คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : //// 6 ////
นี่ก็ผ่านมา6ตอนแล้วขอบคุณจริงๆสำหรับคนที่อ่าน+เม้น&ตามจิกตามทวงตอนนี้ไม่ขอมากเลยขอสักเพิ่มซัก10คอมเม้นแล้วจะเอาตอน7มาลงให้นะ
ps.อยากอ่านไวก็เม้นเยอะนะค่ะ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
////// HEATERD ///////
~Heechul~@~Ly~
//// 6 ////
กลับมาทางด้าน 2 คนที่เข้าบ้านไม่ได้
ทึกกี้และซองมินที่พอกลับมาบ้านแล้วเข้าบ้านไม่ได้เพราะสิ่งที่ฮันคยองและฮีซอลทำที่โซฟาในห้องรับแขกมันเกินกว่าที่ 2 คนจะทนหน้าด้านเดินเข้าไปได้ จึงตกลงกันว่าจะกลับไปนอนที่ห้องพักภายในร้านของคยูฮยอนแทน
“พี่ว่าพี่ฮันคยองจะรักพี่ฮีซอลไหมพี่ทึกกี้”
ซองมินที่นอนอยู่ข้างๆเอ่ยถามในความมืด
“พี่ไม่แน่ใจนะซองมินพี่ดูไม่ออกกับการกระทำของพี่ชายเราเลยบางครั้งก็ทำเหมือนรักฮีซอลมากมาย บางครั้งก็ทำเหมือนกันเกลียดฮีซอลเสียเหลือเกิน จนพี่ไม่แน่ใจจริงๆ”
ร่างบางที่นอนข้างๆเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“นั้นซิฮะ ผมไม่น่าไปโกหกว่าพี่ฮันเป็นคนรักของพี่ฮีซอลเลย”
ซองมินเงียบไปก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าสักวันที่ความจำพี่ฮีซอลกลับมาหรือสักวันพี่เค้ารู้ความจริงผมไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง”
“ฉันก็หวังว่าจนกว่าจะถึงวันนั้นขอให้ฮันคยองรักฮีซอลจริงๆ”
ความเงียบเข้าครอบคลุมทั้ง 2 คนอีกครั้งภายในความมืดอยู่ๆซองมินก็พรวดพลาดลุกขึ้นจากนอนเป็นนั่ง
“อ๊ะ....จริงสิ”
ทำให้อีกคนที่นอนอยู่ลุกขึ้นตามมาด้วย
“มีไรเหรอซองมิน”
“เอ่อ ถ้าผมถามพี่อย่าว่าผมบ้านะ”
ซองมินหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆในความมืด
“อะไรที่ทำให้นายคิดแบบนั้นแหละ”
ทึกกี้ถามแล้วลุกขึ้นไปเปิดไฟภายในห้องยังไงก็ต้องคุยกันอีกนาน
“พี่เคยเห็นเด็กไหม”
ทึกกี้หันมาทางซองมินพรางถามด้วยแววตาสงสัย
“เด็ก..เด็กที่ไหนล่ะซองมิน”
แล้วซองมินก็เริ่มเล่าเรื่องสิ่งตนเห็นภายในบ้านของเขาเองเรื่องของร่างเล็กคล้ายเด็กทารกแต่เดินได้ถูกเล่าให้อีกคนฟังและกลายเป็นว่าอีกคนก็เคยเห็นร่างเล็กๆนั้นเหมือนกัน ทั้งทักกี้และซองมินต่างก็ลงความเห็นว่านั้นคงเป็นวิญาณลูกของฮีซอลเป็นแน่และต่างก็ภาวนาให้วิญญาณดวงน้อยนั้นต้องการเพียงแค่อยู่ใกล้ๆแม่เท่านั้นและต่างก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆจากวิญญาณดวงน้อยดวงนั้น และมันก็คงเป็นแค่ความคิดความหวังเท่านั้นไม่มีใครรู้ได้ว่าวิญญาณดวงน้อยที่รับรู้และเห็นการกระทำทุกอย่างของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อกำลังคิดหรือทำสิ่งใดอยู่
เวลาผ่านไปหลายเดือน หากมองจากสายตาของคนในบ้านการกระทำของฮันคยองที่เอาใจใส่ฮีซอลดีขึ้นมากเหมือนว่าชายหนุ่มเริ่มมีใจให้กับฮีซอลมากขึ้นแต่ในความเป็นจริงที่ไม่มีใครได้รู้คือนี้คือละครฉากหนึ่งของร่างสูงเท่านั้น
“ฮีซอลกลางวันนี้ออกไปทานข้าวข้างนอกกัน”
ฮันคยองเดินมานั่งลงข้างๆฮีซอลคว้าเอวบางเข้ามากอดไว้
“อืม”
ฮีซอลพยักหน้ารับ
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อสิ”
เอ่ยบอกพร้อมกับดึงร่างบางให้ลุกขึ้น
“จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอฮัน”
ฮีซอลเอียงคอตามด้วยความสงสัย
“ใช่สินี้จะ 11 โมงแล้วนะรีบไปเหอะเดี๋ยวคนเยอะ”
ฮันคยองเอ่ยบอกร่างบางพลางออกแรงดึงให้ลุกขึ้นอีกครั้ง
“..................”
