ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปีกแสงจันทร์

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 56


    โสมนั่งพิงกับพนักเก้าอี้ ทิ้งตัวให้ผ่อนคลาย มือหนานวดต้นคอ หลังจากตลอดชั่วโมงเขาเคร่งเครียดกับการอ่านเอกสารที่บริษัทนี้มีอะไรบ้างที่ได้ทำไปแล้ว เขามารับหน้าที่เป็นผู้บริหารที่ขึ้นตรงกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ถูกแต่งตั้งจากผู้ที่ให้ทุนเขาเรียนมาตั้งแต่ปริญญาตรี บริษัทของฮานะมีมากกว่าสิบอย่าง ในญี่ปุ่นมีทั้งธุรกิจทางทะเล รถยนต์ ห้างสรรพสินค้า และหลักๆ คือโรงแรม

                    ธุรกิจแรกที่ฮานะจะเริ่มมาเปิดตัวในไทยคือโรงแรม ที่กำลังจะเปิดในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เขามีหน้าที่หาลูกค้าเข้าพักโรงแรมให้ได้มากที่สุด

                    ชายหนุ่มนั่งมองชาร์ตที่เขานั่งเขียนบนไวท์บอร์ดถึงกลุ่มลูกค้าในอนาคต อย่างแรกคือลูกค้าขาจร อย่างที่สองคือนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ซึ่งจะมีเข้ามาเดือนหนึ่งตกหลายร้อยคน ถ้าอยู่ในช่วงไฮซีซั่นจำนวนคนจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะฮานะมีการจัดกรุ๊ปทัวร์จากญี่ปุ่นมาลงที่ไทยอยู่แล้ว แต่อีกกลุ่มลูกค้าที่จะมีจำนวนมากกว่ากลุ่มคนญี่ปุ่น

                    คนจีนถูกเขียนตัวโตบนใจกลางกระดาน เพราะเท่าที่ศึกษามา โสมพอจะรู้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวในไทยเฟื่องฟูส่วนหนึ่งมาจากคนจีน ถึงโรงแรมฮานะที่กำลังจะเปิดจะเป็นว่าที่โรงแรมระดับมีลุ้นห้าดาว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่เน้นพักโรงแรมราคาแพง แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ในคนจีนก็ถือว่าจากสัดส่วนประชากรมาก คนที่มีฐานะสูงก็มากตาม หากมีแพ็คเกทเที่ยวดีๆ โรงแรมดีๆ ในราคาประหยัด ทำไมคนจะไม่เข้า

                    “นักกฎหมายที่คุณโสมติดต่อไปมาถึงแล้วค่ะ” เลขาหน้าห้องส่งเสียงหวานมาตามเครื่องสื่อสาร โสมหมุนเก้าอี้กลับมาหน้าโต๊ะ หลับตาพักชั่วครู่ แต่จู่ๆ หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

                    นักกฎหมายที่ว่าคงไม่ทำให้โลกของเขากลมเกินไป โสมหัวเราะกับตัวเอง

                    “เชิญเขาเข้ามาได้เลยครับ”

                    เสียงรองเท้ากระทบพื้นมั่นคง ผู้หญิงที่เขาชอบพาตัวเองไปหาอย่างตั้งใจ กำลังมาพบเขาราวกับพรหมลิขิต ใบหน้าสีขาวตัดชัดกับกรอบแว่นหนาสีดำ ปาลีรดาแตะขอบแว่น เหมือนทำใจว่าจะถอดมันออกดีไหม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหลังจากเลขาส่วนตัวของประธานบริษัทเปิดประตูให้เธอได้เข้ามา อาการยืนนิ่ง มองตรงมาที่เธอเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

                    มือบางทิ้งลงข้างลำตัว ตัดสินใจใส่แว่นดำตามเดิม แม้ภาพที่เห็นจะมืดลงไป แต่ใบหน้าของโสมก็ยังคงชัดเจน ท่าทางชีวิตของเธอคงไม่พ้นสองพี่น้องคู่นี้

                    “สวัสดีค่ะ ฉันปาลีรดาค่ะ”

                    “ไม่ต้องเป็นพิธีการขนาดนั้นก็ได้คุณอ้าย ผมดีใจนะที่มีคุณมาดูแลงานให้”

                    “เวลาฉันติดต่องาน ฉันชอบให้คนเรียกฉันว่าปาลีมากกว่าชื่อเล่นของฉันค่ะ” ท่าทีห่างเหินเหมือนกับไม่เคยรู้จักกันนำมาใช้ ปาลีรดาไม่สนว่ามันจะทำให้คนฟังชะงักงัน หรือเสียหน้า

                    โสมพยายามจ้องไปให้ถึงดวงตาภายใต้แว่นสีดำ คอที่ตั้งตรงกับใบหน้าไร้ความรู้สึกของปาลีรดาไม่มีวี่แววของความสุขในนั้น ท่าทีแบบนั้นคงมาจากพี่ชายของเขาเป็นสาเหตุ ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ เผยรอยยิ้มสู้กับความเฉยชา

                    “ปาลีเชิญนั่งก่อนครับ”

                    ปาลีรดาสะดุ้งกับสรรพนามไร้คุณของโสม เผลอตวัดค้อนใส่แม้จะยังใส่แว่น อดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจแกล้งรวนใส่เธอ ปาลี เป็นชื่อที่เนติมาและท่านตาใช้เรียกเธอ จริงๆ เวลางานเธอก็ให้คนทั่วไปเรียกชื่อเล่นของเธอมากกว่าชื่อจริงอยู่แล้ว เพราะชื่อจริงของเธอมันทั้งยาวทั้งแปลก เคยถามคุณนาฎรดาว่าทำไมถึงตั้งชื่อเธอแบบนั้น ก็ได้คำตอบว่ามีรดา และเมื่อมารวมกับปาลี ชื่อของเธอก็เพราะขึ้นมา พวกทางเชื้อสายคุณแม่ชอบชื่อยาวๆ เพราะๆ โดยเฉพาะ ปาลีก็เป็นชื่อที่ท่านตาใช้เรียกเธอเป็นชื่อเล่นตั้งแต่เธอเกิด

                    หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของโสม นับหนึ่งถึงสิบในใจ ให้ตัวเองพร้อมที่จะทำงาน เธอก็เหมือนกับคนพาลทั่วไป พี่ไม่ดี น้องก็ไม่ต่างกัน เธอโกรธ ที่โสมมักจะพยายามมาจัดแจงเรื่องของเธอกับพี่สูรแทนเจ้าตัวเสียอีก พยายามคิดแทน ทั้งที่พี่สูร ไม่เคยแสดงอะไรออกมา

