ตอนที่ 15 : ชั้นสอง ห้องใหญ่พิเศษ
ชั้นสอง ห้องใหญ่พิเศษ
ข้าประคองมือคีบเนื้อเป็ดย่างส่งเข้าปากเฟยหง วิหคเพลิงในร่างมนุษย์สงบลงเเล้ว เเต่กว่าข้าจะปลอบมันไม่ให้เผาศิษย์สำนักอัสนีคนนั้นได้ก็ต้องป้อนอาหารให้หลายคำอยู่ เจ้านกตัวดีอ้าปากอย่างว่าง่าย เเล้วเคี้ยวเนื้อเป็ดที่ข้าป้อนให้อย่างเอร็ดอร่อย
ข้าขมวดคิ้ว เฟยหง... นี่เจ้ากินสัตว์ปีกด้วยกันงั้นเหรอ หรือว่าข้าเอาอะไรเข้าปากเจ้าเจ้าก็กินไปเสียหมดกันเเน่
"เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่" ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าทางขวามือข้าทักท้วงขึ้นเมื่อเห็นข้าไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เขากำลังพูด
"ข้าฟังอยู่ ๆ เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง ที่เเท้ก็เพราะเราเข้าใจผิดกัน " เเม้คำถามก่อนหน้าจะถามมาที่ข้า เเต่คนตอบกลับเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งสำนักบูรพาด้านซ้ายมือข้าตอบให้เเทน
อ่า... ข้ามาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากสงบศึกคนสองฝ่ายที่ทะเลาะกันกลางร้านเหม่ยฮวาด้วยอาหารมื้อใหญ่ ข้าก็ซักถามทั้งสองฝ่ายถึงสาเหตุที่พวกเขาวิ่งไล่จับกันให้ข้าฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า สองปีก่อน ทั่วทั้งยุทธภพเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ตำราลับของเเต่ละสำนักที่เก็บรักษาอย่างดีหายไปทีละสำนัก โจรขโมยตำราที่ยังหาตัวไม่เจอสร้างความโกรธเเค้นโกลาหลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างมาก จนอยู่มาวันหนึ่งก็ถึงคราวที่ตำราของสำนักอัสนีหายไปเช่นกัน เเต่ครานี้ มันหายไปพร้อมกับศิษย์เอกของสำนัก ศิษย์คนนั้นคือจางเหว่ย
ยังจำจางเหว่ยได้หรือไม่ ?
อ่า ใช่เเล้ว จางเหว่ยคนนั้นที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยข้าจากเงื้อมมือของมารพิษ จางเหว่ยที่ตามหาตำราสำคัญของสำนักเเละยึดมั่นในคุณธรรมจนลมหายใจสุดท้าย
ถ้าไม่เพราะช่วยข้า จางเหว่ยสามารถสู้มารพิษที่ดีเเต่ขโมยของได้สบาย
ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยข้า จางเหว่ยคงออกมาจากเขตอาคมเยี่ยงวีรบุรุษ
เขาตายอย่างผู้กล้าในเขตอาคม เเต่ถูกใส่ร้ายให้เป็นหัวขโมยในโลกความจริง เพียงเเค่หายตัวไปพร้อมกับตำราเล่มสำคัญของสำนัก เเม้สำนักอัสนีจะยังเชื่อมั่นในศิษย์เอกคนนี้ เเต่เมื่อเจอกับเหล่าชาวยุทธที่ในอกเต็มไปด้วยไฟเเค้น สำนักอัสนีจึงถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับจางเหว่ยขโมยตำราเเละเอาเรื่องที่ตำราหายมากลบเกลื่อนให้ผู้อื่นเห็นว่าตำราของสำนักตนก็หายไปเช่นกัน เเต่เมื่อไม่มีหลักฐานเเน่ชัด สมาคมจอมยุทธจึงต้องสั่งคุมขังคนในสำนักอัสนีทุกคนไว้ก่อนเพื่อรอความจริงเปิดเผย
ตามความทรงจำของมารพิษ การสังเวยจางเหว่ยเป็นแผนของมหามารดาพรรคมาร ดังนั้น ถ้าข้าเดาความคิดของหญิงชุดเเดงคนนั้นไม่ผิด... นางคงมีสายพรรคมารสักคนในพรรคฝ่ายธรรมะเพื่อยุให้สำนักอื่น ๆ หันมาทำลายสำนักอัสนี ให้พรรคฝ่ายธรรมตบตีกันเอง
เพราะว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น...
