คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เจ้าหญิงแห่งเซลเลียร์ (100%)
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีดินแดนที่งดงามเลื่องลือไปไกล นามของที่แห่งนั้นคือ เซลเลียร์ ทั่วทั้งผืนดินแดนปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ แม้จะหนาวเย็นทุกคนในเซลเลียร์ก็ไม่เคยหวั่น และทำเหมือนมันเป็นเพียงแรงกระตุ้นในการทำสิ่งต่างๆ แม้จะหมดกำลังใจก็มีมหาราชกษัตริย์แห่งเซลเลียร์คอยเกื้อหนุน พระองค์ทรงเป็นที่รักและห่วงใยของประชาชน เพราะความเชื่อมั่นว่ากษัตริย์จะนำตนไปสู่ความสำเร็จนั้นแหละคือกำลังค้ำจุนดินแดนหิมะไว้ ซึ่งก็คือปราสาทแก้วผลึก ที่ตราบนานเท่านานจะไม่มีวันทลาย หากทุกคนยังมีความเชื่อมั่น มันก็จะคงอยู่ตลอดไป
...แล้วสถานที่ที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายเลยหรือ...
ไกลออกไปจากปราสาทแก้วผลึกในระยะพันกิโลเมตร มีป่าช้าที่ปกคลุมด้วยไอมนต์ดำประหลาดซึ่งล้อมรอบเทือกเขาสูงใหญ่ที่ประกอบด้วยภูเขานับพัน ทางตามภูเขาก็แสนชันและคดเคี้ยว หากมองจากเซลเลียร์แล้วภูเขาจะถูกปรกคลุมด้วยผืนทรายร้อนระอุ ไม่เหมาะกับชนชาวเซลเลียร์แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดจะปีนเทือกเขานี้เลย มันยังคงเป็นตำนาน ลึกลับ ที่ไม่มีใครใคร่รู้...ยกเว้น เพียงกษัตริย์และเหล่าราชวงศ์
...เมื่อผ่านครึ่งซีกที่ปกคลุมด้วยทะเลทรายไปถึงยอดภูเขา จะพบทางลงสีขาวบริสุทธิ์ด้วยหิมะ เมื่อย่างกรายออกจากพื้นผิวเทือกเขานั้นแล จะพบดินแดนทะเลทรายของจริง แต่แม้จะผ่านครึ่งซีกทะเลทรายไปได้ อย่าได้ก้าวข้ามสู่ซีกหิมะเป็นอันขาด...
คำกล่าวนี้ถูกบอกเล่ากันมารุ่นต่อรุ่น ไม่มีใครในปราสาทที่ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็น้อยนักที่จะมีใครสนใจ ซึ่งแถบจะเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ
นานวันไปเรื่องก็ยังถูกถ่ายทอดต่อกันมา บ้านเมืองก็ยังคงความสงบสุขตลอดมา...ในสายตาประชาชน...
วันหนึ่งในรัชสมัยองค์กษัตริย์เบลมาร์ต ลอเลไรส์ วิคตอน เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่เลื่องลือมาก คือ การสังหารหมู่ในปราสาทผลึกแก้ว ผู้ตายในครั้งนั้นคือองค์เทพยากรณ์ มหาอุปราชย์ในสำนักราชวัง และเสนาธิการฝ่ายซ้ายใต้อาณัติ โดยทั้ง3มีรอยแผลคล้ายถูกดาบแทงบริเวณหัวใจ แต่ไม่พบอาวุธใดๆในห้อง
ผู้รู้เห็นเหตุการณ์มีเพียงคนเดียว คือ เอตมัวร์ เซลลีดัส เสนาธิการฝ่ายขวา ซึ่งแทนที่จะให้ความกระจ่างกลับทำให้งุนงงมากขึ้นด้วย...จ้าวเพลิง...จ้าวหิมะ...รัตติกาลอะไรสักอย่าง...ดาบประหลาด...
ตามรูปการณ์ผู้เดียวที่สามารถฆ่าทั้ง3คนได้ควรจะเป็นเอตมัวร์ ผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวในเหตุการณ์ แต่เขาก็มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือหลายประการ บวกกับความจงรักพักดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาจึงรอดตัวไป แม้จะถูกจับตาดูตลอดเวลา
แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ทางสำนักราชวังสรุปว่าเป็นการฆาตกรรม โดยน่าจะเป็นฝีมือของอุปราชย์หรือเสนาฯซ้าย เพื่อฆ่าปิดปากอีกฝ่ยเรื่องของบางอย่างที่เทพยากรณ์กล่าวทำนาย แต่ก็ไม่มีข้อสรุปว่าจะฆ่าตัวตายทำไม เพราะทั้ง2คน ไม่ใช่คนที่จะตายหนีความผิดได้เลย
ไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด จนคดีนี้จางหายไปกับหมอกควัน...