                    “ฉันไม่ขอถอดแว่นนะคะ พอดีตาบวม”

                    “ร้องไห้มาหรอครับ ตาถึงได้บวม” ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของคนถาม กำลังสร้างความขุ่นเคืองแก่ปาลีรดา คนฟังทำท่าขัดใจ ตัดสินใจถอดแว่นตากันแดดออก เปลือกตาบวมแดง นัยน์ตาว่างเปล่ามองมาอย่างท้าทาย

                    “จะเริ่มงาน หรือสัมภาษณ์ชีวิตส่วนตัวคะ ถ้าอย่างหลัง วันหลังก็นัดคนให้ถูก พอดีฉันไม่ใช่คนดังอย่างปนาวีร์” ชื่อนักร้องดัง ไอดอลของใครหลายคนในหมู่วัยรุ่น และคนวัยโตในเมืองไทย ที่ตอนนี้กำลังโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศด้วยภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวหลักพันล้านในสหรัฐอเมริกา โสมเองพอเจอปาลีรดารวนใส่ถึงกับพยายามต้องกลั้นหัวเราะ กลัวจะไปกระตุกต่อมอารมณ์เสียของเธอเข้า

                    เปลือกตาที่บวมหนา แม้จะได้ถุงเย็นมาประคบ แต่การร้องไห้ติดกันนานหลายชั่วโมงก็ไม่ได้บรรเทา ตาลึกโหล สภาพอ่อนเพลียเล็กน้อย ชี้นิ้วไปยังกระดานข้างหลังอย่างสนใจ

                    “แผนงานของคุณเข้าใจง่ายดีนะคะ ว่าแต่คุณมีอะไรจะอธิบายให้ฉันฟังหรือเปล่า ฉันจะได้เตรียมงานให้ถูก”

                    “จะรับชา กาแฟ น้ำส้ม หรือน้ำเปล่าดีครับ”

                    หญิงสาวเผลอชักสีหน้าใส่คนลูกค้า ทั้งที่รู้ว่าเสียมารยาท ดูท่า โสมจะยียวนใส่เธอไม่เลิก “ไว้ฉันจะติดต่อให้รุ่นน้องฉันเข้ามาแทนดีกว่านะคะ วันนี้คุณคงไม่อยากทำงาน”

                    อารมณ์ไม่ค่อยปกตินักของปาลีรดา พาให้ร่างบางตั้งท่าจะลุกเดินกลับไปทางประตูทางออกทันทีที่กล่าวจบ โสมรีบร้อนตัว นั่งไม่ติด ไม่คิดว่าการที่เขาห่วงเธอว่าจะกระหายน้ำไหมเวลาคุยงานจะทำให้เธออารมณ์เสียหนักขนาดนี้ ร่างสูงรีบเดินมาดึงแขนปาลีรดาไว้ พากลับมานั่งที่ โดยต้องกดไหล่ให้นั่งลงอย่างใจเย็น แม้เจ้าตัวจะขืน และทำสีหน้าหงุดหงิดแค่ไหนก็ตาม เขาควรจะสงบปากสงบคำไม่กวนน้ำให้ขุ่น

                    “ปาลี ผมจะคุยงานอย่างที่คุณต้องการ โอเคไหม”

                    เสียงถอนหายใจเฮือกโตจากปาลีรดาบอกชัดว่าไม่ได้พอใจกับคำที่เขาเรียกเธอนัก แต่ขี้เกียจเอาความ ร่างบางยืดหลังตรง เอาตาบวมช้ำหันเผชิญหน้าคนพูด “คุณจะซื้อกิจการทัวร์กิจการหนึ่งที่เมืองจีนใช่ไหมคะ”

                    “ครับ แต่ตอนนี้คนทางนั้นยังไม่ยอมตกลงกับเราให้แน่ๆ เอาแต่บอกว่า จนกว่าจะพบผม เขาถึงจะยอมเซ็นขาย”

                    “จะขายแล้วยังต่อรอง เขาอาจจะอยากโก่งราคาก็ได้นะคะ ถึงได้ขายช้าแบบนี้ ที่สำคัญ บริษัททัวร์ที่คุณว่าอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่น่าไว้ใจ อาจจะผิดกฎหมายอะไรหรือเปล่า ถึงได้เล่นตัวไม่ยอมขายให้คุณ”

                    “ผมถึงอยากให้คุณไปกับผมที่โน่น อยากให้คุณไปตรวจสอบบริษัทที่นั่นด้วยกัน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ผมจะให้คุณช่วยผมเรื่องทำสัญญาซื้อขายที่นั่นเลย”

                    หญิงสาวเบิกตามองคนพูดเหมือนตัวประหลาด เธอเข้าใจว่าก่อนจะไปเธอต้องตรวจสอบว่าธุรกิจนั้นจะขัดกับกฎหมายในประเทศใดประเทศหนึ่งหรือไม่ และต้องมีขั้นตอนอะไรเพิ่มเติม แต่ไม่จำเป็นที่เธอต้องเดินทางไปถึงที่โน่น

                    “ฉันเชื่อว่าคุณสามารถใช้คนในบริษัทคุณตรวจสอบความผิดปกติของบริษัททัวร์ที่นั่นได้นะคะ ฉันจะเป็นแค่ฝ่ายเขียนสัญญาตามที่คุณต้องการโดยไม่ขัดกฎหมายของสองประเทศ ฉันไม่เห็นความจำเป็นที่ฉันต้องไปกับคุณ ภาษาจีนฉันก็พูดไม่ได้”

                    “หรือคุณจะส่งลูกน้องของคุณไปก็ได้ ผมไม่ได้บังคับคุณไป แต่ต้องมีคนในทีมคุณซักคนไปกับผม ก็ตามที่ระบุไปตอนที่ผมติดต่อสำนักงานของคุณ ถ้างานนี้สำเร็จ ผมจะจ่ายเพิ่มอีกเท่าตัว ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางทางเราจะออกให้ทั้งหมด”

                    สายตาหวาดระแวงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตัวเลขที่คำนวณคร่าวๆ ก็มากกว่าที่เธอเคยรับทำงานอื่น อาจจะง่ายกว่าบางงานด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่เน้นเจรจากับอีกฝ่าย งานนี้บางทีถ้าเธอส่งแพรเพชรไป รายนั้นก็น่าจะทำได้

