ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #33 : XXXII_เรื่องนี้มีเพียงตัวร้ายเท่านั้นที่จะทำได้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 257
      1
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT
    XXXII

    เรื่องนี้มีเพียงตัวร้ายเท่านั้นที่จะทำได้











             เมื่อผมกลับมาถึงบ้านกระต่าย ฟ้าก็มืดเเล้ว วันนี้ไม่มีพระจันทร์ เป็นคืนเดือนมืด เเสงเดียวที่สาดส่องคือเเสงจากดวงดาวกับคบเพลิงอันน้อยเท่านั้น

             เเซ่กๆๆ

            เสียงเเหวกพงหญ้าทำให้ผมสะดุ้งรีบหันไปทางต้นเสียงทันที

            "ใครน่ะ!"ผมประกาศออกมา เเล้วก็เห็นร่างสีขาวเเหวกตัวออกมาจากพงหญ้า

            "กระผมเองขอรับ" เป็นบักกี้ในร่างกระต่ายตัวโต

            "เจ้านี่มันไวเป็นบ้า"กับเจ้าเเมวดำเมลโล่ที่กระโดดลงมาจากหลังบักกี้

            "ถ้าไม่ได้ความเร็วของผมท่านมาไม่ทันเเน่ขอรับ" บักกี้เเย้ง "อ๊ะดูสิ คุณเเมว คุณข่วนหลังผมเป็นรอยหมดเลย" บักกี้เปลี่ยนร่างเป็นเวซาน เเล้วหันหลังดูเเผลเเดงเป็นรอยลากยาวบนเเผ่นหลัง

             "อ๊ะ ขอโทษที ก็เจ้าวิ่งเร็วเกินไปเองนี่ ข้าก็กลัวจะร่วงน่ะสิ มานี่้เดี๋ยวเลียให้" ตามด้วยเจ้าเเมวที่คืนร่างเป็นมนุษย์ เเล้วมันก็เเลบลิ้นออกมา ยื่นหน้าไปที่เเผ่นหลังของเวซาน.... เเต่ผมเหรอจะยอม

             หมับ!!

             มือผมยื่นไปที่คางของเจ้าเเมวเเล้วเชิดมันขึ้นก่อนที่มันจะไปเลียเวซานเข้า

             "อะไรออ๋งเอ้าอ่ะ(อะไรของเจ้าน่ะ)"เมลโล่พูดอู้อี้เพราะผมบีบคางมันอยู่พร้อมส่งยิ้มโหดๆ

             "เวซานมันมีเวทย์ของมันน่า มันรักษาของมันเองได้" ผมพูดเเล้วบีบเเก้มเจ้าเเมวเล่นๆ

             "อ๋ะ! อื๋อเอ้าอากเอียอ้าง(อ๊ะ! หรือเจ้าอยากเลียบ้าง)"

             "..." เอาเป็นว่าผมทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องละกัน

             "เอ๋... ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ผมก็อยากรู้เรื่องพลังรักษาของเมลโล่เหมือนกัน" เวซานเอ่ยขึ้น

             "ไม่" ไม่ต้องเลยนะ อย่ามาทำอุบาทเเถวนี้

             "อ๊ะ... หรือท่านอยากรักษาให้กระผม" เวซานเอียงหน้าเข้ามากระซิบข้างๆหู

            "เจ้าอยากเลียเจ้าก็บอกสิ!!" เมลโล่เข้ามาผสมโรงด้วยความไร้เดียงสาอันน่าตบบ้องหูของมัน

            "ไม่ว้อยย อยากทำอะก็ทำไปเลย"ผมหน้าเเดงโมโหจนลมออกหู เเล้วก็ก้าวฉับๆออกมา

             มีเสียงหัวเราะคิกๆคักๆดังมาจากพวกมันสองคน ผมเเอบเหลือบมอง เวซานใช้เวทย์ของตนเองรักษาบาดเเผล ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับอะไมเลสของเมลโล่ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักผมจึงค่อยเข้าประเด็น

           "เมทริซเป็นไงบ้าง"

            "เธอสบายดี" เจ้าเเมวบิดขี้เกียจ "เเต่ข่าวนี้สิไม่สบาย ราชินีเเดงวางเเผนจะยึดที่นี่ในอีกสองเดือน"

             อ่าใช่... เมลโล่รู้ความเคลื่อนไหวของเหล่าปีศาจ เเต่เป็นเพราะเมทริซต่างหาก เธอยอมทำหน้าที่เเทรกซึม เเละส่งข่าวมาให้พวกเรา

             "สองเดือนสินะ..." ผมพึมพำ อาจจะดูนาน เเต่ไวไปสำหรับมนุษย์ที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่

             "ท่านไวซาน" อยู่ๆซันนี่ก็โผล่มา เธอยังใส่ชุดเมดเหมือนเดิม เเต่กระโปรงสั้นกว่าเดิม

             "รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ"

             "อืม..."

             ผมตอบรับก่อนที่อักขระเวทย์เคลื่อนย้ายสีเขียวเรืองรองของซันนี่จะผุดขึ้นมา

     

     

     



     

              เอริคาซียามดึกสงัดนั้นเงียบกริบ ทั้งที่เเต่ก่อนมันเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล มีเสียงดนตรี กองไฟ งานครื้นเครง เเละเสียงหัวเราะ....

