ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #41 : XL_กลับสู่ความว่างเปล่า

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      3
      31 ธ.ค. 58







            "ไวซาน!!"

            เสียงใครน่ะ... ไมโครเหรอ...

            "ไวซาน!! ลืมตาสิ พูดกับข้า!!"

            ผมเริ่มเห็นภาพลางๆ เป็นไมโครจริงๆ เเสดงว่าผมทำสำเร็นเเล้วสิ ดีจริง...

             ไมโครเขย่าตัวผมเเบบเอาเป็นเอาตาย เหมือนผมเห็นภาพของฟิลิปซ้อนทับตัวเขาในเวลานั้น ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าสองคนนี้เหมือนกันเปี๊ยบ บ้าๆบอๆเหมือนกันน่ะ

             "หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้ากำลังทำให้เขาเจ็บ!" ไทปัสพุ่งมาข้างไมโครเเล้วจัดการรวบมือเขาให้อยู่นิ่งๆ ผมอยากขอบคุณเขาจริงๆ ที่หยุดภาพที่มันสั่นๆให้หยุดลงได้ ที่ไทปัสหลับมาเเสดงว่าไอ้งูยักษ์นั่นมันตายเเล้วสินะ ดีจริง...

              เเต่... ผมเจ็บเหรอ... ผมว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยนะ

             "พะ... พี่คะ..." เมทริซทรุดลงข้างผมๆ มือทั้งสองข้างปิดปากที่กำลังสะอื้น เเต่เธอก็ไม่สามารถปิดนํ้าตาที่กำลังไหลรินนั่นได้

             เมทริซก็ฟื้นเเล้วเหรอ ดีจริง

             "ไม่ไหว... เขาไม่หายใจ" ลินเน็ตต์อยู่ข้างๆผมอีกคน ผมพึ่งเห็นเธอ ดีจริงที่เธอกลับมาเหมือนเดิมได้

              ถ้านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เเสดงว่าสถานการณ์ดีขึ้นเเล้ว

              ... ผมพยายามจะไม่ใส่ใจเรื่องที่ผมไม่หายใจเเล้วน่ะนะ

              น่าเสียดายที่คนที่ผมอยากเจอที่สุดกลับหายไป

              เวซานไม่อยู่ที่นี่ ผมมีเรื่องสำคัญมากอยากจะถามเขา

              ผมกวาดสายตาอีกรอบด้วยความหวัง เเต่กลับไม่เจอเวซาน

              เเต่ผมเจอคนเเปลกหน้าคนหนึ่ง

              ชายผมดำเเละชุดดำเเถมตาสีดำที่เหมือนขยายกว้างจนกินตาขาวเเทบมิด เขายืนอยู่ปลายเท้าผม เเละเขาถือบางสิ่งอยู่ มันคือโซ่เส้นนึง ผมมองตามโซ่เล้นนั้นมันลากยาวมาเรื่อยๆ จนถึง...

             ตัวผม

             ผมหันกลับไปที่เจ้าของโซ่ด้วยความงงงวย ใบหน้านิ่งเรียบนั้นไร้อารมฌ์ใดๆ เขากระชากโซ่ในมือเข้ามาหาตัว ผมรู้สึกว่าตัวผมโดนกระชากไปด้วย

             ไม่สิ ไม่ใช่ตัวผม...

             วิญญานของผมต่างหาก...          

             จู่ๆโลกของผมก็กลายเป็นสีขาวโพลน มันเป็นสีขาวนวลตาไม่ได้เเจ่มจ้าอะไรมาก เหมือนเป็นโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาซะมากกว่า

             กลางหมอกนั้นมีชายชุดดำที่ถือโซ่อยู่ เขาอยู่ห่างจากผมสักสามก้าว  เขาดูดโซ่นั้นกลับมา... ใช่ เขาดูด มือของเขาดูดมันกลับเข้ามา เเละหายไปในฝ่ามือของเขา

             "สวัสดี" ชายชุดดำเอ่ยทำลายความเงียบ เเต่เขากลับพูดเเค่นั้น เเค่นั้นจริงๆ

              "คุณเป็นใคร?"ผมถามออกไป

              "ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก"

              กวนตีน...

