ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #40 : XXXIX_เลวร้าย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 118
      3
      27 ธ.ค. 58

    THE WHITE RABBIT
    XXXIX

    เลวร้าย






            ราชินีเเดงโมโหจนกัดฟันกรามเเทบเเตก

            จู่ๆเหยื่อของเธอก็หายไปเฉยๆ เเถมยังเป็นเหยื่อตัวใหญ่ที่ไม่ควรปล่อยไว้ด้วย ไม่ต้องเดาเธอก็รู้ว่านี่เป็นเวทย์กาลเวลาเเน่จากชายที่หน้าเหมือนกระต่ายเเห่งกาลเวลาคนนั้น ถ้าความทรงจำของเมทริซไม่บอกนาง เด็กคนนั้นคงเป็นภัยกับเธอภายหลัง

           เธอปล่อยเวทย์เเห่งกาลเวลาไว้ไม่ได้

            เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำลายนาง นางถูกขังมากว่าสองพันปี กว่าจะได้พลังกลับคืนมา กว่าจะได้กองทัพเเละอำนาจของเธอกลับคืนมา จะยอมให้มันหายไปได้ยังไง       

            กาลเวลาคือสิ่งที่นางกลัว...

            ราชินีเเดงพยายามจะหาไวซานต่อ เเต่เสียงหนึ่งก็ขัดความคิดเธอเอาไว้ เป็นเสียงระเบิดกัมปนาทที่ทำร้ายเเก้วหูไม่น้อย ราชินีเเดงในร่างเมทริซวิ่งออกไปดูข้างนอกทันที

            เเสงที่ยิงขึ้นบนฟากฟ้า เปิดฟ้าจนกว้างออก เเสงนั่น เวทย์นั่น... เธอคุ้นเคยดี

            "โอ้มาเเล้วเหรอ พี่ข้า" ราชินีเเดงเบิกตาอย่างเเปลกใจ นี่พี่ของนางถูกปลดปล่อยเเล้วหรือนี่

            เเต่เเล้วเเวบหนึ่งราชินีเเดงก็นึกถึงกองทัพปีศาจที่น่ารักของเธอ

            จากที่เบิกตาด้วยความเเปลกใจก็กลายเป็นตกใจไปทันใด เวทย์เคลื่อยย้ายถูกใช้ออกมาทันความคิด นางก็หายไปอยู่ข้างกำเเพงเมืองที่พึ่งระเบิด... ไปพร้อมกับเหล่ากองทัพอสูรของเธอ

            มือของนางสั่นระริกด้วยความโกรธเเละความเสียใจ กองทัพปีศาจของเธอทั้งกองทัพ หายวับไปในคราเดียวได้อย่างไร

            ราชินีเเดงวิ่งเข้าไปดูผืนดินที่เเตกเป็นหลุมบ่อ เธอกำดินขึ้นมา เเต่สัมผัสที่มือกลับไม่ใช่ดิน มันเป็นเพียงเศษผงที่มีเพียงลมพัดเบาๆก็ปลิวออกไป

            "กองทัพ... ของข้า..." ราชอนีเเดงกัดฟันกรอด เธอเเทบกลั้นนํ้าตาไว้ไม่อยู่ จริงๆนะ เธอเเทบกลั้นนํ้าตาไว้ไม่อยู่

             "พวกเขาช่างน่าสงสารน้องข้า..." เสียงกังวาลเหมือนมาจากที่อันไกลโพ้นดังขึ้นข้างหลังราชินีเเดง นางหันขวับไปมองอย่างคุ้นเคย

              พี่สาวของเธอ... ในร่างวิญญาน

              "หากพวกเขาไม่จงรักภักดีกับเจ้าข้าคงไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาช่างน่าสงสารนัก..." ราชินีขาวในร่างวิญญานว่า ผมทองของเธอโบกสะบัด เธอดูโปร่งใส เเต่หากซีดเซียวจนนน่ากลัว

              "ท่านต่างหากที่น่าสงสารพี่ข้า นี่ท่านตกตํ่าจนถึงกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนไม่มีที่สิงสู่เเล้วหรือ" ราชินีเเดงมองพี่ของเธออย่างเหยียดหยามเเล้วหัวเราะ

              ราชินีขาวซ่อนความโกรธไว้ใต้ใบหน้างาม อย่างที่น้องเธอว่า ตอนนี้เธอเป็นเเค่วิญญานเร่ร่อน เธอพึ่งออกมาจากผนึกที่กดทับเธอมากว่าสองพันปี เเม้วิญญานจะยังไม่ดับสลาย เเต่ความออ่นล้านั้นทำให้เธอไร้พลัง

           หากไม่มีที่สิงสู่เธอคงเป็นได้เพียงวิญญานที่ล่องลอยไปเรื่อยๆเท่านั้น

           "ข้าขอโทษด้วยที่คงไม่ว่างมาคุยกับวิญญานเร่ร่อนอย่างท่าน ราชินีเเดงสบัดหน้าหนี เธอหันหน้าไปทางทิศใต้ ที่ซึ่งอูโรโบรอสเเสนรักของเธอกำลังเหาะเหินมา