                    “ก็ได้ค่ะ ฉันจะให้รุ่นน้องไป ว่าแต่มีกำหนดการไหมคะ ฉันจะได้ไปบอกเวลาให้เขาเตรียมตัวถูก”

                    “ทำไมปาลีไม่ไปเองครับ” ท่าทีกวนๆ กับประโยคเหมือนจะสุภาพ แต่สรรพานามไม่มีคุณก็พาลทำให้เธอไม่ถูกใจ

                    “แค่เจอหน้าคุณตลอดวันนี้ฉันก็เบื่อจะแย่ ต้องเจอยาวๆ หลายวันฉันคงทานอะไรไม่ลงค่ะ”

                    “แรงดีนะครับ แต่มันทำให้ผมตัดสินใจได้เลย” โสมยิ้มส่ง ในใจอดรู้สึกน้อยใจคำพูดของเธอไม่ได้ แต่เขาก็อยากแก้เผ็ดเธอ

                    ปาลีรดาช้อนสายตา เลิกคิ้วข้างหนึ่งถามโดยไม่ต้องพูด ยังระแวงกับท่าทีของโสมที่ระรื่นไม่หาย ราวกับว่าเธอไม่ได้มีปัญหากับพี่ชายของเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดแกมคำสั่งของเขา ปาลีรดาก็นึกอยากจับเขาทุ่มตามที่พี่ชายแอบสอนเธอไว้ฝึกป้องกันตัว โดยที่ไม่ให้มารดารู้

                    “ผมอยากให้ปาลีไป อยากให้คุณกินข้าวไม่ลง ถ้างานนี้ไม่ใช่คุณ ผมจะไปจ้างคนอื่นทำ”

                    “เผด็จการ เป็นน้องชายฮิตเลอร์ล่ะสิ” บ่นออกมาดังๆ ให้คนฟังได้ยิน แต่โสมก็ทำเพียงหัวเราะสะใจในลำคอ หญิงสาวอยากจะทำหน้าหงิกหน้างอใส่เหมือนเด็กๆ แต่ก็รู้อายุอานามอย่างเธอไม่เหมาะ จึงทำได้เพียงเชิดคอขึ้นอย่างนางพญา ทำทีพอใจเสียเหลือเกิน

                    “ถือว่าการที่ฉันไป เป็นการตอบแทนคุณที่เป็นธุระให้ฉันตลอดเช้านี้ก็แล้วกัน”

                    เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ ท่าทีผ่อนคลายจึงมีมากขึ้น โสมเอนหลังกับพนักเก้าอี้ สายตาสังเกตใบหน้าเนียนอย่างละเอียดจนคนถูกมองต้องหลบวูบ แต่ผ้าปิดแผลที่มีรอยเลือดแห้งสีน้ำตาลติดอยู่ กับรอยฟกช้ำเล็กน้อยบริเวณข้างแก้มก็ทำให้เขาต้องเป็นห่วง รอยช้ำที่ตาจากการร้องไห้ ทำให้ปาลีรดาเหมือนคนอมโรค ไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา

                    “ปาลีคุณเจ็บแผลไหม”

                    “ลองขับรถชนเสาไฟดูแล้วคุณจะรู้ค่ะ” ประโยคเรียบนิ่ง ท่าทีไม่สนโลกกลับเข้ามาสิงร่างของปาลีรดา อารมณ์ของเธอเริ่มกลับเป็นกราฟเส้นตรง หญิงสาวขยับตัวตรงขึ้น เมื่อแหวนสีทองกลมเกลี้ยงถูกดันกับโต๊ะมาด้วยนิ้วสองนิ้วของโสม หญิงสาวไม่ได้ยื่นมือไปรับมัน แม้ว่าตอนนี้เธอยังมีสิทธิในแหวนวงนี้ก็ตาม

                    “ถ้าปาลีอยากจะชดใช้ให้ผม ช่วยเก็บแหวนนี้ไปไว้บนนิ้วนางข้างซ้ายของปาลีจะได้ไหม ผมอยากให้ปาลีใจเย็นๆ เรื่องพี่สูร ยังไงเขาก็รักปาลีคนเดียว” สรรพนามที่โสมรู้สึกว่าเพราะกว่าสรรพนามเดิมที่เขาเคยใช้เรียกปาลีรดาเริ่มชินปากเขา หญิงสาวเองก็เลิกใส่ใจว่าเขาจะเรียกเธอว่าอะไรเมื่อฟังคำขอจนจบ

                    คำตอบรับคือการที่เธอลุกขึ้นตรงดิ่งไปทางออกโยไม่สนใจว่าโสมจะหงุดหงิดใจแค่ไหน มือหนากำรอบข้อมือบางไว้แน่นจนคนถูกกำเผลอนิ่วหน้ากับแรงของเขา ปาลีรดาใช้มือข้างเดียวสวมแว่นแบบทุลักทุเลเมื่อถูกดึงออกมาจากในห้อง พนักงานหลายคนที่พบเห็นแอบหลบตาเจ้านาย ไปซุบซิบนินทากันสนุกปาก ความไม่พอใจเริ่มเกิดมากขึ้น จนกระทั่ง มือหนาเลื่อนมากุมมือของเธอ หญิงสาวถึงกับร้องโอดครวญ

                    “เป็นอะไรหรือเปล่าปาลี”

                    “ฉันเจ็บมือ ปล่อยได้หรือยังคะ” หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น จนส่งผลถึงแผลบนตีนผม โสมจับมือเธอเบาลง พลิกมือเธอเพื่อหาอาการผิดปกติขณะที่เดินเข้าไปในลิฟต์ รอยแดงจัดขึ้นบนหลังมือตัดกับผิวสีขาวชัดเจน

                    “ไปโดนอะไรมา”

                    หญิงสาวดึงมือกลับ ซ่อนไว้ข้างหลังไม่ตอบคำถามแก่เขา ปล่อยให้คนถามหงุดหงิดงุ่นง่านโดยไม่ใส่ใจ “ผมรู้ว่าผมไม่ใช่พี่สูร แต่ผมห่วงปาลี ในฐานะที่เห็นคุณเป็นคนสำคัญของพี่สูร” กระแสเสียงน้อยใจจนคนฟังจับความรู้สึกได้ คนฟังเม้มริมฝีปาก รู้สึกหดหู่ และเจ็บปวดเพียงแค่ได้ยินชื่อพี่ชายของเขา

                    “ก็แค่โดนน้ำร้อนลวก แค่นี้ฉันไม่ตายหรอกน่า”

