ตอนที่ 13 : บ้าน
บ้าน
ในเขตอาคม ปีที่ยี่สิบ
ไฟป่าทอเเสงสีเหลืองเรืองรองสู้คืนอันมืดมิด มันลุกลามไปทั่วพื้นที่เปลี่ยนสีสันของป่าทุกสีให้กลายเป็นสีดำของขี้เถ้า
ข้ามองความพินาศที่ตนเองสร้างเเล้วยิ้มอย่างพอใจ ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าปลอม ๆ ที่เต็มไปด้วยควันไฟ ข้าปรารถนาเหลือเกินให้ไฟที่ข้าก่อเเผดเผาได้กระทั่งท้องฟ้า
สัตว์อสูรตัวสุดท้ายวิ่งหนีไปทั่ว ข้าขี้เกียจไล่ตามก็เลยเผาทิ้งทั้งป่า ขอเเค่มันโดนย่างตายข้าก็จะกลายเป็นผู้เหลือรอดของที่นี่เเล้ว ข้าจะได้กลับบ้าน...
ข้าอ้าเเขนออก ยิ้มอย่างคนบ้า เเละสูดหายใจลึกรอรับอิสระ
เเต่...
"เเค่ก ๆ "
อ่า... หายใจไม่ออก ...ควันไฟ ...
เเย่ล่ะ
สัตว์อสูรตัวสุดท้ายจะโดนย่างไฟตายก่อน หรือข้าจะสำลักควันตายก่อน
ทันทีที่รู้ตัวข้าก็ลงไปไอโขลกอย่างทรมาน เซียนผู้บำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากกว่ายี่สิบปีเเละครอบครองวิชาลับทั้งหมดในยุทธภพกำลังจะตายเพราะจุดไฟเผาตัวเอง ก่อนสิ้นสติเพราะควันไฟภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นคือท้องฟ้ากำลังร่วงลงมา
.
.
.
.
"ช่วยด้วย ! "
ในความมืด ดวงตาของข้าหนักอึ้งเกินกว่าจะเปิดออก
"พวกท่าน ได้โปรด ! ช่วยเราด้วย ! "
นั่นเสียงเฟยหงหรือ... นกน้อยของข้าไม่ชอบพูดภาษามนุษย์ นี่เป็นครั้งเเรกในยี่สิบปีที่ข้าได้ยินมันพูดยาวขนาดนี้เเต่เสียงของมันอื้ออึงจนข้าไม่รู้ว่าวิหคชาดกำลังพูดถึงอะไร เเละข้าก็ขี้เกียจจะเปิดหูเปิดตามาสนใจมัน
อ้อมกอดของวิหคชาดอบอุ่น ความเหนื่อยล้ากำลังลากข้าเข้าสู่ห้วงนิทรา
ดังนั้น
หลับต่อเเล้วกัน
.
.
.
.
โคลงเคลง โคลงเคลง ทำไมพื้นดินถึงได้ส่ายไปมาชวนปวดหัวเช่นนี้
ข้าลืมตาตื่นด้วยศีรษะที่หนักอึ้ง สิ่งเเรกที่ข้าเห็นคือเศษฟางเเละซี่ลูกกรง ข้าพยามยันตัวลุกขึ้นด้วยกล้ามเนื้อที่เเข็งขัด
"ยี๊ เจ้าทาส อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ ! "
เสียงเเรกที่ได้ยินคือเสียงมนุษย์
เสียงมนุษย์... !
ข้าหันขวับตามเสียง ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งจ้องมองมาทางข้าเหมือนมองตัวประหลาด ซํ้ายังพร้อมเพรียงกันถดตัวหนีเหมือนข้าจะกินพวกนาง ...
มีคนอยู่ที่นี่ ....หรือว่า.. ข้าออกมาได้เเล้ว !
ข้ายิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจเเละรู้สึกรักพวกนางขึ้นมาเเม้พวกนางจะเเสดงท่าทีรังเกียจข้าก็ตาม
"คุณหนู ! ! " หญิงนางหนึ่งดูวัยเด็กกว่าคนอื่น นางเรียกข้าด้วยสรรพนามที่ไม่ได้ยินมาเเสนนาน
ข้ามองหน้านาง
อ่า... มองใกล้ ๆ อีกที...