"มีเเขกมาเพิ่มขอรับ" เสี่ยวเอ้อคนเดิมเข้ามาพร้อมคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ระหว่างที่ข้าถูกจับเป็นตัวประกัน ศิษย์พี่คนหนึ่งของสำนักบูรพารีบกลับไปรายงานสถานการณ์ที่สำนัก เเต่นึกไม่ถึงว่าเเค่กลับไปรายงานสำนักบูรพา ดันมีสำนักอื่นมาเพิ่มมากมายขนาดนี้
ข้าเลิกคิ้วเมื่อเห็นคณะผู้มาเยือนในชุดหลากสี เครื่องเเบบเเต่ละสำนักนั้นยากจะลืม เพียงมองผ่าน ๆ ข้าก็รู้ว่าสำนักเซียนในละเเวกนี้มากันครบ ซึ่งเเน่นอนว่าศิษย์คนเก่งอย่างหานเฟิงกับท่านเจ้าสำนักเชวี่ยเองก็ไม่พลาด ทั้งคู่มีสายตาตกตะลึงเมื่อเห็นข้า
"อ้าว... มากันเเล้วหรือ" ข้าทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร "ศิษย์พี่ท่านเล่าต่อสิ ข้าฟังอยู่" เเม้ข้าจะฟังเรื่องทั้งหมดจบเเล้ว เเต่ก็ใช้ท่าทีสบาย ๆ เอ่ยถามศิษย์พี่สำนักบูรพาข้าง ๆ
เพราะถ้ามีสายพรรคมารอยู่ที่นี่ ต้องเส้นเลือดในสมองเเตกเเน่หากเห็นแผนการปลุกปั่นที่ตนวางไว้พังไม่เป็นอย่างที่หวัง
"พวกเจ้า ! มัวนั่งทำอะไรกัน ยังไม่จับมันอีก ! "
นั่นไง ไม่ทันขาดคำ
ข้าเหลือบมองเจ้าของเสียง ชายวัยกลางคนท่าทางมีภูมิฐานน่าเชื่อถือ ดูจากการเเต่งตัวด้วยเครื่องเเบบสีขาว สีของสำนักบูรพา เเละหมวกทรงสูงบอกตำเเหน่งของเขาว่าเป็นอาจารย์ผู้ทรงเกียรติสักคนในสำนัก
"เอ่อ...อาจารย์... จริง ๆ เเล้ว ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด" ศิษย์พี่สำนักบูรพาที่นั่งคุยกับข้าอยู่ออกตัวให้ก่อน
"ศิษย์อกตัญญู ! มันขโมยวิชาลับของสำนักเรา เจ้ายังจะช่วยมันอีกหรือ จับมันเดี๋ยวนี้ ! " อาจารย์ท่านนั้นตวาด ข้าเลิกป้อนอาหารนกของข้าเเล้วยกชาขึ้นจิบ
"อาจารย์ ท่านนั่งคุยกันก่อนเถิด..."
"ข้าเสียหน้านักที่มีศิษย์เช่นนี้ หึ ! ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าไม่ลงมือ ข้าจะลงมือเอง ! " อาจารย์ขี้โมโหชักดาบของตนขึ้นเเล้วมุ่งมายังศิษย์สำนักอัสนีผู้ถูกใส่ร้ายทันที
ศิษย์ชายคนดังกล่าวนั่งข้างข้า ดวงตาสีฟ้าของเขาเย็นเยียบ ใต้โต๊ะ ดาบที่กำลังถูกชักออกมาถูกมือของข้าสัมผัสให้เก็บกลับไปที่เดิม
"ผู้อาวุโส ท่านใจเย็นเเล้วนั่งลงก่อนเถิด" ข้าอมยิ้มเเล้วผายมือเชื้อเชิญให้อาจารย์ท่านนั้น ห้องใหญ่พิเศษของร้านเหม่ยฮวาก็คือห้องใหญ่พิเศษ เเม้เเขกของข้าจะมามากจนเหมือนงานชุมนุมจอมยุทธขนาดย่อม ๆ เเต่ก็มีพื้นที่เหลือเฟือให้ทุกคนนั่งทานอาหารด้วยกันอย่างสงบสุข
"เเม่หนู นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ! "
ปัง ! !