                    รอยยิ้มที่สว่างจ้ายิ่งกว่าแสงแดดยามเช้าทำเอาปาลีรดาต้องยิ้มตามออกมา แม้จะไม่ได้เต็มใจหากปากของเธอจะไม่คลี่ยิ้มเอง ลักยิ้มสองข้างแก้มลึกเป็นรอยบุ๋ม มือบางต้องยกมือทำท่าบีบๆ ข้างแก้ม บ่นดังๆ ให้โสมได้ยินอีกรอบ “โลกสดใสเหลือเกิน เอะอะยิ้ม ชีวิตคุณมันน่าอิจฉาจังเลยนะ”

                    “ถ้าปาลีจะไม่เดินหนีหัวใจตัวเองโลกของปาลีก็จะสดใส เชื่อนายโสมสิ” ปิดท้ายด้วยการยักคิ้วแสนเท่ห์สะบัด จนพนักงานผู้หญิงหลายชีวิตที่อยู่บริเวณลิฟต์เห็นถึงกับยกมือปิดปากกรีดร้อง

                    ร่างบางเดินตามร่างสูงไปเงียบๆ คิดถึงสิ่งที่เขาพูด ถ้านี่เป็นบททดสอบที่ใครซักคนส่งมา เธอก็คงสอบตกอย่างไม่น่าให้อภัย บททดสอบเพื่อมาวัดว่าเธอกับสูรจะฝ่าฟันมันไปได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องบางเรื่องอาศัยแค่ความรักอย่างเดียวเป็นพื้นฐานก็ไปไม่รอดถมเถ เธอเชื่อว่าพี่สูรยังรักเธอ เวลาเจ็ดปีทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขามั่นคง และเป็นคนรักเดียวใจเดียวแค่ไหน เพียงแต่ผู้หญิงคนนั้น ก็แค่มรสุมหนึ่งที่เธอต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เธอจะลองเชื่อใจเขา เรื่องที่รอจนกว่าผู้หญิงคนนั้นคลอด ไม่มีอยู่ในความคิดของเธออยู่แล้ว ได้เวลาที่เธอจะทำให้ความรักของเธอกับพี่สูรกลับมาเหมือนเดิม

                    “ฉันไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว” ปาลีรดาหยุดลงข้างๆ รถของโสม โดยที่เจ้าของรถก็หยุดตาม รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าที่แม้จะมีรอยฟกช้ำก็ไม่ทำให้ความน่ามองลดลง

                    “ปาลีคุณจะทิ้งพี่สูรหรอครับ”

                    คนฟังถึงกับหัวเราะ สีหน้าสดใสกว่าเมื่อเช้า และเมื่อหลายนาทีก่อนหน้า มือบางยื่นออกไปตรงหน้าโสม “อย่าบอกนะว่าปาลีจะมาคบผมประชดพี่สูร”

                    อดไม่ได้ด้วยอารมณ์หมั่นไส้ มือบางยกขึ้นตีต้นแขนคนช่างคิดเสียงดัง “ขอแหวนคืนค่ะ อ้ายจะเป็นว่าที่น้องสะใภ้ที่ดีของคุณโสมนะคะ” สรรพนามกลับมาแทนด้วยความสนิทสนม โสมถอนใจอย่างโล่งอก ยื่นแหวนที่กำอยู่ที่มืออีกข้างคือให้เจ้าของ ปาลีรดารับแหวนกลมเกลี้ยงสีทองที่ใส่ติดนิ้วมาเกือบปีด้วยความคิดถึง ก่อนจะสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายดังเดิม “ถ้าอ้ายเสียคนแบบพี่สูรไป อ้ายก็คงจะโง่ไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะเสียให้ผู้หญิงคนนั้นง่ายๆ ทั้งที่อ้ายยังไม่ทำอะไรเลย”

                    “ผมจะช่วยปาลีเต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วง”

                    ปาลีรดามองโสมด้วยความซึ้งใจ รอยยิ้มสดใสดูสดชื่นมากในรอบอาทิตย์ “อ้ายจำเป็นต้องสืบประวัติคุณกัณต์ฐา ถ้าอ้ายหาทางเล่นงานเขาไม่ได้ พี่สูรจะไม่มีทางไล่เขาไปไหน”

                    “เชื่อสิว่าพี่สูรไม่มีทางไล่เขาไปไหน” โสมเท้าแขนกับหลังคารถ มองหน้าปาลีรดาที่ไม่ได้เคร่งเครียดกับสิ่งที่เขาคาดการณ์

                    “อ้ายจะทำให้เขาไปจากพี่สูรด้วยตัวของเขาเอง” ดวงตาสดใสนิ่งสงบขึ้น

                    “ผมยินดีที่ปาลีคิดแบบนี้นะ” โสมพยายามแสดงความดีใจออกไปทางสีหน้า ทั้งที่เขารู้สึกยินดีปรีดากับการเปลี่ยนแปลงของเธอ แต่ห้วงหนึ่งของความรู้สึก เขาแอบอิจฉาพี่ชาย พี่สูรโชคดีที่มีคนแบบปาลีรดารัก เธอเข้มแข็ง และซ่อนความอ่อนแอไว้ ในระยะเวลาไม่นานเธอก็กลับมายืนได้ ช่วงที่อารมณ์ของเธอแปรปรวน เขากลับมองว่ามันน่ารัก ถ้าพี่ชายของเขาเสียผู้หญิงคนนี้ไป วันนั้นคงเป็นเขาที่จะจับมือของเธอไว้แทน

                    ตราบวันที่พี่ชายของเขายังมีโอกาส เขาจะช่วยความรักของคนทั้งคู่จนถึงที่สุด และเป็นครั้งแรกที่โสมตกตะลึงกับความรู้สึกของตัวเอง บางที เขาเองก็เริ่มชอบคนรักของพี่ชายในเวลาอันสั้นที่ได้รู้จักกัน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้องก็ตาม

     

                    เสียงเจื้อยแจ้วของคุณนายกำลังหาเรื่องมาเล่ากันไม่หยุด สองมือสาละวนกับการทำอาหาร มีกล้องมาจับภาพ อวดรูปกันไม่มีใครยอมใคร งานการกุศล เป็นงานสังคมที่พวกเธอต้องออกกันเป็นนิจ