"..."
ใครวะ ?
นานเเสนนานมาเเล้ว นานจนจำไม่ได้ ข้าใช้เวลาขุดคุ้ยความทรงจำของตนเองเเละจำเเนกความทรงจำของมารพิษกับจางเหว่ยออกไป ผ่านไปสักพักข้าจึงนึกออกว่าซื้ออิสระให้เด็กสาวน่าสงสารนางหนึ่งมาจากพ่อค้าทาส เด็กคนนั้น...
"หลิ่งอี้ ! " ในที่สุดข้าก็นึกได้ จึงโผเข้าไปกอดด้วยความยินดี หลิ่งอี้อยู่ที่นี่ เเสดงว่าที่นี่คือบ้านข้า โลกเเห่งนี้คือบ้านข้า
"ข้าออกมาได้เเล้ว ! "
ข้ารํ่าร้องอย่างดีใจ กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนเด็กน้อยพึ่งได้ของเล่น คนรอบกายมองข้าด้วยสายตาเเปลก ๆ เเละเริ่มพูดจานินทา เเน่นอนว่าข้าหูหนวกตาบอดไปชั่วครู่ด้วยความยินดีจึงไม่ได้สนใจพวกนาง
".... ท่านหายตัวไปตั้งสองปี หรือถูกนายทาสจับตัวมา"
ข้าตัวเเข็ง หุบยิ้ม เเล้วหยุดดิ้น
อะไรนะ สองปี ....
ก็รู้อยู่หรอกว่าในกู่เวลาเดินเร็วกว่าโลกภายนอก เเต่จากยี่สิบปีเหลือสองปีเนี่ยนะ ! ตาเฒ่า เเกคิดจะเเก่ตายในเขตอาคมเลยหรือ !
ความทรงจำของมารพิษบอกข้าว่าใช่
อ้า...
ข้าคือซูหลิวหยาง ปีนี้อายุสิบเก้าปี ทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตมานานเเล้วสามสิบเจ็ดปี... นี่มัน... อย่างกับได้ย้อนเวลาเลยไม่ใช่หรือ !
"อ๊ะ..."
ข้าพึ่งนึกได้ว่าลืมสิ่งสำคัญไป นกข้า... มันอยู่ที่ใดกัน หลังจากที่ข้าทำลายเขตอาคมมันก็ควรจะออกมาพร้อมข้าสิ หรือมันก็สำลักควันจนสลบอยู่ที่ไหนสักเเห่งเหมือนกัน ? ไม่สิ ๆ ข้าไม่ได้เผาบริเวณป่าไผ่เสียหน่อย อีกอย่างวิหคชาดเป็นสัตว์ธาตุไฟ ไม่โดนไฟคลอกตายเเน่ ๆ คงไม่ใช่ออกมาได้เเล้วพลัดหลงกันหรอกนะ ขืนมันเเปลงร่างเป็นนกขึ้นมาทำไง วิหคชาด... ของหายากอย่างมันออกมาเผยตัวได้ครู่เดียวก็คงโดนจับไปอีกเป็นเเน่
ข้าเครียดจัดเพราะความเป็นห่วง เรื่องออกมาได้เเล้วต้องทำตัวอย่างไรข้าคิดไว้หมดเเล้ว คิดไว้ตลอดยี่สิบปี ซํ้ายังพรํ่าสอนเฟยหงจนมันเเทบจะท่องได้เเล้วว่าให้อยู่ในร่างมนุษย์ตลอดเเละห้ามใช้พลังออกมาเเม้เเต่น้อย
เเต่... ต่อให้เป็นคน มนุษย์ก็ใช่ว่าจะอ่อนโยนกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์
"เจ้าเห็นนกของข้าหรือไม่ ? " เพราะสิ้นคิดเเล้ว ข้าจึงเอ่ยถามหลิ่งอี้ออกไป
เเน่นอนว่านางตอบกลับมาด้วยใบหน้างวยงง
"ข้าหมายถึง... ผู้ชายสูงกว่าข้าประมาณสองฝ่ามือ ผมสีเเดง"
"เห็นเจ้าค่ะ ชายคนนั้นถูกเเยกกรงกับเรา"
"เเยกกรง ? "
อ่า... ข้าลืมถามสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งไป
"ประเดี๋ยวก่อน ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน ? "
หลิ่งอี้เล่าอย่างกระชับ ง่าย ๆ คือพวกนางถูกลักพาตัวมาเพื่อเรียกค่าไถ่ หญิงสาวรอบตัวคือเหล่าคุณหนูจากตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายที่ถูกจับมา
เรื่องที่นางพูดชวนให้ข้าขบคิดถึงความทรงจำก่อนตื่น รู้สึกว่าเฟยหงกำลังเรียกคนมาช่วยข้า ?