              "เเล้วที่นี่...คือ..." ผมมองไปรอบๆ มันมีเเต่หมอกหนาที่มองยังไงก็ไม่ทะลุเช่นเดิม

              "หรือว่าจะเป็นสวรรค์" ผมเดา ยังไงผมก็ตายเเล้วนี่

              "ไม่ใช่หรอก" ชายชุดดำส่ายหัว "เป็นโลกที่วิญญานอยู่"

               เเล้วไอ้โลกที่วิญญานอยู่นี่มันไม่ใช่สวรรค์เหรอ...

               "ถ้ายังงั้นคุณก็คือยมทูต" ผมเดาอีกรอบ

               "เคยเป็น" ยมทูตตนนั้นตอบ เป็นคำตอบที่กำกวมนัก เเต่ผมยังไม่คิดจะสนใจตำเเหน่งหน้าที่บนสวรรค์นัก

               "ส่งสิ่งนั้นมาสิ" ยมทูตตนนั้นยื่นมืออกมาขอบางสิ่งที่ผมไม่รู้

             ผมทำหน้างงเต็มพิกัด จนพ่อยมทูตรำคาญเลยชี้ส่งๆไปที่มือของผม

             ผมเเบมือตัวเองออกมาดูทันที

             มันมีบางสิ่งอยู่ บางสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันตามผมมาจนถึงที่นี่ได้

              หินวิญญานที่สลักเป็นรูปนางฟ้า ที่กักขังวิญญานร้ายของราชินีขาว       

              "ฉันจะเก็บรักษามันให้เอง"ยมทูตพูดขึ้น ผมไม่ลังเลที่จะโยนนางฟ้าน้อยไปให้เขาเหมือนมันเป็นบอลไฟที่ผมไม่อยากจะเเตะมันอีก

            "ขอบคุณ" ยมทูตพูดขึ้น "ถ้าไม่ได้นายวิญญานดวงนี้คงหลุดมือเราไปอีกนาน" ยมทูตจ้องนางฟ้าน้อยในมือเขานานจนผมเมื่อย     

              เเต่อยู่ๆเขาก็ชะงักขึ้นมา เหมือนกระต่ายตื่นตูมตอนมะพร้าวล่วง เขาหันไปทั่วเหมือระเเวงอะไรบางอย่าง

              "เอาล่ะ ต้องรีบกันหน่อยเเล้ว... ตามมาเร็ว" ยมทูตหันหลังกลับกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปอีกทาง ผมตามไป ... ก็เขาบอกให้ผมตามไปนี่

               เเม้รอบกายจะเป็นหมอกหนาที่มองไปทางไหนก็มีเเต่สีขาวโพลน ทว่าท่านยมกลับเดินไปโดยไม่ลังเลดั่งมีเรดาพิเศษในสมอง

               เดินไปไม่นานเขาก็หยุด ผมเห็นสิ่งเเรกที่เป็นตัวเป็นตนในหมอกหนา มันคือสะพาน สะพานหินสีขาวที่เเทบจะกลืนไปในหมอก เมื่อมีสะพานย่อมมีเเม่นํ้า ผมเดินไปดูไกล้ เเม่นํ้านั้นเป็นสีขาวเหมือนนํ้านม ที่น่าเเปลกเเละน่าสยดสยองคือนํ้านั้นข้นคลั่กจนเเทบมองไม่เห็นก้นเเต่เมื่อคลื่นซัดเข้าฝั่ง ผมจึงได้พบว่ามีหัวคนมากมายที่จมอยู่ใต้เเม่นํ้า

            ผมอยากจะถามว่า นั่นอะไร เเต่ก็กลืนคำถามนั้นลงไปในที่สุด

             เรื่องบางเรื่องไม่รู้ดีกว่า

             "เร็วเข้าสิ เจ้ามัวยืนรออะไรอยู่" ยมทูตเร่ง เขาอยู่กลางสะพาน กำลังเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งผมมองไม่เห็นมัน หมอกหนาทึบบดมังมัน ชวนให้เดินเข้าไปค้นหาว่ามีอะไรอยู่อีกฟากนั้น