                    นาฎรดากรีดกรายอย่างดงามสมกับเป็นอดีตหม่อมราชวงศ์นาฎรดาที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี มือจับตะหลิวผัดอาหารในกระทะอันโตอย่างคล่องแคล่ว ไม่ขัดหูขัดตาเหมือนกับคุณนายบางท่านที่จับโน่นจับนี่ได้ไม่เท่าไหร่ก็แสนจะลำบาก บ่นนิดนั่นหน่อย เรียกหาจานมาใส่อาหารที่ผัดเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่หลายคนวางมือไปตั้งกลุ่มนินทา ซุบซิบกันออกรส

                    “ไม่รู้ว่ามาทำไมนะคะ มาจับตะหลิวแค่ถ่ายรูปก็สะบัดก้นหนีกันหมด” ภรรยาท่านผู้การแห่งกองทัพอากาศที่อายุอานามเพิ่งจะสามสิบห้าส่ายหน้าเอือม

                    คุณหญิงนาฎรดาช้อนสายตามองกลุ่มคุณหญิงกลุ่มใหญ่ที่แต่งตัวมาเสียเต็มยศ ถึงจะเห็นพ้องแต่ก็ไม่สามารรถแสดงกิริยาวาจาวิจารณ์ติเตียนออกมาได้ดังที่หวัง “เสร็จหน้าที่คุณน้องต้องไปงานไหนต่อไหมคะ”

                    “งานของกองทัพอากาศค่ะคุณพี่” ลินินกล่าวออกมา รับกระดาษทิชชู่จากผู้ช่วยส่วนตัวซับเหงื่อ สายตามองกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังมองมาที่เธอและคุณหญิงนาฏรดา ใบหน้ามีพิรุธเต็มที่ ลอกแลกกว่าปกติ “ดูท่ากลุ่มนั้นกำลังนินทาดิฉันไม่ก็คุณพี่นะคะ”

                    “อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ ถ้าเขาทำแล้วมีความสุขนักก็ปล่อยไป”

                    ลินินไม่ค่อยอยากจะเห็นดีตามไปด้วย “คุณพี่อย่าไปทนให้พวกนั้นนินทาค่ะ” พูดเปล่ามือของลินินจับมือนาฎรดาที่อายุอานามก็เป็นน้องของแม่เธอได้ เดินไปหากลุ่มคนสามชีวิตที่ถึงกับทำท่าพิรุธออกมาเต็มที่ “คงไม่ได้นินทากันอยู่ใช่ไหมคะ”

                    “เปล่าค่ะคุณน้อง เราได้ยินความจริงมา ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง”  

    คุณนายภรรยาข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศจีบปากจีบคอ ดวงตาซ่อนอาการสะใจไว้ แม้จะไม่เนียนเมื่อลำภาแสดงออกมาทางแววตาจนหมดสิ้น

    “พอดีพี่ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พี่ขอตัวนะคะ”

    “ถ้ามันเกี่ยวกับลูกสาวคุณพี่ล่ะคะ” เสียงหัวเราะลูกคู่ของคุณนายอีกสองคนที่เหลือ หยุดสายตาของนาฎรดาให้นิ่งฟังได้ ท่าทีที่ไม่ตอบโต้ ลำภาก็ถือว่าผู้ฟังไม่คัดค้าน “ได้ข่าวว่ายกเลิกงานแต่งแล้ว ทำไมล่ะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

    “ช่างมีความสุขกับการยื่นหูมาฟังมาอยากรู้เรื่องคนอื่นนะคะ” วาจาเหน็บแนมของลินินจุดไฟในตาของลำภาและลูกคู่อีกสองให้ลุกโชน ไม่ต่างจากนาฎรดาที่เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกกับเรื่องน่าตกใจนี้ โดยเฉพาะมันออกมาจากปากของคนอื่น

    แต่คุณหญิงก็สามารถซ่อนอาการตกใจไว้ได้อย่างแนบเนียน ไม่ใช่มือสมัครเล่นอย่างทั้งสาม “รู้กันแล้วหรอคะ ขนาดพี่ยังไม่ได้ประกาศกับใครว่าลูกสาวของพี่จะแต่งงานแล้ว” รอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนส่งไป เล่นเอาคนฟังที่โดนว่ากระทบอยากจะเต้นเร่า “ลูกของพี่ยกเลิกงานไปก่อน อาจจะวุ่นๆ กับงาน แต่ทั้งปีฤกษ์ก็มีมาเรื่อยๆ จะแต่งวันนี้วันพรุ่ง ใครจะรู้คะ ดีกว่าไม่มีใครให้แต่ง ว่าไหมคะ”

    เสียงฟันกัดกรอดๆ พร้อมเสียงโวยวายดังไล่หลังนาฏรดามา ผู้หญิงวัยกลางคนอย่างเธอไม่มีเวลามาใส่ใจ กระหวัดนึกถึงลูกสาวตัวเอง สุดท้ายก็มีเรื่องเกิดกับความรักของลูกเธอจนได้

    หรือจุดอ่อนในตัวว่าที่ลูกเขยของเธอจะออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิด ก็ดี เพราะถ้าทั้งสองผ่านเรื่องครั้งนี้ไปไม่ได้ ทุกอย่างได้ล่มลงไปตามที่เธอหวังแน่นอน 

     

    “แน่ใจนะ” คนขับหันมาถามคล้ายไม่แน่ใจเมื่อปาลีรดานั่งกุมมือ สูดลมหายใจ หลับตานานถึงห้านาที เบื้องหน้าคือบริษัทออกแบบก่อสร้างที่สูรร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดมันขึ้นมา รถของสูรยังคงจอดอยู่ข้างหน้ารั้วบอกได้ว่าเจ้าตัวยังอยู่ทำงาน

    หญิงสาวลืมตาขึ้นมา ลูบนิ้วลงบนแหวนทอง สายตามองมันเหมือนจะสื่อใจไปให้ถึงสูร “อ้ายควรจะเข้มแข็งกว่านี้ เพราะพี่สูรเป็นคนดี พี่สูรถึงทนเห็นคนลำบากไม่ได้” นั่นคือข้อสรุปที่ปาลีรดาใช้ปลอบใจตัวเอง ให้เธออดทน และใช้เหตุผลกับสูรมากกว่านี้ เธออยากจะผ่านบททดสอบสุดหินนี้ไปให้ได้

    โสมมองร่าบางด้วยรอยยิ้มอ่อน อยากจะยกมือลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ ก็กลัวจะไม่เหมาะสม มือนั้นค่อยๆ หดกลับ ได้แต่ย้ำให้รู้ฐานะของตัวเองว่าการเป็นผู้ช่วยพระเอกนางเอก มันได้รับเกียรติแค่ไหน และสิ่งใดที่ไม่ควรทำ