โต๊ะทานอาหารสนั่นหวั่นไหว ศิษย์สำนักบูรพาผู้ร่วมโต๊ะสะดุ้งโหยง เฟยหงขนลุกเกรียวจนตัวสั่น เมื่อข้าวางถ้วยนํ้าชาลงกับโต๊ะเเรงไปหน่อย
" เชิญ - นั่ง " ข้ายิ้มให้อาจาย์ท่านนั้น เเละให้กับเเขกผู้มาใหม่ทุกคน ไม่นานเกินรอ ทุกคนก็นั่งประจำที่ของตนอย่างว่าง่ายด้วยสาเหตุบางประการ
"เอาล่ะ เราคุยกันถึงไหนเเล้ว" ข้าจับกานํ้าชาเตรียมรินให้ตนเอง เเต่เเล้วก็รู้สึกไม่ถูกต้อง จึงเปลี่ยนมาเป็นรินสุราให้ตนเองเเทน
"ท่านอาจารย์... ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าอยากให้ท่านใจเย็นเเล้วฟังเหตุผลก่อน จริง ๆ เเล้วข้าว่านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน" ศิษย์สำนักบูรพาที่โมโหโกรธาตามล่าคนถึงในร้านเหม่ยฮวาในตอนเเรกคือคนที่ใจเย็นที่สุดเเละออกมาอธิบายให้เหล่าอาจารย์ผู้มาเยือนฟังในตอนนี้
"เห็น ๆ อยู่ว่ามันหนีออกมาชัด ๆ ยังจะหาเหตุผลอันใดอีก" เป็นอาจารย์ขี้โมโหสำนักบูรพาคนเดิมที่ตวาดใส่
"ผู้อาวุโส" ข้าเเทรกขึ้นกลางคันหันไปถามอาจารย์ท่านนั้น "ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ ? "
"หึ ! ข้าคือตี้หม่า เป็นอาจารย์ฝึกดาบเเห่งสำนักบูรพามาได้สองปีเเล้ว ได้ข่าวว่าคุณหนูซูถูกลักพาตัวไปช่วงนั้น ท่านคงไม่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของข้ากระมัง ? " ชายวัยกลางคนดูหมิ่นข้าอย่างเห็นได้ชัด ข้าเพียงยิ้มตอบให้กับคำพูดเหล่านั้นของตี้หม่า
"เช่นนี้นี่เอง... น่าเสียดายที่ข้าถูกลักพาตัว มิเช่นนั้นท่านคงได้รู้จักข้ามากกว่านี้"
ในห้องอาหาร สายตาของหลายคนจับจ้องอยู่ที่ตี้หม่า
หึ... ที่จอมยุทธเหล่านี้ยอมนั่งลงดี ๆ เเละไม่ชักดาบโช้งเช้งตามท่านก็เพราะคนที่เชิญพวกเขามีเเซ่ซู
"อาจารย์ตี้หม่า อย่างไรก็ฟังเหตุผลของคุณชายจ้านก่อนเถิด เเล้วค่อยมาคุยกันดีหรือไม่" ข้าพูดคุยอย่างเป็นมิตร 'คุณชายจ้าน' ผู้ถูกเอ่ยถึงก็หันขวับมาที่ข้าทันที
คุณชายจ้าน หรือจ้านหลิว ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีฟ้า ศิษย์สำนักอัสนีผู้หลบหนีจากสถานคุมขัง ผู้บุกรุกร้านเหม่ยฮวาที่จับข้าเป็นตัวประกัน เเละศิษย์น้องสุดรักของจางเหว่ย ไม่เเปลกที่ข้ารู้สึกคุ้นตาจ้านหลิวในคราเเรก เพราะความทรงจำของจางเหว่ยอยู่กับข้า ทุกคนในสำนักอัสนี ไม่มีใครที่ข้าไม่รู้จัก
"ข้าไม่ได้อยากหนี เเต่ผู้คุมที่เฝ้าข้าอยู่คนนั้นบอกว่ามันเป็นคนขโมยคัมภีร์ของสำนักอัสนี ถ้าข้าอยากได้คืนก็ให้ตามมันไป" จ้านหลิวอธิบายออกมา ข้ายิ้มเจื่อนเมื่อได้ฟัง จ้านหลิวนะจ้านหลิว ฟังเอาก็รู้ว่านี่เป็นกับดัก เจ้ายังโง่โดดเข้าหาอีกหรือ
"เหลไหล ! ผู้คุมที่คัดมาเป็นศิษย์สำนักบูรพาทั้งนั้นเจ้าจะโยนความผิดให้สำนักเราหรือ ! " อาจารย์ตี้หม่าไม่เคยอยู่เฉย มันพูดขัดจ้านหลิวทันที
"ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าผู้คุมอาจจะเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวเป็นคนสำนักท่านก็ได้" ข้าเถียงตี้หม่า จุดประสงค์เพื่อให้สำนักอื่น ๆ ลองคิดในมุมนี้บ้าง เเต่สิ่งที่ได้กลับเป็นสายตาดูถูกของพวกเขา
