คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : XXXIX_เลวร้าย
เลวร้าย
ราชินีเเดงโมโหจนกัดฟันกรามเเทบเเตก
จู่ๆเหยื่อของเธอก็หายไปเฉยๆ
เเถมยังเป็นเหยื่อตัวใหญ่ที่ไม่ควรปล่อยไว้ด้วย ไม่ต้องเดาเธอก็รู้ว่านี่เป็นเวทย์กาลเวลาเเน่จากชายที่หน้าเหมือนกระต่ายเเห่งกาลเวลาคนนั้น
ถ้าความทรงจำของเมทริซไม่บอกนาง เด็กคนนั้นคงเป็นภัยกับเธอภายหลัง
เธอปล่อยเวทย์เเห่งกาลเวลาไว้ไม่ได้
เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำลายนาง
นางถูกขังมากว่าสองพันปี กว่าจะได้พลังกลับคืนมา
กว่าจะได้กองทัพเเละอำนาจของเธอกลับคืนมา จะยอมให้มันหายไปได้ยังไง
กาลเวลาคือสิ่งที่นางกลัว...
ราชินีเเดงพยายามจะหาไวซานต่อ
เเต่เสียงหนึ่งก็ขัดความคิดเธอเอาไว้
เป็นเสียงระเบิดกัมปนาทที่ทำร้ายเเก้วหูไม่น้อย ราชินีเเดงในร่างเมทริซวิ่งออกไปดูข้างนอกทันที
เเสงที่ยิงขึ้นบนฟากฟ้า
เปิดฟ้าจนกว้างออก เเสงนั่น เวทย์นั่น... เธอคุ้นเคยดี
"โอ้มาเเล้วเหรอ
พี่ข้า" ราชินีเเดงเบิกตาอย่างเเปลกใจ
นี่พี่ของนางถูกปลดปล่อยเเล้วหรือนี่
เเต่เเล้วเเวบหนึ่งราชินีเเดงก็นึกถึงกองทัพปีศาจที่น่ารักของเธอ
จากที่เบิกตาด้วยความเเปลกใจก็กลายเป็นตกใจไปทันใด
เวทย์เคลื่อยย้ายถูกใช้ออกมาทันความคิด
นางก็หายไปอยู่ข้างกำเเพงเมืองที่พึ่งระเบิด... ไปพร้อมกับเหล่ากองทัพอสูรของเธอ
มือของนางสั่นระริกด้วยความโกรธเเละความเสียใจ
กองทัพปีศาจของเธอทั้งกองทัพ หายวับไปในคราเดียวได้อย่างไร
ราชินีเเดงวิ่งเข้าไปดูผืนดินที่เเตกเป็นหลุมบ่อ
เธอกำดินขึ้นมา เเต่สัมผัสที่มือกลับไม่ใช่ดิน
มันเป็นเพียงเศษผงที่มีเพียงลมพัดเบาๆก็ปลิวออกไป
"กองทัพ... ของข้า..." ราชอนีเเดงกัดฟันกรอด
เธอเเทบกลั้นนํ้าตาไว้ไม่อยู่ จริงๆนะ เธอเเทบกลั้นนํ้าตาไว้ไม่อยู่
"พวกเขาช่างน่าสงสารน้องข้า..." เสียงกังวาลเหมือนมาจากที่อันไกลโพ้นดังขึ้นข้างหลังราชินีเเดง
นางหันขวับไปมองอย่างคุ้นเคย
พี่สาวของเธอ... ในร่างวิญญาน
"หากพวกเขาไม่จงรักภักดีกับเจ้าข้าคงไว้ชีวิตพวกเขา
พวกเขาช่างน่าสงสารนัก..." ราชินีขาวในร่างวิญญานว่า ผมทองของเธอโบกสะบัด
เธอดูโปร่งใส เเต่หากซีดเซียวจนนน่ากลัว
"ท่านต่างหากที่น่าสงสารพี่ข้า
นี่ท่านตกตํ่าจนถึงกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนไม่มีที่สิงสู่เเล้วหรือ" ราชินีเเดงมองพี่ของเธออย่างเหยียดหยามเเล้วหัวเราะ
ราชินีขาวซ่อนความโกรธไว้ใต้ใบหน้างาม
อย่างที่น้องเธอว่า ตอนนี้เธอเป็นเเค่วิญญานเร่ร่อน
เธอพึ่งออกมาจากผนึกที่กดทับเธอมากว่าสองพันปี เเม้วิญญานจะยังไม่ดับสลาย
เเต่ความออ่นล้านั้นทำให้เธอไร้พลัง
หากไม่มีที่สิงสู่เธอคงเป็นได้เพียงวิญญานที่ล่องลอยไปเรื่อยๆเท่านั้น
"ข้าขอโทษด้วยที่คงไม่ว่างมาคุยกับวิญญานเร่ร่อนอย่างท่าน
ราชินีเเดงสบัดหน้าหนี เธอหันหน้าไปทางทิศใต้
ที่ซึ่งอูโรโบรอสเเสนรักของเธอกำลังเหาะเหินมา
ราชินีขาวได้เเต่ข่มความโกรธ เเต่เเล้วโชคก็เข้าข้างนางอย่างไม่น่าเชื่อ
ท่ามกลางขี้เถ้าที่เกิดจากการทำลายล้างของเธอ
สิ่งหนึ่งก็ขยับ ทั้งฝุ่นดินสีเทาดำลู่ลงเหมือนเม็ดทรายละเอียด
นั่นเป็นสิ่งที่ราชินีขาวภาคภูมิใจที่สุด เวทย์ของเธอสวยงามเสมอ
เมื่อทรายสีเทาเม็ดสุดท้ายลู่ลงก็เห็นสิ่งที่รอดจากเวทย์ทำลายล้างของเธอชัดเจน
ไมโครสะบัดหัวเมื่อเห็นทรายสีเทาลายล้อมอยู่รอบตัวเขา