ครั้งนี้ฮีซอลลุกขึ้นตามแรงดึงของฮันคยองอย่างง่ายดาย
“งั้นรอแปบนะครับ”
ริมฝีปากอิ่มกดประทับเบาๆบนริมฝีปากบางของฮันคยองก่อนที่เดินขึ้นไปข้างบน
แทบจะทันทีที่ร่างของฮีซอลพ้นสายตาไปใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อตรู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ฮันคยองยกหลังมือขึ้นมาเช็ดริมฝีปากของตนเพื่อลบรอยประทับจากร่างบางเมื่อครู่ออก ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนจะสบถออกมาเบาๆ
“ชิ”
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้างชื่อดังของเกาหลีฮันคยองเลื่อนเก้าอี้ให้ร่างบางนั่งที่นั่งตรงข้ามแล้วตัวก็เดินมานั่งที่นั่งของตนเอง แต่ยังไม่ทั้งจะได้ทำอย่างนั้นเสียงหวานใสก็ดังขึ้นใกล้ๆ
“พี่ฮันคยอง.........”
เสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้นทำให้ฮันคยอง และฮีซอลหันไปตามเสียงเรียกนั้น เจ้าของเสียงวิ่งเข้ามาใกล้ร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่แขนเรียวบางของหญิงสาวคล้องลำแขนแกร่งของร่างสูงไว้ทันทีที่เดินไปถึงโดยที่ร่างสูงไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใดๆปล่อยให้หญิงสาวผู้มาใหม่คล้องแขนตนไว้แบบนั้น โดยไม่ได้สนใจสายตาเจ็บปวดของร่างบางที่นั่งมองอยู่แม้แต่น้อย
“พี่ฮันมาทานข้าวเหรอค่ะ”
หญิงสาวถามชายหนุ่มที่ตนเกาะกุมไว้
“ครับแล้วเราล่ะจีฮเย”
ตอบรับเสียงหวานก่อนจะถามกลับ
“จีฮเยก็มาทานข้าวค่ะพี่ฮัน”
“งั้นมาทานด้วยกันสิ”
“แต่ว่า.............”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาๆกับชายหนุ่มพลางปรายตามองอีกคนที่นั่งอยู่
“ไม่เป็นไรหรอก............ใช่ไหมฮีซอล”
ประโยคแรกเอ่ยกับหญิงสาวพร้อมกับหันไปบอกอีกคน
“อืมไม่เป็นไรหรอก”
จำใจต้องบอกออกไปแบบนั้นทั้งที่ตอนนี้ภายในอกมันเจ็บจนแทบจะขาดใจอยู่แล้วกับภาพที่คนรักปล่อยให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ทำตัวเป็นเจ้าข้าวงเจ้าของ โดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลย
ระหว่างการรับประทานอาหารบทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นของหญิงสาวนามจีฮเยกับชายหนุ่มฮันคยองเสียเป็นส่วนใหญ่นานๆครั้งเท่านั้นที่จะหันมาถามความเห็นของอีกคน
ฮีซอลมองฮันคยองหัวเราะต่อกระซิกบางครั้งก็กระซิบกระซาบกัน 2 คนจนใบหน้าจะชนกันอยู่แล้ว
ฮีซอลมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาปวดร้าว พยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ไม่ให้ไหลออกมาแต่ก็ทนไม่ไหวกับภาพสุดท้ายที่หญิงสาวจะจากไปฮีซอลจึงหาข้ออ้างเพื่อออกมาจากตรงนั้นและเพื่อซ่อนความอ่อนแอของตน
“เอ่อ.....ฮันฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
“อืมไปสิ”
ร่างบางรีบวิ่งออกไปทันที
ภายในห้องน้ำห้องริมสุดด้านในร่างบางของฮีซอลยืนพิงประตูห้องน้ำอยู่ปล่อยให้น้ำใสๆไหลอาบ 2 แก้ม เมื่อภาพสุดท้ายก่อนที่หญิงสาวจะจากไปในปรากฏห้วงความทรงจำอีกครั้ง ภาพที่หญิงสาวบรรจงทาบริมฝีปากอิ่มของตนลงบนริมฝีปากของฮันคยองโดยที่ตัวคนถูกกระทำไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้านหรือตกใจเลยแม้แต่น้อยราวกับว่ามันเป็นเรื่องปรกติเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มมองตามหลังร่างบางของฮีซอลไปจนร่างนั้นหายไปจากสายตา รอยยิ้มแห่งความสะใจก็ถูกแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาแทบจะทันที รู้สึกดีที่อีกคนเจ็บ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญที่มาเจอจีฮเย ที่นี้แต่เพราะเค้ารู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นร้านประจำของจีฮเยและทุกครั้งที่มาก็เจอหล่อนแล้วครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยว จีฮเยเล่นตามบทละครที่เค้าเป็นคนวางไว้ได้อย่างดีโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ฮันคยองปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะ ร่างสูงจัดการเรียกพนักงานมาคิดเงิน ก่อนจะเดินไปตามร่างบางที่ไปห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำที่ปราศจากผู้คนเสียงสะอื้นเบาๆดังมาจากห้องน้ำห้องในสุด ผู้มาใหม่รู้ได้ทันทีว่าคนที่กำลังหาอยู่ๆในนั้นแน่ๆ ร่างสูงก้าวเข้าไปหยุดลงตรงหน้าห้อง
