ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #6 : VI_ไม่เอา ผมไม่เป็นโล่มนุษย์ให้ใครเด็ดขาด!!!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 312
      4
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT
    VI

    ไม่เอา ผมไม่เป็นโล่มนุษย์ให้ใครเด็ดขาด!!!





         ตูม!!!!!

          เสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาพร้อมกับเศษหินในส่วนหนึ่งของวังที่ร่วงกราวลงพื้น เหล่าผู้คนในวังที่ทำงานทำการอยู่หันมาที่ห้องๆหนึ่งเป็นตาเดียวกัน และก็ต้องพบกับรูโหว่วงเบิ้อเริ่มพร้อมควันฉุยๆที่ลอยออกมาด้วย บริวารในวังต่างหน้าซีดกันเป็ยเเถบๆเพราะกำลังได้งานเพิ่ม

          "ทำอะไรของเจ้าน่ะ!!!"เจ้าชายตะโกนออกมาด้วยความโมโห

           "ปกป้ององค์ชายขอรับ" หลังจากเฮลเลสปล่อยคลื่นพลังมหาศาล ก็กลับมาพูดเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          "แต่เจ้าก็ไม่ควรทำร้ายเขา"เจ้าชายกัดฟันอย่างเดือดดาล กลับกันเฮลเลสกลับเค้นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา 

          "เหอะ...ทำร้ายหรือขอรับ ข้าเเค่ฟันดาบออกไปเท่านั้นเอง  ถ้าของเเค่นี้ยังไม่สามารถป้องกันได้จะสามารถปกป้ององค์ชายได้อย่างไรล่ะขอรับ..."

           "ท่านเฮลเลส..."

          ระหว่างที่เฮลเลสกำลังต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าชาย ไวเนอร์ที่มีใบหน้าอึ้งๆก็กระตุกแขนเสื้อเขาไว้ซะก่อน

           "นั่น..." ไวน์เนอร์ชี้ไปที่ผลงานรูโหว่ของเฮลเลสด้วยความตะลึง ณ ตรงนั้นมี้ชายคนหนึ่งยืนชมผลงานของเฮลเลสอยู่

          เฮ้อ...เกือบไปเเฮะ นึกว่าจะร่ายเวทย์ไม่ทันซะเเล้ว  ผมปาดหงื่อที่อยู่บนหน้าผากพร้อมถอนหายใจมองเตียงสุดหรูที่ชาตินี้ผมคงไม่มีปัญญาซื้อเป็นเเค่เศษไม้เล็กๆที่ปลิวว่อน    

          "นะ... นี่แก!!"เสียงของเฮเลสตวาดลั่น ถึงเเม้เอริคจะเเปลไม่ออกก็ต้องหันไปมองผู้ที่เผาเตียงของเขาไปหมาดๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

           ทำอะไรของแกหะ อันตรายนะเฟ่ย ให้ตายเหอะวังออกจะสวยมาทำลายทิ้งเฉยๆได้ไง

          ความอยู่รอดปลอดภัยของเด็กหนุ่มทำให้สองอัศวินระเเวงในตัวเขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่รู้สึกว่าองค์ชายจะยิ่งได้หน้า

           "เห็นไหมล่ะท่านอัศวิน ทีนี้คงต้องยอมรับในตัวเขาเเล้วสินะ" ไมโครเชิดหน้าอย่างผู้มีชัย เฮลเลสเลยได้เเต่กัดฟันกรอดๆแล้วส่งสายตาอาฆาตใส่ ด้านเอริคก็ไม่ยอมเช่นกันถึงจะไม่รู้ว่าเขาโกรธอะไร แต่เชิดหน้าใส่ไปก่อนเเล้วกัน เหอะ!! เจ๋งใช่ไหมล่า!!

