ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทความดีๆ และแบบทดสอบที่คุณชอบ

    ลำดับตอนที่ #7 : น้ำตาจะไหล...ถ้าคุณอ่านเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 51


    น้ำตาจะไหล....ถ้าคุณอ่านเรื่องนี้
    ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
    แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
    ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน
    อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
    วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
    จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
    โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
    "ใครขโมยเงินไป
    "
    พ่อตวาด
    ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
    น้องชายฉันก็เช่นกัน
    พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้
    ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ
    "
    พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
    ทันใดนั้น
    น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
    "ผมขโมยเองครับ
    "
    ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
    พ่อโกรธมาก
    พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
    พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
    และด่าว่าน้องชายของฉัน
    " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแ
    กจะทำชั่วอะไรอีก
    แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" คืนนั้น
    ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
    หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
    แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
    กลางดึกคืนนั้น
    ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
    น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้
    แล้วพูดว่า
    " พี่ครับ
    ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว
    "
    ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
    ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    หลายปีผ่านไป
    แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
    ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
    8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี
    ...
    เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ
    .ต้น
    เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
    .ปลาย ว่าเขาสอบได้
    ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ
    .ปลาย
    ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
    คืนนั้น
    พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
    ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
    "
    ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ
    "
    แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ
    ได้พูดว่า
    "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน
    "
    ทันใดนั้น
    น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
    "
    ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว
    "
    พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
    "ทำไมถึงคิดโง่ๆ
    อย่างนี้
    ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
    พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้
    "
    คืนนั้นทั้งคืน
    พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
    ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
    ฉันค่อยๆ
    เอามือประคบแก้มบวมๆ
    ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
    "
    ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้
    "
    แต่ในขณะเดียวกัน
    ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
    ใครจะรู้ได้
    .......
    วันต่อมาในตอนเช้ามืด
    น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
    และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
    ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
    ขณะฉันกำลังหลับ
    "
    พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ
    ....
    ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่
    "
    ฉันนั่งอยู่บนเตียง
    อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
    .......
    ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี
    ส่วนฉันอายุ 20ปี
    .....
    ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
    รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
    กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ
    .......
    ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี
    3
    วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
    เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า



    "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ
    "
    ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ
    ???
    ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
    ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
    ฉันถามเขาว่า
    "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ
    "
    น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ
    ว่า
    "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่
    เพื่อนๆ
    ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี
    "
    ฉันค่อยๆ
    เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
    และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
    "
    พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่
    ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม
    "
    จากนั้น
    น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
    เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ
    .
    เขาติดกิ๊บให้ฉัน
    แล้วพูดว่า
    "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน
    ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง
    "
    ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
    ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
    20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
    .
    วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
    ฉันสังเกตเห็นว่า
    หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป
    ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
    เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
    หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป
    ฉันพูดกับแม่ว่า
    "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
    เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ
    "
    แม่ยิ้ม
    แล้วพูดว่า
    " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงา
    นเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
    ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
    น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ
    "
    ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
    ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
    ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
    "เจ็บมากไหม" ฉันถาม
    "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ
    วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
    แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
    และ
    ........"
    น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค
    แต่ก็ต้องหยุดพูด
    เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
    น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
    "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ
    "
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ
    26 ปี
    ...





    หลังจากนั้น
    ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
    หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
    ...
    แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
    ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
    แต่เมื่อออกไปแล้ว
    ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
    จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
    น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
    ...
    เขาบอกกับฉันว่า
    "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง
    "
    สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
    เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
    แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
    เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
    วันหนึ่ง
    น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
    และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
    เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
    ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
    น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
    ...
    ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
    " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ
    หา
    !!!
    ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
    ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
    ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง
    "
    คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
    ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
    "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ
    พี่เขย
    เพิ่งจะได้เป็นประธาน
    ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
    คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด
    "
    น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
    .....
    ฉันบอกกับน้องว่า
    "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่
    ..."
    "
    ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ
    "
    น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
    ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
    26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี
    ...



    เมื่อน้องชายของฉันอายุได้
    30
    ปี
    เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
    ในงานแต่งงาน
    ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
    "
    ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้
    "
    น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
    "พี่สาวของผมครับ
    "
    .....
    และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
    "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม
    โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
    เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง
    2ชม
    .
    เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
    วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
    พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
    และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง
    เดียวเดินเป็นระยะทางไกล
    เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
    เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
    .......นับจากวันนั้น
    ผมสาบานกับตัวเอง
    ว่าตลอดชีวิตของผม
    ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
    และจะทำดีกับเธอ
    "
    เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
    สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
    คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
    .......
    "
    ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด
    คือน้องชายของฉันค่ะ
    "
    ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
    น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง
    ...
    จงรัก
    และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
    วันในชีวิตของคุณและเขา
    คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
    แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
    ..
    ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
    พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
    หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
    จบบริบูรณ์
    ....
    ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
    ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ
    ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง
    "



    และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์



    โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค
    บู มิง ฮอง เล่าเรื่อง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×