             เเต่ต่อให้มันน่าค้นหายังไงผมก็ไม่กล้าเดินข้ามไป

             ผมรู้สึกว่าถ้าเดินข้ามไปแล้ว... ผมจะไม่ได้กลับมาอีก     

              "อีกฝั่งนั่นมีอะไร" ผมถาม

              "โลกหลังความตาย" ท่านยมให้คำตอบพร้อมรอยยิ้มเเละผายมือต้อนรับ "เเม่ของเจ้า หรือเเม้เเต่ญาติตระกูลของเจ้าก็อยู่ที่นั่น"

             "เเม่ผมเหรอ" ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

               "ใช่ เจ้าไม่อยากเจอเธอหรือ" ยมทูตผายมือต้อนรับ

              "อยากสิ... เเต่ถ้าผมข้ามไปแล้ว... ผมจะได้กลับมาอีกไหม" ผมถามเรื่องที่ค้างคาใจ ยมทูตเงียบไปพักก่อนจะตอบออกมา

              "ได้สิ เพียงเเต่การกลับมาจากโลกวิญญาน... มันหมายถึงการเกิดใหม่"ท่านยมยิ้ม เขาดูหล่อขึ้นมาทันทีเลย เเตกต่างจากเมื่อกี้ที่ทำหน้านิ่งเป็นรูปปั้น      

               เกิดใหม่...

               ถ้าผมอายุสักเเปดสิบเก้าสิบปีนี่จะไม่ลังเลเลยที่จะเดินข้ามไป

               เเต่นี่ผมยังวัยรุ่น เเล้วก็มีเรื่ิองค้างคาใจที่ยังไม่ได้คำตอบ   

               "เเล้วถ้าผมไม่ข้ามไป..."

               "นายก็จะเดินไปเรื่อยๆอยู่ในหมอกนั่น ไม่ต้องห่วงเรื่องกินนอน วิญญานไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนั้นอยู่เเล้ว หรืออีกทางหนึ่ง... ตกลงไปในนั้น" ท่านยมชี้ลงไปในเเม่นํ้าสีขาวข้น ซึ่งผมไม่คิดจะมองลงไปอีกครั้ง

           ผมเหลียวไปข้างหลังเเล้วนึกสภาพตัวเองเดินหลงไปเรื่อยๆในหมอกสีขาว ว่างเปล่า ไร้ที่สิ้นสุด          

            ผมหันกลับมาที่สะพาน กลับมาที่ยมทูต

            บางที ผมกลับไปถามเเม่น่าจะดีกว่า

            ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวเท้าเเรกไปที่สะพาน

            ทันใดที่เท้าผมเหยียบโดนพื้นสะพาน กลับเกิดเสียงปริเเตกดังขึ้น สะพานเเตกร้าวขยายวงกว้าวไปเรื่อยๆท่ามกลางสีหน้าเหวอของท่านยม ก่อนที่มันจะ...

            โครม!!!

            พังลงไปทันใด

            "โถ่เอ๊ยยย!! ไอ้เบื๊อกนั่นอีกเเล้วเรอะ ไอ้หัวหงอกสับปะรังเค๊!!!" ท่านยมหลุดเก๊ก เขาลอยอยู่กลางอากาศมือขยุ้มหัวเหมือนคนบ้า "เเกรู้ไหมว่าฉันใช้เวลาสร้างมันนานเท่าไร!!" ท่านยมตะโกนก้องขึ้นไปบนฟ้า เสียงของตัวเขาเองก้องกลับมา เหมือนเสียงหัวเราะเยาะ...