เเต่เปล่ามันไม่โดนตัวเขาสักนิด ไม่โดนเเม้เเต่ปลายผม เมื่อสังเกตดีๆ
มีบาเรียบางใสหุ้มอยู่รอบตัวเขา มันร้อนระอุเหมือนกำลังทำงานหนัก
เเต่บาเรียบางๆนี้เเหละที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้
ไมโครนึกถึงผู้ที่ให้บาเรียนี้มา
ป่านนี้คนคนนั้นจะยังเป็นเด็กดีนอนรออยู่ในห้องรึเปล่านะ
ไมโครเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองดูรอบๆ
มีเด็กผู้หญิงคนนึงซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นน้องสาวของไวซาน
ไมโครยิ้มให้อย่างไร้เดียงสาก่อนวิ่งเข้าไปหา
น่าเสียดายที่ต่อให้เป็นราชาจากอาณาจักรอันรุ่งเรืองก็ไม่อาจมองเห็นวิญญานได้
เเละเขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ากำลังโดนสิง
ราชินีขาวเหมือนเห็นบ่อนํ้าท่ามกลางทะเลทรายวิ่งเข้ามาหา
วิญญานของนางจับจ้องที่ราชาเเห่งเอริคาซีก่อนพุ่งเข้าไปหาเขา
เเต่ราชินีเเดงหรือจะยอม
เธอเกิดมาเพื่อเเย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่สาว
เเม้จะเป็นการเเย่งชิงที่ไร้สาระก็ตาม
ใช่
การเเย่งชิงร่างของไมโครมาสิงก็เป็นเรื่องไร้สาระ
เเต่ราชินีเเดงไม่มีสติพอจะคิดเเบบนั้น
วิญญานของครึ่งปีศาจนามราชินีเเดงสละร่างของเมทริซทันทีเเล้วพุ่งเข้าใส่ไมโครปานจรวด
เพื่อประกาศศักดาเเก่พี่สาวของเธอว่า 'ข้ามาถึงก่อน!'
ร่างของเมทริซล้มฟุบลงกับพื้น
ในขณะที่ไมโครยืนตัวเเข็งดวงตาเบิกโพลง เเละร่างโปร่งของวิญญานราชินีขาวที่อ้าปากพงาบๆจากการโดนฉีกหน้าเเบบสายฟ้าเเลบ
"พี่น่ะไม่มีทางชนะข้าหรอก" ไมโครพูดขึ้นด้วยท่าทางเเละเเววตาที่เปลี่ยนไป
ราชินีที่ไปอยู่ในร่างราชา ฟังดูเเต๋วเเตก
เเต่ยังดีที่นํ้าเสียงยังออกมาเป็นเสียงผู้ชาย
ราชินีขาวโกรธจัด
เธอโกรธเสมอเมื่อไม่ได้อะไรตามใจต้องการ
ร่างวิญญานของราชินีขาวมองไปที่ร่างของเมทริซที่นอนนิ่ง เธอสามารถสิงร่างนั้นได้
เเต่บางทีพี่น้องก็มีทิฐิที่ไร้สาระ
พี่สาวจะไม่ยอมกินไอติมที่น้องเลียไปเเล้ว
ถึงเเม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันที่กินข้าวด้วยกันทุกวันก็ตาม
ไม่รู้รังเกียจอะไร...
ราชินีขาวก็เป็นเช่นนั้น
เธอจะไม่ใช่ของที่ผ่านมือน้องของเธอมาเเล้ว
ราชินีขาวยืนเฉยเเละเชิดหน้า
ฝ่ายน้องสาวนั้นยิ้มเยาะอย่างพอใจ
ก่อนเงยหน้ามองฟ้า อูโรโบรอสของเธอคืบคลานมาถึงเขตเอริคาซีเป็นที่เรียบร้อย
เมืองใหญ่เกิดเงามืดมัวทาบทับเเละคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของผู้คน
"นี่เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้!!" ราชินีขาวตวาดเมื่อเห็นร่างปีศาจตัวยาว
เธอทำลายทัพปีศาจไปแล้ว เเต่ใช่ว่ามันจะสิ้นสุด เเละอุโรโบรอสตัวนั้นคือสิ่งที่เธอกลัว
"น่าเสียดายที่ข้าหยุดมันไม่ได้
อุโรโบรอสตัวนี้หิวเต็มทีเเล้ว" ราชินีเเดงหัวเราะ
เเละมองปีศาจร้ายตัวนั้นเหมือนลูกชาย
ราชินีขาวเริ่มร้อนรน
เเม้เธอจะเห็นมังกรนิลกาฬตัวหนึ่งโฉบไปโฉบมาเพื่อก่อกวนอูโรโบรอสที่ตัวใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า
เเต่นั่นก็ได้เเค่ยั่วโมโห
ราชินีขาวมองอูโรโบรอสสลับกับมองร่างของเมทริซ
เธอรู้ดีว่าร่างนั้นมีพลังเวทย์ให้เธอสูบใช้ได้เพียงพอ
เเละเวทย์โบราณของเธออาจเป็นเพียงทางรอดเดียวของมวลมนุษย์
ขอเเค่เพียงเธอสิงร่างนั้น
ได้เวลาทิ้งทิฐิงี่เง่านี่สักที
ราชินีขาวตัดสินใจ
ร่างวิญญานโปร่งเเสงพุ่งเข้าหาเมทริซทันที เเต่ทว่า...