              เเต่บัดนี้มันเงียบกริบ...

             ยามหน้าประตูส่งเสียงหาวออกมา นั่นบอกว่าเขาง่วง เเละบอกว่าเขายังไม่หลับ คนหลับหาวไม่ได้หรอก

             ผมอยู่หลังพุ่มไม้กับซันนี่ไม่ได้อยู่ห่างจากประตูเมืองนักเเต่ห่างพอที่จะทำให้ยามหน้าประตูไม่รู้ตัวว่าผมกำลังรอจังหวะที่จะลอบเข้าไป

             "เราปีนกำเเพงไปไม่ได้เหรอ" ผมหันไปถามซันนี่

             "ไม่ได้เจ้าค่ะ หากเราปีนจะมีเสียง"

             "เเล้วเวทย์เคลื่อนย้ายล่ะ"

             "มีนักเวทย์กระจายตัวอยู่หลังกำเเพงเจ้าค่ะ พวกเขาคอยจับไอเวทย์ที่เเปลกปลอมเข้ามาอยู่ตลอดเวลา"

              เวร... ผมกลอกตา การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น คงเพราะไม่มีเขตอาคมอยู่เเล้ว      

             "เเล้วเราจะไปยังไงกันดี" ผมถาม

             ซันนี่ทำจมูกฟุดฟิดอยู่สองสามครั้งเเล้วจึงค่อยมาตอบคำถามของผม

             "เราต้องเข้าทางประตูใหญ่เจ้าค่ะ ฉันจะล่อพวกเขาเอง" ว่าเเล้วซันนี่ก็เเปลงเป็นกระต่ายตัวเพรียววิ่งเข้าไปในพงหญ้า

             "ซันนี่เดี๋ยว..." ผมห้ามไม่ทัน เธอกระโดดไปแล้ว

             เฮ้! อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวเซ่!!

             ไม่ทันเเล้ว... เสียงเเซกๆเกิดขึ้นกลางพุ่มไม้ด้วยความตั้งใจของซันนี่ เรียกความสนใจของทหารยามทั้งสองได้เป็นอย่างดี เเละทหารคนเเรกก็เดินมาดู...ตามด้วยคนที่สอง...

            ตอนนี้เเหละ!

            ผมวิ่งเข้าพรวดเข้าประตูไปทันทีก่อนจะม้วนตัวเข้าไปหลบในเงาของกำเเพง

            ฟู่... เข้ามาจนได้ เมื่อกี้นี่เกือบไปแล้ว...

           ผมมองทหารยามสองคนที่เจอเเต่กระต่ายตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากพงหญ้า กระต่ายตัวนั้นไม่ได้มองทหารยาม เเต่มองมาที่ผม

           สายตาเเบบนั้น เเสดงว่าผมต้องฉายเดี่ยวสินะ...

           เดี๋ยวก่อนสิคุณเธอ!! ลืมไปรึเปล่าว่าผมยังใช้เวทย์ไม่ได้น่ะ โฮฮฮฮฮฮ ก็อดดดดดดดด

           จนเเล้วจนรอดผมก็ต้องลุยเดี่ยวลัดเลาะไปตามซากตึก ผมเกือบจะขอบคุณเจ้าปีศาจที่อุสส่ามาพังบ้านเรือนพวกนั้น เพราะถ้าไม่ได้พวกมัน ผมโดนเจอตัวไปแล้วเเน่ๆ

             ผมเจอทหารที่เดินตรวจเวรยามทุกๆห้านาที เเล้วก็ทุกๆสามนาทีเมื่อเข้าไกล้วังหลวง ผมนึกโกรธตัวเองที่อะไรๆก็พึ่งเเต่เวทย์มนต์ เเล้วก็คิดถึงท่าโดดถีบมหาประลัยของเมทริซที่ไม่ต้องพึ่งเวทย์สักบท เอาล่ะ ถ้าผมรอดไปได้เมื่อไรผมจะให้เธอสอนทันทีเลย

             ผมลัดเลาะไปตามซากตึก หลบทหารยาม เเล้วก็หลบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภัย ดีที่โลกนี้ไม่มีการฝึกหมาให้ดมกลิ่น ไม่งั้นผมม่องเเน่ เเล้วผมก็มาถึงหน้าประตูวัง ถึงเเม้จะทำได้เเค่ดูจากระยะไกลก็ตาม ประตูวังหลวงการคุ้มกันหนาเเน่นมาก คบเพลิงถูกจุดไว้ถี่ มีอัศวินเฝ้าอยู่ด้วย ไม่ใช่มีเเค่ทหารยาม

            'เป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณจะเข้าไปในวังหลวงได้ การป้องกันของวังตอนนี้เเน่นหนามากนะขอรับ'

            บักกี้พูดไว้ก่อนผมออกมาจากบ้านกระต่าย ใช่ ผมรู้ ผมคนเดียว เข้าไปไม่ได้หรอก

            ผมออ้มไปอีกทาง ไม่ไกลจากนั้นมีรั้วสีเทาทะมึนที่ให้บรรยากาศเหมือนบ้านผีสิงอยู่ มีอัศวินหนุ่มคนหนึ่งยืนหาวเฝ้ายามอยู่หน้าประตูนั้น

            ที่นี่คือคุกใต้ดิน...