กษัตริย์เบลมาร์ตไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดมารับตำแหน่งอุปราชย์และเสนาฯซ้ายที่หายไป ดังนั้นผู้มีอำนาจสูงสุดรองจากเบลมาร์ดจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเสนาฯขวา เอตมัวร์ เซลลีดัส ผู้มีอำนาจเป็นถึงแม่ทัพหลวงแห่งเซลเลียร์...
ล้มบัลลังค์...ตั้งตัวเป็นกษัตริย์...เรื่องพวกนี้อาจเคยเกิดขึ้นในหัวนานๆครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำเลย เนื่องจากเหตุผลที่หลายๆคนหาว่าโง่ คือเพราะไปรักเจ้าหญิงรัชทายาทคนเดียวในองค์เบลมาร์ต เจ้าหญิงอลาน่า
ล้มบัลลังค์...ตั้งตัวเป็นกษัตริย์...ชิงเจ้าหญิง...ได้พร้อมทุกอย่าง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ...
ขออยู่ใต้อาณัติกษัตริย์เบลมาร์ต และเจ้าหญิงอลาน่าก็พอใจ คนอยย่างเขาไม่เคยอยากทำให้คนที่ตนรักต้องเสียใจ มันโง่ใช่มั๊ย...โง่ใช่มั๊ย...เซรุส
โง่...นั้นไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนมาด่าว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลา เมื่อเจ้าของคำพูดได้พูดคำนั้นเป็นคำสุดท้ายของชีวิต
คนเดียวที่ยอมให้ด่าทอ...เซรุส...
เอตมัวร์พล้ำโทษตัวเองเรื่องเป็นเหตุให้เซรุสตายเสมอหลังจากเหตุการณ์นั้น เขายอมไปมอบตัวว่าเป็นคนฆ่าเซรุส แต่ก็นั้นแหละ เขาไม่ได้ฆ่า จึงไม่ได้ถูกจับไป
กลางดึกคืนหนึ่ง อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหญิงอลาน่า แสงไฟสว่างจ้าจากห้องโถงใหญ่ที่จัดงาน
เอตมัวร์ยืนจิบไวน์อยู่ริมห้อง มองไล่ไปตามจุดต่างๆในห้อง ผู้คนสรวลเฮฮากัน เห็นเบลมาร์ตเดินจากไปเมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน...
"ไม่ไปสังสรรค์กับคนอื่นหรือ เอตมัวร์"เจ้าหญิงอลาน่าในชุดราตรีสีครีม คลุมด้วยเสื้อขนสัตว์เดินเข้ามาหา
"หืมม์ มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้ องค์หญิง"เอตมัวร์ตอบกลับอย่างไม่สนใจ
"ไม่มีอะไร พอดีเห็นยืนเหงาอยู่คนเดียว ก็เลย..."
"ขอประทานอภัย กระหม่อมไม่ได้เหงา และไม่เคยเหงา"
อลาน่าเพ่งมองแม่ทัพหนุ่มชัดๆ หลี่ตาลงและเผยยิ้มอย่างขมขื่น
"...เซรุสคิดโทษคุณจริงๆ เอตมัวร์..."
เอตมัวร์หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วส่งเสียงในลำคอ"เห็นมั๊ย"
"...ไม่ เอตมัวร์ เขาไม่เคยคิดโทษคุณเรื่องวันนั้น แต่เขากำลังโทษคุณเรื่องวันนี้..."
เอตมัวร์ยืนนิ่ง แม้จะเพราะฤทธิ์ไวน์ แต่เขาเข้าใจทุกอย่างดี...เข้าใจมาตั้งนานแล้ว แค่ไม่อยากยอมรับ...
"ยอมรับสิ ตราบใดที่ยังทำให้เพื่อนคุณมีความสุขได้อีกครั้ง"
แล้วเธอก็มอบยิ้มให้ก่อนจากไป...