โซ่เส้นเล็กใหญ่มากมายพุ่งออกมาจากผืนดินไกล้ร่างเมทริซ
เเละพันเกี่ยวตัวเธอไว้เหมือนเธอเหยียบโดนกับดัก
ราชินีขาวมองตาขวาง
เพราะเธอรีบร้อนเเท้ๆ ถึงไม่ได้สังเกตว่าร่างนี้มีอะไรป้องกันอยู่
"จับได้เเล้ว!" เสียงชายเเก่ดังขึ้นเรียกความสนใจของผีราชินีให้หันขวับไปมองตัวการของเวทย์โง่ที่มัดเธออยู่นี้
"นั่นมันอะไรน่ะมาคุส" ชายหนุ่มผมขาวที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้น
"วิญญานดวงไหนสักดวงที่จะสิงร่างน้องของเจ้า
เเละก็คงไม่พ้นราชินีเเดงหรือราชินีขาว" ชายเเก่ผู้นั้นตอบ
"วิญญานอะไร
ผมไม่เห็นเลยเห็นเเต่โซ่" ชายหนุ่มถามด้วยท่าทางงงงวย
"ข้าก็ไม่เห็น
ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่เห็นวิญญานเล่าเจ้าศิษน้อย" ชายเเก่ยักไหล่เเล้วก็พยายามควบคุมโซ่ของเขาไม่ให้วิญญานของราชินีหลุดลอยไป
จนราชินีขาวมองตาถลึง เเม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนก็ตาม
ผมเพ่งตามองโซ่ของมาคุส
เหมือนมันมัดอะไรสักอย่างไว้ เเม้เมื่อมองไปมันจะกลวงโบ๋
ผมหวังว่าถ้าเพ่งนานๆเเล้วคงจะเกิดเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง
เเต่ก็เปล่าประโยชน์ ภาพตรงหน้ามีเพียงโซ่เส้นหนาที่มัดความว่างเปล่านั้นเอาไว้เท่านั้น
"ศิษย์น้อยเจ้ายืนบื้อทำอะไรอยู่
ไปผนึกนางซะเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ข้าจะกันนางไว้ไม่อยู่" มาคุสเรียกสติผมก่อนจะโยนบางสิ่งบางอย่างมาให้
ผมรับมันมาดู
สิ่งนั้นมีขนาดเท่าหัวนิ้งโป้ง น่าจะทำมาจากทองคำขาว
มันเป็นรูปนางฟ้าที่สยายปีกงดงาม
เเม้จะขนาดเล็กเเต่รายละเอียดของรูปสลักนี้กลับละเอียดเเละประณีตอย่างมาก
จนผมอยากเห็นหน้าคนเเกะสลักเจ้านี่สักครั้ง
เเต่พลังเวทย์ที่เเผ่ออกมาจากสิ่งนี้บอกผมว่ามันไม่ได้มีดีเเค่รูปที่สวยงามของมัน
"มันคือ?" เเต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะให้ผมมาทำไม
"นั่นคือหินวิญญาน...สิ่งนี้จะช่วยเจ้าผนึกนาง
เจ้ายังจำวงเวทย์ที่อยู่ในวิหารใต้ดินได้ใช่ไหม" มาคุสทำหน้าขรึม
เขามีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมา เเล้วจ้องโซ่ของเขาเขม็ง
เดี๋ยวนะ... โซ่นั่น
ผมเหวอไปสามวิได้
เมื่อเห็นว่าโซ่ของมาคุสพัดรัดหญิงผมทองคนหนึ่งอยู่
ผู้หญิงผมทองคนที่ผมเจอในฝันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใบหน้าเธอดูโมโหร้าย
เเละเธอก็จ้องมาคุสเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ถ้าเธอรอดออกไป
"เร็วเข้า!!" มาคุสเร่ง
โซ่ของเขาสั่นเครืออย่างรุนเเรงเมื่อราชินีขาวสะบัดตัวเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ
ผมทำตามคำสั่งมาคุส
เข้าไปหาราชินีขาว
เเล้วสรุปเรื่องนางฟ้าน้อยที่กำอยู่ในมือผมว่ามันทำให้ผมเห็นวิญญานได้
เมื่อผมอยู่หน้าร่างวิญญานนั่นเธอก็สั่นเป็นเจ้าเข้า
ผมเริ่มงานของตนเอง ผมยังจำเวทย์ที่ใช้ผนึกวิญญานได้ เหมือนมันฝังอยู่ในสมอง
ผมใช้เวลาไม่นานในการตั้งสมาธิเเละร่ายเวทย์
เสียงสถบด่าของราชินีขาวกลายเป็นเสียงอู้อี้ที่ฟังไม่รู้เรื่อง ร่างวิญญานนั้นค่อยๆม้วนบิดเป็นเกลียว
เเละถูกดูดเข้าไปในตัวนางฟ้า
นางฟ้าน้อยในมือผมมีเเรงดึงดูดประหลาดที่สามารถทำให้การผนึกราชินีขาวง่ายขึ้น
ไม่นานเสียงของราชินีขาวก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง
เธอพูดไม่เป็นภาษาเหมือนกำลังทรมาน ก่อนที่นางจะถูกดูดหายไปทั้งร่าง
ผมฟังเธอออกคำนึงท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่บั่นทอนเเก้วหูนั่น
ก่อนเธอจะหายไป
เธอบอกว่า 'ข้าจะกลับมา'
ผมจ้องรูปสลักนางฟ้าเเสนสวยนั่นด้วยสีหน้าหวาดระเเวงขึ้นมาทันที
คงต้องหาที่เก็บดีๆซะเเล้ว
เเต่ผมจะมีโอกาสได้เก็บมันรึเปล่าน่ะสิ
ผมมองไปที่ตัวปัญหาอีกตัวนึง
ไมโครยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยไม่เข้ามายุ่ง เเถมยังมีสีหน้าสะใจอีกตั้งหาก
เเต่พอผมหันไปสบตาก็เปลี่ยนเป็นเเววตาอาฆาตขึ้นมาทันที
ไม่ต้องไปหาไกล
ราชินีเเดงอยู่ที่นี่เอง...