            ผมสูดอากาศเย็นๆเข้าไปเต็มปอด เเล้วเดินออกมาจากมุมมืด เผชิญหน้ากับอัศวินที่เฝ้ายามอยู่ ด้วยรอยยิ้มอ่านยากที่พยายามเลียนเเบบเจ้าเวซาน

            "จะ...จะ... เจ้า....ผะ...ผะ...ผีดิบ..." อัศวินหนุ่มละลักละลํ่า เหมือนเขาจะตื่นเต็มตาเลย

            เกลียดฉายานี้ชะมัด ทำไมต้องเรียกผมว่าผีดิบด้วย ผเเค่นอนสลับเวลากับชาวบ้านเขาเองนะ

            "ใจเย็นๆ ผมมามอบตัว" ผมยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เเต่เเทนที่เขาจะลากผมลงคุกตามบท กลับวิ่งเเจ้นไปซะงั้น

             อะไรของมันฟะ... ผมยืนยิ้มค้มงอยู่ตรงนั้น พลางด่าเจ้าอัศวินไม่รู้หน้าที่นั่นในใจ

             เเต่อัศวินหนุ่มก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขากลับมาอีกทีพร้อมพาเพื่อนมาด้วย

            หูวววว ที่เเท้ก็ไปเรียกพวกนี่เอง ฉลาด(?)นี่

            อัศวินทั้งห้าหกคนนั้นล้อมผมเป็นวงกลมเเล้วชักดาบออกมา เเต่ท่าทางของพวกเขาดูเงอะงะเเล้วก็กล้าๆกลัวๆ

            อะไรกัน ผมมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ

            ดูเหมือนผมจะคิดหยามพวกเขาไปหน่อย อัศวินคนหนึ่งเดินเข้ามา คนเดียวกับที่เจอผมตอนเเรกนั่นเเหละ เเละเขาถือโซ่มาด้วย

            "ขะ..ขะ...ขะ ข้าจะจับเจ้าเเล้วนะ"

           จ้ะ เชิญจ้ะ....

           เเล้วอัศวินท่านนั้นก็เอากุญเเจมือของเขามาใส่มือของผม มันมีโซ่เกี่ยวด้วย คล้ายๆสายจูงเลยเเฮะ   

           "เกิดอะไรขึ้น" เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังสำรวจกุญเเจมือรุ่นต่างโลก เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีนํ้าเงินเข้ม ผมสีดำขลับหวีเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเเฝงเเววเยือกเย็น...ท่านพัศดีจินซิลนั่นเอง

            'มีคนนึงที่อาจจะช่วยเราได้' เมทริซเเย้งไมโครขึ้นมาในตอนนั้น สิ่งที่เธอเอ่ยเหมือนเป็นความหวังเเละมันจะดีมากถ้าไม่มีคำว่าอาจจะ

             คนคนนี้สินะ...

             ผมมองไปที่เขา จ้องตาของเขา

            'เขาอ่านใจเราได้ ทั้งหมดเลย ทั้งความคิด ทั้งความทรงจำของเรา เขาต้องเข้าใจเราเเน่' เมทริซละลักละลํ่าเอ่ยออกมมา

            'เขาเป็นคนดีมากเลย'

            เเละเมทริซก็บอกไว้อย่างงั้น

            เหอะ...ไม่รู้หรอกนะว่านายจะดีงามยังไง...

            เเต่บังอาญมาจิ๊จ๊ะกับน้องสาวของพี่ชายคนนี้!! เเก๊กกกก!! บังอาจนักกกกก!!!

            ว่าเเล้วผมก็ยัดจิตสังหารลงลูกกะตา เเล้วก็ส่งไปจิกกัดคุณผู้ชายที่อ่านใจผู้นั้นเต็มที่

            เเละปฏิกิริยาตอบรับของเขาคือ... เมิน

           ไอ้คุณเบื๊อกนั่นนนนนนนนนนนนนน

           จินซิลไม่สนใจ เขาเดินเข้ามาในวงอัศวิน เเล้วก็จับโซ่ที่คล้องกับกุญเเจมือของผม โดยไม่สนใจสายตาจิกกัดที่ผมส่งไปให้

           "ข้าจะจัดการนักโทษคนนี้เอง" จินซิลว่า "ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด จำไว้ล่ะ ว่า-เด็ด-ขาด" จินซิลกวาดสายตามองอัศวินทุกคน จนต้องกลืนนํ้าลายเอื๊อกๆกันเป็นเเถว

            จินซิลลากผมออกไป ไม่มีใครตามมา ผมว่าเขาน่าจะอ่านใจได้จริง งั้นก็เข้าใจเเผนของผมเเล้วใช่ไหม?

            จินซิลลากผมลงไปยังคุกใต้ดินอันหนาวเหน็บ ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ ผมระเเวงเขาอยู่ตลอด ถ้าเขารู้จุดมุ่งหมายของผมจริง จะลากผมลงมาคุกใต้ดินทำไม ถึงเมื่อกี้เขาจะสั่งให้อัศวินปิดปากเงียบเรื่องผมก็เถอะ

             เเล้วความจริงก็ปรากฏ จินซิลโยนผมลงคุกหน้าตาเฉย เเถมล็อกกลอนให้ด้วย...