เฟยหงนะเฟยหง เหตุใดถึงดวงซวยขนาดออกมาก็เจอพวกนายทาสล่ะ เเล้วยังไปขอให้พวกเลวนั่นช่วยด้วย คนพวกนี้ขอเเค่เห็นใครอยู่ข้างทางก็จับมาเเล้ว ขอเเค่ยังมีชีวิต ลิ้นของพวกมันเเปรเปลี่ยนมนุษย์เป็นเศษเงินได้ทั้งนั้น
"เเย่จริง..." ข้าเริ่มปวดหัว เฟยหง เเม้มันไม่ได้พูด ข้ารู้ว่ามันเกลียดกรง เกลียดที่เเคบ ถึงข้าจะบอกให้มันไม่เเปลงร่างหรือใช้พลัง เเต่ไม่รู้ว่านกน้อยของข้าจะทนได้นานเเค่ไหน
ข้าต้องไปช่วยมันให้เร็วที่สุด
ด้วยความเป็นห่วง ข้าถลันตัวออกไป กำหมัดเเละรวมปราณเพื่อจะทำลายประตูกรงให้เเหลกในทีเดียว
"คุณหนูคิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ ? ! " เสียงของหลิ่งอี้หยุดข้าไว้ ข้าชะงักตามเสียงของนาง กำปั้นที่ยังไม่ถูกปล่อยค้างสนิท
เดี๋ยวก่อน...
ข้าดูดซับปราณมารมาตลอดยี่สิบปีไม่มีปราณเซียนสักข้อนิ้ว ถ้าข้าทิ้งร่องรอยปราณมารไว้ที่นี่ บวกกับ มีพยานพบเห็นว่าข้าใช้ปราณมาร เท่ากับ ข้าจะโดนหล่าสำนักธรรมตามล่าดับอนาคตทันทีที่ได้เจออิสรภาพเเน่
เเต่ถ้าเฟยหงถูกพบเห็นก็จะเเย่เช่นกัน...
ข้ากัดฟัน ตัดสินใจเรียกปราณมารมาขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวที่อยู่ที่นี่ไม่เป็นวรยุทธเสียหน่อย พวกนางไม่รู้หรอกว่าข้าใช้ปราณมาร ! ขอเเค่ไม่มีคนที่เป็นวรยุทธ์อยู่ที่นี่ก็พอ !
ข้าเตรียมปล่อยหมัด ก่อนจะ....
โครม ! !
เอ๊ะ....
รัศมีดาบที่งัดประตูกรงออกไปนั้นทำให้ข้าต้องเก็บปราณมารกลับเข้าร่างทันที อาภรณ์ซ่อนเลือดที่พับเก็บไปหลายปีเเล้วถูกรื้อนำมาใส่ใหม่เเทบไม่ทันเวลา ปราณเซียนเข้มข้นของผู้เปิดกรงบอกข้าว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ฝั่งธรรมะ
รถม้าหยุดลง เจ้าของดาบผู้ทำลายกรงกวาดตามองหญิงสาวในกรงโดยรอบ ก่อนจะมองสบตากับข้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ฉิบหาย... ไม่ใช่เห็นว่าข้าใช้ปราณมารเเล้วหรอกนะ ความเเตกหรือ ? เเค่ข้าออกมาจากกู่ได้ไม่ถึงวันก็ความเเตกเเล้วหรือ...?
