ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปีกแสงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 50
      0
      11 พ.ค. 56

                    ห้องสี่เหลี่ยมผนังถูกทาฉาบด้วยสีขาว ทั่วบริเวณถูกหุ่นตัวสูงหลายตัวอวดท่าต่างกันด้วยชุดสีขาวหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเกาะอก แขนกุด คล้องคอ หรือแบบใหม่ๆ ที่สั่งตัดขึ้นด้วยฝีมือช่างตัดแบบพิเศษ บ้างกระโปรงลากยาว หรือเป็นชั้นๆ ไล่ระดับ

    ถัดเข้ามาทางด้านใน แฟ้มหนาหลายเล่มเปิดวางอวดหน้าโต๊ะกระจก ภาพกระดาษขนาดโปสการ์ดมากมายละลานตา บ้างเป็นแบบรูปถ่ายคู่ชายหญิง

                    มือขาวเนียนเปิดดูอย่างถี่ถ้วน ดวงตากวาดมองรายละเอียด เมื่อไม่พอใจก็เปิดไล่ไปยังแบบต่อไป นานร่วมชั่วโมงที่ปาลีรดานั่งจมอยู่กับการเลือกการ์ดแต่งงานของตัวเอง เสียงเจื้อยแจ้วของพนักงานเงียบหายไปพักใหญ่ เพราะเธอขอเลือกแบบเงียบๆ แทน

                    ปาลีรดา ผู้หญิงที่ไม่ชอบโอ้อวดใครต่อใครว่าเธอเป็นถึงลูกสาวท่านนายพลใหญ่แห่งกองทัพบก ด้วยเกรงว่าคนที่เข้าหาเธอจะไม่จริงใจ หรือใส่หน้ากากหวังประโยชน์จากเธอ ใครต่อใครจะรู้จักเธอในนามลูกสาวท่านนายพลผู้เก็บตัวเงียบ ไม่ไปเป็นข่าว น้อยคนที่จะกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับเธอ ไม่ใช่คนเปิดตัวอย่างลูกท่านหลานเธอคนอื่น วันๆ ก็ชอบแต่งเป็นหงส์หยก ไฮซ้อไฮโซถือกระเป๋าฝังเพชรเดินกรีดกรายบนทางเท้า

                    เธอไม่ใช่คนแบบนั้นเลย เป็นผู้หญิงธรรมดา ที่มีความฝันเล็กๆ ไม่ได้สูงอยากเป็นคนรวยหวังจะรวยยิ่งๆ ขึ้นไม่รู้จักพอ ไม่ใช่นางเอกตามนิยายรักที่หวานเจี๊ยบ ทำตัวน่าทะนุถนอม เธอชอบชีวิตเรียบง่ายไม่ต้องหวือหวา เพียงแค่มีคนที่รักและรักเธอ คนที่พร้อมจะฝ่าฝันทุกอย่างไปด้วยกัน นั่นก็คงเป็นความฝันที่ไม่เฟื่องเกินไปนัก เพราะเธอพบคนๆ นั้นเรียบร้อยแล้ว

                    ดวงตากลมโตทอประกายแห่งความสุขออกมา ขนตางอนไม่ยาวจนน่าเกลียดกอปรรูปทรัพย์งดงามตามธรรมชาติไม่เสริมแต่งเกินงาม ด้วยรองพื้นเพียงอ่อนๆ จมูกเชิดรั้นปลายบ่งบอกความดื้อไม่ฟังใคร ริมฝีปากยิ้ม ข้างแก้มขึ้นลักยิ้ม

                    “ชอบแบบอันนี้หรอคะ”