           ราชินีขาวได้เเต่ข่มความโกรธ เเต่เเล้วโชคก็เข้าข้างนางอย่างไม่น่าเชื่อ

           ท่ามกลางขี้เถ้าที่เกิดจากการทำลายล้างของเธอ สิ่งหนึ่งก็ขยับ ทั้งฝุ่นดินสีเทาดำลู่ลงเหมือนเม็ดทรายละเอียด นั่นเป็นสิ่งที่ราชินีขาวภาคภูมิใจที่สุด เวทย์ของเธอสวยงามเสมอ เมื่อทรายสีเทาเม็ดสุดท้ายลู่ลงก็เห็นสิ่งที่รอดจากเวทย์ทำลายล้างของเธอชัดเจน

             ไมโครสะบัดหัวเมื่อเห็นทรายสีเทาลายล้อมอยู่รอบตัวเขา เเต่เปล่ามันไม่โดนตัวเขาสักนิด ไม่โดนเเม้เเต่ปลายผม เมื่อสังเกตดีๆ มีบาเรียบางใสหุ้มอยู่รอบตัวเขา มันร้อนระอุเหมือนกำลังทำงานหนัก เเต่บาเรียบางๆนี้เเหละที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้

           ไมโครนึกถึงผู้ที่ให้บาเรียนี้มา ป่านนี้คนคนนั้นจะยังเป็นเด็กดีนอนรออยู่ในห้องรึเปล่านะ

            ไมโครเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองดูรอบๆ มีเด็กผู้หญิงคนนึงซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นน้องสาวของไวซาน ไมโครยิ้มให้อย่างไร้เดียงสาก่อนวิ่งเข้าไปหา

             น่าเสียดายที่ต่อให้เป็นราชาจากอาณาจักรอันรุ่งเรืองก็ไม่อาจมองเห็นวิญญานได้      

             เเละเขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ากำลังโดนสิง

             ราชินีขาวเหมือนเห็นบ่อนํ้าท่ามกลางทะเลทรายวิ่งเข้ามาหา วิญญานของนางจับจ้องที่ราชาเเห่งเอริคาซีก่อนพุ่งเข้าไปหาเขา

            เเต่ราชินีเเดงหรือจะยอม

            เธอเกิดมาเพื่อเเย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่สาว เเม้จะเป็นการเเย่งชิงที่ไร้สาระก็ตาม

            ใช่ การเเย่งชิงร่างของไมโครมาสิงก็เป็นเรื่องไร้สาระ

            เเต่ราชินีเเดงไม่มีสติพอจะคิดเเบบนั้น วิญญานของครึ่งปีศาจนามราชินีเเดงสละร่างของเมทริซทันทีเเล้วพุ่งเข้าใส่ไมโครปานจรวด เพื่อประกาศศักดาเเก่พี่สาวของเธอว่า 'ข้ามาถึงก่อน!'

             ร่างของเมทริซล้มฟุบลงกับพื้น ในขณะที่ไมโครยืนตัวเเข็งดวงตาเบิกโพลง เเละร่างโปร่งของวิญญานราชินีขาวที่อ้าปากพงาบๆจากการโดนฉีกหน้าเเบบสายฟ้าเเลบ

             "พี่น่ะไม่มีทางชนะข้าหรอก" ไมโครพูดขึ้นด้วยท่าทางเเละเเววตาที่เปลี่ยนไป ราชินีที่ไปอยู่ในร่างราชา ฟังดูเเต๋วเเตก เเต่ยังดีที่นํ้าเสียงยังออกมาเป็นเสียงผู้ชาย

             ราชินีขาวโกรธจัด เธอโกรธเสมอเมื่อไม่ได้อะไรตามใจต้องการ ร่างวิญญานของราชินีขาวมองไปที่ร่างของเมทริซที่นอนนิ่ง เธอสามารถสิงร่างนั้นได้

             เเต่บางทีพี่น้องก็มีทิฐิที่ไร้สาระ

             พี่สาวจะไม่ยอมกินไอติมที่น้องเลียไปเเล้ว ถึงเเม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันที่กินข้าวด้วยกันทุกวันก็ตาม

            ไม่รู้รังเกียจอะไร...

            ราชินีขาวก็เป็นเช่นนั้น เธอจะไม่ใช่ของที่ผ่านมือน้องของเธอมาเเล้ว

            ราชินีขาวยืนเฉยเเละเชิดหน้า

            ฝ่ายน้องสาวนั้นยิ้มเยาะอย่างพอใจ ก่อนเงยหน้ามองฟ้า อูโรโบรอสของเธอคืบคลานมาถึงเขตเอริคาซีเป็นที่เรียบร้อย เมืองใหญ่เกิดเงามืดมัวทาบทับเเละคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของผู้คน

             "นี่เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้!!" ราชินีขาวตวาดเมื่อเห็นร่างปีศาจตัวยาว เธอทำลายทัพปีศาจไปแล้ว เเต่ใช่ว่ามันจะสิ้นสุด เเละอุโรโบรอสตัวนั้นคือสิ่งที่เธอกลัว

            "น่าเสียดายที่ข้าหยุดมันไม่ได้ อุโรโบรอสตัวนี้หิวเต็มทีเเล้ว" ราชินีเเดงหัวเราะ เเละมองปีศาจร้ายตัวนั้นเหมือนลูกชาย

            ราชินีขาวเริ่มร้อนรน เเม้เธอจะเห็นมังกรนิลกาฬตัวหนึ่งโฉบไปโฉบมาเพื่อก่อกวนอูโรโบรอสที่ตัวใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า เเต่นั่นก็ได้เเค่ยั่วโมโห

           ราชินีขาวมองอูโรโบรอสสลับกับมองร่างของเมทริซ เธอรู้ดีว่าร่างนั้นมีพลังเวทย์ให้เธอสูบใช้ได้เพียงพอ เเละเวทย์โบราณของเธออาจเป็นเพียงทางรอดเดียวของมวลมนุษย์ ขอเเค่เพียงเธอสิงร่างนั้น

             ได้เวลาทิ้งทิฐิงี่เง่านี่สักที

             ราชินีขาวตัดสินใจ ร่างวิญญานโปร่งเเสงพุ่งเข้าหาเมทริซทันที เเต่ทว่า...

