คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
ภายในรถที่ติดฟิล์มดำจนมองไม่เห็นข้างในจากภายนอก กำลังถูกมองผ่านไปยังรถที่จอดนิ่งอยู่บริเวณซอกแคบๆ ของบ้านหลังหนึ่ง ปาลีรดามองป้ายทะเบียนเลขอันคุ้นตาด้วยหัวใจปวดร้าว เพราะอะไรถึงต้องหลบหน้าเธอ
“เป็นรถของคุณสูรจริงๆ ครับ เครื่องยังติดอยู่”
เธอเพียงแค่ให้ลุงสนไปรออยู่แถวๆ นั้นขณะที่เธอไปรอหน้าบ้านพี่สูร เมื่อสามวันก่อนที่เธอมา เธอมั่นใจว่าเธอเห็นรถของพี่สูรเข้ามา และมาจอดบริเวณนั้น วันนี้เธอถึงต้องการมาเพื่อย้ำความเข้าใจของเธอว่ามันจริงแท้แค่ไหน ตอนนี้ เธอยิ่งรับรู้ ยิ่งเจ็บปวด
งานแต่งงานไม่มีค่าในสายตาของพี่สูร รวมทั้งตัวเธอด้วยเช่นกัน สีหน้าของโสมที่มองเธอเหมือนอยากจะขอโทษบางอย่างตอนที่เธอส่งแฟ้มไปให้ คล้ายกับว่าใครบางคนกำลังทำผิดกับเธอ
ใครคนนั้น จะเป็นใครถ้าไม่ใช่ว่าที่เจ้าบ่าว เธอเกลียดวิธีของเขา ที่ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ แก่เธอ ปาลีรดาเริ่มเรียบเรียงบางอย่างในหัวเงียบๆ มีเสียงแอร์เย็นฉ่ำทำให้ใจเธอเริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง
สนมองคุณหนูเล็กอย่างเป็นห่วง อยากจะเอาเรื่องหนักอกที่คุณหนูพบเจอมาไปเล่าให้นายท่านกับคุณหญิงฟังก็กลัวว่าจะถูกคุณหนูโกรธ เขายังเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัวของคุณหนูเสมอ และเชื่อว่าคุณหนูเล็กไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องให้คนโน้นคนนี้มาให้คำตอบในทุกๆ เรื่อง
และตอนนี้เธอก็มีคำตอบชัดเจนแล้วคำตอบหนึ่ง ปาลีรดากัดริมฝีปากไว้ ไม่ให้น้ำตาที่พร้อมจะหลั่งได้กลับเข้าไป ศีรษะหันออกมองนอกรถ ถึงเธอจะหาหลักฐานชัดเจนไม่ได้ เธอก็ไม่อยากรับรู้ใดๆ ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตามที่พี่สูรของเธอต้องการ ระหว่างเธอกับเขาคงต้องใช้คำว่าทน
“คุณหนูไม่เป็นอะไรนะครับ ทุกคนที่บ้านอยู่ข้างคุณหนูนะครับ”
“ค่ะ อ้ายรู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าลุงสนจะไม่บอกเรื่องของอ้ายให้ที่บ้านระแคะระคาย” ปาลีรดาดักทางด้วยรู้ทัน ได้ยินลุงสนตอบรับเสียงอ่อยๆ ก็วางใจ “อ้ายไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงค่ะ โดยเฉพาะถ้าพี่หลิวรู้ อ้ายว่างานนี้ได้มีคนเจ็บปางตายแน่ๆ”