           "อวดดีนักนะเจ้าเด็กนี่!! แต่จำไว้ล่ะ...ข้าไม่ยอมเลิกราเเน่" เฮลเลสทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกไป ที่เหลืออยู่ก็คือไวน์เนอร์ที่ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วหันมาพูดกับเอริค

          "เจ้าชื่อเอริคสินะ ถึงเเม้ข้าจะไม่เห็นด้วยที่เจ้าจะมาเป็นองครักษ์ให้องค์ชาย แต่เมื่อเจ้าเเสดงให้เห็นเเล้วว่าเจ้าพอมีฝีมือยู่บ้าง ข้าจะหลับหูหลับตายอมรับไปก็แล้วกัน" เมื่อเทียบกับเฮเลสไวน์เนอร์นั้นดูจะมีมารยาทมากกว่า เขาทำความเคารพองค์ชายก่อนที่จะเดินจากไปเเถมยังจัดการกับทหารยามที่วิ่งมาดูสาเหตุของเเรงระเบิดให้กลับออกไปด้วย

           "ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนนะเอริค แล้วข้าจัดการเรื่องห้องใหม่ให้เเล้วกัน" ไมโครทิ้งท้ายเเล้วโบกมือลา

            ผมหันกลับไปมองเศษซากวังที่น่าเสียดายวังหลวงที่สวยงามกลับมีรูโหว่ซะได้ จริงๆแล้วผมจะใช้เวทย์ย้อนเวลาทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมก็ได้ แต่เจ้ากระต่ายดันห้ามไว้เมื่อคืนน่ะสิ...

          "ถึงผมจะสอนเวทย์ควบคุมเวลาให้คุณไป แต่ขอเตือนเลยว่าถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆ ห้ามเอาออกมาใช้เด็ดขาดนะขอรับ"

          "เอ๋? ทำไมอ่ะ"

          "จริงๆแล้ว เวทย์ที่ยุ่งเกี่ยวกับเวลาทั้งหมดเป็นเวทย์ต้องห้ามขอรับ หรือก็คือเวทย์ที่ผิดกฏหมายนั่นเอง ถ้าท่านใช้เวทย์นี้ขึ้นมาได้โดนหามลงตารางเเน่ขอรับ โดยเฉพาะตอนนี้เราอยู่ในวังหลวงที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ดังนั้นท่านจึงไมควรใช้... ไม่สิ... ห้ามใช้เด็ดขาดขอรับ"

           ฮือ...อยากจะร้องให้ ทั้งๆที่เป็นเวทย์ที่เจ๋งที่สุดเลยนะเนี่ย ดีกว่าเวทย์กิ๊กก๊อกที่เรียนเมื่อคืนซะอีก

           ไม่นานผมก็โดนเหล่าสาวใช้โยนมาอยู่ห้องใหม่ใฉไลกว่าเดิม พร้อมสรรพด้วยชุดหรูๆที่สาวใช้เอามาเเขวนให้เป็นเเถว แต่...เยอะไปรึเปล่าเนี่ย ผมนั่งมองสาวใช้ที่เรียงเเถวมาจัดเเจงห้องให้ผมเป็นเเถวยาว เหมือนต่อเเถวซื้ิิออาหารในโรงเรียนเลยแฮะ ต้องรอซักพักนั่นเเหละกว่าจะทยอยกลับกันไปหมด จนผมได้อยู่เงียบๆซักที

           "เอาล่ะ เล่ามาได้รึยังว่านายคุยอะไรกัน"ผมไปนั่งแปะบนเตียงนุ่มๆที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งๆที่นอนคนเดียวเเท้ๆ จะให้เตียงมันใหญ่โตอะไรกันนักหนา อ๊ะ แต่ผมก็ชอบนะ

           "องค์ชายตกลงจะให้กุหลาบขาวเเล้วขอรับ"

          "เอ๋ จริงเหรอ ??" ผมถามด้วยความสงสัยเเทนที่จะดีใจ ก็แหมคุยกันไม่กี่ประโยคก็ได้กันเล้ว(?) ถึงจะเเทบจะโดนฆ่า เเต่ก็คงไม่แปลกที่อัศวินนั่นจะโมโหล่ะมั้ง

          "ก็ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกขอรับ... จริงๆองค์ชายก็มีข้อเเลกเปลี่ยนเหมือนกัน"

          "เหรอ...งั้นอะไรล่ะ"

          "องค์ชายอยากให้ท่านเป็นองครักษ์ปรัจำตัวของท่านขอรับ"

          อืม.... องครักษ์เป็นหน้าที่ที่ดูมีเกียรติดีจัง... เเต่ไอ้องครักษ์นี่มัน...