            "เฮ้!! เดี๋ยวสิ นายจะไปไหนน่ะ" ผมตะโกนไล่หลัง อะไรกันเนี่ย ผมหวังดีจะช่วยมนุษยชาตินะ โยนผมลงคุกเฉย

            "หุบปากซะเจ้านักโทษ" จินซิลว่า "มามอบตัวไม่ใช่เหรอ ก็ต้องโดนขังสิ"

            อะไรจะซื่อตรงปานน้านนน

            "เฮ้!! นายอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ" ผมตะโกนไล่หลังเขาเเต่จินซิลก็ยังเดินลิ่วๆไป เเถมยังเเกว่งลูกกุญเเจเสียงดังเก๊งๆชวนกวนประสาทอีก ผมนิ่วหน้า เเล้วก็ตะโกนไปอีกที

           "ก็เมทริซบอกว่านายอ่านจะ...อุ๊บ!"

            เเละท่านพัสดีที่เดินสบายๆอยู่ก็พรุ่งพรวด เข้ามาล็อกคอเเล้วก็ปิดปากผมผ่านซี่ลูกกรงทันที

            "อย่าได้ประกาศเรื่องนี้กับใครเชียวเจ้านักโทษ" จินซิลทำเสีงขู่ เเต่ผมเลิกคิ้วอย่างท้าทาย อย่างนี้นี่เอง เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองอ่านใจได้สินะ

             เหหหหห ถ้าจะไม่ให้ผมพูดท่านคงต้องอุดปากผมไปตลอดเลยนะ

             ผมคิดในใจ ยังไงเขาก็อ่านใจได้อยู่เเล้วนี่ รู้สึกสนุกดีเเฮะ พูดกันในใจเเบบนี้น่ะ ฮะฮะฮะ~

            "ข้าจะตัดลิ้นเจ้า!!"

            อ้าว เเย่สิ งั้นใช้มือเขียนเอาก็ได้

            "ข้าจะตัดมือเจ้าด้วย"

            งั้นใช้เท้าเขียน...

            "ข้าจะตัดขาทั้งสองข้างของเจ้า"

            เอาปากคาบดินสอเเล้วเขียนก็ได้เอ้า

            "ข้าจะเลาะเหงือกของเจ้า"

            อืม...งั้นส่งกระเเสจิตเป็นไง อะ...ไม่ดีกว่า ไม่งั้นผมคงโดนตัดหัว โอ๊ะ... จะว่าไปท่านนี่ก็พูดคนเดียวเก่งนะท่านพัศดี

            "นี่เจ้า!!"

            อุวะฮ๊ะฮ๊ะฮ๊ะฮะ~ ผมอยากหัวเราะจริงๆนะ เเต่โดนปิดปากอยู่เพราะงั้นหัวเราะในใจเอาก็เเล้วกัน

            เเววโกรธสะท้อนออกมาจากดวงตาอันเย็นชาของเขาวูบหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปเร็วๆพอๆกับตอนที่มันเกิดมา

             "ข้าเข้าใจเเผนของเจ้า เเต่หน้าที่ของข้าคือคุมขังคนผิด ส่วนเรื่องนั้น...ข้าจะเป็นคนทูลกับฝ่าบาทเอง"จินซิลคลายมือที่ปิดปากผมออก คงไม่อยากพูดคนเดียวล่ะมั้งนักโทษห้องขังข้างๆก็ชะเง้อมาดูเเล้ว

              อ้อ อย่างนี้นี่เอง ทั้งๆที่จะเกิดสงคราม เผ่าพันธุ์จะล่มสลาย คนคนนี้ก็ยังยึดมั่นในหน้าที่สินะ เเบบนี้จะเรียกว่าเป็นตัวอย่างที่ดีได้ไหมเนี่ย

              "ข้าเห็นเเก่ความหวังดีของเจ้า ข้าจะลดโทษให้เเล้วกัน" จินซิลว่า เเล้วหันหลังเดินกลับไป เเต่ผมจะยอมเหรอ...

             "พวกเขาจะไม่เชื่อท่าน" ผมเอ่ยขึ้น ยืนกอดอกอยู่หลังลูกกรง ไม่ใช่อยากเท่หรอกนะ ในนี้มันหนาวต่างหาก

             ดังคาด จินซิลหยุดชะงัก ผมเลยรีบเติมไฟ ก่อนที่เขาจะลืมผมไว้ในกรงนี่

             "ลองคิดสิ จู่ๆท่านมาบอกความเคลื่อนไหวของปีศาจโดยไม่มีข้ออ้าง หรือ... ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น นอกจากเขาจะคิดว่าท่านโกหกเเล้ว เขาอาจโยนท่านพัศดีลงคุกเองเลยก็ได้ ท่านก็น่าจะทราบดีนี่ท่านพัศดี... เรื่องขององครักษ์ทรยศไวเนอร์ที่เป็นบทเรียนให้เเก่เอริคาซีในการไม่เชื่อใจคนใน... ท่านเป็นคนซื่อตรงท่านพัศดี เเต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเชื่อในคำพูดที่ซื่อตรงของท่าน" ผมเห็นจินซิลกำหมัดเเน่น นี่ล่ะได้การละ

             "เรื่องนี้มีเพียงตัวร้ายเท่านั้นที่จะทำได้ท่านพัศดี พวกเขาจะไม่เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง เเต่จะเชื่อปีศาจ"

            

     

     




     

              อัศวินเฝ้ายามมองพัศดีจินซิลที่ลากกล่องใบโตมาด้วยความสงสัย

              "ท่านพัศดีข้าขออนุญาติตรวจกล่อง..."