                    เสียงพนักงานเหมือนปลุกเธอดังมาจากที่ไกลแสนไกล ปาลีรดากระพริบตาสองทีเรียกสติ มองมือที่จับหน้าแบบการ์ดใบหนึ่งค้างไว้ ตัวการ์ดเป็นกระดาษมันแบบกระดาษรูปถ่าย รูปแบบคล้ายซองจดหมาย หัวมุมซองเป็นที่ติดแสตมป์ กลายเป็นกรอบเล็กๆ ที่มีไว้บอกชื่อเล่นเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตรงกลางเป็นหัวใจดวงเล็ก ตราประทับไปรษณีย์เป็นคำว่า Forever Love รูปถ่ายคู่อยู่ตรงกลางใหญ่

                    “แบบการ์ดนี้ยังสามารถพับเป็นเหมือนซองจดหมายได้ด้วยนะคะ แต่ไม่ต้องมีกระดาษเล็กๆ อีกแผ่น เป็นตัวซองด้านในที่เวลาเปิดจะแสดงชื่อรายละเอียดของงานทั้งหมดค่ะ เก๋ดีนะคะ” พนักงานหน้าอ่อนกล่าวแนะนำกระตือรือร้น สีหน้าแสดงออกชัดว่าโล่งใจ กับลูกค้าเลือกยากคนนี้

                    “ฉันขอแบบการ์ดซักอันนะคะ อยากเอาไปถามเจ้าบ่าวเขาก่อน”

                    พนักงานคนเดิมกุลีกุจอออกไปค้นหาการ์ดตามที่เธอบอก ปาลีรดามอง Wedding Studio นามว่าแสงรัก อันกว้างขวางด้วยหัวใจไม่ปกตินัก ดวงตาฉายแววเศร้าขึ้นมา เมื่อหวนคิดถึงบุคคลที่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่เปล่าเลย ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอวิ่งวุ่นจัดการเรื่องที่จัดการได้คนเดียว เช่น หาโรงแรม รูปแบบงานจัดเลี้ยง ลิสต์รายชื่อผู้ใหญ่ฝ่ายตัวเอง ส่วนตัวเขา เอาแต่บอกกับเธอว่าติดธุระ เขาขอเธอแต่งงาน แต่เธอเป็นคนจัดงาน

                    จากความดีใจในตอนแรก เธอก็เริ่มรู้สึกน้อยใจ เขาไม่ได้สนใจเธออย่างปากพูด เธอจะไปหาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยง หรือ เธอจะฝันไปคนเดียว

                    “ได้แล้วค่ะคุณอ้าย การ์ดตัวอย่างค่ะ คุณอ้ายไม่จำเป็นต้องคืนทางร้านค่ะ ถ้าถูกใจยังไงก็โทรกลับมาได้เลยนะคะ เราจะได้ร่างแบบของคุณอ้ายให้ทันที แต่ถ้าไม่ถูกใจ เราจะออกแบบการ์ดพิเศษๆ ไปให้คุณอ้ายใหม่เลือกก็ได้ค่ะ”

                    “ขอบคุณนะคะ ไว้ฉันจะโทรมายืนยันแบบการ์ดอีกที” ปาลีรดาซ่อนความรู้สึกเศร้าไว้ภายใน เมื่อจัดการธุระของวันเสร็จ ร่างสูงเพรียวกับชุดทำงานชุดผ้าเรียบแขนกุดกระโปรงคลุมเข่าสีขาว สวมทับเสื้อคลุมสั้นเหนือเอวสีน้ำทะเลไม่ติดกระดุม กับรองเท้ามีส้นครึ่งนิ้วไม่ทำให้ตัวเธอสูงโย่งกว่าปกติ ชุดโปรดที่เธอชอบใส่ออกไปทำงานเป็นประจำ แค่เปลี่ยนสีชุดไปเรื่อยๆ เดินออกมาจากร้านเย็นฉ่ำ ปะทะกับไอแดดร้อนแสบผิวของต้นเมษายน