          "ไม่เอาเด็ดขาด!!! จะให้ผมไปเป็นโล่มนุษย์ให้กับหมอนั่นรึไง!!! ไม่-มี-ทาง" เอริคกระโดดขึ้นมาจากเตียงเเล้วโหวกเหวกโวยวาย จนกระต่ายสะดุ้งโหยง

          "เบาๆหน่อยสิขอรับ เดี๋ยวก็ความเเตกหรอก" กระต่ายขาวเตือน เด็กหนุ่มจึงยอมสงบลง

          "กระผมไม่ได้ตอบตกลงหรอกขอรับ ถึงจะอยากได้สิ่งนั้นมากก็จริง เเต่ไม่อยากให้ท่านออกไปเสี่ยงหรอก"

          "งั้นก็ไปบอกปฏิเสธหมอนั่นกันเถอะ" ว่าเเล้วผมก็ทำท่าจะออกจากห้อง

          "คงไม่ทันเเล้วล่ะขอรับ"     

          "เอ๋?"

          "ก็ท่านดันเชิดใส่อัศวินสูงสุดของอาณาจักรไปแล้ว แถมหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ยังยอมรับในตัวท่านซะด้วย สาวใช้ที่เข้ามาเมื่อกี้ก็คงเป็นตัวปล่อยข่าวเรื่องตำแหน่งของท่านอย่างดี แล้วอยู่ๆจะไปบอกปฏิเสธทีหลังเเบบนี้ คงไม่ทันเเล้วล่ะขอรับ อีกอย่าง.... ท่านจะโดนกล่าวหาว่าเป็นกบฏหรืออะไรทำนองนั้นจากบริวารในวังด้วย"

          เฮ้ย... ถึงขั้นกบฏเลยเหรอ อะไรจะขนาดนั้นฟะ ผมแค่เป็นใบ้เองนะ ฮือๆๆ รู้งี้ให้เจ้ากระต่ายเขียนว่าหูหนวกพิกลพิการไปด้วยเลยดีกว่า เจ้าองค์ชายบ้าบอนั่นจะได้ทิ้งฉันให้ตายไว้ในป่าเฉยๆ

          "แสดงว่า ไม่มีทางเลือกสินะ" ผมถอนหายใจปลงๆ ก่อนไปนอนแผ่บนเตียง

          "ขอรับ และจากนีัท่านต้องเรียนทั้งเวทย์มนต์ เเละภาษาของที่นี่ให้ไวที่สุดด้วยขอรับ" กระต่ายขาวโดดมาจ้องหน้าผมด้วยสายตาบังคับขู่เข็ญถึงหัวเตียง   

            "ก็ผมอยากออกไปเที่ยวบ้างนี่!!!  เเงงงงงง" เด็กชายกอดหมอนข้างที่อยู่ใกล้ตัวเเล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงเหมือนเด็กน้อยออ้นเเม่ เเต่น่าเสียดายที่กระต่ายขาวไม่ใช่เเม่ของเขา

          "ทำไมถึงอยากไปนักล่ะขอรับ ? ท่านน่าจะดีใจไม่ใช่รึไงที่ได้กุหลาบขาวมา จะได้กลับบ้านไปหาน้องสาวเร็วๆ" เสียงของกระต่ายขาวทำให้เด็กชายนิ่งเงียบ มือนั้นกอดหมอนเเน่นดวงตาสีทับทิมเต็มไปด้วยความลังเลเเละสับสน เด็กชายนิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะเปิดปากพูด

           "น้องสาวน่ะผมก็อยากเจออยู่หรอก แต่...ผมไม่อยากกลับไปที่โลกของผม... ที่นั่นน่ะผมใช้ชีวิตวนอยู่เเต่ในเรื่องเดิมๆ เรียนกลับบ้านเเล้วก็เรียนแล้วพอผมโตก็จะเป็นทำงานกลับบ้านเเล้วก็ทำงาน ... มัน... ไมต่างจากวนลูปเลย ไม่มีอะไรให้น่าสนุกตื่นเต้นหรือเเตกต่างจากสิ่งที่เราทำในทุกๆวัน ผมก็เเค่อยากลองลุ้นดูบ้างว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ยังมีเรื่ิองอะไรที่ผมอยากทำอีก เเต่มันกลับกัน พอผมตื่นมาก็ต้องไปโรงเรียนหรือไม่ก็อยู่บ้าน อย่างนี้ทุกๆวัน แตกต่างจากที่นี่ผมได้เรียนรู้อะไรที่มันแปลกใหม่ทั้งเวทย์มนต์ สัตว์ประหลาดที่ตัวอย่างยักษ์ อัศวินกับเจ้าชาย วังสวยๆ แล้วก็...กระต่ายพูดได้...