           โซ่เส้นเล็กใหญ่มากมายพุ่งออกมาจากผืนดินไกล้ร่างเมทริซ เเละพันเกี่ยวตัวเธอไว้เหมือนเธอเหยียบโดนกับดัก

            ราชินีขาวมองตาขวาง เพราะเธอรีบร้อนเเท้ๆ ถึงไม่ได้สังเกตว่าร่างนี้มีอะไรป้องกันอยู่

            "จับได้เเล้ว!" เสียงชายเเก่ดังขึ้นเรียกความสนใจของผีราชินีให้หันขวับไปมองตัวการของเวทย์โง่ที่มัดเธออยู่นี้

            "นั่นมันอะไรน่ะมาคุส" ชายหนุ่มผมขาวที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้น

            "วิญญานดวงไหนสักดวงที่จะสิงร่างน้องของเจ้า เเละก็คงไม่พ้นราชินีเเดงหรือราชินีขาว" ชายเเก่ผู้นั้นตอบ

            "วิญญานอะไร ผมไม่เห็นเลยเห็นเเต่โซ่" ชายหนุ่มถามด้วยท่าทางงงงวย

            "ข้าก็ไม่เห็น ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เห็นวิญญานเล่าเจ้าศิษน้อย" ชายเเก่ยักไหล่เเล้วก็พยายามควบคุมโซ่ของเขาไม่ให้วิญญานของราชินีหลุดลอยไป จนราชินีขาวมองตาถลึง เเม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนก็ตาม

           

     

     


           ผมเพ่งตามองโซ่ของมาคุส เหมือนมันมัดอะไรสักอย่างไว้ เเม้เมื่อมองไปมันจะกลวงโบ๋ ผมหวังว่าถ้าเพ่งนานๆเเล้วคงจะเกิดเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง

           เเต่ก็เปล่าประโยชน์ ภาพตรงหน้ามีเพียงโซ่เส้นหนาที่มัดความว่างเปล่านั้นเอาไว้เท่านั้น

          "ศิษย์น้อยเจ้ายืนบื้อทำอะไรอยู่ ไปผนึกนางซะเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ข้าจะกันนางไว้ไม่อยู่" มาคุสเรียกสติผมก่อนจะโยนบางสิ่งบางอย่างมาให้        

           ผมรับมันมาดู สิ่งนั้นมีขนาดเท่าหัวนิ้งโป้ง น่าจะทำมาจากทองคำขาว มันเป็นรูปนางฟ้าที่สยายปีกงดงาม เเม้จะขนาดเล็กเเต่รายละเอียดของรูปสลักนี้กลับละเอียดเเละประณีตอย่างมาก จนผมอยากเห็นหน้าคนเเกะสลักเจ้านี่สักครั้ง เเต่พลังเวทย์ที่เเผ่ออกมาจากสิ่งนี้บอกผมว่ามันไม่ได้มีดีเเค่รูปที่สวยงามของมัน

              "มันคือ?" เเต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะให้ผมมาทำไม

              "นั่นคือหินวิญญาน...สิ่งนี้จะช่วยเจ้าผนึกนาง เจ้ายังจำวงเวทย์ที่อยู่ในวิหารใต้ดินได้ใช่ไหม" มาคุสทำหน้าขรึม เขามีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมา เเล้วจ้องโซ่ของเขาเขม็ง

             เดี๋ยวนะ... โซ่นั่น

             ผมเหวอไปสามวิได้ เมื่อเห็นว่าโซ่ของมาคุสพัดรัดหญิงผมทองคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงผมทองคนที่ผมเจอในฝันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใบหน้าเธอดูโมโหร้าย เเละเธอก็จ้องมาคุสเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ถ้าเธอรอดออกไป

             "เร็วเข้า!!" มาคุสเร่ง โซ่ของเขาสั่นเครืออย่างรุนเเรงเมื่อราชินีขาวสะบัดตัวเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ

             ผมทำตามคำสั่งมาคุส เข้าไปหาราชินีขาว เเล้วสรุปเรื่องนางฟ้าน้อยที่กำอยู่ในมือผมว่ามันทำให้ผมเห็นวิญญานได้

             เมื่อผมอยู่หน้าร่างวิญญานนั่นเธอก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ผมเริ่มงานของตนเอง ผมยังจำเวทย์ที่ใช้ผนึกวิญญานได้ เหมือนมันฝังอยู่ในสมอง ผมใช้เวลาไม่นานในการตั้งสมาธิเเละร่ายเวทย์ เสียงสถบด่าของราชินีขาวกลายเป็นเสียงอู้อี้ที่ฟังไม่รู้เรื่อง ร่างวิญญานนั้นค่อยๆม้วนบิดเป็นเกลียว เเละถูกดูดเข้าไปในตัวนางฟ้า นางฟ้าน้อยในมือผมมีเเรงดึงดูดประหลาดที่สามารถทำให้การผนึกราชินีขาวง่ายขึ้น ไม่นานเสียงของราชินีขาวก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง เธอพูดไม่เป็นภาษาเหมือนกำลังทรมาน ก่อนที่นางจะถูกดูดหายไปทั้งร่าง

