คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 20 มุ่งสู่จุดหมาย
คิดแลัวยิ่งทำให้เอลวิสมีไฟในการพัฒนาความแข็งแกร่งมากขึ้น
ตัวตนที่ดูแข็งแกร่งและไกลเกินเอื้อมถึงเหล่านั้นตอนนี้กลับดูไร้พลังและอำนาจ
ค่ำคืนนั้นกระแสพลังเวทย์หมุนเป็นเกลียวแผ่ออกจาตัวของเอลวิส เหมือนจุดศูนย์กลางของพลังเวทย์กำลังไหลบ่าเข้าสู่ตัวของเขา
ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงคืนเดียว เมื่อยามรุ่งสางมาถึง ยามที่เอลวิสลืมตาสีมรกตอย่างเชืองช้านั้น พลังเวทย์มากมายที่กำลังไหลวนรอบตัวก็สงบลง
ทุกอย่างดูกลับมาปกติอีกครั้ง เอลวิสเองก็รู้สึกเหมือนได้นอนมาเต็มอิ่มสุดๆคืนนึง
มันอาจจะน่าเบื่อไปที่ต้องนั่งอยู่เฉยๆหลายสิบชั่วโมงโดยทำแต่ขั้นตอนเดิมๆ
แต่สิ่งใดในโลกกันที่จะได้มาฟรี ความแข็งแกร่งเองก็แลกมาจากความมุมานะฝึกฝนทั้งสิ้น
เอลวิสจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็ตรวจสอบทิศทางด้วยพระอาทิตย์ว่าควรเดินไปทางไหน เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นทางนี้แน่นอนแลัวจึงเดินทางอย่างไม่เร่งร้อน
.
.
.
.
ระยะทางห้าสิบกิโลเมตรแรกไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตใดๆให้เห็นเลย ราวกับพวกมันกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง
.
.
.
ระยะทางหนึ่งร้อยกิโลเมตรเอลวิสก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิต ทั้งป่ามันเงียบเสียจนน่าใจหาย สร้างความหวาดวิตกและความกลัว
ระยะทางหนึ่งร้อยกิโลเมตร ใช้เวลาทั้งสิ้นสามวัน หรือประมาณได้ว่าจะต้องใชัเวลาหนึ่งเดือนถึงจะถึงที่หมายตามที่วางไว้
ทุกวันเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเอลวิสจะตั้งแคมป์ไม่เดินทางต่อเนื่องจากทัศนวิสัยไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งจะได้ใช้เวลากลางคืนในการฝึกฝน ไม่เสียเวลาเกินไปกับการเดินทางที่จะสร้างความเหนื่อยล้าเพิ่มเติมมากขึ้นแล้วจะทำให้เขาเคลื่อนที่ช้าลงในวันถัดๆไป
.
.
.
หลายสิบวันผ่านไป ตอนนี้เอลวิสเดินทางมาเป็นระยะทางกว่าห้าร้อยกิโลเมตรแล้ว หรือก็คือเดินทางมาได้ครึ่งนึงของระยะทางทั้งหมด แต่จุดที่เอลวิสกังวลไม่ใช่การเดินทาง แต่คือการวึกฝนของเขาในตอนนี้ซะมากกว่า
มันมีปุยฝ้ายพลังเวทย์มากมายที่รวมกันอยู่ภายในเป็นทรงกลม แต่มันกินพื้นที่แทบจะทั้งหมดภายในตันเถียนของเขาแล้ว
หากอ้างอิงจากที่เขาศึกษามาเมื่อชาติก่อน สิ่งนี้คงเรียกว่า "คอขวด" การทะลวงมันไปได้จะสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนกับระดับก่อนหน้า ในการทะลวงคอขวดนั้นประกอบด้วยหลายวิธี ไม่ว่าจะกินยาที่ช่วยในการทะลวง หรือรอโอกาสที่จะมาถึงเอง
แต่วิธีที่ผู้คนใช้กันน้อยที่สุดในที่แห่งนั้นคือการ"กระตุ้น"มัน การกระตุ้นมันด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน หรือกระทั่งเอาชีวิตไปแขวนไว้บนเส้นด้ายเพื่อที่จะให้ทะลวงคอขวดไป
แต่วิธีการนี้เห็นได้ชัดย่าอันตรายมาก การทำสมาธิกรือเข้าญาณไม่ควรถูกรบกวน แต่จะให้ไปทะลวงระดับต่อหน้าศัตรูมันก็อันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่เห็นทีว่าเอลวิสคงได้ใช้วิธีนี้ซะแล้ว จะให้หายามากินก็ไม่รู้จะหามาจากที่ไหน จะให้รอต่อไปเขาก็ทำไม่ได้ มันเสียเวลามากเกินไป ตอนนี้เผ่าพันธุ์ของเขาอยู่ในช่วงวิกฤตแห่งการดำรงอยู่ เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นให้รวดเร็วที่สุดไม่ใช่ชักช้าเสียเวลากับอะไรที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แต่พอพูดถึงเป็ด เป็ดก็มา ระยะทางห้าร้อยกิโลเมตรที่ผ่านมาไม่เจอสิ่งมีชีวิตสักตัว แต่ตอนนี้ข้างหน้าของเขากลับมีกลุ่มคนกำลังเดินมาท่าทางดูแข็งแรง แต่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมาอย่างชัดเจน ทั้งกลุ่มมีคน 5 คน