             "นี่หรือว่านาย..." ท่านยมเปลี่ยนมามองผมตั้งเเต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอามือกุมขมับ เหมือนผมเป็นตัวปัญหาที่เขาผิดพลาดลากเข้ามาในชีวิต

             "พอจบ ฉันขอลาออกจากการเป็นเจ้าภิภพ" ท่านยมเดินปึงปังกลับไป เจาเดินปึงปังจริงๆ เเต่เป็นเดินปึงปังในอากาศน่ะ   

             "นี่นายน่ะ" จู่ๆท่านยมก็หันกลับมาตะโกนใส่ผมจนผมสะดุ้งเฮือก "เจอเจ้าหัวหงอกนั่นเมื่อไรฝากต่อยเเรงๆทีดิ เอาให้ฟันร่วงเหงือกหลุด สมองเป๋ หรือเอาให้ตายไปเลยก็ได้"

             หะ... ไอ้หัวหงอก...

             ผมกำลังจะอ้าปากถาม เเต่โลกที่ผมอยู่ จู่ๆมันก็เปลี่ยนไป

     

     

     

              ผมลืมตาอีกครั้งโดยมีภาพของเวซานอยู่ตรงหน้า เขายังยิ้มในเเบบเดิมๆของเขา ก่อนที่จะพึมพำร่ายเวทย์กาลเวลา และลูบหัวผมไปเบาๆ

              ...

              เวทย์กาลเวลาสินะ ... หมอนี่เองที่ลากผมมาจากโลกนั้น

             ไวซาน...

             ผมอยากเรียกชื่อเขา เเต่คำนั้นกลับไม่ออกมา สมองผมสั่ง นั่นไม่ใช่สรรพนามที่ถูกต้อง

              ผมสูดหายใจ เเละเรียกเขาอีกครั้ง

              "พ่อ..."

              คำเรียกนั้นเเม้จะเบา เเต่นั่นก็ทำให้เวซานหยุดร่ายเวทย์ทันที

              เราสบตากันอยู่พัก เเล้วเวซานก็เปลี่ยนมาฉีกยิ้ม เขาโน้มหน้าลงมาเเล้วกระซิบข้างๆหู

              "ขอโทษ... ขอโทษจริงๆ..."

              ใช่จริงๆด้วยสินะ...

              ต่อให้ผมต้องตายก็ตายตาหลับเเล้วล่ะ

              เวซานวางผมลงกับพื้น ก่อนที่เขาจะร่ายเวทย์บทสุดท้าย... ก่อนที่ตัวเขาจะเลือนหายไป

              เสียงมากมายกลับมาดั่งเวลากลับมาเดินอีกครั้งผู้คนมากมายพูดคุยกันดังเซ็งเเซ่ เสียงหวอของรถพยาบาลดังเเสบเเก้วหู เสียงเเตรรถที่บีบเป็นระยะๆ

             เเละภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือหอนาฬิกาที่เข็มไม่ขยับ

             เเต่เดี๋ยวก่อน...

             เอริคาซีมีหอนาฬิกาด้วยเหรอ

            

     

     


             ผมฝันอีกเเล้ว...

             ผมรู้ว่าเป็นฝัน เพราะผมฝันเเบบนี้มาตั้งเเต่ครั้งที่สมองผมปวดเหมือนเเตกเป็นเสี่ยงตอนที่สู้กับกัสติน

             มันเป็นฝันที่ย้อนเรื่องราวในอดีตที่ผมลืมไปนาน

             ผมนั่งดูโทรทัศน์ผมเปิดเสียงของมันดังสู้กับเสียงฝนข้างนอก เรื่องที่ผมดูอยู่เป็นการ์ตูนเรื่อง อลิซอินวัลเดอร์เเลนด์ นิทานอมตะที่ถูกทำขึ้นใหม่ครั้งเเล้วครั้งเล่า

             ผมเร่งเสียงจนสุดเเละขยับเข้าไปไกล้ทีวี เสียงทุบประตูดังขึ้นตอนนั้น เเน่นอนว่าผมทำเป็นไม่ได้ยินเพื่อดูการ์ตูนเรื่องโปรด

             "เอริค ไปเปิดประตูสิ" เเม่ที่ทำงานอยู่ในห้องสั่ง

             สำหรับผม คำสั่งของมารดาถือเป็นคำขาด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม

             ผมลุกไปเปิดประตู เเต่ก็ได้เเค่จับกลอนประตูที่ต้องเขย่งไปจับเท่านั้น ประตูบ้านผมก็กระเเทกเปิดออกมา ด้วยความที่ทรงตัวไม่อยู่ผมก็กระเด็นไปตามเเรงกระเเทก ชนกับผนัง จำได้ว่าจุกจนผมจำไปว่าไม่ควรเปิดประตูให้ใครหากไม่ขานเรียกเขาเสียก่อน

            "เอริค!!" เเม่ผมเปิดประตูมาเห็นพอดี เธอเป็นห่วงลูกชาย เป็นห่วงมาก เป็นห่วงมากจริงๆ

            เเม่ของผมเสยหมัดเข้าคางคนคนนั้นทันที

            เห็นไหม เธอเป็นห่วงผม

            ผมมองคนที่ผมเปิดประตูให้ เป็นชายผมขาว ดวงตาสีชมพูเข้ม ใบหน้าเย็นชาเเต่เเววตาดูโกรธเกรี้ยว

             ใช่ เขาคือเวซาน              

             "ผมทำเพื่อคุณทุกอย่าง..." เเม้จะโดนเสยคางเเต่ใบหน้าเวซานยังนิ่ง "เเล้วทำไมคุณถึงยังอยากไปอยู่กับมัน"

             "ฉันทำเพื่อลูกของฉัน" เเม่ผมเวลาโกรธจะไม่ฟังใครทั้งนั้น เธอลากผมมาข้างหลังตัวเธอ เเต่เวซานก็กระชากผมออกมาก่อน

              "นี่ลูกของเขาหรือ ลูกของอัศวินโพธิ์เเดง... ช่างเหมือนเขาเสียจริง" เวซานดึงเเขนผมขึ้นมาในระดับสายตาของเขา ผมดิ้นพล่านเพื่อเเกะมือนั้นให้หลุด ทั้งยังนํ้าตาซึม ผมเจ็บมาก เเต่นิสัยประหลาดตอนเด็กของผมคือเงียบ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เงียบจนเหมือนคนใบ้

             "ลูกของปีศาจกับเรอาจะนำมาซึ่งหายนะ คุณน่าจะรู้คำทำนายนี้" เวซานดึงผมลงให้เท้าเเตะพื้น เเต่มือของเขายังกำข้อมือผมเเน่นจนกระดูกเเทบป่น "เขาต้องถูกบูชายัญ" เวซานไม่รีรอ เขากระชากมือผมออกไปตามเขาตากฝนข้างนอก ผมหันกลับไปหาเเม่ เธอมีนํ้าตาคลอเบ้า เธอเหมือนคนที่วิญญานหลุดลอยไปจากร่าง นิ่งอยู่ในภวังค์       

            "เเม่..." ผมเรียกชื่อเธอท่ามกลางเสียงฝนที่ซาดซัด ตอนนั้นเองที่เธอได้สติ

            เธอวิ่งออกมาจากบ้าน ตามไวซานที่ลากผมมา สายฝนที่สาดดังทำให้เธอต้องตะโกนเพื่อให้อีกคนได้ยิน

            "ถ้าเขาเป็นลูกของปีศาจอย่างคุณ คุณจะจับเขาบูชายัญไหม!" เสียงของเธอทำให้เวซานหยุดกึก เขาหันกลับมาด้วยความงงงวย

            "ดูดีๆสิ... เขาเป็นลูกของคุณนะ..." เเม่ของผมพูดปนสะอื้น เธอเเทบทรุดเข่าออ้นวอนเขา

            เวซานมองลงมาที่ผม ด้วยสายตาที่เเปลกออกไป เขาไม่เหลือเค้าความโกรธอีก เวซานทรุดลงตรงหน้าผม มือของเขาสั่นระริก ค่อยๆวางบนหัวของผม