"นี่มันเลวร้ายมาก" ผมบ่นออกมา
มาคุสที่อยู่ไกล้เลยมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
"เจ้ามีเวทย์กาลเวลาอยู่ด้วย
จะไปกลัวอะไร"
"ผมมีเวทย์กาลเวลา
เเละผมก็มีเวทย์ผนึกบนตัวไมโครด้วย" ใช่ นี่เเหละเลวร้ายมาก
มาคุสสอนเวทย์ที่จะดึงวิญญานออกจากร่างให้ผมก่อนที่จะปรี่มาหาเมทริซ
เเต่ก็โชคดีที่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ น้องผมก็ล้มฟุบลงไป
เเละมาคุสก็จับวิญญานราชินีขาวได้ ส่วนวิญญานราชินีเเดงก็ไปอยู่กับไมโคร
ดังนั้นน้องผมปลอดภัย
เเต่หายนะก็บังเกิดเช่นกัน
เวทย์ผนึกงี่เง่าที่ผมยัดลงไปในตัวไมโครพึ่งเเสดงข้อเสียอย่างโจ่งเเจ้งในตอนนี้
เมื่อมีเวทย์นั้นอยู่สิ่งใดก็ตามที่คิดจะทำร้ายเจ้าตัวก็เป็นอันต้องได้รับผลกรรมนั้นกลับ
โชคดีของราชินีเเดงที่วิญญานเป็นสิ่งปลอดภัยสำหรับเวทย์ไร้สมองนั่น
โชคร้ายของผมที่เวทย์ดึงวิญญานเป็นสิ่งอันตรายสำหรับเวทย์ไร้สมองนั่น
ทั้งๆที่ผมเป็นคนร่ายมันขึ้นมาเเท้ๆ
ทำไมถึงได้ทรยศกันอย่างนี้ฮะ!!
"ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆที่ผนึกนาง" เสียงของไมโครที่ไม่ใช่ไมโครเรียกให้ผมตื่นจากการสำนึกในความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตัวเอง
"เเละข้าก็ต้องขอโทษด้วย" ราชินีเเดงยิ้มเย็น
"ที่ข้าปล่อยเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ" สิ้นคำ
ราชินีเเดงก็ชูมือขึ้น เเละร่ายเวทย์ที่ดูคล้ายกับเวทย์ที่เกือบจะฆ่าผมก่อนหน้านี้
เเต่ช่างโชคร้าย
ราชินีเเดงดันเลือกร่างที่ใช้เวทย์ไม่เป็น
ผมมองมือที่ว่างเปล่านั่นเเล้วไว้อาลัยให้เธอสามวิ
เท่าที่ผมรู้สึกได้ ไมโครไม่มีเวทย์สักเเอะเดียว
เรียกได้ว่าไร้พรสวรรค์ทางด้านนี้อย่างสิ้นเชิง
ถ้าไม่มีดาบของเขาที่ลงอาคมเวทย์ไว้อย่างดีไมโครก็จะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์เลย
ต่อให้มีวิญญานของราชินีเเดงผู้เก่งกาจเเต่ถ้าอยู่ในร่างนั้นเธอก็รวบรวมพลังเวทย์ใดๆไม่ได้
ทางเลือกต่อไปของเธอคือเมทริซ
ผมเห็นตาเเดงๆของเธอหันขวับไปที่น้องสาวผม
เเต่น่าเสียดายที่เธอไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่าเวทย์ของมาคุสคอยดักรอเธออยู่ตลอดเวลา
"ผมว่าคุณเป็นวิญญานเฉยๆน่าจะดีกว่าซะอีกนะ" ผมยิ้มหน้าตายให้เธอ
เเน่นอนว่าราชินีเเดงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เเต่โอ้... ผมไม่เคนเห็นไมโครโกรธจนเลือดขึ้นหน้าเสียด้วยสิ
เเหม เป็นบุญตาจัง
ราชินีเเดงโกรธ
เเต่น่าเสียดายอีกเเล้วที่นางก็ไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าหากออกจากร่างนี้มีสิ่งใดรอเธออยู่
