างงาม ทั้งชาวสวน ชาวนา ชาวประมง พ่อค้า เเม่ค้า กระทั่งขอทานก็เข้ามาต่อเเถวยาวเหยียดตั้งเเต่เช้า
"คนต่อไป" ข้าเอ่ยปากบอก หลังจากให้งานเเก่คนล่าสุดเป็นที่เรียบร้อย
เสียงเปิดประตูของคนถัดไปดังขึ้น ข้านวดขมับตนเองอย่างเหนื่อยล้าพลางมองเเผ่นกระดาษบอกตำเเหน่งงานที่ยังว่างอยู่ หมึกสีดำบนกระดาษเตือนความจำข้าว่าตำเเหน่งงานขาดคนดูเเลคอกม้า คนสวน เเละคนทำความสะอาด
"ไม่ทราบว่าท่านมาสมัครงานตำเเหน่งใด ? " เพื่อให้รวดเร็ว ข้าเอ่ยถามทันทีโดยไม่ได้มองผู้มาเยือน
"เเล้วเเต่ท่านจะใช้งาน ขอเเค่มีข้าวกิน"
"สกุลซูเลี้ยงอาหารคนงานสามมื้อ ไม่ต้องห่วง ขึ้นอยู่กับท่านทำอะไรได้บ้าง"
คนงานใหม่เงียบไปสักพักเหมือนกำลังคิดอยู่ ระหว่างนั้นข้าก็ตรวจสอบบันทึกในมือเพื่อไม่ให้เสียเวลารอคนงานใหม่เอ่ยตอบ
"ล่าอสูร สะกดรอย คุ้มกันเสบียง ตามจับผู้ร้าย"
"ฮะ ? ? " ด้วยความสามารถเเปลก ๆ ทำให้ข้าต้องเงยหน้ามองคนงานใหม่ทันที สิ่งเเรกที่สะดุดตาข้าคือดวงตาสีฟ้าลํ้าลึกคู่นั้น
ชายหนุ่มตรงหน้าเงียบสนิท ข้าหนังตากระตุกเมื่อเห็นหน้าเขา ยิ่งมองรู้สึกปวดจี๊ดในสมอง
"คะ...คุณชายจ้าน ? " คนตรงหน้าข้าคือจ้านหลิว มองจากข้างหลังก็คือจ้านหลิว จากข้างซ้ายข้างขวาหรือข้างบนก็เป็นจ้านหลิว
"ข้าเอง" จอมยุทธหนุ่มตอบข้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
"ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ ? "
"มาหางานทำ"
หางานทำกับผีสิ ! จอมยุทธสำนักดังมาสมัครเป็นคนสวนเรอะ ? สมองท่านกระทบกระเทือนอะไรมาหรือไม่ ? !
"ทำไมท่านไม่กลับไปอยู่สำนักอัสนี ? " หลังจบเรื่องที่ร้านเหม่ยฮวา ข้าได้ข่าวว่าคนในสำนักอัสนีไม่ได้ถูกคุมขังอีกต่อไป เเต่ทำไมพอสำนักหมดปัญหา ศิษย์ในสำนักถึงระหกระเหเร่ร่อนมาถึงที่นี่ ?
"ข้าถูกไล่ออกจากสำนัก"
"ห๊ะ ? "
"ท่านอาจารย์บอกว่าข้าก่อเรื่องวุ่นวาย"
"เรื่องวุ่นวายอะไร ? "
"เจ้าก็รู้...เรื่องที่ข้าเเหกกรงออกมา อาจารย์บอกว่าสั่งสอนศิษย์ทำตัวเเหกกฎเกณฑ์อย่างข้าไม่ไหวเเล้ว เลยไล่ข้าออก หลังจากนั้น..."
ข้ายกมือห้ามให้เขาหยุดพูดเเละใช้อีกมือนวดขมับตัวเอง หลังจากนั้นเป็นอย่างไรข้าก็พอนึกออก จอมยุทธก็คือคนปกติ ต่อให้เเข็งเเกร่งขนาดไหนตราบใดที่ยังไม่ฝึกถึงขั้นเซียนอมตะก็ต้องกินต้องดื่ม จ้านหลิวโดนไล่ออกจากสำนัก ไม่มีคนเลี้ยงข้าวถึงต้องออกมาหางานทำงก ๆ อย่างที่เห็น
ให้ตายเถอะ งานอื่นเยอะเเยะไป เหตุใดท่านจึงตรงดิ่งมาจวนสกุลซู ?