           ผมฟังเธอออกคำนึงท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่บั่นทอนเเก้วหูนั่น ก่อนเธอจะหายไป

           เธอบอกว่า 'ข้าจะกลับมา'

           ผมจ้องรูปสลักนางฟ้าเเสนสวยนั่นด้วยสีหน้าหวาดระเเวงขึ้นมาทันที

           คงต้องหาที่เก็บดีๆซะเเล้ว

           เเต่ผมจะมีโอกาสได้เก็บมันรึเปล่าน่ะสิ

           ผมมองไปที่ตัวปัญหาอีกตัวนึง ไมโครยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยไม่เข้ามายุ่ง เเถมยังมีสีหน้าสะใจอีกตั้งหาก เเต่พอผมหันไปสบตาก็เปลี่ยนเป็นเเววตาอาฆาตขึ้นมาทันที

             ไม่ต้องไปหาไกล ราชินีเเดงอยู่ที่นี่เอง...     

             "นี่มันเลวร้ายมาก" ผมบ่นออกมา มาคุสที่อยู่ไกล้เลยมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ

             "เจ้ามีเวทย์กาลเวลาอยู่ด้วย จะไปกลัวอะไร"

             "ผมมีเวทย์กาลเวลา เเละผมก็มีเวทย์ผนึกบนตัวไมโครด้วย" ใช่ นี่เเหละเลวร้ายมาก

              มาคุสสอนเวทย์ที่จะดึงวิญญานออกจากร่างให้ผมก่อนที่จะปรี่มาหาเมทริซ เเต่ก็โชคดีที่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ น้องผมก็ล้มฟุบลงไป เเละมาคุสก็จับวิญญานราชินีขาวได้ ส่วนวิญญานราชินีเเดงก็ไปอยู่กับไมโคร ดังนั้นน้องผมปลอดภัย

            เเต่หายนะก็บังเกิดเช่นกัน เวทย์ผนึกงี่เง่าที่ผมยัดลงไปในตัวไมโครพึ่งเเสดงข้อเสียอย่างโจ่งเเจ้งในตอนนี้ เมื่อมีเวทย์นั้นอยู่สิ่งใดก็ตามที่คิดจะทำร้ายเจ้าตัวก็เป็นอันต้องได้รับผลกรรมนั้นกลับ

             โชคดีของราชินีเเดงที่วิญญานเป็นสิ่งปลอดภัยสำหรับเวทย์ไร้สมองนั่น

             โชคร้ายของผมที่เวทย์ดึงวิญญานเป็นสิ่งอันตรายสำหรับเวทย์ไร้สมองนั่น

             ทั้งๆที่ผมเป็นคนร่ายมันขึ้นมาเเท้ๆ ทำไมถึงได้ทรยศกันอย่างนี้ฮะ!!

             "ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆที่ผนึกนาง" เสียงของไมโครที่ไม่ใช่ไมโครเรียกให้ผมตื่นจากการสำนึกในความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตัวเอง

             "เเละข้าก็ต้องขอโทษด้วย" ราชินีเเดงยิ้มเย็น "ที่ข้าปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ" สิ้นคำ ราชินีเเดงก็ชูมือขึ้น เเละร่ายเวทย์ที่ดูคล้ายกับเวทย์ที่เกือบจะฆ่าผมก่อนหน้านี้

             เเต่ช่างโชคร้าย

             ราชินีเเดงดันเลือกร่างที่ใช้เวทย์ไม่เป็น

             ผมมองมือที่ว่างเปล่านั่นเเล้วไว้อาลัยให้เธอสามวิ เท่าที่ผมรู้สึกได้ ไมโครไม่มีเวทย์สักเเอะเดียว เรียกได้ว่าไร้พรสวรรค์ทางด้านนี้อย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีดาบของเขาที่ลงอาคมเวทย์ไว้อย่างดีไมโครก็จะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์เลย ต่อให้มีวิญญานของราชินีเเดงผู้เก่งกาจเเต่ถ้าอยู่ในร่างนั้นเธอก็รวบรวมพลังเวทย์ใดๆไม่ได้

             ทางเลือกต่อไปของเธอคือเมทริซ ผมเห็นตาเเดงๆของเธอหันขวับไปที่น้องสาวผม เเต่น่าเสียดายที่เธอไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่าเวทย์ของมาคุสคอยดักรอเธออยู่ตลอดเวลา

            "ผมว่าคุณเป็นวิญญานเฉยๆน่าจะดีกว่าซะอีกนะ" ผมยิ้มหน้าตายให้เธอ เเน่นอนว่าราชินีเเดงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เเต่โอ้... ผมไม่เคนเห็นไมโครโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเสียด้วยสิ เเหม เป็นบุญตาจัง

             ราชินีเเดงโกรธ เเต่น่าเสียดายอีกเเล้วที่นางก็ไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าหากออกจากร่างนี้มีสิ่งใดรอเธออยู่ ตาเเก่เเคระนั่นจ้องเธอตาไม่กระพริบ เเละการกลายเป็นวิญญานไร้ที่สิงก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย เเม้เธอจะพอใช้เวทย์ได้บ้างก็ตาม