ตาเเก่เเคระนั่นจ้องเธอตาไม่กระพริบ
เเละการกลายเป็นวิญญานไร้ที่สิงก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย
เเม้เธอจะพอใช้เวทย์ได้บ้างก็ตาม
"เฮอะ... จะกำจัดเจ้าน่ะ
ไม่ต้องถึงมือข้าหรอก" ราชินีเเดงว่าเเล้วเธอก็ถอยออกไปก้าวนึง
ร่างของไมโครถูกเงาเมฆทาบทับ ส่วนผมอยู่ในบริเวณที้เเสงสว่างส่องลอดออกมาจากเงาเมฆ
อย่างกับเราอยู่คนละโลกกัน ด้านมืด กับด้านสว่าง
โอ๊ะเดี๋ยวก่อน... นี่มันไม่ใช่เงาเมฆนี่นา
ผมมองขึ้นฟ้า
งูยักษ์ตัวนึงกำลังใช้ตาสีเขียวของมันจ้องลงมาบนพื้นโลก
มันสะบัดหางตีอากาศทำให้มันเคลื่อนที่เข้ามาไกล้พื้นดินขึ้นไปอีก
ดั่งมันกำลังเเหวกว่ายอยู่ในนํ้า ไม่ใช่เหนือพื้นโลกที่มีเเรงดึงดูดคอยฉุดมันอยู่
นี่ก็เลวร้าย
เเต่ก็ไม่มีปัญหา
ผมยิ้มให้ราชินีเเดงอย่างเป็นมิตร
เเล้วร่ายเวทย์ที่นึกได้ไปบทนึง ไม่นานผืนดินดำก็มีวงเวทย์เรืองเเสงสีขาวสว่างไสวโผล่มา
มันค่อยๆขยายตัวเองขึ้นเป็นวงซ้อนขึ้นไปเรื่อย
มีเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมาจากวงงเวทย์ที่พึ่งปรากฏ ผมมองหน้าไมโคร
ซึ่งยังนิ่งเงียบ ดูเหมือนเธอจะมั่นใจในสัตว์เลี้ยงของเธอเองซะเหลือเกินนะ
เเต่ผมก็มั่นใจในสัตว์เลี้ยงของผมเหมือนกัน
เเรงสั่นสะเทือนดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้มาพร้อมกับกรงเล็บมหึมาที่ตะกายออกมาจากวงเวทย์
เฉลย ผมใช้เวทย์อันเชิญครับ
เเละผมก็อัญเชิญสัตว์เลี้ยงเพียงหนึ่งเดียวของผม...
กรงเล็บอีกข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากวงเวทย์
ก่อนที่จะดีดตัวมันเองขึ้นมาพร้อมร่างสีขาวระยิบทะยานสู่ฟ้า
มังกรยักษ์คำรามลั่นเพื่อประกาศศักดา
ไทปัส...
ผมเรียกชื่อนั้นเพียงในใจ
เเละก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นกลับมา
เสียงนั้นทำให้ผมมั่นใจว่าไม่ต้องห่วงเรื่องปีศาจตัวร้ายนั่น
เเละหันมาสนใจไมโครผู้ถูกสิง ซึ่งตอนนี้กำลังชักดาบออกมา
อ้อ
จริงๆเเล้วเหล่าราชินีเจ้าปัญหาก็น่าจะใช้ดาบเป็นนี่นะ พวกเธอเป็นศาสตร์ทุกเเขนง
ผมไม่น่าประมาทเพราะคิดว่าเธอเป็นเเต่เวทย์เลย เพราะพวกที่ดีเเต่เวทย์คงมีเเต่ ผม
นี่ เเหละ
ว่าเเล้วดาบนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมพร้อมรังสีอาฆาต
เเต่มันไม่ถึงตัวผมเพราะเกราะของมาคุส
ดาบยาวเล่มนั้นจึงพยายามลงเเรงดันเกราะให้เเตกสุดความสามารถ
"มีวิธีดีๆไหมท่านอาจารย์"
"มันก็มีอยู่หรอก
เเต่ต้องใช้เวลา..."
เปรี๊ยะ...
ผมเห็นรอยร้าวบนบาเรีย
"น่าเสียดายที่เรามีไม่มาก"
เพล้ง!!!