"หึ ๆ คุณหนูซู ท่านออกจากยุทธภพไปเสียนาน คงลืมสิ่งที่เรียกว่าเขตอาคมไปแล้วกระมัง ? " อาจารย์ตี้หม่ายิ้มจนเห็นฟันขาว เเม้ข้าไม่ได้อยู่ใกล้ตี้หม่า เเต่กลิ่นของการเหยียดหยันจากปากมันก็เหม็นโฉ่
"ท่านต้องการจะสื่ออะไร ? " ข้าถาม
"โอ้ ๆ คุณหนูซูที่เคารพ ท่านเป็นคุณหนูผู้ไร้วรยุทธ ข้าคงต้องขอบังอาจสั่งสอนท่านสักเล็กน้อยก็เเล้วกัน สถานที่คุมขังทุกที่มีเขตอาคมล้อมรอบ ใครจะเข้าใครจะออกต้องมีป้ายผ่านทาง ซึ่งป้ายผ่านทางเเต่ละอันข้าเเละคุณชายหานส่งมอบให้ศิษย์ในสำนักที่เชื่อถือได้ด้วยตัวเองกับมือ เเละตรวจนับจำนวนทุกวัน อีกทั้งเขตอาคมชิ้นนี้ทุกสำนักก็ช่วยกันตรวจสอบความสมบูรณ์ สถานที่คุมขังจึงไร้ช่องโหว่ ดังนั้นเรื่องที่ท่านพูดจึงเป็นจริงมิได้" สิ้นคำของตี้หม่าเเละรอยยิ้มน่าเกลียดของมัน เสียงกระซิบกระซาบเกิดขึ้นทั่วห้องอาหาร เสียงเหล่านั้นเบาประหนึ่งเสียงปลวกเเทะตำรา เเต่ข้าได้ยิน
"ปีนี้คุณหนูซูอายุเท่าไร สิบเก้าเองไม่ใช่หรือ"
"ช่างเด็กนัก ไม่รู้ประสีประสา"
"บุตรสาวของท่านผู้นั้นเอาเเต่ใจเยี่ยงนี้เชียว? "
"เราต้องเสียเวลาอยู่กับนางอีกนานหรือไม่? "
"ข้าคิดว่าไปจับเจ้าศิษย์สำนักอัสนีนั่นเลยเสียดีกว่า ! "
"นั่นตระกูลซูเชียวนะ เจ้าจะเเหกหน้านางหรือ ! "
"ตระกูลซูเเล้วอย่างไร ! นี่มันเรื่องของยุทธภพ นางไม่รู้เรื่องในยุทธภพสักนิดด้วยซํ้า ! "
ข้าดื่มสุราอีกจอก จ้านหลิวชายตามาที่ข้าเล็กน้อย ศิษย์สำนักบูรพาที่นั่งคุยกับข้าอยู่ก่อนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
"คุณหนูซู ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเลย " หานเฟิงที่เงียบมานานอยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น ด้วยคำพูดของจอมยุทธมีชื่ออย่างหานเฟิงที่กล้ากล่าวคำพูดเเหกหน้าข้า ทำให้สายตาของผู้ฝึกยุทธรอบข้างเเข็งกร้าวขึ้น ข้าเหลือบมองอดีตสามีด้วยดวงตาเฉยเมย ก่อนจะตวัดตาไปที่ตี้หม่าเหมือนเดิม
"ท่านจะบอกว่า ไม่มีทางที่คนนอกจะเข้าไปในเขตคุมขังได้ ยกเว้นเเค่ผู้ที่มีป้ายผ่านทาง ? "
"เเน่นอนที่สุด"
"ท่านมีหรือไม่ ? "
"ข้าต้องมีอยู่เเล้ว"
"เเล้วมันอยู่ไหน ? "
"เฮ้อ... คุณหนูซูนะคุณหนูซูข้าไม่รู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดกับศิษย์สำนักอัสนีผู้นั้นหรือไม่จึงได้ปกป้องมัน เเต่เลิกคำถามไร้สาระเสียเวลาของท่านเเล้วให้เราจับมันมาสอบสวนหาความจริงเถอะ หากท่านยังยื้อเวลาอยู่อีกพวกข้าคงต้องเสียมารยาทใช้กำลัง" ตี้หม่ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลไปตามหน้าผากของมัน
ข้ายิ้ม
"ท่านเข้าใจผิดเเล้ว ข้าไม่ได้ปกป้องใคร เเค่อยากรู้ว่าป้ายผ่านทางที่ท่านพูดถึงใช่อันเดียวกับป้ายผ่านทางที่คุณชายจ้านเก็บได้หรือไม่ ? "
ตี้หม่าหันขวับมามองทันที ข้าส่งสายตาไปทางจ้านหลิว ชายหนุ่มก็รู้ว่าได้เวลาต้องงัดหลักฐานออกมาเเสดง
"ระหว่างที่ข้าตามผู้คุมคนนั้นมา มันเผลอทำสิ่งนี้ตกไว้" จ้านหลิวอธิบาย เบื้องหน้าคุณชายจ้าน สิ่งที่วางเเหมะอยู่กับโต๊ะคือป้ายหยกสีขาวตัดกับคราบโลหิตสีเเดงสด ข้าไม่รู้ว่าผู้คุมที่จ้านหลิวไล่ตามเป็นใคร เเต่เจ้านั่นโง่พอที่คิดจะวิ่งหนีจากศิษย์สำนักอัสนีโดยไร้รอยขีดข่วน