            "เฮอะ... จะกำจัดเจ้าน่ะ ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก" ราชินีเเดงว่าเเล้วเธอก็ถอยออกไปก้าวนึง ร่างของไมโครถูกเงาเมฆทาบทับ ส่วนผมอยู่ในบริเวณที้เเสงสว่างส่องลอดออกมาจากเงาเมฆ อย่างกับเราอยู่คนละโลกกัน ด้านมืด กับด้านสว่าง

           โอ๊ะเดี๋ยวก่อน... นี่มันไม่ใช่เงาเมฆนี่นา

            ผมมองขึ้นฟ้า งูยักษ์ตัวนึงกำลังใช้ตาสีเขียวของมันจ้องลงมาบนพื้นโลก มันสะบัดหางตีอากาศทำให้มันเคลื่อนที่เข้ามาไกล้พื้นดินขึ้นไปอีก ดั่งมันกำลังเเหวกว่ายอยู่ในนํ้า ไม่ใช่เหนือพื้นโลกที่มีเเรงดึงดูดคอยฉุดมันอยู่

             นี่ก็เลวร้าย

             เเต่ก็ไม่มีปัญหา

             ผมยิ้มให้ราชินีเเดงอย่างเป็นมิตร เเล้วร่ายเวทย์ที่นึกได้ไปบทนึง ไม่นานผืนดินดำก็มีวงเวทย์เรืองเเสงสีขาวสว่างไสวโผล่มา มันค่อยๆขยายตัวเองขึ้นเป็นวงซ้อนขึ้นไปเรื่อย มีเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมาจากวงงเวทย์ที่พึ่งปรากฏ ผมมองหน้าไมโคร ซึ่งยังนิ่งเงียบ ดูเหมือนเธอจะมั่นใจในสัตว์เลี้ยงของเธอเองซะเหลือเกินนะ

             เเต่ผมก็มั่นใจในสัตว์เลี้ยงของผมเหมือนกัน

             เเรงสั่นสะเทือนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับกรงเล็บมหึมาที่ตะกายออกมาจากวงเวทย์

             เฉลย ผมใช้เวทย์อันเชิญครับ เเละผมก็อัญเชิญสัตว์เลี้ยงเพียงหนึ่งเดียวของผม...

             กรงเล็บอีกข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากวงเวทย์ ก่อนที่จะดีดตัวมันเองขึ้นมาพร้อมร่างสีขาวระยิบทะยานสู่ฟ้า มังกรยักษ์คำรามลั่นเพื่อประกาศศักดา

             ไทปัส...

            ผมเรียกชื่อนั้นเพียงในใจ เเละก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นกลับมา

            เสียงนั้นทำให้ผมมั่นใจว่าไม่ต้องห่วงเรื่องปีศาจตัวร้ายนั่น เเละหันมาสนใจไมโครผู้ถูกสิง ซึ่งตอนนี้กำลังชักดาบออกมา

             อ้อ จริงๆเเล้วเหล่าราชินีเจ้าปัญหาก็น่าจะใช้ดาบเป็นนี่นะ พวกเธอเป็นศาสตร์ทุกเเขนง ผมไม่น่าประมาทเพราะคิดว่าเธอเป็นเเต่เวทย์เลย เพราะพวกที่ดีเเต่เวทย์คงมีเเต่ ผม นี่ เเหละ        

             ว่าเเล้วดาบนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมพร้อมรังสีอาฆาต เเต่มันไม่ถึงตัวผมเพราะเกราะของมาคุส ดาบยาวเล่มนั้นจึงพยายามลงเเรงดันเกราะให้เเตกสุดความสามารถ

             "มีวิธีดีๆไหมท่านอาจารย์"

             "มันก็มีอยู่หรอก เเต่ต้องใช้เวลา..."

             เปรี๊ยะ...

             ผมเห็นรอยร้าวบนบาเรีย

             "น่าเสียดายที่เรามีไม่มาก"

             เพล้ง!!!

             บาเรียใสเเตกออกต่อหน้าต่อตา

             ต่อมาคือผมที่หลบรัศมีดาบเเบบเอาเป็นเอาตายกับมาคุสที่ยืนมองอยู่ไกลๆกับโซ่เส้นเล็กเส้นน้อยที่พยายามถ่วงเเข้งถ่วงขาไมโคร ถึงเเม้จะโดนเขาฟันเละก็ตาม

             "เจ้าหยุดเวลาสิศิษย์น้อย" มาคุสตะโกนบอก

             ผมก็อยากจะหยุดอยู่ เเต่ดาบที่ฟันไล่มาไม่มีเวลาให้ผมทำเลยนี่สิ ว่าเเล้วผมก็พลาดโดนฟันที่ท่อนเเขนไปเเผลนึงเหตุเพราะมัวไปสนใจมาคุส

              เจ็บ--เลยโว้ยยยยยยย

           เเผลที่เจ็บเเปลบกับเลือดที่กระโชกออกมาทำให้ผมเผลอตัวลดมืออีกข้างไปกุมไว้ตามสัญชาติญาน เเต่นั่นก็เป็นจังหวะเเห่งความซวยให้ดาบฟันลงมา