บาเรียใสเเตกออกต่อหน้าต่อตา
ต่อมาคือผมที่หลบรัศมีดาบเเบบเอาเป็นเอาตายกับมาคุสที่ยืนมองอยู่ไกลๆกับโซ่เส้นเล็กเส้นน้อยที่พยายามถ่วงเเข้งถ่วงขาไมโคร
ถึงเเม้จะโดนเขาฟันเละก็ตาม
"เจ้าหยุดเวลาสิศิษย์น้อย" มาคุสตะโกนบอก
ผมก็อยากจะหยุดอยู่
เเต่ดาบที่ฟันไล่มาไม่มีเวลาให้ผมทำเลยนี่สิ
ว่าเเล้วผมก็พลาดโดนฟันที่ท่อนเเขนไปเเผลนึงเหตุเพราะมัวไปสนใจมาคุส
เจ็บ--เลยโว้ยยยยยยย
เเผลที่เจ็บเเปลบกับเลือดที่กระโชกออกมาทำให้ผมเผลอตัวลดมืออีกข้างไปกุมไว้ตามสัญชาติญาน
เเต่นั่นก็เป็นจังหวะเเห่งความซวยให้ดาบฟันลงมา
ดีที่เเค่ซวย ไม่ใช่ถึงฆาต
ดาบสั้นอีกเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาสะกัดดาบของไมโครจนกระเด็นออกไป
ถึงมันจะเป็นเเค่ดาบสั้น เเต่ทำหน้าที่ได้ไม่เเห้หอกเลยทีเดียว
ผมเเละราชินีเเดงหันไปตามวิถีดาบไม่ทราบที่มาเมื่อครู่พร้อมๆกัน
"อย่ารังเเกผู้ที่ออ่นเเอกว่าสิ" เเฟนเทียสเท้าเอวอยู่ไม่ไกล้ไม่ไกล
เเต่ท่าทางหนิ่งยโสกว่าผู้ใดนั้นยังอยู่กับเขา
ราชินีเเดงกัดฟันกรอดเมื่อโดนขัดใจ
นางกลับไปหยิบดาบขึ้นมา เเละผมก็ใช้จังหวะนั้นพุ่งพรวดไปหามาคุสที่น่าจะพึ่งพาได้
เเฟนเทียสเดินเข้ามาพร้อมดาบสั้นอีกเล่มของเขา
เจ้าชายผู้ใจดีมาหยุดยืนคั่นกลางระหว่างราชินีเเดงกับผมเเละมาคุส
"เขาดูเเปลกๆ" ดูเหมือนเเฟนเทียสพึ่งจะรู้สึกตัวได้
เขากำดาบสั้นให้เเน่นกว่าเดิม
"นั่นไม่ใช่ไมโคร
เขาโดนสิงโดย... วิญญานร้าย" ผมสรุปเรื่องให้ผู้มาใหม่
การที่ผมไม่บอกว่าถูกสิงโดยราชินีเเดงคงจะลดนํ้าลายที่ออกจากปากไปอีกเยอะ
"เลวร้าย" เเฟนเทียสเลิกคิ้ว
ดูเขาจะเข้าใจอะไรง่ายหน่อย "เเล้วจะทำยังไงต่อ"
"ต้องเอาวิญญานร้ายออกมา" มาคุสเป็นผู้ตอบ
"ข้าต้องการเวลา
หวังว่าท่านจะช่วยเราได้"
"เอาวิญญานร้ายออกมาหรือ" เเฟนเทียสตีความคำว่าช่วยเป็นถ่วงเวลาไม่ได้
ซึ่งนั่นนำพาความคิดเเปลกๆของเขาออกมา "งั้นก็ทำให้ปางตายซะสิ"
"ไม่
ข้าไม่ได้หมาย-"
เคร้งง!
เสียงดาบปะทะกันตัดคำพูดขอบมาคุส
เเถมผู้ที่เริ่มก่อนเป็นเเฟนเทียสที่มากับรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจเสียด้วย
"ผมเห็นด้วยกับเขานะ" ผมลงความเห็น
เเต่ความเห็นนั้นดันทำให้มาคุสจิกตาใส่
"ตามข้ามาทางนี้เร็ว
เรามีเวลาไม่มาก" มาคุสลอยวูบเข้าเขตวังซึ่งผมต้องเร่งฝีเท้าวิ่งตาม
"ท่านคิดจะทำอะไร?"
"ข้ามีเวทย์ดีๆอยู่
หวังว่ามันจะใช้ดึงวิญญานราชินีเเดงออกมาได้ " หลังให้เหตุผลมาคุสก็เเทบจะติดเทอร์โบจนผมต้องเร่งสปีดซะไม่มีเวลาถามให้มากกว่านั้น
มาคุสหยุดอีกทีก็ตอนที่ผมมาถึงสวนในเขตวังหลวง
สวนที่มีวิหารอยู่ใต้ดิน
เเละสวนที่มีอดีตพระราชาเเห่งเอริคาซีอยู่ใต้ดินด้วยเช่นกัน
"นี่น่ะเหรอ... เวทย์ที่ว่า" ผมมองตรงไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามาคุส
นั่นคือวงเวทย์ขนาดกลางวงหนึ่ง มันอยู่บนหินสีขาว
ที่ผมจำได้ว่าเคยเป็นวิหารของเรอา เศษวิหารที่พังลงไปน้าจะถูกเก็บไปหมดเเล้ว
จึงเหลือเเค่พื้นเปล่าๆกับวงเวทย์รูปดวงอาทิตย์... ที่ยังไม่สมบูรณ์
"มันเคยใช้ผนึกราชินีขาว
ข้าเเอบมาดัดเเปลงนิดหน่อยตอนเจ้าหยุดเวลา ใช้เผื่อเป็นเเผนสำรอง
เเต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์ " มาคุสหันมาทางผมด้วยความหวัง "เวทย์จะไม่ทำงานหากไม่มีอักขระขาวกับเลือดของเทพ"
ผมสบตามาคุส สลับกับวงเวทย์
เเละก็พิจารณามันอยู่ชั่วครู่ เเล้วหันกลับมามองมาคุส... ผมพอจะเข้าใจเเล้วว่าเวทย์นี้ทำงานอย่างไร
"เจ้าหยุดเวลาได้นี่
มันคงจะง่ายขึ้นเยอะ" มาคุสเอ่ยทางเลือกหนึ้งขึ้น
เเต่ผมส่ายหน้าทันที
"เป็นไปไม่ได้
ผมเเตะโดนตัวเขาเพียงนิดเดียว เขาจะหลุดออกมาอยู่ห้วงเวลาเดียวกับผม " คำตอบของผมทำให้มาคุสขมวดคิ้วมุ่นทันที
เเต่เขาก็เครียดได้ไม่นาน...