ข้าหยิบป้ายผ่านทางชูขึ้น เเกล้งทำเป็นพลิกไปพลิกมาเพื่อดูอย่างละเอียด เเม้ในใจจริงเเล้วเเค่อยากชูหลักฐานให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนเท่านั้น
"จะ...จะ... เจ้าไปแย่งชิงมาจากศิษย์สำนักข้าใช่ไหม เจ้าคิดว่าจะโยนความผิดอีกครั้งหรือ ! " ตี้หม่าตวาดด้วยเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าเพราะความโกรธหรือความกลัว
"ข้าไม่ได้โยนความผิด ! " จ้านหลิวโต้กลับ เช่นเดิม ชายหนุ่มไม่ได้มาเเค่คำพูดลอย ๆ เขาเเหวกเสื้อออกเผยอกเนียนเด่นชัด สิ่งที่ตราอยู่บนอกคือรอยเเผลรูปฝ่ามือสีม่วงคลํ้า "ตอนข้าหนีออกมาเเละตามล่ามัน ข้าประมือกับมันจนได้เเผลนี้มา พวกท่านคงดูออกผู้คุมที่ข้าไล่ตามไม่ใช่คนสำนักบูรพา"
เสียงอื้ออึงดังขึ้นเมื่อเหล่ากุนซือสำนักใหญ่ได้เห็นหลักฐานบนตัวจางเหว่ย เพียงดูเเค่เเวบเดียวก็รู้ว่าเเผลนั่นเกิดจากปราณมาร สิ่งนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนทีเดียวว่าเป็นผู้คุมเองที่มีปัญหา ไม่ใช่จ้านหลิวที่หนีออกมาโดยไร้เหตุผล
"สำนักบูรพาจะเร่งตรวจสอบผู้คุมที่ส่งไปทันที นี่เป็นความบกพร่องของสำนักข้า" เจ้าสำนักเชวี่ยออกตัวรับผิดทันทีที่เห็นหลักฐาน ทำให้อาจารย์ใหม่อย่างตี้หม่าต้องสะอึก
"ท่านเจ้าสำนัก ! ท่านไม่คิดหรือว่านี่อาจเป็นแผนของสำนักอัสนีที่สร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็เห็นอยู่ว่าจางเหว่ยหายไปพร้อมกับตำราลับของพวกเรา นี่ต้องเเผนการของพวกมันเพื่อให้ตนเองพ้นความผิดเป็นเเน่ ! " เมื่อคดีปัจจุบันไปไม่รอด ตัวปลุกปั่นก็ขุดเรื่องเก่าเข้ามาเสริม คำพูดของตี้หม่าจี้จุดจอมยุทธทุกคนในที่นี้ จนบางคนเริ่มหันมามองจ้านหลิวด้วยดวงตามุ่งร้าย
"อะไรทำให้ท่านคิดว่าจางเหว่ยสำนักอัสนีขโมยตำราไป ? " ข้าถามขึ้น
"หึ ๆ คุณหนูซู ท่านคงไม่รู้ว่าจางเหว่ยผู้นั้นเป็นศิษย์เอกที่ดูเเลตำราลับของสำนักอัสนีอยู่ ดังนั้นการขโมยตำราจึงง่ายดายยิ่ง"
"เเล้วเขาจะขโมยไปทำไม"
"เเน่นอน ก็เพราะอยากฝึกสุดยอดวิชาน่ะสิ"
"ข้าหมายถึงจางเหว่ยจะขโมยตำราไปทำไมในเมื่อสามารถหยิบมันมาอ่านเมื่อไรก็ได้เเล้ววางไว้ที่เดิม" ข้าลุกยืนขึ้นเเล้วก้มลงมองหม่าตี้ จากนั้นกวาดตามองเหล่าจอมยุทธทั้งหลาย
"อย่าบอกว่าพวกท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ? "
ในความเป็นจริง เจ้าสำนักอัสนีอนุญาตให้จางเหว่ยฝึกวิชาอยู่เเล้วจึงไม่มีสาเหตุที่เขาต้องขโมย นั่นเป็นสาเหตุที่สำนักอัสนีไม่เคยคิดโทษศิษย์เอกของตนเเละปกป้องจนถึงที่สุดจนต้องตกเป็นเป้าของสำนักอื่น
"พวกท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจางเหว่ยอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ? หรือเขาอาจกำลังตามหาตำราของสำนักอยู่ที่ไหนสักเเห่ง หรืออาจถูกสังหารไปแล้วเพื่อปกป้องตำราเล่มนั้น ! ท่านคิดบ้างหรือไม่ ! " ข้าขึ้นเสียงโดยที่ไม่รู้ตัว ความโกรธที่สุมอยู่ในอกปะทุออก
ชายคนนั้นตายเพื่อข้า พวกท่านรู้หรือไม่ ?