          ผมเลยไม่อยากให้โลกใหม่ที่ผมพึ่งค้นพบต้องมีเเต่เรื่องน่าเบื่อเท่านั้นเอง"

          เมื่อกระต่ายได้ฟังมันก็เงียบ ไปซักพักก่อนจะหัวเราะออกมา

          "คิกๆๆๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกขอรับ...  โดยเฉพาะกับอาฌาจักรนี้... รับรองว่าได้ป่วนหลุดโลกแน่"

          "?"

          "ก่อนอื่น เรามาเริ่มคอสเรียนภาษากันดีกว่านะขอรับ"

     

     



           คอสเรียนภาษาของผมเริ่มจากห้องสมุดใหญ่ยักษ์ประจำวังหลวง ส่วนเจ้าองค์ชายนั่นน่ะหรือ ... หายหัวไปแล้วน่ะสิ เห็นบอกว่ามีงานหรือไงเนื่ยเเหละ บักกี้เลยใช้เวลาว่างๆนี่ลากผมลงมาจากเตียงนุ่มๆ ถามชาวบ้านเขาตลอดทางว่าห้องสมุดอยู่ไหนๆ ก็ไอ้วังนี่มันเขาวงกตชัดๆเลยนี่ ไอ้สวยมันก็สวยอยู่หรอกแต่จะใหญ่ทำไมนักหนาฟะ

          แต่ผมก็ลากสังขารมาถึงจนได้ ผมมองชั้นหนังสือที่สูงสุดลูกหูลูกตาจนต้องเเหงนหน้ามองเต็มเหยียด ถ้าเกิดมันร่วงลงมาล่ะก็ผมวิ่งหนีไม่ทันเเน่ๆ ผมมองซ้ายมองขวาพอเเน่ใจว่าไม่มีคนก็คุยสะดวกหน่อย

          "เริ่มจากไหนดีล่ะเนี่ย??"

          "ตามมาสิขอรับ" แล้วเจ้ากระต่ายขาวก็กระโดดนำหน้าไป

          "ทำไมถึงได้เงียบเเบบนี้นะ ไม่มีคนอยู่เลยเหรอ" ผมถามขึ้นระหว่างที่เจ้ากระต่ายกำลังนำทาง พลางมองดูหมวดโน้นหมวดนี้

          "ห้องสมุดนี้ไม่ใช่ของส่วนรวมนี่ขอรับ มีไม่กี่คนหรอกที่เข้ามาได้ "

          โอโห... ห้องสมุดใหญ่ขนาดนี้ยังใช้ไม่เเบ่งปันกันเลยเหรอเนี่ย ผมกวาดตามองดูห้องสมุดที่กว้างสุดลูกหูลูกตาต่อให้ใช้เวลาทั้งชาติผมคงอ่านไม่หมด

          "อ๊ะ ท่านเอริค ช่วยพาดบันไดไปตรงนั้นหน่อยขอรับ" กระต่ายชี้ที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง ผมมองซ้ายมองขวาหาบันไดก่อนจะหยิบมันมาพาดด้วยความกล้าๆกลัว ถ้าผมออกเเรงมากเกินไปมันอาจจะล้มทับกันเป็นโดมิโนเลยก็ได้ บันไดยาวถูกพาดอย่างเบามือที่สุดจนมันมั่นคงเเล้วเด็กหนุ่มจึงปีนขึ้นไป ตามด้วยกระต่ายขาวที่โดดเกาะหลัง

           "เล่มนั้นขอรับ" มือน้อยๆของกระต่ายชี้ไปที่หนังสือเล่มขนาดพอประมาณ ผมหยิบมันขึ้นมาตามคำสั่ง

           "นี่มันหนังสืออะไรผมพลิกไปพลิกมากลับด้านหน้าด้านหลังมองดูภาษาที่อ่านไม่ออก

           "คู่มือสอนภาษาเด็กแรกเกิดขอรับ"

           "เอ่อ...." เฮ้ๆ ถึงต้องเป็นเด็กเเรกเกิดเลยเหรอ...