โครมม!!
เพราะมีสิ่งที่ทำให้เขาต้องเคียดเพิ่มขึ้นอีก
"เจ้ากระต่ายน้อย..." เสียงหลอนๆ... ซึ่งเป็นเสียงของไมโครเเน่ๆผมจำไม่ผิด
เเต่เขาไม่เคยทำเสียงน่ากลัวเเบบนี้
"เเฟนเทียสเสียท่าเเล้วหรือ" ผมสะดุ้งพรวดทันทีที่ได้ยินเสียงนั่น
เเล้วเริ่มลนลานหาที่ซ่อนเมื่อเห็นผนังรอบด้านมีฝุ่นร่วงกราว
เเละเสียงโครมครามที่ดังไม่หยุด ทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อไปซะหมด
"เจ้าชาย(ตัวประกอบ)หรือจะเอาชนะราชา(พระเอก)" มาคุสเปรยออกมา
"ข้าจะพยายามทำให้เขาอยู่นิ่งๆ
เจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าล่ะ" ว่าจบมือของมาคุสก็ตะปบกันเป็นเสียงดัง
วงเวทย์สีฟ้าใสผุดขึ้นมากมายตามพื้น
โครมม!!
เเละไมโครก็ประกฏตัวออกมาโดยการพังกำเเพง
ซึ่งผมอยากจะเถียงว่ามีประตูบานเบ้อเริ่มเปิดอยู่ข้างๆ
เมื่อไมโครก้าวเข้ามา
วงเวทย์มากมายของมาคุสก็ทำงานทันที โซ่เงินที่เป็นเอกลักษณ์ของมาคุสผุดขึ้นมาจากวงเวทย์นั่น
เเละพุ่งเข้าหาไมโคร รัดเขาจนกลายเป็นมัมมี่
"เอาเลย!!" มาคุสให้สัญญาน
ผมวาบไปหน้าไมโครตามคำสั่ง
นิ้วที่เปื้อนเลือดจากเเผลที่ท่อนเเขนเมื่อครู่ถูกเอามาใช้ ซึ่งผมยังเจ็บเเผลอยู่
เจ็บมาก เจ็บจนนึกเสียใจว่าทำไมผมไม่ทำเเผลให้เรียบร้อยเสียก่อน
เเต่ผมคงไม่อยากมาทำเเผลในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
ว่าเเล้วผมก็เริ่มละเลงอักขระเวทย์ด้วยเลือดบนหน้าผากของไมโคร เขาคำรามลั่น
ผมได้ยินเสียงโซ่ที่ขาดจากคมดาบ เเต่ผมเหลืออักขระเวทย์อีกตัวเดียวเท่านั้น
มาคุสที่อยู่ด้านหลังเมื่อเห็นโซ่ของเขาขาด
เเละดาบที่กำลังฟันลูกศิษย์ตน
ก็ไม่ลังเลที่จะใช้โซ่เส้นที่มีอยู่กระชากลูกศิษย์ออกมาจากรัศมีดาบ
เเต่เขาลืม เขาลืมจริงๆ
ลืมจริงๆว่าตนเองก็อยู่ในรัศมีดาบนั้นด้วย
ประกายสีเงินจากดาบเปล่งออกมาอย่างเเรงกล้า
ประกาศว่าผู้ที่สลักเวทย์ลงในดาบเล่มนี้มีฝีมือมากเพียงใด
มันประกาศได้ชัดเขนว่ามันได้ดื่มเลือดปีศาจกว่าร้อยตนมาเมื่อครู่
เเต่ครั้งนี้มันได้ดื่มเลือดของคนเพียงคนเดียว
เพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในรัศมีดาบของมัน
คนเเคระเฒ่าคนนึงที่อยู่ดูโลกมาเเสนนาน เเละเขาไม่ได้สนใจสักนิดว่าตัวเองจะอยู่ดูโลกได้อีกนานเท่าไร
มาคุสใช้โซ่ทั้งหมดที่เขาพอเสกมาได้คุ้มกันไวซานเสียหมด
เเละรับคมดาบนั้นอย่างไม่กลัวเกรง กุหลาบเเดงโปรยทั่วร่างของเขา มันเบามาก
เเต่กลับหนักจนเขาล้มลง มันทับปอดของเขาจนหายใจไม่ออก
มันบาดขั้วหัวใจของเขาจนมันไม่มีเเรงเต้นต่อไป
มาคุสสิ้นใจอย่างสงบท่ามกลางสวนของพระราชวัง
ท่ามกลางหลุมศพมากมายของอดีตพระราชา
ท้ายที่สุดใบหน้าของเขาก็มองไปยังหลุมศพของสหายรักก่อนหลับตาลง
ผมหลังกระเเทกพื้นอย่างเเรง
เเละโซ่มากมายเหล่านั้นก็เเทบรัดคอผมตาย เเต่ผมยังมีชีวิตอยู่พอได้เห็นศพของมาคุส
ขาของผมเเข็งเกร็ง ผมสั่งให้มันขยับ
พยายามให้มันขยับ
สุดท้ายก็ถอยได้เเค่ก้าวสองก้าวพร้อมกับเสี้ยวหน้าของไมโครที่ไม่ใช่ไมโครค่อยๆหันมา
ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
เเต่เเค่นั้นก็ทำผมกลัวจนขยับไปไหนไม่ได้เเล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมถึงพึ่งมากลัวเอาตอนนี้
จนกระทั่งผมได้ยินเสียงร้องคำรามจากด้านนอก
เป็นเสียงคำรามอย่างองอาจของมังกร
ไม่ใช่ไทปัส
สัญชาติญานของผมบอกอย่างนั้น
งั้นคงเป็น ทรูซ
ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นโผล่เข้ามาในความคิดผม
ก่อนจะลามมาถึงคำพูดของเขา
'ทำอย่างที่ท่านเเม่ของท่านได้ทำไว้เมื่อสองพันปีก่อน...'