    “ขอให้โชคดีนะครับ”

    “ขอบคุณค่ะ คุณโสม” ปาลีรดายิ้มหวานให้ ในใจรู้สึกโชคดีที่มีโสมคอยช่วยเหลือเธอตลอดเวลา ตรงข้ามกับปัณณภพ ที่เอาแต่ขัดขวางทางรักของเธอ ตั้งป้อมกับพี่สูร ซึ่งเธอไม่สามารถลบความคิดด้านลบของพี่ชายได้เลย ดีที่เธอยังมีโสม อย่างน้อยเขาก็เข้าใจเธอได้ดียิ่งกว่าครอบครัวของเธอ

    และเธออยากจะให้พี่สูรเข้าใจเธอ ว่าเธอต้องรู้สึกอย่างไรที่ต้องเห็นคนรักกำลังปกป้องผู้หญิงคนอื่น ในขณะที่เขากำลังทิ้งขว้างเธอให้ออกห่าง ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ แต่เขากำลังทำให้เธออต้องคิดอย่างนั้น

    ร่างบางเดินลงไปด้วยความมั่นคง หันกลับมาชูกำปั้นชาร์ตเข้าหาตัว ว่าสู้ตาย โสมยกขึ้นตอบเป็นกำลังใจ มองร่างที่เป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับหัวใจของเขาเดินลับไป

    “ไอ้โสม ผู้หญิงในโลกมีตั้งมาก อย่ามาตกหลุมรักคนรักของพี่เลย แกน่ะเป็นได้แค่น้องพระเอก” ตาเศร้ามองฉายในเงากระจก โสมหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าการเจอปาลีรดาเพียงแค่วันเดียว จะทำให้เขารู้สึกถูกผู้หญิงคนนี้เข้ามามีอิทธิพลกับตัวเขาได้รับยาดี แต่มันก็มียาพิษแฝงมาให้เขา

     

    ไฟในห้องไม่จำเป็นต้องเปิด ตามความคิดของสูรที่ชอบช่วยโลกประหยัดไฟ หน้าต่างทุกบานเปิดโล่งกว้าง รับแสงและลมเย็นจากธรรมชาติ แบบบ้านตั้งประดับตามผนังด้วยฝีมือวาดภาพของสองเพื่อนรัก ที่วันนี้อีกโต๊ะในห้องกว้างว่างเปล่า เหลือเพียงโต๊ะตัวเดียวติดผนัง ผู้ชายที่เธอไม่พบนานถึงหนึ่งอาทิตย์เอนหลังนอนกับเก้าอี้หนังสบาย ดวงตาปิดสนิท แต่หัวคิ้วก็ยังขมวดเข้าหากัน บ่งบอกว่าสิ่งที่หลับไปเป็นเพียงร่างกาย แต่ไม่ใช่หัวใจและสมอง

    ปาลีรดาวางกระเป๋าลงกับโต๊ะให้เบาที่สุด นั่งตรงข้ามกับสูร เพื่อจะได้มองเขาให้ชัดๆ รอยยิ้มคลี่บางๆ เมื่อเธอรู้สึกสงสารสูรจับใจ ระยะเวลาที่มีปัญหากัน เธอไม่มีความสุขเลย แม้เธอจะมั่นใจว่าสูรจะไม่มีวันนอกใจจากเธอ แต่เธอกลับไม่ไว้ใจความใจดี และเป็นคนดีของสูร ผู้ชายที่ทำได้เพื่อคุณธรรมในใจ จนอาจลืมสนใจความรู้สึกของเธอไป

    ดวงตาฉายรอยเศร้าเมื่อหวนนึกถึงผู้หญิงคนนั้นที่กำลังสร้างปัญหากับชีวิตรักของเธอ เธอมาราวกับถูกจับวางในช่วงเวลาที่เธอกับพี่สูรกำลังจะถึงปลายทาง เธอโกรธมากที่สูรแคร์ผู้หญิงคนนั้นมากกว่าเธอ ห่วงความรู้สึกคนท้อง ยิ่งกว่าคนรักที่ต้องเตรียมงานแต่งงาน ไม่มีการโทรถามไถ่ ราวกับอยากจะให้ไม่มีงานนั้นเกิดขึ้น

    ปาลีรดานึกใจหาย เหมือนหัวใจหยุดเต้น เธอเองรู้สึกว่ามันเป็นความตั้งใจของสูร ที่ขาดการติดต่อกับเธอเพียงเพราะ จะให้เธอยกเลิกงานแต่งนี้ไปด้วยตัวเธอเอง

    ถ้าเธอต้องรู้ว่ามันเป็นความตั้งใจของเขาจริง เธอจะรับเหตุผลของเขาได้แค่ไหน ถ้าสุดท้ายที่เขาทำไปก็เพื่อ ผู้หญิงอีกคน

    น้ำตาคลอหน่วยจนปวดกระบอกตาเมื่อเธอต้องพยายามกลั้นมันไว้ มือวางทาบกับโต๊ะทำงาน เท้าแขนเพื่อมองหน้าเขา เธออยากให้เขายิ้มให้เธอ ปลอบใจให้เธอเมื่อต้องตื่นขึ้นมา เรื่องอันน่าปวดหัว เหนื่อยหัวใจเป็นเพียงฝันร้ายที่ไม่มีอยู่จริง

    เพียงแค่เริ่มต้น เธอก็กลัวบทสรุปของมัน ทุกคนในครอบครัวของเธอเตือนเธอเรื่องความใจอ่อน มองโลกในแง่ดีเกินไปของสูรเสมอ เธอไม่เคยคิดว่ามันจะส่งผลร้ายต่อความมั่นคงของเธอในวันนี้ได้มากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอยังเหลือแรงพอที่จะสู้

    ความง่วงเริ่มเข้ามาทักทาย สองมือวางราบกับโต๊ะ เท้าแขนมองสูรด้วยความอดทน น้อยครั้งที่เธอจะมีโอกาสมานั่งเฝ้ารอให้เขาตื่น มีเรื่องมากมายที่เธออยากจะเล่าให้เขาฟัง และเธออยากจะปรับความเข้าใจกับเขา แม้ว่าเธอจะไม่รู้ตัวว่าเธอทำผิดอะไร