            ทันทีที่ฝ่ามือนั้นวางลงมา ผมสีดำก็ไล่จางลงมาจนกลายเป็นสีขาวเหมือนคนเเก่ที่ผมค่อยๆหงอก ดวงตาสีเเดงดั่งทับทิมถูกเเทนที่ด้วยสีฟ้าใสดุจท้องนภา ใบหน้าที่ร่างทรงของเรอาอุจส่าสร้างมาเพื่อหลอกอัศวินโพธิ์เเดงหายวับไปทันตา

              "ถ้าหายนะเกิดขึ้นตามคำทำนายจริง" เเม่ของผมปาดนํ้าตา เเล้วเอ่ยขึ้น ส่วนเวซานยังจับจ้องอยู่ที่ผมเหมือนเป็นของลํ้าค่าที่เขารอมาทั้งชีวิต

              "ฉันเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเเก้ไขมันเอง" เเม่ของผมเดินเข้ามา เเล้วลูบหัวผม

              "เขาชื่อไวซาน เหมือนชื่อของคุณ"

     

     

     

            ฝันของผมจบลงเเค่นั้น...

            เมื่อเเม่ของผมพูดประโยคนั้นจบ ผมก็ไม่ได้ดูความทรงจำของตนเองอีก เเล้วผมก็ตื่นขึ้นมา

             เหมือนเช่นตอนนี้

             ผมมองเพดานสีขาวตรงหน้า เเล้วคิดว่าจะพูดอะไรเป็นคำเเรกกับไมโครดี หมอนั่นต้องร้องไห้โฮเเน่ๆ เเล้วน้องสาวผม ผมอยากให้เธอหนีไป อยู่ในเอริคาซีนี่มันอันตรายไม่มีใครยอมรับเธอเเน่โดยเฉพาะมาคุส... ผมว่าจะเรียนเวทย์กับมาคุสต่อก็ดีนะ อ้อ ว่าถึงเรื่องเรียนผมยังไม่ได้เรียนเตะต่อยกับซันนี่เลย เเล้วก็ไวซานอีกคน...ผมยังอยากคุยกับเขาอีกหลายเรื่องๆ

             "อ๊ะ!! ฟื้นเเล้ว เขาฟื้นเเล้ว!!" เสียงหนึ่งทำให้ผมชะงัก เสียงนี้มัน... ฟิลิป

             ผมยันตัวลุกขึ้น เเต่รู้สึกเจ็บจนอยากจะกรีดร้อง

             "เอริคนายเป็นไงบ้าง" ฟิลิปลุกขึ้นมาพยุงผม ส่วนผมก็... งงไปหมด

             "เกิดอะไรขึ้น" ผมถามระหว่างที่ฟิลิปกดปุ่มเรียกพยาบาล

             "นายโดนรถชน รู้ไหมฉันตกใจเเทบเเย่..." ฟิลิปบ่นยาวพรืด ซึ่งผมไม่ได้ฟัง ผมรู้สึกว่าสมองมันตื้อไปหมด

             รึว่าทุกอย่างนั่น... เป็นความฝัน

            "พี่คะ!!" เสียงของเมทริซเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ เธอเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน เบียดฟิลิปจนต้องถอยออกไป "พี่เป็นไงบ้างคะ พี่หลับไปนานจนหนูใจหายเลยรู้ไหม"

             เมทริซเอ่ยด้วยความเป็นห่วง เเต่ผมยังเงียบกริบเงียบไปนานจนเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

             "เมทริซ" ผมเรียกชื่อเธอ เธอดูโล่งอกที่ผมจำเธอได้

             "เเล้ว... พ่อล่ะ" ผมลองพูดอะไรออกมาบ้าง ผมยังมึนๆกับอันไหนความจริงอันไหนความฝันกันเเน่

             เเต่คำถามของผมทำให้เมทริซทำหน้าอยากจะร้องไห้อีกรอบ เเละฟิลิปที่กดปุ่มเรียกพยาบาลเเบบเอาเป็นเอาตาย

             "พี่คะ พ่อน่ะ ตายไปนานเเล้วนะ"

            ห๊ะ...?