           ดีที่เเค่ซวย ไม่ใช่ถึงฆาต

           ดาบสั้นอีกเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาสะกัดดาบของไมโครจนกระเด็นออกไป ถึงมันจะเป็นเเค่ดาบสั้น เเต่ทำหน้าที่ได้ไม่เเห้หอกเลยทีเดียว ผมเเละราชินีเเดงหันไปตามวิถีดาบไม่ทราบที่มาเมื่อครู่พร้อมๆกัน                

            "อย่ารังเเกผู้ที่ออ่นเเอกว่าสิ" เเฟนเทียสเท้าเอวอยู่ไม่ไกล้ไม่ไกล เเต่ท่าทางหนิ่งยโสกว่าผู้ใดนั้นยังอยู่กับเขา

            ราชินีเเดงกัดฟันกรอดเมื่อโดนขัดใจ นางกลับไปหยิบดาบขึ้นมา เเละผมก็ใช้จังหวะนั้นพุ่งพรวดไปหามาคุสที่น่าจะพึ่งพาได้ เเฟนเทียสเดินเข้ามาพร้อมดาบสั้นอีกเล่มของเขา เจ้าชายผู้ใจดีมาหยุดยืนคั่นกลางระหว่างราชินีเเดงกับผมเเละมาคุส

           "เขาดูเเปลกๆ" ดูเหมือนเเฟนเทียสพึ่งจะรู้สึกตัวได้ เขากำดาบสั้นให้เเน่นกว่าเดิม

           "นั่นไม่ใช่ไมโคร เขาโดนสิงโดย... วิญญานร้าย" ผมสรุปเรื่องให้ผู้มาใหม่ การที่ผมไม่บอกว่าถูกสิงโดยราชินีเเดงคงจะลดนํ้าลายที่ออกจากปากไปอีกเยอะ

            "เลวร้าย" เเฟนเทียสเลิกคิ้ว ดูเขาจะเข้าใจอะไรง่ายหน่อย "เเล้วจะทำยังไงต่อ"

            "ต้องเอาวิญญานร้ายออกมา" มาคุสเป็นผู้ตอบ "ข้าต้องการเวลา หวังว่าท่านจะช่วยเราได้"

             "เอาวิญญานร้ายออกมาหรือ" เเฟนเทียสตีความคำว่าช่วยเป็นถ่วงเวลาไม่ได้ ซึ่งนั่นนำพาความคิดเเปลกๆของเขาออกมา "งั้นก็ทำให้ปางตายซะสิ"

           "ไม่ ข้าไม่ได้หมาย-"

            เคร้งง!        

            เสียงดาบปะทะกันตัดคำพูดขอบมาคุส เเถมผู้ที่เริ่มก่อนเป็นเเฟนเทียสที่มากับรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจเสียด้วย

            "ผมเห็นด้วยกับเขานะ" ผมลงความเห็น เเต่ความเห็นนั้นดันทำให้มาคุสจิกตาใส่

            "ตามข้ามาทางนี้เร็ว เรามีเวลาไม่มาก" มาคุสลอยวูบเข้าเขตวังซึ่งผมต้องเร่งฝีเท้าวิ่งตาม

             "ท่านคิดจะทำอะไร?"

             "ข้ามีเวทย์ดีๆอยู่ หวังว่ามันจะใช้ดึงวิญญานราชินีเเดงออกมาได้ " หลังให้เหตุผลมาคุสก็เเทบจะติดเทอร์โบจนผมต้องเร่งสปีดซะไม่มีเวลาถามให้มากกว่านั้น

             มาคุสหยุดอีกทีก็ตอนที่ผมมาถึงสวนในเขตวังหลวง สวนที่มีวิหารอยู่ใต้ดิน เเละสวนที่มีอดีตพระราชาเเห่งเอริคาซีอยู่ใต้ดินด้วยเช่นกัน

             "นี่น่ะเหรอ... เวทย์ที่ว่า" ผมมองตรงไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามาคุส นั่นคือวงเวทย์ขนาดกลางวงหนึ่ง มันอยู่บนหินสีขาว ที่ผมจำได้ว่าเคยเป็นวิหารของเรอา เศษวิหารที่พังลงไปน้าจะถูกเก็บไปหมดเเล้ว จึงเหลือเเค่พื้นเปล่าๆกับวงเวทย์รูปดวงอาทิตย์... ที่ยังไม่สมบูรณ์

           "มันเคยใช้ผนึกราชินีขาว ข้าเเอบมาดัดเเปลงนิดหน่อยตอนเจ้าหยุดเวลา ใช้เผื่อเป็นเเผนสำรอง เเต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์ " มาคุสหันมาทางผมด้วยความหวัง "เวทย์จะไม่ทำงานหากไม่มีอักขระขาวกับเลือดของเทพ"

           ผมสบตามาคุส สลับกับวงเวทย์ เเละก็พิจารณามันอยู่ชั่วครู่ เเล้วหันกลับมามองมาคุส... ผมพอจะเข้าใจเเล้วว่าเวทย์นี้ทำงานอย่างไร

            "เจ้าหยุดเวลาได้นี่ มันคงจะง่ายขึ้นเยอะ" มาคุสเอ่ยทางเลือกหนึ้งขึ้น เเต่ผมส่ายหน้าทันที

            "เป็นไปไม่ได้ ผมเเตะโดนตัวเขาเพียงนิดเดียว เขาจะหลุดออกมาอยู่ห้วงเวลาเดียวกับผม " คำตอบของผมทำให้มาคุสขมวดคิ้วมุ่นทันที เเต่เขาก็เครียดได้ไม่นาน...