    “พี่สูรคะ ถ้านี่เป็นบททดสอบของใครบางคน พี่จะผ่านมันไปพร้อมกับอ้ายหรือเปล่า พี่จะเข้มแข็งพอไหม ถ้าอ้ายจะขอให้พี่สูรเลือกอ้าย ไมใช่ผู้หญิงคนนั้น บางทีถ้ามีแต่คำว่ารัก มันก็ไม่ได้ทำให้คนเราใช้ชีวิตด้วยกันได้นะคะ” ใบหน้าของสูรยังคงหลับนิ่ง ไม่มีทีท่าจะได้ยินเธอ ปาลีรดาหลับตาเอาหน้าก้มไปในช่องแขน “แค่ตอนนี้ พี่สูรยังไม่ลืมตาขึ้นมาฟังอ้ายเลย ใจร้ายจังเลยนะคะ” เสียงค่อยๆ เบาจนเงียบหายไป

    สูรขยับตัวลืมตาตื่น เขาไม่ได้หลับไปอย่างที่ปาลีรดาพูด ก็แค่แกล้งหลับเพื่อให้เขาหลบคนรักไปได้อีกวัน เขารู้ว่าเขาไม่มีวันทำตามที่ปาลีรดาขอได้ เขาทิ้งเด็กตาดำๆ ไปไม่ได้

    แหวนสีทองบนนิ้วนางที่เธอบอกว่าฝากน้องชายของเขาไว้ ยังคงสวมอยู่ที่เดิม สูรยกนิ้วของตัวเองขึ้นมาที่ถูกใครอีกคนคะยั้นคะยอให้ใส่ติดไว้กับนิ้วเช่นกัน รู้สึกสบายใจที่เธอไม่ทำตามที่ว่าไว้ ตอนนี้ปาลีรดาคงจะใจเย็นขึ้นจากตอนกลางวัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าเธอก็ตาม จากที่เห็นร่างกายของปาลีรดา เธอก็ยังปกติ ไม่ได้รับผลมากมายจากอุบัติเหตุอย่างที่เขานึกกลัว

    ชายหนุ่มไม่กล้าปลุกคนรักขึ้นมาคุย ได้แต่เก็บของไปเงียบๆ ไม่รบกวนเวลาหญิงสาว ไว้เขาออกไปจากที่นี่ค่อยโทรเข้ามาในสำนักงาน ถึงเวลานั้นเธอคงจะตื่นขึ้นมารับได้

    ร่างสูงเดินผ่านจนเกือบจะถึงกรอบประตูเพื่อออกไปจากที่นี่ เสียงสะอื้นเบาๆ ก็ดังกรีดหัวใจสูรทีละนิด ปาลีรดากำมือข้างที่เพิ่งจะถูกน้ำร้อนลวกเป็นแผลพุพองจนแสบ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นมา น้ำตามากมายไหลทะลักเมื่อพบว่า สูรไม่ใยดีต่อเธอแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนนี้ที่เขากำลังมองเธอ สายตาของเขาก็ว่างเปล่าจนใจเธอถูกเขาทำลายด้วยความเงียบของเขา

    ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แผลบนหน้าผากและรอยช้ำบนแก้มยิ่งตอกย้ำให้กายเธอเจ็บเพิ่มนอกจากบาดแผลที่ใจ ปาลีรดาลุกขึ้นแม้จะเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงให้ก้าวเดินต่อ สูรมองมา เบือนหน้าหนีภาพคนรักด้วยความร้าวรานไม่ต่างกัน

    “พี่สูรคงไม่เห็นอ้ายใช่ไหมคะ” ปากบางพยายามยิ้มแม้มันสั่นจนเจ้าตัวยังนึกโกรธ ที่เธอควบคุมร่างกายของตัวเองได้แย่นัก มือบางเอื้อมไปจับข้อมือของสูรไว้ทั้งน้ำตา “โลกของอ้ายมันไม่น่าอยู่สำหรับพี่สูรอีกต่อไปแล้วใช่ไหมคะ พี่สูรถึงกำลังเดินจากอ้ายไป”

    นิ้วเรียวไล่แตะวัตถุเย็นๆ บนข้อนิ้วของสูร ดวงตาพยายามมองไปให้ถึงในใจของชายหนุ่ม “ถ้าพี่กำลังทุกข์ใจ ทำไมไม่คิดถึงอ้ายบ้าง ทำไมมีอะไรถึงไม่บอกอ้าย ทำไมทำเหมือนเราสองคนไม่เคยเป็นอะไรกัน ทำไมพี่สูรถึงพยายามขับไล่อ้ายออกมาจากโลกของพี่ ถ้าพี่ยอมแพ้ เหนื่อยกับอ้าย อ้ายจะไม่รั้งอะไรไว้อีก ในเมื่อความรักของเรา มันสู้เหตุผลที่พี่สูรตั้งมันขึ้นมาไม่ได้เลย”

    เมื่อความเงียบยังคือคำตอบ เป็นคำตอบที่ไม่มีคำตอบรับจากเขา

    มือบางทิ้งมือคู่ที่เคยอบอุ่น แต่วันนี้มันเย็นเฉียบไปถึงขั้วหัวใจราวกับมือคู่นั้นปราศจากชีวิตที่เคยทอแสงตะวันอุ่นในใจเธอ

    “พี่สูรจะมีคำอื่นบอกอ้ายไหมคะ นอกจากบอกให้อ้ายรอ ให้อ้ายเชื่อใจ ให้อ้ายยอมรับผู้หญิงคนนั้น ให้อ้ายยกเลิกงานแต่งงาน” ปาลีรดาจ้องสูรไม่วางตา ไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดที่สุดที่เธอเคยเจอมา “ช่วยทำให้อ้ายรู้สึกว่าอ้ายกำลังคุยอยู่กับคนไม่ใช่วัชพืช”

    ความเฉยชาของสูรกำลังเป็นการบอกปัดทุกอย่างของเธอ อาการที่อยากจะสู้ลดหายไปจนแทบไม่เหลือ เธอจะสู้สุดตัวไปเพื่อใคร หากสุดท้าย คนที่เธอสู้ ไปยืนอยู่ข้างอื่นที่ไม่ใช่เธอ พี่สูรของเธอ จากไปนับตั้งแต่ขอเธอแต่งงานอย่างนั้นหรอ

    “อ้ายจะแฉผู้หญิงคนนั้น อ้ายจะกระชากหน้ากากเขาออกมา เขาเข้ามาเพื่อทำลายพวกเรา ทำไมพี่สูรถึงโง่ดูไม่ออก ทำไมพี่ต้องทำให้อ้ายตกอยู่ในความหวาดระแวงแบบนี้ พี่ไม่มีความยุติธรรมให้อ้ายเลยนะคะ” ปาลีรดาเกือบจะกรีดร้องออกมาในตอนท้าย หากเธอไม่ระงับอารมณ์ไว้อย่างถึงที่สุด เป็นคนอื่นอาจจะตบหน้าเขาเพื่อให้เธอรู้ว่ายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า