                    ร่มสีเทากางออกป้องกันยูวีมาระคายผิวขาวเนียนแม้จะปกป้องด้วยครีมกัดแดดSPFเกือบร้อยมาแล้วก็ตาม เธอไม่อยากคล้ำก่อนงานแต่งงาน นึกสภาพตอนนั้น เธอเกรงใจตากล้องที่ต้องวุ่นวายเพิ่มแสงกันไม่ทัน

                    อีกเพียงสามเดือน ฤกษ์ดีที่ได้จากพระอาจารย์ของท่านนายพลปานพงษ์ อดีตเด็กวัดที่อาศัยความขยันจนได้ดี จะเป็นคนไปขอฤกษ์จากพระอาจารย์ด้วยตัวของท่านเอง

                    ปาลีรดาเดินให้ห่างรถบีเอ็มรุ่นแพงที่คนทางบ้านส่งมารับส่งเธอทุกวันด้วยสายตาเบื่อหน่าย ป่านนี้ลุงสนคนขับรถประจำบ้านคงจะหลับคอพับหน้าพวงมาลัย ปาลีรดาไม่ได้เดินเฉียดกรายไปแถวนั้น นอกจากเดินตรงออกประตูร้านที่เปิดโล่ง ไปรอยังป้ายรถเมล์ ยามบ่ายโมงแบบนี้บนท้องถนนรถยังไม่เยอะนักเพราะคนยังไม่เลิกงาน

                    ที่บ้านยังคงมองเธอเป็นเด็กเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตในโลกนี้ได้ยากลำบากหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากพวกท่าน หรือแม้แต่พี่ชายแท้ๆ ของเธอ กว่าที่เธอจะมีวันได้มานั่งเลือกการ์ดแต่งงานแบบนี้ พี่สูรของเธอต้องใช้เวลาอยู่หลายปีเพื่อเอาชนะใจท่านนายพล คุณหญิง และสารวัตรตำรวจ

                    เธอยังจำวันแรกได้ดีเมื่อสี่ปีที่แล้ว ปกติเวลาที่เรียนในรั้วมหาวิทยาลัย เธอมักจะเอาแต่เรียน กิจกรรมทำบ้างไม่ทำบ้าง นอกจากสมัยรับน้องปีหนึ่งที่เธอตั้งใจเข้าร่วมไม่ขาด เป็นเด็กที่คณะมักจะเพ่งเล็งเรื่องไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ แต่ไม่เคยไปก่อเรื่องที่ไหน อยู่สงบเงียบ ไม่เป็นจุดเด่น เป็นเด็กแว่นผมหน้าม้า ไม่ชอบสบตาใคร มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ที่ตอนนี้บินไปเรียนไกลถึงอเมริกา รายนั้นเป็นนักกิจกรรมตัวยงเพื่อนเยอะ แต่ก็ยังมาคบคนธรรมดาอย่างเธอเป็นเพื่อนรักได้

                    วันสุดท้ายของการเรียนปีสี่ ที่มีการเรียกนักศึกษามาเพื่อปัจฉิมนิเทศ เรื่องไม่คาดฝันสำหรับเธอก็เกิดขึ้น เมื่อออกจากห้องประชุมผู้ชายตัวสูงๆ ผิวขาว ตาชั้นเดียวแต่ไม่เล็กยิบหยี อดีตเดือนมหาลัยเมื่อเจ็ดปีก่อนเดินมาหาเธอพร้อมกับบอกชอบเธอ ใบหน้าขี้อาย ยกมือเกาต้นคอขัดกับชุดสูทของนักเรียนปริญญาโทของคณะสถาปัตถ์ยังติดตาเธอ เพราะถูกแรงคะยั้นคะยอเชิงยุจากเนติมา เธอถึงตั้งสติได้ว่าควรปฏิเสธ