"จะ...เจ้า..." ชายคนนั้นเริ่มพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก
ต้องเผ่นเเล้ว !
ไวเท่าความคิด ข้าโดดออกจากรงทันทีโดยไม่มีการเสวนา เเต่เท้ายังไม่ทันถึงพื้นข้าก็ถูกหยุดไว้เสียก่อน
เคร้ง !
ดาบยาวตกลงพื้นมือที่เคยจับดาบของชายหนุ่มเปลี่ยนมาโอบเอวข้าเเล้วทิ้งดาบอย่างไม่ไยดี
โดนจับได้เเล้ว !
ข้าเหงื่อเเตกพลั่ก เตรียมคิดทางหนีที่ไล่ ถ้าไร้ทางรอดจริง ๆ ข้าคงต้องใช้ปราณมารเพื่อหนี เเต่หนีเเล้วอย่างไร... หลิ่งอี้อยู่ที่นี่ นางรู้จักข้า รู้จักตระกูลข้า ต่อให้ข้าหนีคนที่ต้องรับเคราะห์เเทนข้าคือท่านอา
หรือจะ... ฆ่าให้หมดดี
"หลิวหยาง ? " ชายที่โอบตัวข้าอยู่เอ่ยขึ้น
นั่นชื่อข้า ? เขารู้จักข้า ? ข้าหันขวับไปมองใบหน้านั้นทันที
"เจ้าคือ ...? "
เมื่อข้าเอ่ยถาม ชายผู้ถูกถามก็ขมวดคิ้วมองข้าอย่างไม่เข้าใจ
"หานเฟิง... เจ้ามาช่วยเเม่เเล้ว ! " หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งในกรง ยันตัวลุกขึ้นจนกรงเหล็กที่โคลงเคลงไปมา นางพยายามเดินเข้ามาหาชายผู้นี้ทั้งนํ้าตา
หานเฟิง ?....
หานเฟิง ! !
ฮ่า ๆ ข้าเคยเจอหานเฟิงเเค่ตอนยังเด็ก พอโตมาก็เจอกันเเค่ไม่กี่ครั้งก่อนข้าจะหายหัวไปในเขตอาคม ผ่านมายี่สิบปี ใครจะจำหน้าได้ ! ข้านํ้าตาซึมจวนเจียนจะร้องไห้ ออกมาเจอใครไม่เจอดันมาเจอเจ้า หานเฟิงคือศิษย์สำนักบูรพาที่ได้ฉายาว่าเก่งกาจที่สุดในยุทธภพก่อนข้าจากไป ถ้าเขารู้ว่าข้าใช้ปราณมารเรื่องนี้จบไม่สวยเเน่ พรรคธรรมะหากเจอคนใช้ปราณมารเห็นครั้งนึงก็ฆ่าครั้งนึง เคยสนใจเหตุผลเสียที่ไหนว่าข้าจำต้องใช้ปราณมารเพื่เอาชีวิตรอด
"ซูหลิวหยางนางบ้าไปแล้ว หานเฟิง ! "
"นางโดนนายทาสจับมาทรมานจนเสียสติ"
"ปล่อยนางเถิด นางตัวสกปรกเสียขนาดนั้น"
เสียงเจื้อยเเจ้วดังมาจากข้างหลัง ข้าเเอบดีใจที่พวกนางช่วยข้า ใช่ ๆ ข้าโดนพวกพ่อค้าทาสจับ ข้าไม่ได้แอบไปฝึกปราณมารหรือวิชามารที่ไหนเลย กระทั่งวิชาลับของหลายร้อยสำนักข้าก็ไม่เคยเปิดอ่านเลย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น ข้าเเค่ผู้หญิงบ้า ดังนั้นปล่อยข้าเถอะ !