ก๊อกๆๆ
“ฮีซอลนายอยู่ในนั้นใช่ไหม”
ร่างสูงเคาะลงบนประตูบานนั้นเบาๆ ทันที่ทีเสียงของร่างสูงดังขึ้นเสียงสะอื้นที่ดังอยู่ก็เงียบลงทันที อีซอลใช้มือทั้ง2ข้างปิดปากตัวเองแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกไปให้คนข้างนอกได้ยิน ชายหนู่มเคาะเบาๆที่ประตูอีกหลายครั้ง
“ฮีซอลนายอยู่ในนั้นใช่ไหม ออกมาเถอะ” เอ่ยเรียกคนข้างในทั้งๆที่ก็ยังไม่หยุดเคาะ
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากภายใน นอกจากเสียงสะอื้นเบาๆ
“ฮึก..ฮึ..ก..”
“ฮีซอล นายร้องไห้เหรอ เป็นอะไรรึเปล่า ร้องไห้ทำไมออกมาคุยกันดีๆสิ....อย่า.ทำแบบนี้สิ ฉันเป็นห่วงนะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยกันคนข้างใน ใบหน้าคมเข้มแนบไปกับประตูห้องน้ำ เพื่อฟังเสียงของคนข้างใน แม้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจะดูอ่อนโยนและแสดงออกถึงความห่วงใยอีกคนข้างในเป็นอย่างดี แต่ใบหน้ากลับเชยชาอย่างสิ้นเชิง
“ออกมาคุยกันดีๆเถอะ ถ้านายไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ยังไง”
แอ๊ด
ในที่สุดร่างบางก็ยอมเปิดประตูห้องน้ำออกมา ฮันคยองรีบคว้าร่างบางมากอดไว้แนบอก ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นลูบผมนิ้มเบา
“บอกมาสิครับคนดีร้องไห้ทำไม”
“
..”
ไม่มีเสียงใดๆตอบรับจากร่างบางที่ซุกอยู่แนบอกแกร่งนอกจากเสียงสะอื้นเบาๆ
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไรงั้นเรากลับบ้านกัน”
ความมืดมิดครอบคลุมรอบทิศตลอดทางที่ร่างสูงเดินผ่าน แม้หนทางข้างหน้าจะทอดยาวแต่สองข้างทางกลับมืดสนิท ปราศจากผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ร่างสูงเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าเมื่อสายลมที่กำลังพัดโหมกระหน่ำหาได้พัดมาแค่ความเหน็บหนาวแต่กลับนำพาเสียงกรีดร้องโหยหวนร่ำไห้ราวกับเจ้าของเสียงนั้นกำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสตามมาด้วย ร่างสูงวิ่งไปตามทางที่ไม่มีที่สิ้นสุดเรื่อยๆจนในที่สุดก็ล้มลงเพราะความอ่อนล้า
ร่างสูงนอนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนแม้ใจอยากจะหนีไปซะให้พ้นๆกับสถานการณ์แบบนี้แต่ก็ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นได้ ร่างสูงหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวข้างกายตน เมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับใบหน้ากลมแป้นของเด็กผู้หญิง ร่างสูงยิ้มให้เด็กหญิงคนนั้น ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เด็กหญิงเองก็ยิ้มตอบร่างสูงแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจสื่อความหมายได้เลย ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะถามอะไรคำถามกลับถูกตั้งขึ้นโดยเด็กหญิงตรงหน้า
“จำหนูไม่เหรอค่ะ.... ป๊ะป๋า”
ริมฝีปากอิ่มแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นท่าทางตกใจของร่างสูง
“เธอเป็นใครกัน”
ร่างสูงเอ่ยถามเสียงสั่น
“จำหนูไม่เหรอค่ะ.... ป๊ะป๋า”
เด็กน้อยยังคงถามคำถามเดิม
“ไม่จริงเธอจะเป็นลูกของฉันได้ยังในเมื่อเด็กนั้นไม่ได้เกิดมาด้วยซ้ำ”
“ถ้าแบบนี้จำได้ไหมค่ะ”
ฉับพลันใบหน้าใสของเด็กหญิงกลับซีดขาว ดวงตากลมสีนิลกลับแดงฉานหยาดโลหิตสีแดงเข้มไหลทะลักจากดวงตาทั้งคู่และริมฝีปาก ทั่วทั่งร่างถูกอาบไปด้วยสีแดงของเลือด
“แบบนี้จำได้หรือยังค่ะ จำได้ไหมค่ะ ป๊ะป๋า....”