                    แต่เพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาพูดมา เธอถึงยอมเปลี่ยนความคิด “คนบางคนไม่จำเป็นต้องเปิดตัว ก็เป็นดาวสำหรับใครบางคนได้ น้องอ้ายเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับพี่ พี่มาบอกวันนี้ก็เพื่อมาขอบคุณ ใครบางคนยอมโดดกิจกรรมเพื่อพาหมาที่ถูกรถชนไปหาหมอ จัดตั้งรับบริจาคอาหารหมาให้กับมหาลัย ไปสอนน้องๆ ที่อยากเรียนนิติให้ฟรีๆ ทุกวัน”

                    “แล้วคุณมาขอบคุณอะไรคะ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย”

                “ขอบคุณที่ทำให้สังคมนี้น่าอยู่ พี่เลยอยากจะอยู่สังคมดีๆ แบบนี้กับน้องอ้ายไงครับ”

                    ปาลีรดาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอตอบรับเป็นแฟนกับเขาอีท่าไหน เพียงแค่ไม่ได้ปฏิเสธออกไปตามความตั้งใจในทีแรก เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ จะทำให้ใครบางคนจดจำไปในหัวใจได้ เมื่อเธอรับรู้เธอเองก็รู้สึกตื้นตัน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอรู้สึกเป็นคนพิเศษได้

                    ทั้งที่เขาใช้เวลากว่าสี่ปีเพื่อมองเธอ เธอกลับไม่เคยเห็นเขานอกจากรุ่นพี่ของมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง มันก็แปลกดีที่ปุบปับจะจบ เธอก็ได้คนรักมาเป็นของขวัญ แบบที่ไม่ได้รับความยินยอมจากทางบ้าน เธอถูกจับผิดมากขึ้น พี่สูรเองก็ให้เกียรติเธอดี ไม่แตะต้องเธอให้เสื่อมเสีย เธอรู้สึกชื่นชมเขาในข้อนี้

                    เธอรู้สึกโชคดีที่ได้เจอคนแบบพี่สูร

                    รถประจำทางปรับอากาศคันโตลงจอดเทียบป้าย ยังไม่ใช่คันที่ปาลีรดาต้องขึ้น ผู้หญิงวัยไม่เกินสิบแปดอุ้มลูกอ่อนตัวเล็กในห่อผ้าหลับปุ๋ย แก้มยุ้ยน่ารัก เมื่อรถแล่นไป ผู้หญิงตัวเล็ก ยกมือที่ว่างอีกข้างบังแดดให้ลูกของเธอ ปาลีรดารีบลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปสะกิดไหล่คนที่ผ่านหน้าเธอไปไม่กี่ก้าว

                    “ขอโทษนะคะ น้องต้องเดินไปอีกไกลไหม”

                    คุณแม่ลูกอ่อนมองคนแปลกหน้าด้วยสายตาระแวง ตอบมาห้วนๆ “ประมาณยี่สิบนาที ทำไม”

                    “เอาร่มไปใช้สิคะ น้องตัวเล็กคนนี้โดนแดดคงไม่ดีหรอกค่ะ” ร่มคันพอดีมือยื่นส่งให้เด็กสาว เธอรับไป สายตาเปลี่ยนจากระแวงเป็นชื่นชม

                    “ขอบคุณนะคะพี่ ขอบคุณจริงๆ”

                    “รีบไปเถอะ แดดมันแรง” ปาลีรดาบอกเมื่อรู้สึกอุณหภูมิ ณ ตอนนี้เริ่มร้อนกว่าเมื่อครู่ เด็กสาวที่เป็นเจ้าของร่มคนใหม่รีบกางร่มเดินจากไป แขนอีกข้างกระชับอ้อมกอดที่มีลูกตัวน้อยอยู่ไว้อย่างหวงแหน