"นายท่าน เราจับตัวนายทาสทั้งหมดไว้เเล้วขอรับ" ชายคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานเเก่หานเฟิง ตัวของเขาเปื้อนไปด้วยของเหลวที่มีกลิ่นหอมหวนเช่นเลือด
"อืม... ช่วยพวกนาง" หานเฟิงขานรับ เขาลงจากกรงเหล็กเเล้วถอยให้เหล่าคุณหนูที่สั่นกลัวเดินออกมาจากกรง โดยที่เเขนข้างหนึ่งของหานเฟิงยังหนีบตัวข้าไว้กับเอวอยู่
"นายท่าน มีทาสชายอยู่อีกคนหนึ่ง จะให้..."
"ผมสีเเดงหรือไม่ ! " ข้าตะโกนถามออกมาทันทีเมื่อได้ยินเเล้วดิ้นขลุกขลักในเเขนหานเฟิงไปด้วย
"ขะ..ขอรับ" คนของหานเฟิงดูตกใจเมื่อเห็นข้าเเต่ก็พยักหน้าตอบ
"เขาอยู่ไหน ปล่อยเขา ! นั่นนก... นั่นสหายข้า ! " ข้าออกคำสั่งเเทนเจ้านายของเขา เเละดิ้นจนหลุดออกจากเเขนหานเฟิงในที่สุด
"ทางนี้...ขะ..ขอรับ" ชายคนนั้นนำทางให้ข้าไปยังอีกกรงหนึ่ง ภายนอกกรง ศพของพ่อค้าทาสตายเกลื่อนด้วยฝีมือของคนสกุลเชวี่ยที่ตามมาช่วยได้อย่างรวดเร็ว ข้าเดินหยองเเหยงข้ามเศษเนื้อเหล่านั้นมาที่กรงหุ้มฟางคล้ายกับกรงของข้า
กรงเปิดอยู่ เเต่คนข้างในไม่ยอมออกมา
เฟยหงขดตัวอยู่ริมกรง มันตัวสั่นระริกด้วยความกลัว ข้ามองภาพนั้นด้วยอย่างเวทนา นี่หรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พรรคมาร นี่หรือสัตว์อสูรผู้ทรงพลัง
"เฟยหง" ข้าเรียกด้วยเสียงเบา เเต่เพียงพอเเล้วให้ชายหนุ่มผมเเดงหยุดตัวสั่น มันใช้ดวงตาชื้นนํ้ามองมาที่ข้าก่อนจะโผเข้ามากอด
"ฮึก ๆ " สัตว์ตัวใหญ่ขี้เเงกอดข้าทั้งนํ้าตา ข้าลูบหลังปลอบมันอย่างเเผ่วเบาด้วยความโล่งใจ ข้านึกว่ามันจะอาละวาดซะอีกกลับกลายเป็นเจ้านกขี้กลัวซะงั้น
เด็กดี... ถ้าสัตว์ศักดิ์พรรคมารเช่นเจ้าเผยตัว เราตายกันทั้งคู่เเน่
ข้าเหลือบมองไปทางหานเฟิง เขากำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าคุณหนู พวกนางมองมาทางข้าเป็นระยะ ๆ เเล้วหันมาพูดคุยกับหานเฟิง คงไม่ใช่นินทาเรื่องข้าอยู่หรอกนะ ? เเต่หานเฟิงไม่ได้สงสัยเรื่องปราณมารหรือพุ่งเข้ามาหั่นคอข้า ดังนั้นเขาคงไม่เห็นว่าข้าใช้ปราณมาร
ข้าขอเเค่ความไม่เเตก ส่วนเรื่องคนอื่นจะคิดว่าข้าเป็นบ้าหรือเป็นอะไรข้าไม่สนใจเเล้ว
ข้ากอดเฟยหงเเน่น
ขอเเค่เรื่อง มีสัตว์พรรคมารไว้ในครอบครอง ใช้ปราณสกปรก ลักลอบฝึกวิชาลับของหลายสำนัก...
เพ้ย ! นี่มันไม่ใช่เเค่เเล้ว ถ้ามีใครรู้เรื่องพวกนี้เข้า ข้าโดนล่าหัวเเน่ !