สนกลืนน้ำลายอึกโต นึกภาพตามยังสยองแทน ปัณณภพคุณชายประจำบ้าน ตำรวจหนุ่มอนาคตไกลยศพันตรี ใครๆ ก็รู้ว่ารักน้องสาวยิ่งชีพพอๆ กับประเทศนี้ขนาดไหน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ตั้งแต่มีคุณสูรเข้ามา คุณชายทะเลาะกับคุณหนูบ่อยมากขึ้น แต่สุดท้ายคุณหนูก็จะมาอ้อนเอาใจจนคุณชายหายโกรธได้ทุกครั้งไป
และคุณหนูจะมีนิสัยเด็กๆ เวลาอยู่ที่บ้านหรือคนสนิทจริงๆ เท่านั้น
กัณต์ฐาหลบตาคมวาวเอาเรื่องของเพื่อนเก่าที่มองมาอย่างคนโกรธจัดนับตั้งแต่กลับเข้ามาในบ้าน ถึงไม่ได้ยินบทสนทนา แต่ใบหน้าของปาลีรดาเธอก็จำได้ดี นอกจากรูปสองพี่น้องในบ้านหลังนี้ รูปถ่ายของปาลีรดากับสูรก็มีไม่น้อยกว่ากัน
ปัง แฟ้มบางถูกวางลงอย่างแรงบนโต๊ะอาหารที่อาหารเย็นชืดไปหมดเมื่อทั้งสองไม่มีอารมณ์จะแตะต้อง กัณต์ฐาเงยหน้าขึ้นสบกับโสม เมื่อเห็นท่าทางพยักหน้าเร่งให้เปิด มือถึงเริ่มทำงาน เพียงแค่หน้าแรกภาพห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหลายดาว ตัวอักษรหลายสวยบนหน้ากระดาษถูกเขียนเพิ่มรายละเอียดอย่างใส่ใจ
มือสั่นจนเปิดไปหน้าต่อไปไม่ไหว ความรู้สึกผิดจู่โจมเธอมากกว่าทุกครั้ง เหมือนเธอจะไม่มีอะไรดีพอจะสู้กับปาลีรดาได้เลย
“เลิกยุ่งกับพี่สูรซะ”
“โสม”
“ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างจนกว่าฐาจะคลอด แต่เลิกทำให้พี่สูรมีปัญหากับคุณอ้าย ฐาจะทำได้ไหม”
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้” ผู้ชายชุดสูทเดินเข้ามาสีหน้าเครียดเขม็ง มือปลดไท้ให้หลวมขึ้น “ลูกฉัน ฉันเลี้ยงเองได้”
“พี่ว่าอะไรนะ” ผู้เป็นน้องลุกพรวดขึ้น สีหน้าเหมือนเจอผีตอนกลางวันแสกๆ มองพี่ชายของตัวเองสลับกับกัณต์ฐา ความโกรธแล่นริ้ว ไม่เคยคิดว่าพี่ชายของตัวเองจะทำตัวน่ารังเกียจเท่านี้มาก่อน
“ไปเคลียร์กับคุณอ้ายซะ ถ้าพี่ยังเป็นคนอยู่”
สูรนั่งลงข้างกัณต์ฐา จับมือเย็นเฉียบไว้แน่น ส่งยิ้มให้เป็นการปลอบใจ ไม่สนใครอีกคนที่อยากจะล้มโต๊ะอาหารมื้อนี้ให้พัง แฟ้มที่เปิดค้างไม่ได้ถูกชายตาแลจากใครอีกคน โสมเอื้อมไปหยิบมาเปิดจ่อหน้าสูร
“ถ้าพี่สูรยังเป็นพี่ของผม เลิกหดหัวซักที”
“แกจะมาห่วงอะไรแทนฉัน ยังไงฉันก็จะแต่งกับอ้าย”
ภาพและลายมือคุ้นตาหยุดสายตาคนมองนิ่งค้าง สูรเผยรอยยิ้มออกมาเพียงเสี้ยววินาที แต่คำตอบนั้นดูจะไม่เป็นที่พอใจแก่โสม ชายหนุ่มเขวี้ยงสิ่งที่ปาลีรดาตั้งใจทำใส่ผนังบ้านอย่างแรง สายตาผิดหวังมองคนอีกสองคนบนโต๊ะ
“ถ้าพี่ไม่เลือกคุณอ้ายตั้งแต่ตอนนี้ จะหาว่าผมไม่เตือน ส่วนเรื่องฐา ถ้าพี่เลือกเธอก็เลือกไป อย่าจับปลาสองมือ พี่ควรรู้ไว้ ว่าใครที่พี่ไม่ควรทำร้าย”