                    ถึงแม้ตัวแม่เด็กจะยังเด็ก บางทีคงจะยังไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ เมื่อเธอเผลอตัวหลงละเลิงกับสิ่งมอมเมาต่างๆ ผิดพลาดจนมีหนูน้อย แต่เด็กคนนี้ก็ดีกว่าใครหลายคน คนบางคนไม่มีความคิดที่จะให้เด็กที่โตมาในเวลาไม่พร้อมได้เกิดมาด้วยการทำลาย ชีวิตๆ หนึ่งที่เขาไม่รู้เรื่อง มัวโทษฟ้าโทษดินว่าทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก ทั้งที่ในชีวิตคนเรามีทางเลือกมากมาย เพียงแต่คนเรา ไม่คิดจะเลือกมัน ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำตัวเอง และมีความสุขกับการเข้าข้างว่าตนนั้นทำสิ่งที่ผิดว่าถูกต้องแล้ว

                    อย่างน้อยเธอมั่นใจว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเติบโตขึ้นมาก นับตั้งแต่วันที่เธอได้เป็นแม่ของลูก

                    นิสัยของเธอมักจะไม่ค่อยสนใจใคร แต่หากพบใครที่กำลังเดือดร้อน และเธอพอจะช่วยเหลือได้แล้วไม่ช่วย สิ่งที่มารดาของเธอสอนมาก็คงจะสูญเปล่า คุณหญิงนาฏรดามักจะบอกกับเธอบ่อยๆ ว่าสังคมสมัยนี้ยิ่งไม่น่าอยู่ เราก็ยิ่งต้องยึดมั่นในความดีของเรา สังคมเปลี่ยนไป แต่ตัวเราห้ามไหลตามสิ่งแย่ๆ ที่มีในสังคมเด็ดขาด

                    ปาลีรดารู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือใครแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เธอยังไม่ทันจะได้รอรถคันต่อไปมา รถบีเอ็มคันยาวก็มาเทียบอยู่ตรงหน้าเธอ สีหน้าลุงสนดูโล่งใจเพียงแค่เห็นว่าเธอยังไม่ไปไหน

                    “ขึ้นรถเถอะครับคุณหนู คุณหนูคงไม่อยากให้ผมโดนไล่ออกใช่ไหมครับ” สีหน้าสนร่ำจะร้องไห้ ดวงตาเว้าวอนคุณหนูคนเล็กของบ้าน

                    หญิงสาวหัวเราะออกมาเก้อๆ แต่ก็ยอมเข้าไปนั่งบริเวณที่นั่งข้างคนขับ แทนที่จะเป็นเบาะหลัง ลุงสนตั้งท่าจะท้วงก็โดนปรามเสียก่อน

                    “อ้ายไม่ทำให้ลุงสนถูกไล่ออก ลุงสนก็ต้องให้อ้ายทำในสิ่งที่อ้ายทำแล้วสบายใจสิคะ” เท่านั้นลุงสนก็ถอนหายใจเฮือกโตออกมา เขาต้องยอมแพ้ปาลีรดาทุกครั้งไป รถสี่ล้อค่อยๆ เคลื่อนออกไป โดยทั้งสองไม่ทันสังเกตว่ามีรถสปอร์ตนำเข้าจากนอกสีน้ำเงินจอดนิ่งห่างออกไปนานนับตั้งแต่ปาลีรดายังไม่ออกจากร้านด้วยซ้ำไป

                    ดวงตาคมทอดมองรถจากไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม เมื่อคิดถึงเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่ายินดีสำหรับเขา

     