____________
ด้วยความช่วยเหลือของสกุลเชวี่ย การกลับบ้านไม่ใช่เรื่องยากเลย เเถมคุณชายอย่างหานเฟิงออกตัวมาส่งเองเสียด้วยซํ้าข้าจึงกลับบ้านได้ในเวลาอันรวดเร็ว
สกุลซูไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้มาก่อน
ข้าเดินผ่านประตูหน้า ไม่มียามเฝ้า ข้าเข้าไปข้างในไม่มีใครมาโหวกเหวกซื้อขายสินค้าเหมือนก่อน ยิ่งข้าเข้าไปลึกขึ้น ข้าก็พบว่าทั้งจวนเเทบจะว่างเปล่าเสมือนที่เเห่งนี้เป็นเเค่สิ่งก่อสร้างรกร้าง
"พวกเขาหายไปไหนหมด" ข้าเอ่ยถามลอย ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าถามหานเฟิงที่เดินนำหน้า หรือหลิ่งอี้ที่เดินข้าง ๆ เเต่เเน่นอนว่าไม่ได้ถามเฟยหงที่เดินตัวสั่นอยู่ข้างหลัง
"พวกเขาออกไปตามหาท่านเจ้าค่ะ" หลิ่งอี้พูดเสียงเศร้า นางก้มมองพื้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
ข้ารู้สึกเเย่ขึ้นมา ตลอดเวลาที่อยู่ในกู่ข้าเอาเเต่โทษตระกูลที่ไม่ออกตามหาข้า เเต่พอมานึกดี ๆ เเล้ว ที่ข้าหายไปนั่นก็เป็นความผิดของข้าทั้งหมด เเละข้าหายไปนานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อตามตัวข้า
"คุณหนู ! " เสียงเรียกดังมาจากทางเบื้องหน้า เงาหญิงนางหนึ่งพุ่งเข้ามากอดข้าด้วยความเร็วที่ข้าเองก็ตามไม่ทัน
"ฮือ ๆ คุณหนู ข้านึกว่าท่าน... ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นท่านอีกเเล้ว" นางสะอื้นจนตัวสั่น เสียงของนางยิ่งสะท้อนสิ่งที่ข้าทำลงไปว่าคนในบ้านห่วงข้าขนาดไหน
"เจ้า..." ข้าค่อย ๆ เเกะมือนางที่โอบกอดข้าไว้เเน่นจนกระดูกดังกรอบเเกรบ เมื่อมองใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยนํ้าตาของนาง ข้าก็ต้องใช้เวลานึกนานขึ้นว่านางเป็นใคร
"พี่อิงอี๋..." หลิ่งอี้เฉลยให้ข้าก่อนข้าจะนึกออก ข้าดึงภาพจำของอิงอี๋ในสมองกลวง ๆ ของตน เเม้ภาพนั้นจะเลือนรางเเต่ข้ารู้สึกว่าอิงอี๋จะไม่ซูบผอมขนาดนี้
"เจ้า ! ! " อิงอี๋เหมือนพึ่งเห็นว่าข้ามากับใคร นางชี้หน้าก่อนจะด่ากราดใส่หลิ่งอี้
"ยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีกหรือ รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าเป็นสาเหตุให้คุณหนูหายตัวไป เเล้วยังข่าวลือพวกนั้น คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นคนปล่อยข่าว นังผู้หญิงสารเลว ! หนังเท้าข้าก็ยังไม่หนาเท่าหนังหน้าเจ้าเลย ! " สิ้นเสียงเเหลมสูงจนข้าปวดหู อิงอี๋ก็ง้างมือเตรียมจะตบหลิ่งอี้ ข้าจึงต้องยั้งมือนางไว้ก่อนเเล้วปลอบให้ใจเย็น เเต่เเล้วค่อยมาคิดทีหลังว่าข้าจะห้ามนางทำไมกันนะ ?
จะว่าไป ทันทีที่ข้าออกจากเขตอาคมได้ก็เจอโจทก์เก่าทั้งนั้นเลยนี่นา...