"คุณชายจ้าน... นี่ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ท่านถูกไล่ออกมาเสียหน่อย อาจารย์ของท่านก็เเค่โมโหที่ท่านทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจึงอยากสั่งสอนท่าน คงไม่ได้คิดไล่ท่านออกจากสำนักจริง ๆ หรอก" ข้าพูดพลางรินนํ้าชาให้ตนอย่างกระหาย
อาจารย์ของจ้านหลิวมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คืออาจารย์ฉิน เจ้าสำนักอัสนี ให้ตายเถอะ เหตุผลที่ท่านใช้ไล่จ้านหลิวออกมานั้นฟังไม่ขึ้นสักนิด ดูก็รู้ว่าจ้านหลิวหาหลักฐานมาพลิกสถานการณ์ในสำนักให้เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี สมควรให้รางวัลเสียด้วยซํ้า
ตัดมาที่ความทรงจำของจางเหว่ย เจ้าสำนักอัสนีเป็นคนปากร้ายเเต่ใจดี ดังนั้นสาเหตุที่เจ้าสำนักอัสนีทำเช่นนี้คงเพราะรู้ตัวว่าสำนักกำลังถูกเพ่งเล็ง หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จึงจำเป็นต้องตัดขาดกับศิษย์น้องเล็กสมองน้อยอย่างจ้านหลิวออกมาก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เขาวิ่งเข้าใส่ปัญหาเสียมากกว่า เเต่เหตุผลนี้ใครจะกล้าบอกกับจ้านหลิวตรง ๆ ถ้าเจ้าตัวรู้สาเหตุที่เเท้จริง ต่อให้ท่านเจ้าสำนักเอาไม้มาไล่ฟาดจ้านหลิวก็คงไม่ยอมออกจากสำนักเเม้เเต่ก้าวเดียว
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่ครั้งเเรกที่ข้าถูกไล่ออกจากสำนัก ? "
รู้สิ ! รู้ด้วยว่าครานั้นจางเหว่ยต้องคุกเข่าสามวันสามคืนเพื่อให้เจ้าได้กลับสำนัก !
"อ่า... ข้าเเค่เคยได้ยินมา ไม่รู้ว่าใครบอกข้ากันน้า... อ่า ลืมไปแล้ว " ข้าเตรียมเเถจนสีข้างถลอก ให้ตายเถอะ ความทรงจำของจางเหว่ยทำพิษเข้าเเล้ว....
"เรื่องนี้ไม่น่ามีใครรู้นอกจากท่านอาจารย์กับศิษย์พี่" จ้านหลิวทำหน้าเครียดทันที
"อ้อ ... ท่านอยากได้งานใช่ไหม เอ่อคนดูเเลคอกม้า คนสวน คนทำความสะอาดท่านอยากได้งานไหนล่ะ" ข้าบอกปัด ๆ ไปเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากข้อสงสัย แต่เเล้วก็ต้องเสียใจกับสิ่งที่ตนเองพูดอีกครั้ง จะคนดูเเลคอกม้า คนสวน หรือคนทำความสะอาด งานไหนก็ไม่เหมาะกับผู้ฝึกยุทธอย่างจ้านหลิวทั้งนั้น !
"ข้าทำความสะอาดได้"
ไม่ได้ ! เอาท่านมากวาดบ้านถูพื้นหรือ เสียของ !