                    โสมกลับมาจากการไปรายงานตัวที่บริษัทลูกที่เขาต้องมารับตำแหน่งใหญ่หลังจากสร้างผลงานจนเป็นที่น่าพอใจให้กับบริษัทแม่ตลอดเจ็ดปีกว่าที่ญี่ปุ่น ระยะเวลาหลายปีนับตั้งแต่เขาไปเรียนปริญญาตรีต่อที่อเมริกา ทำงานเก็บเงินขณะเรียนเพื่อเอามาใช้ในชีวิต เป็นนักเรียนทุนจนถึงระดับปริญญาโท เขาก็ถูกทาบทามจากทางญี่ปุ่น ผู้เป็นเจ้าของทุนการศึกษาของเขา สิบสามปีกว่าเขาจะได้กลับมาประจำที่ไทย และกลับบ้านจริงๆ เสียที ทั้งเพราะเงินไม่เอื้ออำนวยสมัยที่เขาไปเรียนต่อแรกๆ ทั้งงานที่ญี่ปุ่นรัดตัวจนไปไหนไกลๆ นอกจากตารางแผนงานเท่านั้น เขาจึงกลับบ้านเพียงแค่ครั้งเดียว คืองานครบรอบวันตายสิบห้าปีของย่า เมื่อห้าปีก่อน เขาถึงมีโอกาสได้พบว่าที่พี่สะใภ้หน้านิ่งคนนั้น ป่านนี้ปาลีรดาคงจะลืมหน้าว่าที่น้องสามีอย่างเขาเสียแล้วกระมัง

                    นับตั้งแต่เขากลับมาได้เพียงสามวัน เขาก็รับรู้เรื่องแย่ๆ ของพี่ชายเข้า พี่ชายที่เขาคิดเสมอว่าเป็นคนดี กำลังทำให้ความดีของตัวเองต้องทำร้ายอีกคน เขาเองก็เริ่มสืบหาประวัติของปาลีรดา จนรู้บ้าน รู้ว่าวันหนึ่งๆ เธอจะไปไหน ถ้าไม่ใกล้วันแต่งงาน เธอเองก็จะมีชีวิตอยู่แค่บ้าน สำนักงานกฎหมาย ร้านหนังสือ และคาเฟ่ในห้างที่ไม่ไกลจากสำนักงานของเธอ และช่วงนี้ เธอชอบมาที่ร้านรับจัดงานแต่งงานบ่อยๆ และเรื่องนี้มันทำให้เขาไม่สบายใจอย่างมาก

                    คนหนึ่งพยายามจัดการทุกอย่าง อีกคนก็กำลังจัดการทุกอย่างในเรื่องของคนอื่น

                    ชายหนุ่มกลอกตาหน่าย มองเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาในกระจก โครงหน้าเรียวที่คล้ายกับผู้เป็นพี่ ต่างกันเพียงสีผิวของเขาที่ออกจะคล้ำกว่า ดวงตาของเขาได้สองชั้นมาจากพ่อ ไม่เหมือนพี่ที่เป็นตาชั้นเดียว ผมของเขาตัดสั้นเรียบร้อย ส่วนผู้เป็นพี่ชอบไว้เกือบจะรากไทร โสมมองรอยแผลตามตัวที่เกิดจากอารมณ์ร้อนของเขาสมัยใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาที่ต่างแดน คนที่พบเจอก็ไม่ปกติเท่าไหร่ เพราะเช่าห้องถูก สังคมที่พบเจอก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คนเวียดนาม คนจีน หรือพวกเหยียดคนเอเชีย เขาเจอมาทุกรูปแบบเคยมีครั้งหนึ่งปางตาย โดนรุม แล้วลงท้ายด้วยมีดยาวแทงเข้าที่ท้อง ถ้าหากไม่มีคนผ่านมาพอดี ตอนนั้นเขาคงตายอยู่แถวๆ ซอกตึกไปแล้ว

                    ช่วงบนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม แบบคนที่ชอบออกกำลังกาย บาดแผลเย็บตามลำตัวไม่ต่ำกว่าสามแผล แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือแนวยาวเหนือสะดือขึ้นมาเอียงไปด้านซ้าย ที่เคยถูกเย็บแผลกว่าสี่สิบเข็ม

                    โสมหยิบเสื้อยืดสีขาวไร้ลายที่วางพาดบนที่นอนมาสวมใส่ ในหัวพาลนึกไปถึงหน้านิ่งๆ ของผู้หญิงที่ยิ้มยากคนนั้น ปาลีรดาเป็นผู้หญิงที่ใจดี เธอเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ไม่หยิ่งในฐานะ ไม่โอ้อวดใคร เป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในสังคมสมัยนี้ แต่พี่ชายของเขากำลังเสียเพชรมีค่าเม็ดนี้ไป