สามีเก่า
ภรรยาใหม่ของสามีเก่า
เเม่สามีที่หาว่าข้าบ้าตั้งเเต่ตอนที่อยู่ในกรงพ่อค้าทาส
ข้าพอจะจำได้ว่าตัวเองโกรธเเค่ไหนเมื่อรู้เรื่องหานเฟิงกับหลิ่งอี้ โกรธเเละเศร้าเสียใจ เเต่เวลาผ่านไปความรู้สึกนั้นจางลงเรื่อย ๆ จนหายไปในที่สุด
คนเราใช้เวลานานเเค่ไหนเพื่อลืมรักเก่า ? เชื่อข้าเถิด มันไม่นานเลย เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกเดียวที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้คือข้าโกรธตนเองในอดีตที่ทำเรื่องโง่ ๆ ลงไปเท่านั้น
อิงอี๋ยอมหยุดมือ เเต่ยังไม่เลิกเหวี่ยงสายตาใส่หลิ่งอี้ เเละแผ่รังสีสังหารใส่หานเฟิง จบด้วยสีหน้างงงวยเมื่อเห็นเฟยหง
"ยะ... หยางเอ๋อร์" อีกเสียงดังขึ้นข้างหลังข้า ข้าหันไปก็พบกับชายวัยกลางคนท่าทางรีบร้อน เสื้อผ้ายับเยิน ใบหน้าของเขาข้ามองเเวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะชายคนนี้ข้ายากจะลืม
"ท่านอา..." ข้าเสียงสะอื้นอย่างห้ามไม่อยู่ หัวหน้าสกุลซูที่น่านับถือเข้ามาลูบเเก้มข้าด้วยมืออันสั่นเทาเสมือกลัวว่าเเตะเเรงเกินไปข้าจะเเหลกสลาย ข้าจับมือเย็นเฉียบของท่านอาด้วยนํ้าตาที่นองหน้า ท่าอามาจากทางประตูหน้า ดูก็รู้ว่าหัวหน้าตระกูลที่อยู่ในจวนตลอดใช้เวลาอยู่นอกจวนมากขึ้นเพราะต้องออกตามหาข้า
"เจ้า... พวกมันทำอะไรเจ้า... ทำไม... ทำไม... เจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้" ท่านอาบีบไหล่ข้าเเน่น นํ้าเสียงของเขาเจ็บปวด ดูจากประโยคที่เขาถามดูเหมือนข่าวลือเรื่องที่ข้าโดนนายทาสจับตัวไปตลอดสองปีจะถึงหูท่านอาเเล้ว ข้ากลืนนํ้าลายลงคอไปพร้อมความจริง อย่างไรก็ให้ท่านอารู้เรื่องข้าไม่ได้เด็ดขาด ไม่เพียงเเต่ตัวข้าจะเเย่ เเต่จะทำให้ตระกูลตกอยู่ในความลำบาก เเละทำให้ท่านอาเจ็บปวดยิ่ง
"ข้าไม่เป็นอะไรท่านอา" ข้ากอบกุมมือของชายที่ไม่ต่างจากพ่อของข้า เเล้วพยายามมอบรอยยิ้มที่รื่นเริงที่สุดให้เขา
"เราเข้าไปคุยข้างในกันดีหรือไม่" หลังจากปาดนํ้าตาข้าก็ส่งสัญญาณให้ท่านอาเห็นว่าหานเฟิงยังอยู่ที่นี่
"อ้อ" ท่านอากลับมาวางมาดหัวหน้าตระกูลเหมือนเช่นเดิมเเละกล่าวทักทายหานเฟิง
"ลำบากท่านเเล้วที่พาหยางเอ๋อร์กลับมา.... คุณชายหาน" ท่านอาค้อมตัวตามมารยาท ก่อนจะเหลือบมองไปทางหลิ่งอี้เล็กน้อย "เเละว่าที่ภรรยา"
ข้ายิ้มเเห้ง ๆ ท่านอาเป็นคนที่มีนิสัยชอบจิกกัดเช่นนี้ตั้งเเต่เมื่อไร
ด้วยการขับไล่ไสส่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดอันสุภาพนุ่มนวลของหัวหน้าตระกูลซู ทั้งหานเฟิงเเละหลิ่งอี้ก็จำเป็นต้องเดินออกจากจวน
ข้าเเละท่านอาคอยส่งทั้งสองคนอยู่หน้าจวน เมื่อสายตาอาลัยอาวรณ์ของหานเฟิงห่างหายไปพร้อมเงาร่างของเขา ข้าก็พูดคุยกับท่านอาได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น
"ท่านอาข้าขอโทษ" ข้าเอ่ยขึ้น ไม่ว่าสองปีที่ข้าหายไปจะด้วยสาเหตุอันใด ข้าทำให้ทั้งจวนต้องวุ่นวาย
ท่านอามองมาทางข้าที่ยิ้มเศร้า ๆ ด้วยใบหน้าสงสารจับใจ ชายวัยกลางคนเข้ามาโอบกอดข้าอย่าเเผ่วเบา
"นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตนเอง"
"ท่าอาข้ามีเรื่องอยากจะถาม" ข้าผละออกจากอ้อมกอดของท่านอาเเละมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
"เรื่องอะไรหรือ ? " ท่านอายังคงปลอบประโลมข้าด้วยการลูบหัว
"ท่านพ่อ... "
ท่านพ่อตามหาข้าบ้างหรือไม่ ?