ห้องอาหารร้านเหม่ยฮวา ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ
"เจ้าพูดถูก" เจ้าสำนักเชวี่ยเป็นผู้ทำลายความเงียบ เมื่อไม่มีใครให้คำตอบข้าได้ "ในเวลานั้นทุกสำนักต่างใช้อารมณ์ พอเห็นสำนักอัสนีไม่ยอมให้ตรวจค้น ดูไม่เปิดเผยจริงใจ จึงคิดกันไปเองว่าพวกเขาซุกซ่อนตำราของพวกเราไว้ในสำนัก เเต่สุดท้ายในสำนักอัสนีก็ไม่มีตำราซ่อนไว้อย่างที่กล่าวหา... เเม้เห็นเช่นนั้นพวกเราก็กลับไม่ยอมลดละ"
"อืม... พวกข้าทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีจริง ๆ "
"ตำราลับหายไปนานขนาดนี้.... ยากนักที่จะใจเย็น"
"เราควรไตร่ตรองเรื่องนี้อีกทีดีหรือไม่"
สำนักอื่นเริ่มเเสดงความคิดเห็นตาม มีหลายคนที่หัวยังเย็นพอจะใช้สติ อาจารย์ตี้หม่าหันซ้ายหันขวาเมื่อเห็นทุกสำนักไม่มีใครใจร้อนอยากเชือดจ้านหลิวเหมือนตอนขามาอีกเเล้ว ข้าเองก็สงบสติตนเองเเล้วนั่งลง กลับมาเป็นคุณหนูซูผู้ใจเย็นเหมือนเดิม เมื่อรู้สึกตัวว่าวันนี้ใช้อารมณ์ต่อหน้าผู้อาวุโสมากเกินไป
"หาความจริงให้กระจ่างก่อนค่อยตัดสินสำนักอัสนี ข้าคิดว่าพวกท่านคงเห็นด้วย" ข้ายกยิ้มให้เหล่าปรมาจารย์ รวมถึงอาจารย์ตี้หม่า
"เเล้วท่านเล่า ? เห็นด้วยหรือไม่ อาจารย์ตี้หม่า "
ตี้หม่าอํ้าอึ้งไปในทันที เเต่เมื่อทั่วทั้งห้องพยักหน้าเห็นด้วยกับข้า ชายวัยกลางคนจึงหันไปทางหานเฟิงเเวบหนึ่งด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เเต่นายน้อยหานเฟิงที่ออกตัวช่วยเมื่อครู่ บัดนี้ไม่คิดชายตามองตอบด้วยซํ้า ตี้หม่าจึงต้องกัดฟันยอมรับเเละเห็นด้วยอย่างสงบเสงี่ยม
ไม่มีคนใจร้อน ไม่มีคนปลุกปั่น ทุกคนใช้สติพูดคุยกันในห้องอาหารที่ข้าเป็นคนจ่าย เรื่องจึงได้รับการไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลอีกครั้ง
"นี่เป็นเรื่องสำคัญของทั่วทั้งยุทธภพ ขอบคุณคุณหนูซูด้วยที่ช่วยห้ามปราม มิเช่นนั้นเรื่องราวคงบานปลายไปมากกว่านี้" เจ้าสำนักเชวี่ยหันมาพยักหน้าให้ข้า
ในความเป็นจริงเเล้ว เจ้าสำนักเชวี่ยเป็นคนมีสติเเละความคิดรอบคอบถี่ถ้วน เขาคงตงิดใจเรื่องการตัดสินอันเกินเลยต่อสำนักอัสนีมานาน เเต่คงจะติดที่ยังไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ของสำนักอัสนี เเละเจ้าสำนักใหญ่เองก็เเบกเส้นทางของพรรคธรรมเเทบทั้งหมดไว้บนบ่า ทำสิ่งใดตามใจได้ไม่มากนัก เเต่ข้าดีใจที่วันนี้เขาออกปากพูดช่วยข้าด้วยเล็กน้อย
"ต่อจากนี้ขอเพียงตามหาผู้คุมที่ไม่มีป้ายผ่านทางเจอ ข้าคิดว่าคนร้ายต้องรู้เรื่องตำราที่หายไปเเน่" ข้ายื่นป้ายผ่านทางให้ผู้ที่น่าเชื่อถือที่สุดอย่างเจ้าสำนักเชวี่ย เเล้วเหลือบมองตี้หม่าที่กลืนนํ้าลายเอื๊อก ๆ ด้วยหางตา