“โสม แกจะทำอะไรฉันได้”
หน้าคมเข้มกว่าพี่ชายยกมุมปากขึ้นสูง สีหน้าและแววตาหยามเหยียดผู้เป็นพี่
“ผมจะทำให้พี่เสียคุณอ้ายไปจากมือ”
“แล้วลูกฉันล่ะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่พี่ต้องรับผิดชอบ” โสมลดความโกรธลงเมื่อรู้ว่ามีเลือดเนื้อของหลานไหลเวียนในร่างเพื่อน จ้องใบหน้าซีดเผือดของกัณต์ฐาเมื่อเขาจงใจพูดชัดเจน “แต่คุณอ้ายไม่ได้ทำอะไรผิด เขาสมควรที่จะต้องร้องไห้อย่างนั้นหรอครับ”
กัณต์ฐาร้องไห้ออกมาด้วยความเครียดจัด อาการคลื่นเหียนกลับมาเมื่อท้องยังอ่อนเดือนนัก สูรรีบพาร่างของกัณต์ฐาไปห้องน้ำเพื่อโก่งคออาเจียน มีเสียงสะอื้นไห้ได้ยินไม่ได้ขาด โสมกุมขมับเครียดจัดกับบรรยากาศของบ้าน
ต่อจากนี้ เขาคงไม่สามารถใช้วาจากับอารมณ์คุยกับกัณต์ฐาได้อีก
“นั่นแกจะไปไหนเจ้าโสม”
เสียงห้วนจัด ไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นพี่หยุดร่างน้องชายที่ขยับไปถึงกรอบประตูให้หันมาทำหน้าเบื่อหน่าย มองร่างของกัณต์ฐาที่อิงซบไหล่พี่ชายอย่างหมดแรง หมดคำจะพูด
“ไปนอนที่อื่น”
“เพราะฐาหรือเปล่า” เสียงหวานสั่นปลาย สะอื้นเบาๆ ให้ใจของสูรสั่นด้วยความสงสาร ยกเว้นโสมที่ไม่ได้ตอบคำถามนั้น ร่างสูงเดินไปเปิดประตูไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นพี่ที่กำลังใช้อำนาจสั่งให้อยู่ในบ้านเพื่อความสบายใจของกัณต์ฐา เมื่อโสมเดินกลับมาถึงรถ ชายหนุ่มไม่รอที่จะโยนระเบิดลูกสุดท้ายใส่ “คุณอ้ายเธอมีจิตใจ ถ้าพี่จะเจียดความเมตตากับเธอ ก็อย่าทำให้เธอรอพี่แบบนี้ ผมเชื่อว่าคุณอ้ายเธอไม่โง่ ถึงจะถูกพี่ปิดหูปิดตาไว้”
รถสีน้ำเงินถอยเร็ว และออกไปด้วยเสียงคันเร่งดังจนสูรนึกกลัวใจน้องชาย ไม่เคยเลยที่เขากับน้องจะต้องมาทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่โสมเดือด
สูรพาร่างสาวท้องมานั่งพักบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร เดินไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย สะดุดกับแฟ้มรายละเอียดงานแต่งงานที่ใครอีกคนตั้งใจทำมาตลอด ปาลีรดาที่เขาแอบดูเมื่อตอนเย็นซูบเซียวลงไปบ้าง ใบหน้าของเธอไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนเมื่อตอนที่เขาขอเธอแต่งงาน
“ทำไมต้องไปโกหกโสมเรื่องลูกของฐาคะ”
“ฐาจะได้อยู่ที่นี่ได้”