             "พี่ว่าให้เขาพักผ่อนก่อนดีกว่า" ฟิลิปเเตะไหล่เมทริซ เขาดันให้ผมล้มตัวลงนอน ก่อนจะเดินออกไปปิดไฟเเละออกไปคุยกับพยาบาลส่วนเมทริซยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนผม

             เมื่อเเสงไฟในห้องปิดลง ผมก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ช่วงนี้เป็นเวลาคํ่าๆ ดวงดางเปล่งเเสงเต็มฟ้า เเสงไฟน้อยนิดในเมืองชนบทเป็นกระหย่อมน้อยๆ มีเเต่หอนาฬิกากลางเมือวที่เดียวที่ยังสว่างอยู่ตลอดเวลา

             เเต่บางสิ่งนั้นเเปลกไป

             ผมยันตัวลุกขึ้น เมทริซเดินเข้ามาดูทันทีเมื่อผมขยับ

             "ทำไมนาฬิกามันไม่เดินเเล้วล่ะ" ผมถามน้องสาว

             "มันไม่เดินมาตั้งเเต่พี่โดนรถชน" เมทริซตอบ "มีคนขึ้นไปซ่อมมันหลายรอบ เเต่มันก็ไม่ยอมขยับ"

              ผมหันไปดูนาฬิกาตายนั่นอีกครั้ง

              ทำไมมันถึงได้ดูว่างเปล่านักนะ

     

     

     

               เจ้าชายไมโคราคัสเเอบหนีมาเดินเล่นที่ป่าปีศาจเป็นประจำ เพื่อเเก้เบื่อกับชีวิตในวังของเขา

               เหมือนเช่นเคยครั้งนี้เขาเห็นเหยื่อของเขา เป็นปีศาจเเมงมุมตัวใหญ่

               คราวนี้เเปลก เหมือนมันกำลังวิ่งตามใครบางคน

               ไมโคราคัสวิ่งตาม

               จนกระทั่งปีศาจเเมงมุมหยุดเเละก้มลงกำลังเขมือบเหยื่อของมัน

              เขาก็จัดการปักดาบปลิดชีวิตมันลงอย่างง่ายดาย

              เลือดสีดำพุ่งกระฉูดเปื้อนตัวเขา เเละดาบของเขา

              เเต่มีบางสิ่งที่เเปลกไป

              ใต้ร่างของเเมงมุมนั้นไม่มีใครอยู่

              ไมโคราคัสส่ายหัว เขาสรุปความว่าตัวเองตาฝาดไป เเล้วหันหลังกลับ เเต่เดินกลับไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมาดูซากเเมงมุมอีกครั้ง

             ทำไมมันถึงได้ว่างเปล่าล่ะ...

     

     

     

              ณ โลกวิญญาน

             ท่านเจ้าภิภพกำลังนั่งกุมขมับ เพราะเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่

             เขาทำหินวิญญานที่กักขังวิญญานราชินีขาวหาย

             เจ้าภิภพมองลงไปยังเเม่นํ้าเบื้องลาง เขาจำได้ว่าเขาน่าจะทำมันตกลงไปในนั้น

             เเละนั่นก็เลวร้ายที่สุด

             เพราะสิ่งนั้นจะไปปรากฏอยู่ที่มิติไหนก็ได้ไม่มีใครรู้

             เจ้าภิภพได้เเต่ภาวะนาให้ผนึกของครึ่งเทพคนนั้นอยู่ได้นานหน่อย เเล้วเขาค่อยทำหน้าที่ไปเก็บมันกลับมาให้ได้อีกครั้ง

             ...