    “เมื่อเช้า ตอนที่อ้ายเกิดอุบัติเหตุ คนแรกที่อ้ายคิดถึงคือพี่สูร แต่พี่ก็ทำแค่โทรมาหาแค่สองครั้งก็กดวาง คนอย่างอ้ายมันน่ารังเกียจมากใช่ไหมคะ ต่อให้ตอนนี้อ้ายพูดอะไรไป ก็สู้คุณกัณต์ฐาของพี่ไม่ได้”

    ปาลีรดาจุกในอก เมื่อเริ่มรับรู้ว่าวันนี้ ถึงวาระสุดท้ายระหว่างความรักของเธอกับสูรแล้ว เธอทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว มือบางถอดแหวนวงเดิมในนิ้วนางข้างซ้ายออกทั้งน้ำตาต่อหน้าผู้ที่สวมมันแก่เธอ สูรมองมัน ก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะเห็น

    “พี่คงไม่อยากได้คืน อ้ายฝากพี่เอามันไปให้คุณกัณต์ฐาของพี่ด้วย เธอคงตะครุบมัน เหมือนที่เธอทำตัวเป็นแมวขโมย อ้ายขอให้รู้ว่าคนที่อ้ายแพ้ไม่ใช่คุณกัณต์ฐา คนที่อ้ายแพ้ มันคือคนตรงหน้าของอ้าย พี่ก็แค่ผู้ชายประเภทที่อ่อนแอตามที่ครอบครัวอ้ายสบประมาทไว้ กลับไป คุณพ่อคุณแม่พี่ชายของอ้ายคงจะดีใจ ที่ลูกสาว น้องสาวของพวกเขา ไม่ได้โง่อีกต่อไป”

    น้ำตามากมายหยุดไหลลง ด้วยเจ้าตัวสะกดกลั้นมันไว้ด้วยความเข้มแข็งอันน้อยนิดของตัวเอง มือบางหย่อนแหวนวงสวยลงใส่กระเป๋าเสื้อของเขา รอยยิ้มสวยส่งไป อวดลักยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้าย

    “โชคชะตาทำให้อ้ายพบคนดีๆ คนหนึ่ง ได้รู้จักเขาถึงเจ็ดปีเต็ม ได้ฟังคำขอแต่งงานที่ทำให้อ้ายมีความสุข และฝันหวานกับมันจนเกือบมองไม่เห็นความจริง ดีเหลือเกินที่คุณกัณต์ฐาเข้ามาทำให้รู้ว่าคนอย่างพี่สูรดีเกินสำหรับอ้าย แต่ว่าพี่สูรอาจจะดีพอสำหรับคุณกัณต์ฐา”

    สูรดึงร่างบางไปกอดไว้แน่น ใช้ไหล่ของเธอซับน้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังจะไหลออกมา และเขากั้นมันไว้จากสายตาปาลีรดาไว้ได้ทัน ปาลีรดาคงไม่รู้ว่าทุกคำของเธอกำลังเผาทำลายใจเขาให้มอดไหม้กลายเป็นเพียงเศษขี้เถ้า เขาโกรธตัวเองที่อ่อนแอเกินไป เขาไม่สามารถทนเห็นเด็กคนหนึ่งพาเด็กไม่รู้ชะตาในท้องไปตกระกำลำบาก ในขณะที่เขาสามารถยื่นมือไปช่วยไว้ได้

    “มีทางออกที่ดีกว่านี้สำหรับความรักของเราไหมอ้าย”

    “พี่ยังอยากรู้ทางออกของอ้ายอีกหรอคะ” ปาลีรดากลั้นใจถาม หัวใจหมดเรี่ยวแรง เธอพูดกับเขานานหลายนาที เขาเพิ่งจะพูดกับเธอประโยคแรก “ถ้าอ้ายเสนอทางออกให้ พี่สูรจะทำมันหรอคะ”

    “พี่

    “ให้เขาไปอยู่ที่อื่นไม่ได้หรอคะ บ้านท่านตาท่านยายของอ้ายก็ได้ พวกท่านต้องยอมช่วยอ้ายแน่ๆ”

    “พี่ต้องกลับไปคุยกับฐาก่อน”

    หญิงสาวดันร่างของสูรออกห่าง ใบหน้าไม่มีแววจะฟูมฟายอีก แม้ดวงตากำลังแดงก่ำ และเปลือกตาและหนังใต้ตาบวมอย่างน่ากลัว ปาลีรดารู้สึกว่าใบหน้าของเธอตอนนี้คงไม่น่ามองเอาเสียเลย

    “อ้ายต้องการผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ ไม่ใช่คนที่คิดอะไรเองไม่ได้แบบนี้ กับคนอื่นพี่ไม่กล้าคิดแทน แต่กับอ้าย พี่ทำเหมือนอ้ายเป็นเชื้อโรคที่ไม่มีความคิด อยากจะผลักไสเมื่อไหร่ก็ทำ อยากจะรั้งไว้ก็บอกอ้ายแค่เหนื่อย อ้ายขอให้พี่โชคดี เหนื่อยนักก็แค่แกล้งหลับ เหมือนที่พี่ทำ อ้ายขอให้ความรักของอ้ายตายไปพร้อมกับพี่สูรคนที่อ้ายรู้จัก”

    ความแน่วแน่ปราศจากความลังเล ฉุดกระชากใจคนฟังให้หลุดออกจากร่าง แม้แต่แรงที่จะเอื้อมไปรั้งให้เธอไม่ไป เขาก็ทำไม่ได้ ในความอ่อนแอของเขา เขาได้ทำร้ายผู้หญิงที่ชื่อว่าคนรักให้เจ็บยิ่งกว่า ร่างของปาลีรดาเดินตรงออกไปจากบริเวณสำนักงานโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา เธออยากจะเดินไปให้พ้นจากผู้ชายใจร้าย ผู้ชายที่เคยบอกคำว่ารักให้เธอใจสั่น วันนี้เขาก็ทำให้เธอใจพังราบเป็นหน้ากลองด้วยแล้วเช่นกัน

    เจ็ดปี ทุกอย่างนับจากนี้ จะเป็นอดีตของเธอ 

    ............................................................................................................................................
    มาเงียบๆ แล้วจากไป อิอิ ตอนนี้มาน้อยๆ ก่อน คึคึ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×