กัณต์ฐาส่ายหน้าทั้งน้ำตา รู้สึกตื้นตันกับสิ่งที่สูรทำให้เธอ ทั้งที่เขาสามารถปฏิเสธได้ “ฐาอยากให้สูรคิดเรื่องคุณอ้ายให้ดีๆ เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ”
“อ้ายต้องเข้าใจ เลื่อนงานแต่งงานไม่ได้หมายความว่าผมกับเขาจะไม่ได้แต่งกัน” สีหน้าคนพูดไม่ได้สบายใจอย่างที่ว่าไป เขาเองก็กลัว กลัวจะต้องสูญเสียปาลีรดา เขารู้ว่างานนี้ ปาลีรดากำลังมีผู้พิทักษ์ส่วนตัวที่ชื่อว่าโสมโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวผมอุ่นกับข้าวดีกว่า มันเย็นหมดแล้ว ฐาจะได้กินร้อนๆ ด้วยนะ”
กัณต์ฐามองการกระทำของสูรด้วยใจที่หนักอึ้ง เธอจำวันแรกที่เธอกลับมาจากต่างประเทศเมื่อเดือนก่อนได้ เธอได้เล่าเรื่องให้สูรฟังว่า หลังจากที่เธอถูกชายแปลกหน้าจากแต่งแดนข่มขืน จากการที่เธอไปทำหน้าที่เป็นแพทย์อาสาในสงคราม เธอเคยคิดอยากจะฆ่าตัวตายไป ในเมื่อชีวิตของเธอไม่มีทั้งพ่อและแม่อยู่แล้ว แต่เธอก็ใจแข็งไม่พอ ได้แต่ขังตัวเองร่ำไห้ไม่กล้าบอกใคร กลัวคนจะรู้ว่าผู้หญิงอย่างเธอถูกใครหน้าไหนไม่รู้มาข่มขืน ไม่เลย ชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้แท้จริงเป็นพวกเศรษฐีที่มักมาก และเธอถูกเพื่อนด้วยกันติดต่อขายเธอ โดยที่เธอไม่ได้รับรู้ มารู้ตัว เธอก็ไม่เหลือความภาคภูมิใจในชีวิตผู้หญิง
เธอกลับมาประเทศไทยโดยไม่รู้จะพึ่งใคร บ้านญาติของเธอที่เคยพักอาศัยย้ายหนีหนี้ไป ไม่เหลือจดหมายทิ้งไว้ให้เธอ คนเดียวที่เธอนึกออกคือโสม เพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอพอมี แต่คนที่เธอพบ คือพี่ชายเขา ถ้าหากวันนั้นเธอจะไม่เป็นลมล้มไปตรงหน้าบ้านของสองพี่น้อง เพราะตากแดดรอนานหลายชั่วโมง เธอคงไม่รู้ว่าได้มีอีกชีวิตมาเกิดในท้องของเธอ
สูรรับฟังทุกเรื่องของเธอ พร้อมกับจัดแจงให้เธออยู่ที่นี่โดยไม่เห็นด้วยที่เธอจะไปพักที่อื่น เธอเพิ่งมารู้ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อได้รับรู้อย่างไม่ตั้งใจว่าสูรกำลังจะแต่งงาน และเธอเข้ามาในช่วงเวลาที่ไม่สมควรที่สุด
อาหารที่เคยเย็นส่งกลิ่นหอมบนโต๊ะอีกครั้ง กัณต์ฐายิ้มให้สูรที่พยายามดูแลเธออย่างดีที่สุด แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอกำลังทำให้สูรทำร้ายจิตใจใครอีกคน ปาลีรดา ผู้หญิงคนนั้นเข้มแข็งกว่าเธอหลายเท่านัก ถ้าเธอจะขอเห็นแก่ตัวด้วยเวลาไม่นาน เพื่อลูกของเธอ เพื่อตัวเธอเอง เธอไม่ผิดใช่ไหม