"จริง ๆ เเล้วข้าขาดคนขับรถม้าอยู่พอดี ท่านทำงานนี้เเล้วกัน" ข้ายัดงานใส่มือจ้านหลิวทันทีก่อนที่เขาจะต้องไปทำงานอื่น เเม้จริง ๆ เเล้วตำเเหน่งนี้จะไม่จำเป็นเลย เพราะสารถีในตระกูลก็มีให้ใช้เหลือเฟืออยู่เเล้ว
"ได้" ไม่เลือกงานไม่ยากจน จ้านหลิวตอบรับเเล้วลืมคำถามเมื่อครู่ทันที
"อ้อ เเล้วก็เรื่องของท่าน... ท่านเจ้าสำนักหายโกรธเมื่อไรท่านค่อยกลับไปก็เเล้วกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่นี่นัก ท่านกลับสำนักได้เสมอ" ข้าเตรียมขับไล่ไสส่งจ้านหลิวเสียเเต่เนิ่น ๆ บอกเป็นนัยให้เขากลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่
"บางทีครั้งนี้ข้าอาจโดนไล่ออกถาวรเเล้วก็ได้" ผลลัพธ์ของการปลอบใจกลับตรงกันข้าม จ้านหลิวก้มหน้างุดขมวดคิ้วเป็นปม ดวงตาสีฟ้าอึมครึมอย่างกับเมฆฝน ข้าจึงพอจะเดาออกว่าคำขับไล่ไสส่งของท่านเจ้าสำนักครานี้ค่อนข้างทำร้ายจิตใจของจ้านหลิว ยิ่งเวลานี้คนที่คอยไกล่เกลี่ยอย่างจางเหว่ยไม่อยู่เเล้วด้วย
ข้ากางนิ้ว ดีดเพี๊ยะเข้าที่หว่างคิ้วขมวดมุ่นของจ้านหลิวเข้าเต็มเเรง
"โอ๊ย ! " จ้านหลิวไม่หลบ หรือหลบไม่ทันก็เเล้วเเต่ คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาคลายออกเพราะต้องลูบรอยเเดงอันปวดเเสบปวดร้อน ที่หว่างคิ้ว
"เชื่อข้า อาจารย์ท่านรักท่านเหมือนลูกในไส้ ไม่มีวันไล่ท่านออกจากสำนักจริง ๆ หรอก"
ข้าถอนหายใจ อย่างไรจ้านหลิวก็เป็นศิษย์น้องที่จางเหว่ยหวงเเหน รับเขามาดูเเลก็เหมือนได้ตอบเเทนจางเหว่ยอีกทางหนึ่ง
"เจ้าพูดเหมือนศิษย์พี่ใหญ่เลย"
"งั้นหรือ"
ข้าหัวเราะเเห้ง ไม่ใช่เเค่เหมือนหรอก ข้าสวมวิญญาณศิษย์พี่ท่านมาเลยล่ะ
__________
ตกดึก คนในจวนเข้านอนกันเเทบหมดเเล้ว จ้านหลิวได้ที่พักสบาย ๆ ที่ข้าจัดให้ คนงานใหม่ที่พึ่งเข้ามาทุกคนนอนหลับสนิทเมื่อได้เงินได้งานมาเลี้ยงดูครอบครัว เฟยหงหลับยากกว่าทุกคนเพราะไม่อยากนอนเเยกห้องกับข้า สุดท้ายก็มาเคาะหน้าต่างเเหมะ ๆ ทำตาอ้อนวอนขอนอนด้วยเหมือนทุกคืน
ข้าลุกขึ้นจุดเทียน ฝนหมึก เเละเริ่มเขียนจดหมาย หลังจากกล่อมเฟยหงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงที่ยังมีกลิ่นข้าอยู่
บนกระดาษ ตัวอักษรของข้าดูติดขัดเพราะไม่ได้จับพู่กันมานาน เเต่ตัวหนอนเหล่านั้นก็พออ่านออก เนื้อความในจดหมายมีเพียงข้อความสั้น ๆ
' คุณชายจ้านทำงานที่จวนสกุลซู ข้าให้การต้อนรับอย่างเหมาะสม ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ
ซูหลิวหยาง '
เมื่อเขียนจนจบ ข้าก็พับจดหมาย จ่าหน้าซองว่าส่งให้ฉินชูเป่า เจ้าสำนักอัสนี ในกาลก่อน หน้าที่รายงานสถานการณ์ของจ้านหลิวจะเป็นของจางเหว่ย เพราะอาจารย์ฉินต่อให้ห่วงศิษย์คนเล็กเเค่ไหนก็ยังทำเย็นชาไม่กล้าบากหน้ามาถามหาสารทุกข์สุกดิบของศิษย์ที่ตนพึ่งไล่ไปหรอก อีกอย่างข้าเป็นเจ้าบ้านที่รับจ้านหลิวเข้ามา อย่างไรก็สมควรที่จะเขียนไปบอก