              "อย่าได้เเตะต้องเชียวนะ!!"จินซิลตวาดออกมา เสียงของชายหนุ่มยังวนอยู่ในหัวเขา

             'ท่านเป็นคนซื่อตรงท่านพัศดี เเต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเชื่อในคำพูดที่ซื่อตรงของท่าน'

             "เอ่อ...ท่านพัศดีเเต่ข้าต้องทำหน้าที่..."อัศวินรีบละลักละลํ่าบอก

             'เรื่องนี้มีเพียงตัวร้ายเท่านั้นที่จะทำได้ท่านพัศดี พวกเขาจะไม่เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง เเต่จะเชื่อปีศาจ'

             จิลซิลถอนหายใจเฮือก ทำไมคำพูดของเขาถึงยังตามมาหลอกหลอนข้านะ

              "หึ!! ข้าบอกว่าอย่าเเตะต้องก็อย่าเเตะต้อง นี่น่ะคือสมบัติลํ้าค่าของตระกูลข้าที่ตกทอดกันมาหลายร้อยปีมีมูลค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก เฮ้อ... เเต่ช่างเป็นเรื่องที่น่าสลดเสียจริง เเม่ของข้ามอบมันมาให้ข้าตอนเเบเบาะ เฮ้อ... ข้าเกือบลืมภาพวันเเรกที่ข้าได้พบมันเเล้วสินะ ข้าที่ไม่รู้คุณค่าของมันก็เก็บมันมาในห้องใต้ดินเก่าๆมาโดยตลอด เเล้ววันหนึ่งก็มีอสุรกายบุกเข้ามาในบ้านข้า เฮ้อ...ข้าลืมความน่าหวาดกลัวของมันได้ยังไงนะ ข้าหนีหัวซุกหัวซุนเข้ามาในห้องใต้ดินจนได้พบกับกล่องใบนี้ข้าพยายามจะมุดเข้าไปหลบซ่อนข้าจึงเปิดมันออก เเละทันใดนั้นเอง!!......"

             ต่อจากนี้เป็นการสนทนา

            "อ๋าาาาา ไม่น่าเชื่อเลยกล่องใบน้านนนน"

            "ฮือออๆๆๆ ท่านพัศดีกล่องใบนี้เป็นสมบัติอันลํ้าค่า!!"

            "ข้าขออภัยจริงๆขอรับที่บังอาจเเตะต้องมัน!!"

            อัศวินเเละทหารยามมารวมตัวกันฟังจินซิลเล่าเรื่องตั้งเเต่เมื่อไรไม่มีใครทราบ เเต่ทั้งขโยงต่างร้องไห้ฟูมฟาย บางคนถึงกับกลิ้งไปนอนบนพื้น เเละบางคนถึงกับสลบ

             "ข้าจะเข้าไปในวังได้รึยัง"จินซิลเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

            "เชิญขอรับบบ!!"อัศวินตอบเป็นเสียงเดียวกัน ส่วนจินซิลก็เชิดหน้าเเล้วลากกล่องใบนั้นเข้าไปในวัง

             "เน่ๆ กล่องใบนั้นสำคัญกับท่านพัศดีมากเลยเน้อ"อัศวินหมายเลขหนึ่งเอ่ย

            "นั่นน่ะเซ่"อัศวินหมายเลขสองเอ่ย

            "เเต่เเล้วทำไมเขาต้องเอามันเข้าไปในวังล่ะ"อัศวินหมายเลขสามเอ่ย

           "..."

            เเละก็ไม่มีใครเอ่ยอันใดอีก

     

     




     

              จิลซินหยุดรถลากที่ลากกล่องใบโตตรงมุมมืดมุมหนึ่งในปราสาท เเละกล่องอัศจรรย์ของท่านจินซิลก็เริ่มขยับ      

              "เฮ้อออออออออออออออออออ" ผมกระโดดออกมาจากกล่องเเล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดทันที เเล้วก็บิดหลังของตัวเองจนกระดูกลั่นกร็อบเเกร็บ ให้ตายเถอะ ท่านพัศดียัดผมลงไปในกล่องเเคบๆที่ผมต้องขดตัวกลมดิ๊กจนปวดเมื่อย เเถมยังต้องนั่งรอฟังมหากาพย์กล่องมหัศจรรย์ของท่านจินซิลอีก ผมเเทบจะกระโดดออกมาเเล้วก็เอาหมอนี่ไปย่างไฟซะให้รู้เเล้วรู้รอด

             "อ้า ท่านโกหกเป็นนี่ท่านพัศดี เเต่มันยาวเกินไปรึเปล่า" ผมบ่นกับเจ้าพัศดีตัวเเสบ

             "จะได้เเนบเนียนไง" จินซิลว่า

             ผมมองตาของเขา เเวบหนึ่งที่ผมเห็นประกายประหลาดๆบนดวงตาสีนํ้าเงินนั่น

            ...