ข้ารู้สึกว่าคำถามนี้ช่างหนักอึ้งเกินกว่าจะเอ่ยออกไป
คำตอบจากท่านอามีเพียงความเงียบเเละสายตาที่เบือนหนีของเขา
ข้าหุบปากฉับ ข้าหายไปสองปีเขาไม่ออกมาตามหา หรือต่อให้ข้าเป็นขี้เถ้าในโกศเขาก็คงไม่เสียเวลามาปักธูป
หึ... ข้าควรเลิกโหยหาความรักจากบิดาตั้งนานเเล้ว
ความเงียบเกิดขึ้น ข้าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ท่านอาก็ไม่รู้จะปลอบใจเรื่องนี้อย่างไร จนกระทั่งอิงอี๋เข้ามาทำลายความเงียบ
"เอ่อ... คือคุณหนูเจ้าคะ ชายผู้นั้นคือ..." อิงอี๋ชี้ไปทางชายผมเเดงที่กำลังเขี่ยปลาในบ่อด้วยความสงสัย
"เอ่อ ..." ข้าคิ้วกระตุกยิก ๆ มองภาพชายหนุ่มตัวโตที่กำลังทำตัวเหมือนเด็ก ลืมไปเลยว่าข้าหิ้วเฟยหงกลับมาด้วย
"เขาคือเฟยหง" ข้าตอบ โดยไม่รู้ว่าจะอธิบายที่มาที่ไปของวิหคชาดอย่างไรดี จึงปล่อยให้พวกเขาคิดกันไปเอง "เขาจะมาอยู่กับเราข้าฝากดูเเลเขาได้หรือไม่ ? "
ทั้งท่านอาเเละอิงอี๋หันมามองข้าสลับกับมองเฟยหง สลับไปสองสามรอบใบหน้าของพวกเขาก็เริ่มขาวซีด ข้าไม่รู้ว่าท่านอาเเละอิงอี๋คิดเช่นไร จนกระทั่งตกดึก คนสกุลซูกลับสู่จวนเเทบทุกคนเเล้ว ท่านอากล่อมข้าที่เเกล้งนอนหลับก็ย่องออกไปจากห้องข้า
ภายนอกประตู เสียงท่านอาคุยกับคนอื่น ๆ ในจวนดังชัดเจน
"หลานสาวข้ากลับมาพร้อมผู้ชาย ! ! "
____________________
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะบอกว่าเป็น นกชาดก็ไม่ได้ จะทำไงดีละเนี่ย
และในความจริงบางครั้ง2อย่างที่ว่ามาก็แพ้เงินด้วยซ้ำ.
นางเอกนี่ควายจริง(เจ็บไม่จำ)
เกียจแม่อดีตสาวใช่ แหมพอตกอับคิดถึงเจ้านาย แต่อยากได้สามีเจ้านายจนตัวสั้นระริก
ขอให้นางไม่ตายดี