**********************
เอตมัวร์นั่งรำลึกความหลังขณะกำลังฝึกทหาร
"เอ่อ...ท่านแม่ทัพ กษัตริย์เบลมาร์ตเรียกให้เข้าพบ เห็นว่ามีเรื่องด่วนมาก"
"หืมม์ เรื่องด่วนงั้นหรือ"เอตมัวร์ลุกขึ้นจากท่านั่ง"วันนี้เลิกแค่นี้ ไปพักได้"
ทหารทั้งหลายหันมามองแม่ทัพเป็นการใหญ่ เมื่อปกติจะฝึกกันไปกว่าค่อนวัน แต่วันนี้พึ่งเริ่มฝึกไป2ชั่วโมง
แต่เอตมัวร์ไม่สนใจออกวิ่งจากสนามฝึกไปทางปราสาทแก้วผลึกทันที พร้อมกับคำทิ้งท้ายอันเป็นที่เข้าใจว่า"อาจจะ...เรื่องด่วน"
************************
เจ้าหญิงอลาน่าทอดสายตายาวไปไกลจากช่องหน้าต่างของปราสาท ทั่วทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยหิมะ ทั่วทุกตารางขาวโพลน นั้นยิ่งทำให้เธอเห็นป่าสีดำมืดที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ชัดเจน รวมถึงเทือกเขาสูงใหญ่ค้ำฟ้า มันเป็นทิวทัศน์ที่คนทั่วไปไม่มีทางได้เห็น ยิ่งมองก็รู้สึกเจ็บนิดๆตรงหัวใจ อย่างไม่รู้สาเหตุ เธอจึงละสายตาจาก แล้วสาวเท้าก้าวต่อไปตามทางเดิน
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ เจ้าหญิงอลาน่า วันนี้ดูหมองไปนะคะ"เสียงทักทายจากสาวสูงอายุซึ่งคืออาจารย์พี่เลี้ยงเรียกสติจากอลาน่าที่เดินเหม่อไปตามทางจนเผลอสะดุด ทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้สะดุด
"ว้าย"อาจารย์พี่เลี้ยงรีบดัดเสียงแบบตกใจสุดขีด ซึ่งทำให้ดูผิดธรรมชาติแบบสาวสูงวัยอยู่มาก
"ไม่เป็นไรค่ะ มิสเพนเซล"อลาน่ารีบบอก กลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจ
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้วค่ะ แต่ว่า..."ทันทีที่มีคำว่า 'แต่ว่า' หลุดจากปากนาง มันจะต้องมีคำดุด่าตักเตือนตามมาอีกแน่นอน นั้นเป็นสิ่งแรกที่อลาน่าได้เรียนรู้จากอาจารย์พี่เลี้ยงของเธอ
"หากเจ้าหญิงจะสะดุดนะเพคะ เจ้าหญิงควรจะมีมารยาทในการสะดุดที่งดงาม เดี๋ยวหม่อมฉันจะแสดงให้ดู"พูดจบ เพนเซลก็ทำท่าสะดุด และล้มลงอย่างสวยงามจนน่าขนหัวลุก โดยเฉพาะ เมื่อใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยผมสีเงินเงยขึ้นมา บอกว่า.."ดีกว่ามั๊ยคะ"...
"เอ่อ ดีค่ะ ดี"อลาน่าตอบอย่างกล้าๆกลัวๆว่า...
หญิงสูงวัยลุกขึ้นยืนใกล้ๆเธอ ซึ่งทำให้เห็นว่าเพนเซลไม่ใช่คนตัวสูงมากนัก ค่อนไปทางเตี้ยด้วยซ่ำ และแล้วสิ่งที่เธอกลัวก็มาเยือนเมื่อ...
"องค์หญิงลองสิคะ"เพนเซลยิ้มให้อย่างนุ่มนวล
เพนเซลรวบผมสีเงินที่สยายออกจากการ'สะดุด'ด้วยเส้นไหมสีขาว ขณะรอดูการ'สะดุด'ของเจ้าหญิงแห่งเซลเลียร์
อลาน่าสูดหายใจลึก เตรียมจะ'สะดุด' แต่แล้ว...
"เจ้าหญิง ระวังค่ะ!"เพนเซลร้องออกมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว...
"ว้าย"อลาน่าถูกชนล้มจากข้างหลัง แต่ก่อนที่ร่างเธอจะตกลงสู่พื้น ก็มีมือมารวบตัวไว้
"แถวนี้มันเขตพระราชฐานวังใน เฉพาะเชื้อพระวงศ์ แล้วเจ้าบังอาจ...เจ้าหญิงอลาน่า!"เอตมัวร์เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ
"ขอบคุณค่ะ"เธอเอ่ยอย่างไม่เต็มใจหลังจากยืนขึ้น
"ข้าขอโทษ..เอ่อ พอดีมีเรื่องด่วนน่ะ"เอตมัวร์รีบแก้ตัว
"รีบไปไหนคะ"
"ไปหากษัตริย์เบลมาร์ต...มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ"เอตมัวร์โยนคำถามกลับให้อลาน่า
"ท่านพ่อ...ไม่รู้สิ ไม่เห็นได้ข่าวอะไรเลย"เจ้าหญิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย
"งั้นไปด้วยกันมั๊ย...เจ้าไม่อยากรู้หรือ"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าสำคัญท่านพ่อคงบอกข้าเอง"อลาน่าส่งยิ้มให้ เมื่อเอตมัวร์จากไป
"องค์หญิงคะ แต่ว่าหม่อมฉันว่า..."ทันทีที่เพนเซลเริ่มต้น'แต่ว่า'อลาน่าก็หายไปกับสายลมเรียบร้อยแล้ว
"อ้าว แปลกจัง เมื่อกี้ยังอยู่เลย"เธอถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ก่อนที่กำไลคริสตัลที่สวมอยู่จะเรืองแสงขึ้น
"เอ๊ะ มันไม่น่าจะ..."
"องค์หญิงแห่งเซลเลียร์ โชคชะตาถูกลิขิตไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว จงตามหาCrystal Maiden...เพื่อตัวเจ้าเอง และเพื่อเลอาด้วย"หลังกล่าวจบเพนเซลก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไม่ได้สติ
ความคิดเห็น