ข้าเหลือบมองเฟยหงเเวบหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้านกยังหลับอยู่จึงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ อากาศภายนอกหนาวเย็น โคมไฟถูกจุดไว้ตามทางส่องให้เห็นเส้นทางมืดสลัว ข้าก้าวเท้าเหยียบยํ่าไปในความมืด กำซองจดหมาย เเละมุ่งไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือของสกุลซูเงียบสนิท เเต่ยังจุดเทียนไว้สว่างไสว ภายในห้องนั้นมีอีกคนที่ยังไม่หลับไม่นอนเหมือนข้า
"หยางเอ๋อร์ ? ทำไมยังไม่นอนอีก ? " ท่านอาที่จมอยู่กับกองสมุดบัญชีเงยหน้าขึ้นอย่างฉงนเมื่อเห็นข้าเปิดประตูเข้ามา
"ข้าเเค่อยากมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน" ข้ายิ้มกริ่มเเล้วเดินย่องเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานของหัวหน้าตระกูลซู ท่านอาหัวเราะเจื่อนระหว่างที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจบัญชีอยู่ เขาคงดูออกว่าข้ามาครานี้จะมาอ้อนขออะไรสักอย่างมากกว่ามาอยู่เป็นเพื่อน
"คัดคนงานวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง" ท่านอาเอ่ยถามทันทีที่ข้านั่งลง
"สนุกดีเจ้าค่ะ ดีกว่านั่งเฉย ๆ "
"ได้ข่าวมาว่าเจ้ารับคนงานเกินมาคนหนึ่ง ? "
ข้ากลืนนํ้าลายเหนียว หลบสายตาท่านอาที่จ้องจับผิดเเทบไม่ทัน ว่าเเล้วเชียว เรื่องรับจ้านหลิวมาต้องถึงหูท่านอาไม่ช้าก็เร็ว บางทีเรื่องในร้านเหม่ยฮวาเมื่อวานท่านอาก็รู้หมดเเล้วเช่นกัน
"เเหะ ๆ ... ข้าเเค่อยากได้สารถีส่วนตัวสักคน ท่านอาคงไม่ว่าหรอกนะเจ้าคะ ? " ข้าเกาเเก้มอย่างขัดเขิน ข้ารับคนมาโดยพลการ เเต่อย่างไรคนจ่ายค่าจ้างก็เป็นท่านอา เช่นเดียวกัน ค่าอาหารเเละค่าห้องในร้านเหม่ยฮวาเมื่อวานก็ท่านอาจ่าย ส่วนข้าน่ะหรือ ? เเค่เเบกเเซ่ซูไว้ จะไปเดินอาด ๆ หรือก่อหนี้ไว้ที่ไหนก็มีคนตามล้างตามเช็ดให้ ท่านอาตามใจข้าทุกอย่างก็จริง เเต่ข้าใช้เงินเขามากขนาดนี้อย่างไรก็ต้องรู้สึกผิดบ้าง วันนี้ถึงได้ออกตัวช่วยงานในจวน นึกไม่ถึง เเค่อยากช่วยงานดันกลายมาเป็นก่อหนี้เพิ่ม
"เรื่องเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องเกรงใจไป มาหาข้ามีเรื่องอะไรกันเเน่ ? " ท่านอาหยุดมือจากพู่กันเเล้วเปลี่ยนมาลูบหัวข้าอย่างเอ็นดูเเทน
"มีสามเรื่องเจ้าค่ะ" ข้าช้อนสายตามองท่านอาอย่างอ้อนวอน
"เรื่องเเรก ข้าขอยืมม้าเร็วสักคนจะได้ไหมเจ้าคะ ? " ข้ายื่นจดหมายในมือให้ท่านอา หัวหน้าตระกูลรับมาดู ไม่ได้เปิดอ่าน เเต่ก็รู้ว่าข้าต้องการส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ไวที่สุด
"ไม่มีปัญหา" ท่านอารับจดหมายมาเเล้ววางไว้ขอบโต๊ะ "เรื่องที่สองล่ะ"
"ท่านอาคงรู้ว่าก่อนหน้านี้มีข่าวตำราลับถูกขโมย"
"ใช่ ทำไมหรือ ? "