“ค่ะพอดีฤกษ์ที่ไปดูมามันไม่ดีน่ะค่ะ งานเลยต้องเลื่อนไปไม่มีกำหนด ที่จัดไว้ดิฉันขอยกเลิกนะคะ ส่วนเรื่องจัดจ้าง ค่าเสียเวลาทุกอย่างดิฉันจะขอชดใช้คืนทั้งหมด”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณอ้าย ค่าบางอย่างที่ต้องใช้ล่วงหน้าคุณอ้ายจ่ายมาก่อนด้วยซ้ำ ทางเราจะโอนคืนไปให้นะคะ เอาเป็นว่าคุณอ้ายได้เวลาที่แน่นอนเมื่อไหร่ คุณอ้ายอย่าลืมมาใช้บริการเราอีกนะคะ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยค่ะ เราเข้าใจ ขอให้เจอฤกษ์มงคลเร็วๆ นะคะ”
ปาลีรดาคุยกับปลายสายอีกสองสามคำก็วางไป เสียงถอนหายใจเฮือกยาวดังมาพร้อมความอัดอั้นในอกที่ได้ระบาย เธอตัดสินใจอะไรไปย่อมแน่วแน่แล้วเสมอ ร่างบางพิงระเบียงห้องนอนของเธอที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน จับราวทองมองออกไปบนฟ้าที่เริ่มมืดลง เหลือเพียงแสงสีส้มจางที่ขอบฟ้า เหมือนการกระทำของผู้ชายที่ชื่อแปลว่าพระอาทิตย์อย่างสูร
เขากำลังจะลาจากเธอด้วยความเงียบ เพื่อให้เธอทำใจก่อนสินะ
หญิงสาวมองพระจันทร์ดวงโตที่เริ่มส่องแสงสว่างงดงามในคืนวันพระใหญ่ พระจันทร์ที่เหมือนจะลอยให้เธอเอื้อมมือไปคว้าก็ถึง เพียงแค่มองเธอก็รู้สึกสงบ ปากบางคลี่ยิ้มออกมา แม้จะไม่ลามไปถึงดวงตาของเธอ
“ถ้าฉันเคยหลงมนต์จากพระอาทิตย์ ท่านรู้ไหมว่าฉันกำลังร้อนรุ่มเพราะไอแดดที่คอยแผดเผาฉันอยู่เงียบๆ ไม่มีทีท่าจะทำให้ฉันสบายใจได้ซักครั้ง” ดวงตาเอ่อคลอ ม่านน้ำระบายเต็มแพขนจนจวนจะเอ่อล้น เพียงแต่ปาลีรดาอดกลั้นมันไว้ “เหมือนพระอาทิตย์จะพาตัวออกไปไกลจากฉัน ทิ้งไว้แค่ความร้อนเผาทำลายฉัน”
“ฉันอยากให้ทั้งวันเป็นกลางคืน มีลมสงบเย็น มีแสงนวลจากพระจันทร์ ทั้งที่แสงของพระจันทร์รับมาจากพระอาทิตย์ ทำไมกันคะ แสงของท่านถึงไม่ทำร้ายฉัน แถมฉันยังมองเห็นพระจันทร์ดวงโตได้ โดยไม่ต้องแสบตา” น้ำตาหยดแรกร่วงลงมาด้วยความทุกข์ใจ ปาลีรดารีบเช็ดออก ไม่อยากประจานความอ่อนแอให้ใครเห็น โดยเฉพาะคนในบ้าน เธอไม่อยากให้พวกเขากังวล
เธอยิ้มให้กับพระจันทร์อีกครั้ง เรียกแรงกายแรงใจเพื่อสู้กับปัญหาต่างๆ ในวันพรุ่งนี้ ร่างเพรียวในชุดนอนสีขาวลายทางหมุนตัวกลับเข้าห้องนอนสีฟ้าอ่อนที่เธอสั่งช่างสีให้ทาสีนี้เพื่อให้ห้องรู้สึกสดชื่นร่มเย็น โต๊ะเขียนหนังสือติดหน้าต่างมีกระบองเพชรหลายต้นวางเรียงเพื่อคอยรับแดดในตอนเช้า ติดกันเป็นโต๊ะคอมเข้าชุดสีดำ ปาลีรดามักใช้ติดต่องานกับลูกความหรือไม่ก็ลูกค้าเกี่ยวกับกฎหมายของเธอ และอีกอย่างคือเพื่อสื่อสารทางไกลกับเพื่อนรัก