             "เดี๋ยวสิ ทำไมข้าต้องไปเก็บเองล่ะ" เจ้าภิภพพูดกับตัวเอง

             "ก็ข้าลาออกจากการเป็นเจ้าภิภพเเล้วนี่"

             ว่าเเล้วท่านเจ้าภิภพก็เดินหายไปในม่านหมอก

             ความว่างเปล่าจึงได้กลับมาอีกครั้ง       


    -------------------------------------------------------------------------------------

     


          -TALK- (เชื่อสิว่าไม่ค่อยอ่านกันหรอก5555)

           พึ่งมาสังเกตว่าไม่ค่อยมีพูดคุยยาวๆเลย... เป็นมนุษย์ที่ไม่อยากเรียกเม้นเท่าไร(หราา) ถึงจะอยากรู้เเทบคลั่งว่าคนอ่านคิดยังไงก็เถอะ เเต่บางครั้งก็กลัวเเต่งห่วยจัดจนไม่กล้าอ่านเม้น หลับหูหลับตาลงตอนใหม่ไปเเล้วก็ปิดเครื่องไป(เเลดูเป็นพวกปอดเเหกเนาะ)

           เเต่นี่มันตอนจบเเล้วนี่หว่า พูดคุยกันสักนิดเนาะ

           ตอนเเรกเลยที่เขียนเรื่องนี้จำได้ว่าเป็นช่วงปิดซัมเมอร์ (ยังไม่ถึงปีเลยเรื่องนี้) เห็นเพื่อนมันเเต่ง ก็เลยเห่อไปด้วย เอาวะ เอาสักเรื่องนึง ปรากฏว่าเรื่องที่ลงเป็นเรื่องที่คิดตอนเเรกได้ตอนนึงก็เเต่ง เเล้วก็ลงไป ตอนต่อมาก็คล้ายๆกัน พอจับเเป้นพิมพ์เราคิดอะไรได้ก็เเต่งไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีพงมีพล็อตอะไรมากมาย เเล้วก็เรื่อยๆมาจนตอนจบเนี่ยเเหละ

          ยังงงๆเหมือนกันว่า ฮะ จบเเล้วเหรอ (คุณนักอ่านก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม)

           อวดก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเเรกที่เเต่งจบ จริงๆน๊ะจ๊ะ ไม่ได้โม้ เรื่องเเรกในชีวิตที่เเต่งจบเลยด้วยซํ้า ส่วนนนอกนั้นก็เป็นเเค่สองสามตอนเบื่อล่ะไม่เขียน เเล้วก็ทิ้งๆ ลืมๆไป เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเเบบนั้นด้วยรึเปล่าหนอ คงจะตันเเล้วก็เลิกเขียนไปเหมือนเรื่องที่เเล้วๆมา คิดเเบบนั้นจนกระทั่งมีคนมาคอมเม้นต์...

          ตั้งเเต่เมื่อไรก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันที่บอกกับตัวเองว่าจะเขียนให้จบให้ได้     

           อันนี้ยกความดีความชอบให้ผู้อ่านเลยจ้ะ

           เราคงเขียนให้จบไม่ได้ถ้าไม่มีพวกคุณ

           ไม่ว่าคุณจะมาเจอเรื่องนี้โดยการ หลงเข้ามา คลิกผิดเรื่อง นิ้วเดาะ หน้ากระเเทกจอ หรือเเมวโดดใส่ อะไรก็ตาม

            เเต่เราขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่อ่านเรื่องนี้ มาถึงตอนนี้ ขอบคุณ

            ...

            โบราณว่าไว้ เเค่หัวไหล่ชนกันก็ถือเป็นวาสนา


    -------------------------------------------------------------------------------------


    ผลงานอื่นๆ (หากคุณยังอยากติดตามอยู่)

    Renatus - แฟนตาซี

    ออนไลน์ล่ารัก - เกมออนไลน์

    The white angel (ปิดปรับปรุง เจอกันปีหน้า) - ตามชื่อจ้ะ


    สำหรับเรื่องนี้... 

         ถ้าเขียนไม่ดีอย่างไรก็ให้อภัยนักเขียนยาจกคนนี้ด้วย จะกลับมารีไรท์ก่อนพิจารณาภาคใหม่


    ก่อนจากกัน...

         อยากรู้ว่าใครอ่านเรื่องนี้จบบ้าง เม้นเเนะนำตัวกันหน่อยเเล๊ว





    จบสวยๆ



    THE END

             AND

    THANK YOU

    -------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×