"ข้าอยากรู้ว่าตำราลับของตระกูลเรายังอยู่ดีหรือไม่ ? " ข้าจ้องท่านอาอย่างอยากรู้อยากเห็น กายาเหล็ก คือวิชาลับของสกุลซูที่สืบทอดกันมาเเค่คนในสายเลือด ตอนเด็กข้าไม่รู้ว่ามันถูกเก็บไว้ที่ไหนเพราะเลิกฝึกยุทธเสียก่อนที่จะได้รับมรดกนี้ เเละความทรงจำของมารพิษก็บอกข้าว่ามันย่องมาค้นบ้านหลังนี้สามสี่รอบก็ไม่เจอตำราลับของตระกูล ข้าเลยอยากรู้ว่าสุดยอดที่ซ่อนเเห่งใดในบ้านหลังนี้กันเเน่ที่ทำให้มารพิษเดือดดาลอย่างไรก็หาไม่เจอ
ท่านอานิ่งอึ้งไปพักหนึ่งที่เห็นข้าถามถึงเรื่องนี้
"เจ้าจะอยากรู้ไปทำไม ข้าคิดว่าเจ้าเลิกสนใจเรื่องฝึกยุทธเเล้วเสียอีก" ท่านอาตอบข้าก่อนจะค้นกองหนังสือ เปิดลิ้นชัก วุ่นวายหาของอยู่กับโต๊ะ
"นั่นสมบัติของตระกูลเชียวนะเจ้าคะ ข้าจะไม่อยากรู้ได้อย่างไร" ข้าตอบท่านอา เเละถอยห่างจากโต๊ะเล็กน้อยระหว่างที่หน้าตระกูลกำลังหาอะไรบางอย่าง
"อ่า เจอเเล้ว" จู่ ๆ ท่านอาก็เอ่ยขึ้น หัวหน้าตระกูลมุดหัวลงใต้โต๊ะ ยกโต๊ะขึ้นเล็กน้อย เเละหยิบตำราเก่า ๆ เล่มหนึ่งที่ใช้รองขาโต๊ะขึ้นมา
"นี่ไง" หัวหน้าตระกูลวางตำราเล่มนั้นลงบนโต๊ะ
"...นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ"
"ตำราลับของตระกูลไง"
"..."
"..."
"ท่านเอาตำราลับของตระกูลไปรองขาโต๊ะหรือเจ้าคะ ...."
"เเหะ ๆ ขนาดมันรองได้พอดีน่ะ..."
"..."
ไม่เเปลกใจนักที่มารพิษจะหาไม่เจอ คงไม่มีใครเอาสมบัติตระกูลมารองขาโต๊ะเช่นท่านหรอก... หัวหน้าตระกูลของข้า ท่านอัจฉริยะที่สุดในโลกเเล้ว...
ข้ารับสมบัติตระกูลมาปัดฝุ่น เเล้วยัดกลับเข้าไปในอกเสื้อ ท่านอาตรวจบัญชีต่อโดยไม่ใส่ใจ บางที ต่อให้ข้าบอกว่าจะเอามันไปเผาท่านอาก็อาจจะยื่นไฟให้อย่างยินดี
"เรื่องที่สามล่ะ" ท่านอาถามระหว่างก้มหน้าก้มตาตรวจบัญชีต่อ
"ข้าอยากรู้ประวัติคนคนหนึ่ง"
"ใคร ? "
"อาจารย์ตี้หม่า สำนักบูรพา"
คำขอของข้าทำท่านอาต้องหยุดมือจากงานอีกรอบเเละขมวดคิ้วมุ่น
ข้ารู้ว่าท่านอาเข้าใจความหมายของข้า สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เเค่ประวัติที่คนทั่ว ๆ ไปรู้ ข้าต้องการรู้มากกว่านั้น หรือรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้เกี่ยวกับตี้หม่า
"หยางเอ๋อร์... เจ้า... ช่วยขอเเค่เเปลงดอกไม้หรือไม่ก็เสื้อผ้าสวย ๆ เหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่ ..."
ข้ากุมเเก้มเเล้วยิ้มกริ่มพลางส่งสายตาปริบ ๆ
"ท่านอย่ามาทำเป็นลำบากใจไปหน่อยเลยท่านอา เส้นสายตระกูลซูอย่าว่าเเต่ที่มาที่ไปของอาจารย์สำนักดังเลย ต่อให้เมียลับ ๆ ของฮ่องเต้ก็หาได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญอยู่ที่หัวหน้าตระกูลจะสั่งให้หาหรือไม่ก็เท่านั้น"
ท่านอาถอนหายใจในที่สุด เเล้วพยักหน้า
"ขอบคุณท่านอา หลังจากนี้ข้าจะทำงานให้คุ้มค่าเเรง ท่านจะให้ข้าช่วยตรวจบัญชีพวกนี้หรือไม่" เมื่อได้สิ่งที่ต้องการเเล้ว ข้าก็ออกตัวช่วยทันที วันนี้ข้าทำตัวเอาเเต่ใจไปสักหน่อย ซํ้ายังรบกวนเวลางานเสียนาน จะจากไปเฉย ๆ ก็ดูไร้มารยาทเกินไป
"เจ้าทำเป็นหรือ"
"..."