ซึ่งพวกเธอจะติดต่อกันอาทิตย์ละสองวัน คือวันเสาร์ และวันพุธ ทั้งที่เธออยากจะคุยกับเพื่อนทุกวัน แต่ต้องตั้งกฎนี้ไว้เพื่อให้เพื่อนได้อ่านหนังสือ ทำงานได้เต็มที่ เพราะคุยกับเนติมาทีไร มักจะเกินชั่วโมงทุกที กรอบรูปคู่ของเธอกับเพื่อนที่แอ็กท่าน่าเกลียดแข่งกันตั้งบนเครื่องซีพียู ถือเป็นภาพหายากเมื่อเธอต้องมาทำท่าหลับตาปี๋จมูกหมูกับมือรองคางเป็นน้องสุนัข ส่วนเพื่อนเธอกับผมบ็อบม้าเต่อแขนซ้ายชูตรง แต่แอ่นก้น เหยียดขาขวาสุดตัว มืออีกข้างขนาบแก้มทำท่าฮิตแอ๊บแบ๊ว แต่เป็นการแอ๊บที่สุดสยอง
ปาลีรดาหลุดหัวเราะออกมา เพียงแค่เห็นภาพของเธอกับเพื่อน หลายครั้งเวลาที่เธอทุกข์ใจ แค่มองรูป เธอก็จะยิ้มออก ร่างบางทิ้งตัวลงนอนยาวบนที่นอน นาฬิกาเรือนโตตีบอกเวลาสองทุ่ม ได้เวลาที่เธอต้องลงไปข้างล่าง ทำกิจวัตรประจำวันกับคุณหญิงนาฏลดาเสียที
เท้ายาวใส่รองเท้าสลิปเปอร์ลงบันไดจนมาถึงที่พักขั้นตรงกลาง มองมารดาร่างสวยหุ่นยังคงดูดีไม่ต่างจากวันวานสมัยสาวๆ ผมหยิกเป็นลอนถูกปล่อยสยาย มารดาของเธอนิยมสวมชุดแพรสั่งทำอย่างนี้เสมอ
กำลังนั่งเอนหลังพิงกับโซฟาบุผ้าสีน้ำตาล มีเด็กรับใช้ในบ้านคอยนวดหลังกับขาให้ “ตรงหลังฉันเบาๆ หน่อยสิยะ หลังฉันไม่ใช่หลังช้างจะได้ทนทาน นี่ก็อีก จะเบาไปไหน ตัวออกจะโตแรงนวดแค่มดหรือไง ขาฉันจะหายเมื่อยไหม วันนี้ฉันเดินตลาดกับพวกคุณนายเป็นชั่วโมงๆ นะยะ”
ปาลีรดาเห็นสีหน้าคนนวดอย่างนก และปุ้น ปริ่มจะร้องไห้ หลานป้าศรีทั้งสองที่มาเรียนกรุงเทพ และหาเงินด้วยการดูแลงานในบ้านนี้ไปด้วยเพื่อตอบแทนที่พักและอาหาร ปาลีรดาเดินมาหยุดใกล้กับที่มารดานั่ง โซฟาตัวยาวหันหน้าตรงเข้าจอโทรทัศน์ห้าสิบนิ้วรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยน
“อ้ายนวดเองดีกว่านะคะ อ้ายรู้ว่าคุณแม่ชอบแรงแบบไหน”
เด็กทั้งสองรีบถดตัวหนีไปด้วยสีหน้าโล่งอก ปาลีรดานั่งลงข้างมารดา ยกขาคุณหญิงนาฎรดาขึ้นวางบนหน้าขาของเธอ เริ่มลงแรงนวดและจับจังหวะอย่างที่เธอทำมาเป็นประจำจนรู้ใจมารดาดี
“แม่อยากให้คนอื่นฝึกไว้ เผื่อวันไหนลูกอ้ายออกเรือนไป ใครจะมานวดให้แม่ล่ะ หืม”
หญิงสาวหน้าเจื่อนไปเมื่อได้ยินคำมารดา ค้านในใจว่าวันนั้นที่คุณหญิงกลัวจะยังมาไม่ถึงง่ายๆ แต่ไม่ได้กล่าวออกไป “ไว้อ้ายจะมานวดให้คุณแม่บ่อยๆ นะคะ หรือไม่งั้น อ้ายจะซื้อเครื่องนวดไฟฟ้าให้ดีไหมคะ”