          ผมทำหน้ารับไม่ได้เเต่ก็ยอมหยิบมันมาด้วยเเล้วปีนบันไดลงไป แต่ก่อนที่จะลงไปข้างล่างผมก็สะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่งเข้า เป็นเล่มสีนํ้าตาลเเก่ เก่าๆค่อนข้างจะกรอบเลยทีเดียว ขนาเตัวหนังสือยังลอกหลุดเเทบทั้งหมด แต่สิ่งที่สะดุดตาของผมไม่ใช่สภาพของมันเเต่เป็นหน้าปกของมันต่างหาก เป็นรูปที่วาดด้วยพู่กัน เเต่เส้นของมันค่อนข้างเล็กและเฉียบคมกว่า รูปนั้นเป็นรูปที่ผมค่อนข้างคุ้น มันคือ...กระต่าย ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาแล้วลองเปรียบเทียบกับกระต่ายที่อยู่บนไหล่ผม อืม... ก็คล้ายๆ เเค่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน

          "นี่หนังสืออะไรเหรอ" ผมถามคนที่อ่านออก กระต่ายจ้องหนังสือเล่มนั้นอยู่พักใหญ่ เพราะตัวหนังสือซีดจางเกินกว่าจะมองเห็น

          "อืม ... รวบรวมสุดยอดสิ่งมีชีวิตหายากที่สุดในโลกขอรับ"

         "เเล้วหน้าปกนี่ใช่เผ่าพันธุ์ของนายรึเปล่า"

          "ใช่เเล้วขอรับ เผ่าพันธุ์ของผมเป็นเผ่าพันธุ์ที่สุดยอดของสุดยอดหายากเลยล่ะขอรับ ... เอ่อ...จริงๆเเล้วเป็นใกล้สูญพันธุ์ต่างหาก" เจ้ากระต่ายพูดพลางหูตก มันคงจะเศร้าน่าดู ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือมาด้วยเเล้วลงมาจากบันได     

           "ไม่น่าเชื่อเลยเเฮะ ... แล้วเผ่าของนายควบคุมเวลาได้หมดทุกตัวรึเปล่า" นั่นสินะ ถ้ามีพวกที่หยุดเวลา ย้อนอดีต ไปอนาคตได้มากขนาดเป็นเผ่าพันธุ์กาลเวลาโลกนี้คงปั่นป่วนน่าดู

          "ไม่หรอกขอรับ มีผมตัวเดียวในเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่ใช้เวทย์นี้ได้ "

          "งั้นก็เจ๋งน่ะซิ... แต่ นายเคยบอกฉันว่ามันเป็นเวทย์ผิดกฏหมายนี่นา"

           "ครับถูกต้อง เเละกระผมที่ใช้เวทย์นี้คล่องปรื๋อเลยโดนหมายหัวให้เป็นอาชญากรที่ต่อกรยากที่สุดในโลกเลยขอรับ ค่าหัวผมนี่ขึ้นหลักล้านเลยนะขอรับ" เจ้ากระต่ายอวดความสามารถของตัวเอง เหมือนตำแหน่งอาชญากรน่าชื่นชมมากยังไงยังงั้น

           "แล้วทำไมนายถึงอยู่รอดปลอดภัยจนถึงตอนนี้ล่ะเนี่ย เอ่อ... จะว่าไปเล้ว..."

           เจ้านี่เป็นวิญญาน แต่ต่อให้เป็นวิญญานก็ยังสามารถย้อนเวลาตัวเองกลับไปตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เข้าใจล่ะ...เจ้านี่มันอมตะนี่เอง!! ผมลองนึกถึงนักล่าค่าหัวที่อุสส่าดั้นด้นมาฆ่าเจ้าตัวนี้จนได้รับเงินล้าน แต่อยู่ๆ เจ้ากระต่ายก็ย้อนเวลากลับมามีชีวิตแล้วโผล่มาป่วนโลกอีก เหมือนเรื่องที่มันตายไม่เคยเกิดขึ้น... สงสารนักล่าค่าหัวคนนั้นจริงๆ

           "เอาล่ะ ผมควรจะเริ่มเรียน..."