เสียงหวานใสก่อนหน้านี้กลายเป็นแหบแห้ง
“ฉันไม่ได้ทำนะ อุบัติเหตุนั่นมันไม่เกี่ยวกับฉัน”
ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับถอยห่างออกมา เด็กน้อยเอียงคอมอง มือน้อยที่เปื้อนไปด้วยเลือดยื่นไปข้างหน้าสองเท้าค่อยๆก้าวเข้าหาร่างสูงที่ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
“ไม่ได้ทำหนู แต่ ปะป๊า ทำ มะม๊า มะม๊าผิดอะไรค่ะ ทำให้มะม๊าเสียใจทำไมค่ะ ทำไมต้องทำให้มะม๊าเจ็บ ทำไมต้องทำให้มะม๊าร้องไห้ด้วย ทำไม....ๆ ๆ.”
ดวงตากลมเหลือกถลนราวกับจะทะลักออกมานอกเบ้าจ้องมองร่างสูงอย่างเคียดแค้น ตะโกนถามอย่างบ้าคลั่ง
ร่างสูงที่นอนกระสับกระส่ายดิ้นไปมา แม้ภายในห้องจะเปิดแอร์แต่ร่างกายกับชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าคมที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อสะบัดไปมาอย่างกระสับกระส่าย จนร่างบางที่นอนอยู่ข้างๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“ฮันๆเป็นอะไรน่ะตื่นสิ”
ฮีซอลเขย่าตัวร่างสูงเพื่อปลุกให้ตื่นจากความฝันอันโหดร้าย
“ไม่ ไม่ อย่าเข้านะ”
เสียงของร่างสูงยังคงพร่ำเพ้อไม่ขาดปากยิ่งสร้างความตกใจให้กับฮีซอลเป็นอย่างมาก
“ฮันๆตื่นสิฮันอย่าทำแบบนี้ฉันกลัวนะฮัน”
ร่างบางเอ่ยเสียงสั่นดวงตากลมเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใสๆ
“ไม่นะ ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ร่างสูงตะโกนสุดเสียงก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เมื่อรู้ว่าเรื่องเลวร้ายที่พึ่งผ่านพ้นมาเป็นเพียงความฝันร่างสูงพยายามปรับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปรกติที่สุด
“เฮ่อ”
“ฮันเป็นอะไรรึเปล่า”
เสียงหวานที่แสดงถึงความเป็นห่วงดังขึ้นเมื่อหันไปมองก็พบกับคนที่ไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดในตอนนี้ ชายหนุ่มบัดมือของฮีซอลออกอย่างแรง การกระทำของชายหนุ่มส่งผลให้หยาดน้ำใสๆที่เอ่อคลออยู่แล้วไหลหยดลงอาบสองแก้มนวลแทบจะทันที่
“เฮ่อ”
ฮันคยองถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มือแกร่งยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้
“ไม่มีอะไรนอนเถอะ”
ฮันคยองดันร่างบางให้นอนลงที่เดิม
“แต่..”
“นอนเถอะ”
ร่างสูงรีบตัดบทล้มตัวลงนอนดวงตาคมปิดลงทันทีแสร้งทำเป็นหลับเพื่อหลีกหนีคำถามจากร่างบาง แต่แล้วดวงตาคมก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งกับสัมผัสแสนอบอุ่นที่ได้รับ ฮันคยองมองร่างบางที่นอนกอดตัวเองอยู่ใบหน้าสวยแนบไปกับอกแกร่งดวงตากลมหลับพริ้ม
“นายกำลังทำอะไรอยู่นายรู้ตัวไหมฮีซอล ถ้าเป็นนายคนเก่าก่อนจะความจำเสื่อมนายจะทำแบบนี้รึเปล่า”
ร่างสูงเอ่ยกับตัวเองเบาก่อนดวงตาคมจะปิดลงและเข้าสู่ห้วงนิทราตามร่างบางไปอีกครั้ง
2b con
อิอิอย่าลืมนะ10เม้นๆ
ความคิดเห็น