            เเกล้งกันสินะ...

            ท่านพัศดียักคิ้ว

           เอาคืนได้เจ็บเเสบมากเลยครับ กระผมขอจำไปจนวันตาย

             ผมส่งสายตาอาฆาตไปให้เป็นรอบที่สอง นี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องเมทริซเลยนะ       

             "เจ้าจะทำอะไรก็รีบๆทำเถอะ ข้าจะรอพาเจ้ากลับอยู่ตรงนี้ ห้องของฝ่าบาทอยู่ข้างบนนั่น นายขึ้นไปทางนั้น ที่นี่ไม่ค่อยมียามเฝ้าหรอก ฝ่าบาทไล่กลับไปหมดเเล้ว" จินซิลชี้ทางให้ ผมรอฟังทั้งหมด สมกับเป็นท่านพัศดี รู้ทางลับซะด้วย เเถมยังบอกที่ของกับดักทั้งหมดให้ผมฟังอีกตั้งหาก

             ผมไปตามทางที่จินซิลบอก เขาบอกว่าถ้าผมโดนจับได้เขาจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นนอกจากโยนผมลงคุกด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นผมจึงระวังสุดๆ

             ผมเดินไปตามทางลับในปราสาทจนไปเจอประตูบานที่พาไปสู่ตัวปราสาทจริงๆ ผมเเนบหู ไม่ได้ยินเสียงอะไร ไม่มีใครอยู่จริงๆด้วยสินะ ผมผลักบานประตูออก เเล้วก็พบว่าจริงๆประตูบานนั้นอยู่หลังกรอบรูปภาพพระราชาคนใดสักคนของเอริคาซี มันใหญ่พอที่จะเป็นประตูได้เลย

            ผมออกมาจากทางลับ เเล้วก็ปิดประตูรูปภาพนั่น พอหันมาอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องบรรทมของพระราชาเเล้ว... ห้องนอนของไมโครนั่นเเหละ

            ผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ ก็เห็นราชาท่านนั้นกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงน่ะสิ

           ผมเดินเข้าไปข้างเตียง ไมโครยังนอนนิ่ง ผมสีดำของเขายาวสยาย อยู่บนเตียง ผมมองร่างที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเเล้วถอนหายใจ

            อะไรเนี่ยเขาไม่ระวังตัวอะไรเลยเหรอ ต่อให้มีเวทย์ที่ผมให้ไปก็เถอะ เเต่เเบบนี้ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี

            ยังไงก็คงต้องปลุกสินะ...ผมยื่นมือออกไป เเต่ยังไม่ทันที่มันจะถึงตัวเขา...

            ทันใดนั้นไมโครก็ดึงกริชออกมาจากใต้หมอน มือข้างหนึ่งของเขาล็อกมือผมไว้ไม่ให้ถอยหนี เขาทำทุกอย่างนี่ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตา อย่างกับมันเป็นสัญชาตญาน เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็เป็นจังหวะเดียวกับกริชที่กำลังจะเเทงลงบนคอ เเต่เมื่อเขาเห็นหน้าผมกริชนั่นก็หยุดนิ่งทันที

               โอ้วววว พอดีเลยครับ ตรงเส้นเลือดใหญ่พอดีเลย ถ้าขยับอีกนิดเดียว ผมม่องเเน่ๆเลยครับ โอ้วววว....

             "เจ้า..." ไมโครอุทานออกมา กริชที่ถืออยู่ในมือร่วงหลุด เเต่มืออีกข้างยังไม่ยอมปล่อยจากมือผม เเล้วเขาก็ลุกขึ้นมา "เจ้ากลับมา!! เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม... เจ้านี่มัน...สุดยอด!! เข้ามาได้ยังไงข้ายังไม่ทันรู้ตัวเลย"

              ไม่รู้ตัวบ้านพ่อคุณสิ ไอ้ที่จะฆ่าผมเมื่อกี้มันอะไรล่ะ...

             "อ๊ะ... เจ้ามาก็ดีเเล้ว รีบไปหามาคุสกันเถอะ รู้ไหมเขาบ่นถึงเจ้าทั้งวันเลย ฮ่าๆๆ" ไมโครหัวเราะ เขาพยายามลากผมออกไป เเต่ผมยืนนิ่ง ผมมองมือของเขาที่กุมมือผมอยู่

             "เจ้าเป็นอะไรไปเอริค... เอ รึจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าไวซานดีล่ะ?" ไมโครพูด ซํ้ายังหัวเราะ

             เขายังเชื่อใจผมอยู่อีกเหรอ?

            ผมมองมือนั่น เเล้วนึกถึงสิ่งที่พูดกับจินซิล

            'เรื่องนี้มีเพียงตัวร้ายเท่านั้นที่จะทำได้ท่านพัสดี

    ...'

             นั่นสินะ... มีเพียงตัวร้าย

             ผมสะบัดมือของเขาออก...