           "ชู่วววว...."

          ผมหุบปากเมื่อกระต่ายขาวส่งสัญญานให้เงียบ เจ้ากระต่ายมองซ้ายมองขวาทำหูดุดดิก

          "มีคนอยู่ขอรับ... "

          เอ๋จริงสิ... ผมยังไม่ได้ยินอะไรเลยนะ

          "เสียงของใครเหรอ" ผมกระซิบถามกระต่ายขาวที่ิอยู่บนไหล่

          "ไม่เเน่ใจขอรับ ... อยู่ตรงนี้ไม่ค่อยได้ยิน..."

          "งั้น ไปดูซักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่"

           กระต่ายผงกหัวให้เเล้วกระโดดลงไปจากไหล่ผม มันทำหูดุกดิกเเล้วเดินไปตามเสียง พลางเหลียวหลังมาบอกให้ผมเงียบๆ เมื่อเสียงเข้าใกล้ในระยะที่มันได้ยินถนัด ซึ่งผมก็ได้ยินชัดเจนเช่นกัน ถึงผมจะฟังไม่ออกเเต่เสียงนี้ผมจำได้เเม่นเเน่ว่าเสียงของใคร

           "รออยู่นี่ก่อนนะขอรับ กระผมว่าชักจะไม่ใช่เรื่องดีเเล้วล่ะ กระผมจะไปดูเองขอรับ"

            ผมผงึกหน้าให้ กระต่ายเลยกระโดดเข้าไปหาต้นเสียงอย่างสบายใจ เป็นวิญญานนี่ดีจังเลยเเฮะ ไปไหนก็ไม่มีใครเห็น แต่... ผมไม่ได้อยากเป็นวิญญานหรอกนะ

            กระต่ายขาวโดดวาบข้ามชั้นหนังสือไปสบายๆ วิญญานน้อยเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองว่าไม่มีใครเห็นมันเเน่ ต่อให้เป็นหมอผีอะไรที่ไหนก็ยังยากที่จะมองเห็นหรือรับรู้การมีตัวตนของมัน

            "องค์ชายเลือกองครักษ์ส่วนตัวของพระองค์เท่านั้นเองฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมากมาย เจ้าเด็กนั่นคงไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไรหรอก"

            เมื่อได้ยินเรื่องที่พูดกระต่ายขาวก็หยุดกึก ความอยากรู้อยากเห็นพุ่งกระฉูด เพราะ'องครักษ์'ของ'เจ้าชาย' ไม่ใช่ใครเเน่นอกจากเอริคของเขา

           "แต่ไม่ต้องห่วงหรอก  แผนการครั้งนี้ไม่มีทางพลาดเเน่ "

            กระต่ายขาวเอียงคออย่างสงสัยชายที่ยืนอยู่ตอนนี้ยืนอยู่คนเดียวเเน่ๆ แต่เขากลับพูดจ้อไม่หยุดเหมือนกำลังโต้ตอบกับใครบางคนอยู่... หรือจะเป็นวิญญาน ไม่สิ ถ้าเป็นวิญญาน วิญญานด้วยกันก็ต้องเห็น

           " แต่แกนั่นเเหละ จำไว้ล่ะว่าหัวของราชาต้องหลุดออกจากบ่าในอีกสามวัน"

            กระต่ายขาวเบิกตากว้างกับเรื่องที่ได้ยิน ชายที่พูดอยู่คนเดียวนั้นเมื่อพูดจบประโยคก็เดินออกจากห้องสมุดไปโดยตัดหน้าวิญญานกระต่ายขาว

           ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้.... อาณาจักรนี้ชักไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับสำหรับท่านเอริคซะเเล้วสิ...