                    ชายหนุ่มคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าพี่ชายจะสะสางเรื่องพวกนี้ไปยังไง เป็นเขาจะไม่มีวันทำแบบพี่ชายแน่ๆ

                    “ก๊อก ก๊อก โสม ฐาเองนะ ฐาทำอาหารเสร็จแล้ว มากินได้แล้วจ้ะ” เสียงหวานของคนที่มาเคาะเรียกเขาเป็นคนที่ทำให้เขาหาทางออกกับเรื่องนี้ไม่เจอ กัณต์ฐาคือรักแรกของพี่ชายเขา และเธอเคยเป็นเพื่อนกับเขาตั้งแต่มัธยม เพียงแค่เธอมาเจอพี่สูร พี่สูรก็แทบจะลืมคนที่เขาต้องแต่งงานด้วย ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษรับผิดชอบ แต่ไม่กล้าบอกความจริงกับปาลีรดาจนเรื่องเลยมานับอาทิตย์

                    โสมเปิดประตูออกมาเผชิญใบหน้าซีดเซียวของคนท้องอ่อน ดวงตาที่เคยสดใสหม่นลงไปมากจากแต่ก่อน “คุยกับเราหน่อยได้ไหมฐา”

                    “เรื่องอะไร” สีหน้าของกัณต์ฐาไม่ค่อยสบายใจ

                    “ฐารู้ไหมว่าพี่สูรกำลังจะแต่งงาน”

                    “เราก็พอรู้” ตอบเบาหวิว แต่มันเป็นคำตอบที่ไม่น่าพอใจสำหรับโสม

                    ชายหนุ่มจ้องมองเพื่อนเก่าอย่างผิดหวัง ส่ายศีรษะให้เห็นๆ ร่างสูงเดินออกมาจากห้อง ไม่ลืมหยิบกุญแจรถที่แขวนอยู่ข้างกำแพงห้องมา เดินออกไป ไม่สนใจว่าได้ทำให้ใครอีกคนรู้สึกผิดเต็มอก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการให้กัณต์ฐารู้สึก เขาไม่ใช่พี่สูรของเธอ

                    แต่ยังไม่ทันจะออกเดินไปที่รถตามความตั้งใจในตอนแรก ร่างสูงต้องหยุดมองคนที่หน้าประตูบ้านเหมือนตาฝาด ผู้หญิงชุดเดิมเมื่อตอนบ่ายยืนรอเงียบๆ อยู่หน้าประตูบ้านของพี่ชายเขานานเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้ แต่ท่าทางคงไม่ได้รีบร้อน เมื่อเธอยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ก่อนจะมองชมนกชมไม้ต่อไป สายตากวาดมองไปถนนทางเข้าหมู่บ้านเป็นบางครั้ง เธอจึงไม่ทันสังเกตว่าเขายืนมองเธอพักใหญ่ กลัวว่าใครในบ้านจะออกมาทำให้เรื่องแย่เข้าไปใหญ่

                    “คุณหนูครับ มีคนออกมาจากบ้านครับ”

                    ผู้ชายตัวเล็กกลางคนเดินมาจากอีกด้าน ส่งเสียงดังพลางพยักพเยิดมาทางเขา โสมรู้ตัวว่าคงจะหลบไปไหนไม่ได้ ตัดสินใจล็อกประตูบ้านไม่ให้คนข้างในได้ออกมาสร้างเรื่องวุ่นวายใจแก่ปาลีรดา

                    “มาหาพี่สูรหรอครับ” ชายหนุ่มต้องระงับความผิดที่พี่ชายก่อไว้ในอก เมื่อเดินออกมาเปิดประตูบ้านเพื่อออกไปต้อนรับ พยายามเพ่งสมาธิมาที่หน้าเนียนใส ดวงตาสุกสว่างมองใบหน้าของเขา หรี่ตาอย่างสงสัย พร้อมรอยยิ้มหวานที่พาลให้คนมองเผลอหยุดค้างไปชั่วขณะ