ผมถอนหายใจเฮือก
สิ่งที่เเม่ทำนั้นดูยิ่งใหญ่ เเละมันหนักมากทีเดียว
'เเต่ท่านจะทำมันหรือไม่... ก็ขึ้นอยู่กับท่านเเล้ว'
เเต่...
มันยิ่งใหญ่หรือ? มัน หนัก
มากหรือ?
เเม่ของผมเเค่ปกป้องบ้านของตนเอง
เเละถ้าที่นี่คือบ้านของเเม่
ที่นี่ก็คือบ้านของผมด้วย
เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ความคิดนั้นเเวบเข้ามาผมก็หันตัวออกวิ่งทันที
ผมวิ่งไปยังกลางสวน ที่นั่นมีหอคอยอยู่ สูงพอสมควร เเต่ขาของผมกลับมีเเรงมหาศาลที่วิ่งขึ้นบันไดวนโดยไม่พัก
ราชินีเเดงตามมา ผมรู้ เธอมาพร้อมความเกรี้ยวกราดเสมอ
เเละความเกรี้ยวกราดของเธอก็มีเสียงดังเหลือเกิน
จนกระทั่งผมมาถึงบนสุดของหอคอย
ที่นี่เเคบมาก มันเป็นที่ที่มีไว้ชมวิวข้างล่างเฉยๆมากกว่ามองสำรวจดวงดาวบนฟากฟ้า
เเต่ความเเคบนี้เองที้จะรับประกันว่าผมจะสามารถเข้าไกล้ตัวไมโครได้มากที่สุด
"กระต่ายน้อย..." ราชินีเเดงยังพูดคำเดิม
ผมได้ยินเสียงเหล็กกระทบกับบันไดหิน เป็นเสียงดัวเเก๊ง เเก๊ง เเก๊ง
ที่ทำให้หัวใจเต้นระทึก
ร่างของไมโครโผล่ออกมา
ผมจิกเล็บเข้ากับเเผลเก่าจนเลือดที่เเห้งกรังกลับมาชุ่มฉํ่า
"ทำไมคุณถึงอยากทำลายมนุษย์นัก" ผมถาม
คำถามที่ความคิดตื้นๆของผมบอกว่าการนั่งคุยเเละไกล่เกลี่ยดีๆจะยอมลบความเกลียดชังที่สะสมมากว่าสองพันปีได้
"เพราะมนุษย์ทำร้ายข้า" นางตอบสั้นๆ
ร่างของไมโครเดินมาตรงหน้าต่างบานใหญ่บดบังเเสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา
ผมถอนหายใจเฮือก
หากมัวยืดเยื้อคงไม่ได้เสียเเล้ว
ผมก้าวเขเาไปหาร่างของไมโคร
เเค่สองสามก้าวก็ถึงตัวเขาเเล้ว
เเต่ผมคิดตื้นๆเกินไป
เพราะดาบยาวนั้นรอรับออ้มกอดของผมอยู่
ดาบนั้นเเทงทะลุร่างนำมาซึ่งความเจ็บปวดเกินบรรยาย ผมไม่รู้ว่ามันเเทงโดนส่วนไหน
ปอด หรือหัวใจ
"เจ้าช่างโง่เขลา" ราชินีเเดงเอ่ยขึ้น
เเต่ผมตอบเธอด้วยรอยยิ้มเยาะ
"จับตัวได้เเล้ว..." ผมกุมไหล่ไมโครให้เเน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเปล่าที่ดาบนั้นก็ช่วยคํ้าตัวผมไม่ให้ร่วงไปกองกับพื้นด้วย
ส่วนอีกมือหนึ่งก็บรรจงวาดอักขระตัวสุดท้ายบนหน้าผากของไมโคร
ราชินีเเดงตกใจจนเหวี่ยงผมลงหน้าต่างบานนั้นไป
เเต่ก็สายไปเสียเเล้ว วงเวทย์ที่มาคุสเเอบไปวาดเรืองเเสงวาบ
เเละอักขระบนหน้าผากของไมโครก็เช่นเดียวกัน
เเต่ผมร่วงลงไปแล้ว
ระหว่างที่อยู่กลางอากาศ
ผมนึกถึงเวทย์กาลเวลาเเละร่ายมัน
เเต่น่าเเปลกที่เวทย์นั้นไม่ตอบสนอง
ดั่งรอยยิ้มของเวซานปรากฏขึ้นตรงหน้าในช่วงไม่กี่วินาทีนั้น
เเละคำพูดของเขา
'ยมทูตจะเขียนชื่อของคุณไว้บนกำเเพง...'
---------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนหน้าเจ้าค่ะ <3
ไม่สวยเเต่ก็อยากอวด #น้องซันนี่
ความคิดเห็น