            โครมม!!

            เพราะมีสิ่งที่ทำให้เขาต้องเคียดเพิ่มขึ้นอีก

            "เจ้ากระต่ายน้อย..." เสียงหลอนๆ... ซึ่งเป็นเสียงของไมโครเเน่ๆผมจำไม่ผิด เเต่เขาไม่เคยทำเสียงน่ากลัวเเบบนี้

            "เเฟนเทียสเสียท่าเเล้วหรือ" ผมสะดุ้งพรวดทันทีที่ได้ยินเสียงนั่น เเล้วเริ่มลนลานหาที่ซ่อนเมื่อเห็นผนังรอบด้านมีฝุ่นร่วงกราว เเละเสียงโครมครามที่ดังไม่หยุด ทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อไปซะหมด

           "เจ้าชาย(ตัวประกอบ)หรือจะเอาชนะราชา(พระเอก)" มาคุสเปรยออกมา "ข้าจะพยายามทำให้เขาอยู่นิ่งๆ เจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าล่ะ" ว่าจบมือของมาคุสก็ตะปบกันเป็นเสียงดัง วงเวทย์สีฟ้าใสผุดขึ้นมากมายตามพื้น

           โครมม!!

           เเละไมโครก็ประกฏตัวออกมาโดยการพังกำเเพง ซึ่งผมอยากจะเถียงว่ามีประตูบานเบ้อเริ่มเปิดอยู่ข้างๆ

           เมื่อไมโครก้าวเข้ามา วงเวทย์มากมายของมาคุสก็ทำงานทันที โซ่เงินที่เป็นเอกลักษณ์ของมาคุสผุดขึ้นมาจากวงเวทย์นั่น เเละพุ่งเข้าหาไมโคร รัดเขาจนกลายเป็นมัมมี่

          "เอาเลย!!" มาคุสให้สัญญาน ผมวาบไปหน้าไมโครตามคำสั่ง นิ้วที่เปื้อนเลือดจากเเผลที่ท่อนเเขนเมื่อครู่ถูกเอามาใช้ ซึ่งผมยังเจ็บเเผลอยู่ เจ็บมาก เจ็บจนนึกเสียใจว่าทำไมผมไม่ทำเเผลให้เรียบร้อยเสียก่อน เเต่ผมคงไม่อยากมาทำเเผลในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ว่าเเล้วผมก็เริ่มละเลงอักขระเวทย์ด้วยเลือดบนหน้าผากของไมโคร เขาคำรามลั่น ผมได้ยินเสียงโซ่ที่ขาดจากคมดาบ เเต่ผมเหลืออักขระเวทย์อีกตัวเดียวเท่านั้น

          มาคุสที่อยู่ด้านหลังเมื่อเห็นโซ่ของเขาขาด เเละดาบที่กำลังฟันลูกศิษย์ตน ก็ไม่ลังเลที่จะใช้โซ่เส้นที่มีอยู่กระชากลูกศิษย์ออกมาจากรัศมีดาบ

           เเต่เขาลืม เขาลืมจริงๆ ลืมจริงๆว่าตนเองก็อยู่ในรัศมีดาบนั้นด้วย

           ประกายสีเงินจากดาบเปล่งออกมาอย่างเเรงกล้า ประกาศว่าผู้ที่สลักเวทย์ลงในดาบเล่มนี้มีฝีมือมากเพียงใด มันประกาศได้ชัดเขนว่ามันได้ดื่มเลือดปีศาจกว่าร้อยตนมาเมื่อครู่ เเต่ครั้งนี้มันได้ดื่มเลือดของคนเพียงคนเดียว เพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในรัศมีดาบของมัน คนเเคระเฒ่าคนนึงที่อยู่ดูโลกมาเเสนนาน เเละเขาไม่ได้สนใจสักนิดว่าตัวเองจะอยู่ดูโลกได้อีกนานเท่าไร

            มาคุสใช้โซ่ทั้งหมดที่เขาพอเสกมาได้คุ้มกันไวซานเสียหมด เเละรับคมดาบนั้นอย่างไม่กลัวเกรง กุหลาบเเดงโปรยทั่วร่างของเขา มันเบามาก เเต่กลับหนักจนเขาล้มลง มันทับปอดของเขาจนหายใจไม่ออก มันบาดขั้วหัวใจของเขาจนมันไม่มีเเรงเต้นต่อไป

             มาคุสสิ้นใจอย่างสงบท่ามกลางสวนของพระราชวัง ท่ามกลางหลุมศพมากมายของอดีตพระราชา ท้ายที่สุดใบหน้าของเขาก็มองไปยังหลุมศพของสหายรักก่อนหลับตาลง

             ผมหลังกระเเทกพื้นอย่างเเรง เเละโซ่มากมายเหล่านั้นก็เเทบรัดคอผมตาย เเต่ผมยังมีชีวิตอยู่พอได้เห็นศพของมาคุส

             ขาของผมเเข็งเกร็ง ผมสั่งให้มันขยับ พยายามให้มันขยับ สุดท้ายก็ถอยได้เเค่ก้าวสองก้าวพร้อมกับเสี้ยวหน้าของไมโครที่ไม่ใช่ไมโครค่อยๆหันมา ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

             เเต่เเค่นั้นก็ทำผมกลัวจนขยับไปไหนไม่ได้เเล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงพึ่งมากลัวเอาตอนนี้

           จนกระทั่งผมได้ยินเสียงร้องคำรามจากด้านนอก เป็นเสียงคำรามอย่างองอาจของมังกร

            ไม่ใช่ไทปัส สัญชาติญานของผมบอกอย่างนั้น

            งั้นคงเป็น ทรูซ

            ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นโผล่เข้ามาในความคิดผม ก่อนจะลามมาถึงคำพูดของเขา

             'ทำอย่างที่ท่านเเม่ของท่านได้ทำไว้เมื่อสองพันปีก่อน...'