มือบางนวดไปเรื่อยๆ ใบหน้าของคุณหญิงนาฎรดาผ่อนคลายลง จนเพลงละครประจำวันจันทร์ดังขึ้น เปลือกตาที่ปิดไปรีบเปิดรับภาพ ขาเล็กของมารดารีบเอาลง “มาแล้วๆ วันนี้ไม่รู้ว่าแฟนนางเอกจะหลอกนางเอกไปอีกนานแค่ไหนนะ”
ปาลีรดามองละครที่เริ่มเล่นด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับตัวเอง ฟังเสียงวิจารณ์จากมารดาเหมือนได้รับความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของเธอ
“ถ้าแฟนจะเทวดาแต่ทำร้ายนางเอกแบบไม่รู้ตัวอย่างนี้ นางเอกเลิกๆ ไปเถอะ เขาไม่ได้ดีกับแค่เรา กับคนนั้นก็ดี จะทนทำไม พระเอกทำดีแทบตายไม่เคยมองเห็น เฮ่อ ไม่ได้ดังใจ ยังจะให้อภัยอีก ว่าไงลูกอ้าย ถ้าเป็นนางเอกลูกจะทำยังไง”
หญิงสาวสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เผลอถูกลากเข้าไปในวังวนละครของมารดา ปกติเธอก็ต้องมานั่งดูละครทุกวันกับมารดา ตามนโยบายครอบครัวสุขสันต์ที่ถูกร่างไว้ มีบ้างที่เธอต้องให้ความเห็นกับละคร ส่วนใหญ่เธอชอบออกความเห็นในตัวละครที่มารดาไม่ชอบนัก
“ผู้หญิงคนนั้นเขาน่าสงสารนี่คะ เขาไม่มีใคร มีแค่พระรอง อีกอย่างนางเอกเชื่อใจเขาก็ไม่แปลกคบกับพระรองมาตั้งหลายปี จะให้ปุบปับมารักพระเอกไม่ได้หรอกค่ะ”
“เกิดเป็นหญิงต้องเด็ดขาด ถึงตัดใจยาก แต่คนเราไม่ควรเอาตัวเองจมกับน้ำตาให้สุขภาพจิตมันแย่หรอกนะลูก ความรักมันแย่ เราก็แค่ปล่อยไป ความรักมันต้องเกิดจากการกระทำดีๆ ไม่ใช่มีแต่ความทรงจำดีๆ แบบนั้นเอาไว้ใช้กับคนรักเก่าเถอะ”
ปาลีรดานิ่งฟัง มองการวิจารณ์อันดุเดือดของคนอินจัด ปกติเธอจะยิ้มขำกับมัน แต่ครั้งนี้เธอได้แต่ทบทวนกับมารดา นึกสะท้อนในอก แค่หนึ่งเดือนเธอก็ยกเลิกงานแต่งแบบไม่มีกำหนด เพียงเพราะการกระทำของเขาตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์
“บางคนก็อยู่ได้ด้วยความทรงจำดีๆ ไม่ใช่หรอคะ”
“มีแค่สองกรณี คนรักตาย กับความจำเสื่อม เขาถึงรักตอบเราไม่ได้”
ภาพละครไม่ได้ไหลผ่านสู่สมองของปาลีรดาอีกต่อไป มีเพียงคำสองคำที่แล่นอยู่ในหัว ความตาย กับความจำเสื่อม ที่ทำให้คนรักอีกคนสามารถทนอยู่ได้ด้วยความทรงจำดีๆ แต่ในกรณีที่ยังปกติดีทั้งคู่ หากปราศจากการกระทำดีๆ แล้ว คงจะกลายเป็นแค่อาการของคนใกล้หาเลิกเจออย่างเธอ ไม่ใช่ฤกษ์ที่เธอประกาศกับทางร้านจัดงานแต่งงาน
สองตอนก่อนเนอะ ^^ คิดเห็นอย่างไรบอกกันได้นะคะ อยากได้รับความคิดของคนอ่านค่ะ แต่จริงๆ แค่เห็นยอดวิว ก็ยิ้มแล้ว แต่ถ้าเม้นท์ก็ยิ่งปลื้มค่ะ ขอบคุณที่อ่านนะคะ
ความคิดเห็น