การหารือจบลงอย่างรวดเร็ว ข้าบอกลาเหล่าจอมยุทธที่ต้องรีบออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ต่อ จนถึงคนสุดท้าย จ้านหลิวลังเลยังไม่ไปเสียที ซํ้ายังยืนจ้องมองข้าด้วยสายตานิ่งงัน
"ท่านไม่รีบกลับหรือ ? " ข้าเอ่ยถามจ้านหลิว
"เจ้ารู้จักข้า ? " จ้านหลิวตอบข้าด้วยคำถาม
อ้า.... ย้อนกลับไปตอนข้าเรียกชื่อเขา ข้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามด้วยซํ้าเพราะความทรงจำของจางเหว่ยบอกข้าหมดเเล้วว่าชายคนนี้คือใคร
"คุณชายจ้านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร" ข้าโกหกไป เเม้คำพูดข้าฟังดูเหมือนคำเยินยอ เเต่ก็ไม่ต่างจากความเป็นจริงสักเท่าไร สำนักอัสนีรับศิษย์น้อย เเต่ศิษย์ทุกคนมีคุณภาพสร้างชื่อเสียง (รวมทั้งชื่อเสีย) ให้สำนักไว้มากมาย
"ข้าขอโทษด้วยที่เสียมารยาทก่อนหน้านี้ แผลเจ้า..." จ้านหลิวทำท่าจะยกมือขึ้นมาจับแผลที่คอข้า เเต่ก็หดกลับไปเสียก่อนที่ปลายนิ้วจะเเตะต้องบาดเเผลบางเฉียบ
"ข้าไม่เป็นอะไร" ข้าตอบเขาอย่างที่ควรจะตอบ
"ทำไมถึงช่วยข้า ? "
เพราะศิษย์พี่ของท่านเคยช่วยชีวิตข้า
"เพราะข้าควรทำ" ข้ายิ้มตอบ เก็บความจริงไว้ในคอ
"ขอบคุณ" จ้านหลิวเอ่ยเสียงเบา ท่วงท่าดูขัดเขิน
"ขอบคุณตัวท่านเองเถิดที่โชคดีมีหลักฐานติดมือมาด้วย" มิเช่นนั้นต่อให้ข้าพูดจนนํ้าลายกลายเป็นเลือดก็ไม่มีใครเชื่อท่านหรอก
"ข้าจะตอบเเทนในวันหลัง" จ้านหลิวก็ยังยืนยันที่จะขอบคุณ เขาค้อมตัวคำนับข้าตามมารยาท ก่อนจะจากไปเงียบๆ
ห้องอาหารใหญ่พิเศษของร้านเหม่ยฮวากลับมาเงียบสงัด จานอาหารเต็มโต๊ะไม่ได้ถูกเเตะต้องเท่าใดนัก เฟยหงเเละอิงอี๋เป็นเด็กดีนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง
ข้าล้มตัวลงนั่ง ฤทธิ์สุราทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน เเละคำขอบคุณอย่างจริงใจของจ้านหลิวทำให้ข้าเจ็บปวดในอก
จางเหว่ยสละชีวิตตนช่วยชีวิตข้า เเต่สิ่งที่ข้าตอบเเทนให้เขากลับเป็นเเค่ช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักของเขาเล็กน้อยเท่านั้น ความจริงอยู่ใต้ลิ้นข้า จางเหว่ยไม่ได้เป็นคนขโมยอย่างที่กล่าวหา ข้าพูดความจริงได้ คืนความเป็นธรรมให้เขาได้ เเต่ข้ากลัวเกินกว่าจะพูดมันออกมา
สายตาของผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นทำให้เลือดในกายข้าหนาวเหน็บ คนที่อ่านคัมภีร์ลับของพวกเขาเป็นข้า หากคนเหล่านั้นรู้ความจริง คนที่จะโดนหมายหัวในวันนี้จะไม่ใช่จ้านหลิวเเต่จะเป็นตัวข้าเเทน...