             ผมถอนหายใจเฮือก สิ่งที่เเม่ทำนั้นดูยิ่งใหญ่ เเละมันหนักมากทีเดียว

             'เเต่ท่านจะทำมันหรือไม่... ก็ขึ้นอยู่กับท่านเเล้ว'

             เเต่...

              มันยิ่งใหญ่หรือ? มัน หนัก มากหรือ?

              เเม่ของผมเเค่ปกป้องบ้านของตนเอง

              เเละถ้าที่นี่คือบ้านของเเม่

              ที่นี่ก็คือบ้านของผมด้วย

              เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ความคิดนั้นเเวบเข้ามาผมก็หันตัวออกวิ่งทันที ผมวิ่งไปยังกลางสวน ที่นั่นมีหอคอยอยู่ สูงพอสมควร เเต่ขาของผมกลับมีเเรงมหาศาลที่วิ่งขึ้นบันไดวนโดยไม่พัก ราชินีเเดงตามมา ผมรู้ เธอมาพร้อมความเกรี้ยวกราดเสมอ เเละความเกรี้ยวกราดของเธอก็มีเสียงดังเหลือเกิน

              จนกระทั่งผมมาถึงบนสุดของหอคอย ที่นี่เเคบมาก มันเป็นที่ที่มีไว้ชมวิวข้างล่างเฉยๆมากกว่ามองสำรวจดวงดาวบนฟากฟ้า เเต่ความเเคบนี้เองที้จะรับประกันว่าผมจะสามารถเข้าไกล้ตัวไมโครได้มากที่สุด

             "กระต่ายน้อย..." ราชินีเเดงยังพูดคำเดิม ผมได้ยินเสียงเหล็กกระทบกับบันไดหิน เป็นเสียงดัวเเก๊ง เเก๊ง เเก๊ง ที่ทำให้หัวใจเต้นระทึก

            ร่างของไมโครโผล่ออกมา ผมจิกเล็บเข้ากับเเผลเก่าจนเลือดที่เเห้งกรังกลับมาชุ่มฉํ่า

             "ทำไมคุณถึงอยากทำลายมนุษย์นัก" ผมถาม คำถามที่ความคิดตื้นๆของผมบอกว่าการนั่งคุยเเละไกล่เกลี่ยดีๆจะยอมลบความเกลียดชังที่สะสมมากว่าสองพันปีได้

             "เพราะมนุษย์ทำร้ายข้า" นางตอบสั้นๆ ร่างของไมโครเดินมาตรงหน้าต่างบานใหญ่บดบังเเสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา

              ผมถอนหายใจเฮือก หากมัวยืดเยื้อคงไม่ได้เสียเเล้ว

              ผมก้าวเขเาไปหาร่างของไมโคร เเค่สองสามก้าวก็ถึงตัวเขาเเล้ว

             เเต่ผมคิดตื้นๆเกินไป เพราะดาบยาวนั้นรอรับออ้มกอดของผมอยู่ ดาบนั้นเเทงทะลุร่างนำมาซึ่งความเจ็บปวดเกินบรรยาย ผมไม่รู้ว่ามันเเทงโดนส่วนไหน ปอด หรือหัวใจ

             "เจ้าช่างโง่เขลา" ราชินีเเดงเอ่ยขึ้น เเต่ผมตอบเธอด้วยรอยยิ้มเยาะ

             "จับตัวได้เเล้ว..." ผมกุมไหล่ไมโครให้เเน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่ดาบนั้นก็ช่วยคํ้าตัวผมไม่ให้ร่วงไปกองกับพื้นด้วย

            ส่วนอีกมือหนึ่งก็บรรจงวาดอักขระตัวสุดท้ายบนหน้าผากของไมโคร

             ราชินีเเดงตกใจจนเหวี่ยงผมลงหน้าต่างบานนั้นไป เเต่ก็สายไปเสียเเล้ว วงเวทย์ที่มาคุสเเอบไปวาดเรืองเเสงวาบ เเละอักขระบนหน้าผากของไมโครก็เช่นเดียวกัน

            เเต่ผมร่วงลงไปแล้ว

            ระหว่างที่อยู่กลางอากาศ ผมนึกถึงเวทย์กาลเวลาเเละร่ายมัน

             เเต่น่าเเปลกที่เวทย์นั้นไม่ตอบสนอง

             ดั่งรอยยิ้มของเวซานปรากฏขึ้นตรงหน้าในช่วงไม่กี่วินาทีนั้น เเละคำพูดของเขา

             'ยมทูตจะเขียนชื่อของคุณไว้บนกำเเพง...'   

            

    ---------------------------------------------------------------------------------------




                                จบตอนหน้าเจ้าค่ะ  <3

    ไม่สวยเเต่ก็อยากอวด  #น้องซันนี่



              

             

              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×