             ไมโครจ้องผมตาค้าง เเละมือของเขาก็ยังค้างอยู่ที่้เดิม ผมก้มหน้าลงหลุบตาตํ่า

             "นายนี่มันโง่จริงๆเลย..." เสียงผมเปลี่ยนเป็นฟังดูเย็นชาเเละน่ากลัว จนผมยังกลัวตัวเอง "จนป่านนี้เเล้วยังเชื่อใจผมอยู่อีกเหรอ"      

             "ไวซาน..." ไมโครเรียกผมด้วยชื่อนั้น เสียงของเขาฟังดูเเหบเเห้ง ผมไม่อยากมองหน้าเขา ไม่อยากสบตาที่มองผมเป็นคนทรยศความเชื่อใจของเขา

            ' พวกเขาจะไม่เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง เเต่จะเชื่อปีศาจใช่..ผมบอกกับท่านพัสดีไว้เเบบนั้นนี่นะ

             "คุณยังจะเชื่อใจผมไหม?.... ถ้าผมบอกว่าผมเป็น...ปีศาจ"

             โกหก... คนทรยศ นายทรยศความเชื่อใจของเขา

             ไมโครไม่ได้ตอบ ผมจึงพูดเรื่องต่อไป

             "ผมมาที่นี่เพื่อทำหน้าที่เป็นสารท้ารบจากราชินี...ของเรา.... อีกสองเดือน ไมโคร เตรียมกองทัพของนายซะ ไม่งั้นมนุษย์จะถูกบดขยี้..." ผมถอนหายใจ ยังไงผมก็เตือนเขาเเล้ว ไมโครจะมีเวลาตั้งรับ ยังไงก็ดีกว่ารอให้ถูกกินอยู่เฉยๆ...

              เอาล่ะ หมดหน้าที่ของผมเเล้ว...

             เเล้ว...

             เเล้ว....ไงต่ออ่ะ

             ...

            ลืมคิดเรื่องขากลับไปซะสนิทเลย...

            อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! ให้ตายเถอะอยากเอามือกุมหัวเเล้วตะโกนออกมาดังๆ ไม่ดิ เสียฟอร์มหมด

            ประตูทางลับอยู่ตรงนั้น เอาไงดี จะวิ่งไปเลยดีไหมนะ ไม่สิไมโครขวางอยู่นี่ ตายห่าเเล้น

             "ปีศาจงั้นหรือ..." ไมโครที่นิ่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น เขาเดินเข้ามาเเล้วเก็บกริชที่วางอยู่บนพื้น...

              เอาล่ะ ถ้าไมโครเกิดเเค้นคิดฆ่าผมหมกห้องนอนขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเนี่ย เวทย์ก็ใช้ไม่ได้อีก...

              ผมถอยหลังออกมาก้าวนึง เเต่ไมโครไวกว่าเขาคว้ามือผมเเล้วกระชากมันก่อนจะปล่อยเมื่อผมไม่มีที่ยึดก็เสียหลักล้มนอนลงกับ...

            เตียง...

           อ้า~ นิ่มจังเลย ง่วงซะด้วยสินอนดีกว่า

          บ้านป๋ะป๋าเเกสิ!!

          ผมมองกริชบนมือไมโครเเล้วกลืนนํ้าลายหนืดลงคอ ผมกำลังจะลุกหนีจากเตียงเเต่ไมโครไวกว่า(อีกเเล้ว!!)เขากดผมลงกับเตียง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากมองไมโครอย่างตื่นตระหนก

            ผมสบตากับเขา เเต่ทว่าดวงตาของไมโครไม่ได้มีเเววโกรธเคืองเลย มีก็เเต่...ความเจ็บปวด

            มืออีกข้างของไมโครยังถือกริชอยู่ เเละตำเเหน่งของกริชนั่นตอนนี้ก็คืออยู่คั่นกลางระหว่างผมกับไมโคร

            ทำยังไงดี... ร้องขอชีวิตดีไหมนะ ผมยังมีน้องสาวที่น่ารักอยู่ ยังเรียนไม่จบ ยังไม่เคยมีเเฟนกะเขาเลย...

             "เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นปีศาจสินะ..." ไมโครเอ่ยขึ้น กริชของเขาเริ่มขยับ

              ม่ายยยยย ฝากลูกเมียข้าด้วยยยย

             เเต่เเทนที่มันจะปักลงที่หัวใจผม...

            ไมโครกลับยัดมันลงใส่มือผม... เขากำมือผมเเน่น เเล้วดึงมันเข้ามาหาตัว ชี้ปลายกริชลงบนอกด้านซ้ายของตนเอง

              "หากเจ้าเป็นปีศาจจริงๆ..." ไมโครเอ่ย จ้องมาที่ดวงตาของผม จนผมไม่กล้าหลบเขา "ทำร้ายข้าสิ ฉีกร่างของข้า ถลกเนื้อหนังของข้า ควักหัวใจของข้า เเล้วกัดกินมันสิ กลืนมันลงไปในร่างของเจ้า ให้ข้าเห็นว่าเจ้ากินมันลงไป... ข้าถึงจะเชื่อเจ้า"

              "..."

             หมอนี่มันบ้าไปแล้ว...

             ถึงจะว่ายังงั้นเเต่ใจผมกลับออ่นยวบ บอกความจริงกับเขาดีไหมนะ... ยังไงเขาก็น่าจะเชื่อผม มันก็มีค่าเท่ากันนี่นา....