                    “คุณโสมใช่ไหมคะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะนี่ ไม่เห็นพี่สูรจะบอกอ้ายเลย”

                    “เมื่อวานซืนครับ ทั้งที่เจอกันครั้งเดียวคุณอ้ายยังจำผมได้อีกนะครับ” โสมไม่ปิดบังแววดีใจไว้ เขารู้สึกเป็นปลื้ม เพราะเจ็ดปีที่ปาลีรดาคบกับพี่สูร มีเพียงครั้งเดียวที่ได้พบกับเขาก็คืองานครบรอบวันตายของย่า ไม่คิดว่าเธอจะยังจำเขาได้

                    “ก็รูปคุณโสมมีเต็มบ้านขนาดนั้น แถมวันนี้คุณโสมยังอยู่บ้านอีก ถ้าไม่ใช่คุณโสมจะเป็นใครล่ะคะ”

                    ความรู้สึกคล้ายลูกโป่งถูกเจาะจนแฟบกำลังเล่นงานโสม ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนไปนิด แต่ยังมีแววกังวลเมื่อมองเข้าไปในบ้าน รู้ว่าอาจเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดีในการเชื้อเชิญแขก

                    “คือว่า

                    หญิงสาวมองเห็นความลังเลไม่สบายใจของคนตรงหน้า ก็พาลคิดว่าตัวเองอาจจะมาในเวลาที่เขามีแขกอื่น เงาคนตรงผ้าม่านที่ไหวเมื่อครู่เธอเองก็เห็น คงจะเป็นคนสำคัญของเขา

                    “ขอโทษนะคะที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของพวกคุณ อ้ายแค่จะมาให้พี่สูรดูรูปแบบงานแต่งงานค่ะ อ้ายสรุปมาในนี้ อ้ายฝากให้คุณโสมฝากไปให้พี่สูรทีนะคะ ช่วงนี้อ้ายไม่ค่อยได้เจอพี่สูรเลย คงจะงานยุ่งๆ” สีหน้าเกรงใจชัดเจน เมื่อในมือของเธอถือแฟ้มบางไว้แนบอกหนึ่งเล่ม

                    โสมรีบแย่งแฟ้มนั้นไปถือไว้ “จริงๆ ผมน่าจะดุพี่สูรนะครับ ให้คุณอ้ายจัดการคนเดียวทั้งหมดได้ยังไง คุณอ้ายคงเหนื่อยแย่ ไว้พี่สูรกลับมาผมจะกำชับเขาให้ คุณอ้ายไม่ต้องกังวลนะครับ”

                    “ขอบคุณนะคะ ถึงเวลาที่อ้ายต้องกลับแล้ว” ปาลีรดาเงยหน้ามองบ้านสองชั้นหลังใหญ่ในพื้นที่สองร้อยตารางวาด้วยหัวใจว่างเปล่า ความรู้สึกเหนื่อยค่อยๆ เกาะกินหัวใจเธอทีละนิด เหมือนเธอพยายามวิ่งตามคนที่เริ่มวิ่งออกห่างจากเธอ

                    หนุ่มเจ้าของบ้านยิ้มได้ฝืดเฝื่อนเมื่อมองร่างบางขึ้นรถและเคลื่อนหายไปจากสายตา มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันแน่น ความอึดอัดที่ไม่สามารถช่วยอะไรปาลีรดาได้มันสร้างความทุกข์แก่เขา เขาไม่เคยพบเจอใครที่กำลังจะแต่งงานมีสีหน้าอมทุกข์แบบนี้ เขาจะต้องแก้ไข และคนที่จะต้องรับรู้ มีอยู่สองคน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×