คนที่ดูน่าจะเป็นหัวหน้าเป็นผู้ชายร่างสูงตัวใหญ่มีรอยแผลที่หน้าข้างหลังของเขามีโล่พร้อมกับดาบขนาดใหญ่ที่ถือไว้ในมือ ดวงตาสีดำของเขาดูเหี้ยมเกรียมไม่น่าคบหา
หากให้เทียบความสูงจะต้องใข้เอลวิสสามคนต่อตัวกันขึ้นไปถึงจะสูงเท่าคนที่เป็นหัวหน้าได้
ข้างหลังดูเหมือนจะมีนักดาบอีกสองคนที่สพายดาบไว้แต่ไม่ได้พกโล่ ส่วนคนสุดท้ายมีลักษณะเป็นนักเวทย์ ทั้งหมดเป็นผู้ชายร่างสูง
กลุ่มอย่างนี้ถือเป็นเรื่องปกติในมหาโลกเซเลนเทีย ไม่ใช่ทุกคนจะเก่งได้ในทุกสาย เพราะอย่างนั้นแต่ละคนจึงมีจุดเด่นของตัวเองที่จะมีประโยชน์เมื่อยู่รวมกัน
แทงค์ เด่นเรื่องการรับแรงกระแทก รับการโจมตีของศัตรู
นักเวทย์ เด่นเรื่องพลังโจมตีที่รุนแรงและกว้างขวาง
นักดาบ เด่นเรื่องความรวดเร็ว และคล่องตัว สามารถปะทะตัวต่อตัวได้ดีที่สุด
อาจจะมีที่พิเศษแยกย่อนกว่านี้เช่น นักเวทย์ฟื้นฟู ที่สามารถฟื้นฟูแผลที่บาดเจ็บของสมาชิกกลุ่ม หรือนักเวทย์ซัพพอร์ตที่สามารถร่ายเวทย์บัพฝั่งตัวเองได้ ซึ่งพวกเขาจะเรียกพวกคนเรานี้ว่า"คลาส" คลาสนักดาบจะมีมากที่สุด และคลาสนักเวทย์จะหายากที่สุดจากสามคลาสหลัก ส่วนพวกคลาสพิเศษจะโชคดีจริงๆถึงจะเจอ
กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างสมดุลมาก เอลวิสเองก็ไม่ได้โง่ เขาไม่อยากปะทะโดยไม่จำเป็น แน่นอนมันอาจทำให้เขาพลาดโอกาสในการทะลวงระดับ แต่เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เก่งแค่ไหน ถ้าคนเหล่านี้เป็นแรงค์ B หรือ C เขาจะตายโดยหนีไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพราะเท่าที่เขาคาดการณ์ตอนนี้พลังของเขาน่าจะสามารถต่อสู้กับแรงค์ D ระดับต่ำได้อย่างไม่พ่ายแพ้ หากเป็นแรงค์ D ระดับสูงอย่างน้อยก็น่าจะสามารถหนีได้ แต่เขาก็ไม่มั่นใจ ที่เขาคาดการณ์ก็แค่การเปรียบเทียบจากหนังสือตำรา ไม่รู้ว่าของจริงจะแตกต่างแค่ไหน
ถึงจะเป็นนายน้อยของตระกูลเอิร์ลเฮลฟอร์ด แต่ก็ใช่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งจะแสดงพลังเต็มที่ออกมาให้ดู การฝึกซ้อมหรือการแกว่งดาบไม่ได้แสดงศักยภาพออกมา
เอลวิสพยายามปลีกตัวออกไปเงียบๆ ขยับตัวให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในตอนนั้นตอนที่เขากำลังถอยหลังไป เท้าข้างขวาของเขาพลันเหยียบกิ่งไม้ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา
ทุกคนในกลุ่มคนนั้นสี่คนหันหน้ามามองต้นกำเนิดเสียงพร้อมกัน สีหน้าของคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าแสยะยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย
เอลวิสเองก็รู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถหนีไปได้ง่ายๆ เขาจึงอยากลองเจรจาดูก่อน เขาก้าวออกมาให้เห็นตัวพร้อมพูดออกไปว่า
"พวกเราไม่รู้จักกันและไม่เคยมีความขัดแย้งมาก่อน ต่างคนต่างไปทางของตัวเองดีกว่าไหม"
เอลวิสพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งและไม่เกรงกลัว แต่ด้วยร่างกายที่เป็นเด็กอายุสิบขวบทำให้เสียงมันดูน่าขำเล็กน้อย
คนทั้งสี่แสยะยิ้ม สองคนในนั้นหัวเราะออกมาด้วยซ้ำเมื่อได้ยินเสียงและเห็นขนาดตัวของเอลวิส แต่หัวเราะไม่นานนักดาบทั้งสองคนชักดาบออกมาเตรียมตัวพุ่งใส่เอลวิสทันที
แต่ตอนที่ทั้งสองคนชักดาบเอลวิสสังเกตุเห็นเกล็ดนึงอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของพวกเขา
สายตาของเขาหรี่เล็กลง
'คนเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์!!'
ความคิดเห็น