             ผมมองกริชในมือตนเอง ไมโครเอามือของตนออกเเล้ว เหลือเพียงผมที่ยังควบคุมกริชนั่นอยู่

             ไม่...

             ไม่ ไม่ ไม่ อย่าใจออ่นสิ ต้องสอนให้เขารู้ โลกนี้ยังมีคนอีกมากมาย เขาจะจำ เขาจะไม่โดนทรยศอีก...

             ใช่เเล้ว...

             เมื่อผมคิดได้ก็กดกริชลงไป กริชนั่นคมใช้ได้ เเค่ออกเเรงนิดหน่อยก็เลือดซิบเเล้ว ผมกดลงไปอีกเเต่ไมโครยังหน้านิ่ง ไม่มีเเม้เเววเจ็บปวด ผมกรีดใบมีดลงบนอกของไมโคร ให้มันเป็นเเผลที่ลากยาว ผมได้ยินเสียงไมโครขบฟัน เลือดของเขาหยดลงจากปลายกริชมาที่หน้าของผม        

             ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่เต้นสมํ่าเสมอจากปลายกริช

              กริชในมือผมหยุดลง ไปไม่ได้เเล้ว ติดกระดูกซี่โครง ถ้าผมกดลงไปอีกกระดูกเขาจะหัก เเละเขาจะเจ็บ

             ...

            เฮ้อ.... เเพ้ซะเเล้ว

            "นายนี่มันบ้าจริงๆเล้ย..." ผมโยนกริชทิ้ง รีบร่ายเวทย์ฟื้นฟูให้เขา เเล้วเวทย์ของผมก็เจือกใช้ได้อีกเเหนะ ไมโครยังนิ่งอึ้ง เเต่เเล้วเขาก็ยิ้มออกมา

             "ฮึ... ฮ่าๆๆๆๆ" ไมโครยิ้ม เเล้วก็หัวเราะออกมา ให้ตายอยากจะต่อยหน้ามันสักครั้งจริงๆ

              "นี่... ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ถ้าผมฆ่านายขึ้นมาจริงๆจะทำยังไงฮะ!!" ผมตวาดใส่ ไมโครยังหัวเราะไม่หยุด

             "ไม่หรอก เพราะเป็นเจ้ายังไงล่ะ"ไมโครตอบ ให้ตายหมอนี่คงจะเชื่อใจผมจนวินาทีสุดท้ายเลยสินะ

            รอจนหมอนี่หยุดหัวเราะผมจึงมีโอกาสเปิดปากคุย

            "ก็อย่างที่ผมพูดไปนั่นเเหละ จะเชื่อรึไม่เชื่อนั่นก็เรื่องของนาย" ผมทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ช่างหัวมันเเล้ว รู้งี้ให้เวซานมาทำหน้าที่นี้ดีกว่า....

           ผมนึกภาพไมโครถูกตอกปางตายอยู่บนผนังในห้องของเขาเเล้ว เเล้วมีรอยเลือดเขียนบนผนังข้างๆว่า 'ข้าราชินีเเห่งเหล่าปีศาจ ขอเตือนเหล่ามนุษย์...'

              อ้า... ถ้าเป็นเจ้านั่นต้องทำเเบบนี้เเน่ๆเลย เเต่ก็ดูน่าเชื่อถือดีเเฮะ

            "เชื่อสิ ข้าเชื่อเจ้า" ไมโครตอบ "เเต่... ถ้าเป็นสงครามปีศาจอย่างว่า... เเค่อาณาจักรเอริคาซีอย่างเดียวคงต้านไม่อยู่หรอก" ไมโครก้มหน้าลงเเล้วครุ่นคิด

             "นายทำได้เเน่" ผมทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้น เริ่มร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายของตนเอง

             "อ๊ะ! นั่นเจ้าจะไปไหน!" ไมโครลุกพรวดขึ้นมาทันที

             "เเล้วผมจะกลับมา ถ้ามีเรื่องอะไรอีก" ผมบอกอย่างนั้นเเล้วโบกมือบ๊ายบายให้เขา ไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นทำหน้ายังไงเพราะผมมาโผล่อยู่นอกเมืองเเล้ว

            อ๊ะ.... ลืมท่านพัศดีไปสนิทเลยเเฮะ เห็นบอกจะรอผมด้วยนี่นา

            ...

           อืม... ช่างมันเถอะ ถือว่าเเกล้งมันเล่นๆไปก็เเล้วกัน       

    ---------------------------------------------------------------------------------------

    เห็นบอกอยากได้ฉากเซอร์วิสกัน เเบบนี้จะเรียกว่าฉากเซอร์วิสได้รึเปล่านะ

    --------------------------------------------------------------------

    *หมายเหตุ ขออภัยจากตอนก่อนๆ(ซึ่งอยู่ตอนไหนก็ไม่รู้)ที่เขียนคำว่า พัศดี เป็น พัสดี ตรงนี้ต้องขอโทษด้วยที่ไม่เช็คคำให้ดีก่อน ในส่วนของตอนนี้ได้เเก้ไขคำให้ถูกต้องเเล้ว เเต่ด้วยความขี้เกียจอันน่าอัศจรรย์ใจของข้าพเจ้าทำให้ช่างเเม่งตอนก่อนๆที่เขียนผิดไปเเล้ว//เอาไว้กลับมารีไรท์เเล้วกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×