อ่า... เเน่นอนว่าไม่...
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ เช่นนั้นกลับไปพักผ่อนเถอะหยางเอ๋อร์" ท่านอาหัวเราะซํ้าเติมอย่างสะใจ
"ท่านอาก็รีบพักผ่อนนะเจ้าคะ" ข้ามุมปากกระตุกยิก รีบตัดบทกล่าวคำลา
"ยังหรอก คืนนี้คงไม่ได้นอนเเน่ ข้าต้องสะสางงานให้เสร็จก่อนงานชุมนุมชาวยุทธอีกสามวันข้างหน้า"
"งานชุมนุมชาวยุทธ ? " ประโยคนี้ทำข้าขนลุกชัน นึกถึงงานชุมนุมขนาดย่อม ๆ ที่ข้าจัดขึ้นเมื่อวาน
"เเน่นอน เจ้าก็รู้ว่าข้าไปทุกปี"
"อ้อ" ข้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ งานชุมนุมจอมยุทธ ก็คืองานที่เหล่าจอมยุทธจากทั่วสารทิศมารวมตัวกันตามชื่อ สาระของงานไม่มีอะไรมาก เเค่เหล่าผู้ฝึกยุทธพากันมุดหัวออกมาจากถํ้าให้รู้ว่าสำนักนั้นสำนักนี้ยังฝึกวิชาอยู่เเละมีชีวิตอยู่ดี ไม่เน่าตายไปก่อน กิจกรรมอื่นนอกจากนั้นจะประลองหรือพูดคุยก็เเล้วเเต่ใจผู้จัดงาน ในส่วนของตระกูลซู เเม้ไม่ใช่ตระกูลผู้ฝึกยุทธเเล้ว เเต่การเข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ก็เปรียบเสมือนการตามหาคู่ค้าอีกทางหนึ่ง
สิ่งสำคัญของพ่อค้าคือการมีเส้นสายที่ทั่วถึง ไม่เเปลกใจที่ท่านอาเร่งสะสางงานถึงขนาดนี้เพื่อให้มีเวลาไปงานชุมนุมจอมยุทธ
อ้า... ไอ้งานที่มีกลิ่นเหม็นโฉ่ของเรื่องวุ่นวายนี่... ถึงข้าจะชอบความคึกคัก เเต่งานนี้ขอผ่าน
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเเล้ว" ข้ารู้สึกผิดขึ้นมาที่เข้ามาหาท่านอายามนี้ จึงหันหลังกลับเตรียมออกไปทันที
"นายท่าน เเย่เเล้วเจ้าค่ะ ! " เสียงตะโกนโหวกเหวกของเเม่บ้านมาพร้อมกับตัวของนางที่เปิดประตูเข้ามาในห้องหนังสืออย่างรีบร้อน
"เกิดอะไรขึ้น ? " ข้าที่ค้างอยู่ในท่ากำลังจะเปิดบานประตูกะพริบตาปริบ ๆ ถามนาง
"คุณหนู ! อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ ! " เเม่บ้านพูดพลางหอบหายใจอย่างหนัก เเต่ก็ยังพยายามรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น "ไฟ... ไฟไหม้ห้องของท่านเจ้าค่ะ ! "
______________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เฟยหงตื่นมาไม่เจอ เลยทำไฟไหม้รึเปล่าละเนี่ย
ลองเปลี่ยนชื่อเรื่องไม๊ ให้เข้าใจมากขึ้นว่าเกี่ยวกับอะไร คือเนื้อเรื่องสนุกมากนะ อยากให้คนมาอ่านเยอะๆ
แต่เพราะชื่อเรื่องกำกวมชวนเข้าใจผิดว่าเป็นแนวฆ่ากันจนเลือดเปื้อนชุด แล้วการเกริ่นเรื่องชวนงงซะหลายตอนอาจทำให้คนที่อ่านผ่านๆไม่อ่านต่อ
555 ชอบค่ะสนุกมากกก
เฟยหงก่อเรื่องแล้ว