            กระต่ายขาวนึกระเเวงอยู่ในใจพลางมองร่างสูงสง่าที่เดินตัดหน้าตนไป หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ ไวน์เนอร์นั่นเอง…. กระต่ายขาวหรี่ตาอย่างระเเวดระวังก่อนวิ่งหายเข้าไปในความมืดของห้องสมุดเพื่อหาร่างที่มันสิงสู่

     

     




          "ไม่เห็นต้องระวังขนาดนั้นเลยนี่..." ผมบ่นอุบอิบเมื่อเจ้ากระต่ายสั่งให้หยิบหนังสือเวทย์โน่นนี่ หนังสือพวกนี้ทั้งหนักทั้งหนา ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้กันนักันหนา

          "ไม่ได้นะขอรับ ท่านจะประมาทไม่ได้ยังไงซะก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน แถมอีกอย่างถ้าหัวของราชาหลุดขึ้นมาจริงๆ ทั้งโลกจะอยู่ลำบากขึ้นมานะขอรับ" กระต่ายพูดเน้นด้วยนํ้าเสียงจริงจัง

           "มันขนาดนั้นเลยเหรอ?"

           "แน่นอนขอรับ อาณาจักรนี้ไม่ได้มีเเค่ความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังเป็นทั้งอู่ข้าวอูนํ้า ความอุดมสมบูรณ์เป็นเลิศ และศูนย์กลางการค้าขายที่ขาดไม่ได้ ผู้ที่ต้องการบั่นคอราชา ต้องเป็นคนที่คิดจะเปิดสงครามเเย่งชิงอาณาจักรเเน่ๆ "

            อาณาจักรนี้สำคัญขนาดนั้นเชียว... บนโลกที่กว้างใหญ่เเห่งนี้เนี่ยนะ...

            "เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ จะเอายังไงกับหนังสือพวกนี้ล่ะ ฉันขนไปไม่ไหวหรอกนะ" ผมมองกองหนังสือที่สูงท่วมหัวมีทั้งหนังสือสอนภาษา แล้วก็ตำราเวทย์อะไรนักหนาก็ไม่รู้  เพราะถ้าผมได้ไอ้เจ้ากุหลาวขาวอะไรนั่นมาเเล้วก็กลับบ้านได้สบาย หลังจากนั้นถ้าจะมาเที่ยวก็ค่อยมาเรียนมาอ่านก็ได้

          "ก็ใช้เวทย์ย่อส่วนที่ผมสอนคุณไปเมื่อคืนยังไงล่ะขอรับ"

           ผมกลอกมองเพดานตานึกหาเวทย์ที่กระต่ายขาวพูด ก่อนเดินไปที่กองหนังสือที่เป็นภูเขาย่อมๆ ผมทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงไปแล้วทวนเวทย์ในหัวอีกครั้ง เมื่อเวทย์ถึงบทสุดท้ายก็เหมือนมีเสียงไม้หักดังเป๊าะออกมาก่อนที่หนังสือกองท่วมหัวจะเหลืออยู่เเค่กองเล็กๆทันตาเห็น และขนาดพอที่ผมจะยัดมันทั้งหมดลงถุงผ้าขนาดย่อมๆที่พกติดตัวมาได้              

            "ทำแบบนี้เหมือนขโมยยังไงไม่รู้เเฮะ" ผมพูดขึ้นพลางกวาดหนังสือลงไปในถุงผ้า

           "ถ้าเอามาคืนก็ไม่ใช่ขโมยเเล้วล่ะขอรับ"

          ผมถอนใจยอมรับเเล้วเดินออกไปสู่เเสงสว่างข้างนอกของห้องสมุดที่มืดและอับ เฮ้อ... สดชื่นดีจัง

           "เอริค!!"

            แหม... เสียงมาก่อนตัวซะอีกนะไอ้เจ้าชายนี่

           "ข้าหาเจ้ามาตั้งนานเเนะหายไปไหนมา" ไมโครวิ่งมาตั้งไกลแล้วก็มาหอบฮักๆอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง

           "แต่ช่างเถอะรีบไปกันดีกว่า" ไมโครกระชากแขนผมแล้วเตรียมออกวิ่ง แต่ผมไม่ไปตามเเรงฉุดเลยขืนตัวอยู่กับที่ด้วยใบหน้าสงสัย

           นายจะลากผมไปไหนเนี่ย??

            "มัวชักช้าอะไรอยู่เล่าข้าต้องรีบไปเตรียมงานวันเกิดท่านพ่อที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันนี้นะ"


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×