เฮอะ... มีวิชาลับของทุกสำนักอยู่ในหัวเเล้วอย่างไร
ฝึกวิชามายี่สิบปีเเล้วอย่างไร
ข้ามีตัวคนเดียว
หากคนทั้งยุทธภพร่วมมือกันฆ่าข้า ฝึกอีกสักร้อยปีก็เเค่ทำให้อยู่ได้นานขึ้นหน่อยเท่านั้น
_________
ทางออกร้านเหม่ยฮวา เหล่าผู้ฝึกยุทธกำลังเเยกย้าย
อาจารย์ตี้หม่าขอตัวไปคนเเรกด้วยเหตุผลว่าจะไปตรวจสอบผู้ที่ไม่มีป้ายผ่านทางในทันที ตามด้วยสำนักอื่นที่ออกตัวช่วยตามหาคนร้าย ศิษย์สำนักบูรพารีบหาข้ออ้างร้อยแปดพันเก้าสลายตัวเพราะกลัวเจ้าสำนักจำได้ว่าตนพึ่งเสพสุราเมรัย ฝั่งจ้านหลิวหายไปเงียบ ๆ เเต่พอเดาได้ว่ากลับไปหาศิษย์อาจารย์สำนักอัสนี
หน้าร้านเหม่ยฮวาจึงเหลือคนเพียงสองคน เจ้าสำนักเชวี่ย เเละบุตรบุญธรรมของเขา หานเฟิง
"เสี่ยวหยาง... นางแปลกไป" เจ้าสำนักเป็นคนเอ่ยก่อน บุตรบุญธรรมของเขาพยักหน้าเห็นด้วย เเม้ในใจจะมองซูหลิวหยางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
"ก่อนที่นางจะเลิกเรียนวรยุทธ นางอยู่ขั้นบ่มเพาะ เจ้าจำได้หรือไม่" เจ้าสำนักเชวี่ยพูดต่อ พลางมองหมู่เมฆอย่างครุ่นคิด
"จำได้ขอรับ" หานเฟิงตอบ เขาจำได้จริง ๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับนาง ชายหนุ่มจำได้ไม่เคยลืม
"เเต่ตอนนี้ไม่มีเเล้ว" เจ้าสำนักพูดต่อ หานเฟิงจ้องมองอย่างไม่เข้าใจว่าพ่อบุญธรรมต้องการจะพูดอะไร
เจ้าสำนักเชวี่ยหันกลับไปที่ชั้นสอง ห้องใหญ่พิเศษของร้ายเหม่ยฮวา นัยน์ตาคมชัดของผู้อาวุโสเสมือนมองทะลุได้ทุกสิ่ง
"ขั้นวรยุทธของนาง หายไปแล้ว"
_____________
ปกใหม่ 1/6/2563
_________________
Happy
Birthday
To
You
_____________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องซูหลิวหยางพูดได้ดีมีเหตุผลมากจนเจ้าวายร้ายโต้กลับ ไม่ได้เลยนะเนี่ย
สงสารจางเหว่ยไม่น่าให้นางตายเลย นางเอกคงรู้สึกผิดมาก ล้างมนทินเเทนจางเหว่ยด้วยน้าาาาาาาาา
ชอบสุดๆตามๆๆๆๆ
ค้างๆๆๆอีกแล้ววมาต่อไวไวนา. หานเฟิงนี่ลืมนางเอกไปแล้ว?
ปริศนาเยอะจริงๆ
ไหนจะแม่นางเอกที่เป็นปราชญ์หญิงพรรคมาร เขียนคัมภีร์อาภรณ์ซ่อนเลือด
พ่อที่เป็นยอดฝีมือฝ่ายธรรมะ ก็ดูจะมีความลับอะไรบางอย่าง
แม่หานเฟิงเป็นมหามารดาพรรคมาร
พ่อหานเฟิงเป็นใคร ก็ยังไม่รู้แน่
แต่หานเฟิงนี่โง่แท้ นางเอกหายไปก็ยอมตัดใจว่าตายไปแล้วซะงั้น
ดีที่นางเอกติดค่ายกลตั้ง 20 ปี พอจะลืมเลือนตัดเยื่อใยไปบ้าง ไม่งั้นเจ็บปวดแย่
สนุกกกกกก