ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Elvis Magic world) เซียนต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 18 ความจริงเปิดเผย

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 66



    เอลวิสรู้สึกดีใจ วิ่งไปทางนั้นด้วยเสียงเท้าที่เงียบกริบ ค่อยๆ เข้าไปภายในบ้านหลังนั้นอย่างช้าๆ

     

    เขาย่องไปทางหน้าบ้านหลังอ้วยโดยไร้ซุ่มเสียง เดินไปรวดเร็วดูราวกับเป็นเงาที่แวบไปมา

     

    คนในบ้านก็ราวกับรู้ตัว แสงตะเกียงภายในถูกจุดได้ชั่วครู่ก่อนดับลงอีกครั้ง ทุกอย่างตกสู่ความมืดเหลือเพียงแสงสว่างอ่อนๆจากพระจันทร์ในค่ำคืนนี้เท่านั้น

     

    คสามเงียบที่มากจนแทบทำให้ผู้คนเป็นบัาสร้างบรรยากาศน่าขนลุกและหวาดกลัว

     

    เอลวิสรออยู่บริเวณข้างหน้าของบัานหลังนั้นไม่ได้เข้าไปภายใน เพราะตามการคาดการณ์ของเขาการเปิดประตูเข้าไปยังไงก็ต้องเกิดเสียง อาจทำให้คนๆนั้นตกใจแล้วหนีไปได้

     

    เอลวิสไม่รู้ว่าคนที่อยู่ภายในบ้านเป็นคนธรรมดาหรือเป็นผู้ที่มีพลังเวทย์ การจะระวังตัวไว้ก่อนเป็นเรื่องดีเสมอ

     

    เขายืนรออยู่นาน ห้านาทีผ่านไปก็ไร้สัญญานตอนรับ สิบนาทีก็ยังไร้เสียง

     

    หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเอลวิสถึงจะหมดความอดทน เขาเลือกที่จะพยายามเข้าไปภายในบ้านผ่านกลอนประตูข้างหน้า

     

    พลังเวทย์เบาบางสายหนึ่งถูกส่งเข้าไปปลดล็อกกลไกภายใน

     

    มันส่งเสียงเสียง "เคร็ก" เบาๆออกมาพอให้ได้ยิน

     

    แต่ทันทีที่เสียงเบาๆนี้ดังขึ้น หน้าต่างบนชั้นสองถูกเปิด ปรากฎเห็นเป็นมนุษย์ที่สวมใส่ผ้าคลุมสีดำมองไม่เห็นลักษณะหรือเพศของคนผู้นั้น

     

    คนในผ้าคลุมสีดำกระโจนเปิดหน้าออกมา กระโจนหนึ่งครั้งข้ามไปยังบ้านตรงข้ามที่อยู่ไกลออกไป

     

    'เป็นผู้มีพลัง!'

     

    เอลวิสสรุปได้อย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ ต่อให้นั้นจะเป็นมนุษย์ที่แข็งแรงที่สุดในโลกก็ตาม

     

    แต่หากวัดจากความเร็วคนในผ้าคลุมดำนี้แรงค์น่าจะอยู่ประมาณ D ไม่ก็ F เท่านั้น เอลวิสเชื่อว่าเขาสามารถจัดการได้จึงกระโดดตามไป

     

    เพียงหนึ่งการกระโดดก็พุ่งทะยานสูงจากพื้นสามเมตรขึ้นไปบนหลังคาทันที มันเกิดเสียงดังเล็กน้อยทำให้เขาและคนในชุดคลุมดำชงัก

     

    แต่การชงักเกิดเพียงเศษเสี้ยวของวินาทีก่อนที่เอลวิสจะตามต่อไป คนในชุดคลุมดำเองก็ไม่ได้รอให้เอลวิสมาจับเฉยๆ เขากระโดดไปมาระหว่างตึกได้อย่างชำนาญปราศจากซุ่มเสียงต่างจากเอลวิสที่ไม่ได้มีวิชาตัวเบาแบบนั้น เอลวิสใช้พละกำลังในการส่งตัวเอามากกว่า

     

    การไล่ล่าเกิดขึ้นอยู่แบบนั้นราวสิบนาที บนพื้นบ้าง บนหลังคาบ้างสลับกันไป

     

    สุดท้ายคนในชุดดำก็ยอมแพ้ เขาหยุดลงแต่พอที่จะทิ้งระยะห่างกับเอลวิสประมาณสิบเมตรได้

     

    คนในชุดคลุมดำชัดกริซอันนึงออกมามันดูคมพอจะเจาะทะลุร่างกายของเอลวิสได้อย่างไม่ยากเย็น

     

    เห็นแบบนั้นเอลวิสยกมือขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

     

    "ใจเย็นๆ ผมไม่ได้มาทำร้ายคุณ ผมแค่อยากถามรายละเอียดอะไรนิดหน่อย"

     

    คนในชุดคลุมดำก็ไม่ได้ลดการระวังตัวลง เชายังคงถือกริซไว้ในมือพร้อมจับมันพร้อมจะแทงทุกเมื่อ

     

    เห็นแบบนั้นเอลวิสจึงแสดงความจริงใจดัวยการวางดาบของเขาลงนาบกับพื้นดิน

     

    คนในชุดคลุมดำเห็นแบบนั้นจึงวางใจในระดับนึง แต่ก็ไม่ได้วางอาวุธลง

     

    เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างแต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเสียงของหญิงสาวที่ยังเยาววัย

     

    "ต้องการอะไร"

     

    เอลวิสไม่ได้แปลกใจหรือตกใจ โลกใบนี้จะเพศไหนก็สามารถเก่งกาจได้ทั้งสิ้น แรงค์ Sหลายคนหรือแม้กระทั่งเทพบางองค์ก็เป็นผู้หญิง การจะเจอพวกเธอไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร

     

    "บอกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองหลวงและเมืองรอบๆนี้กันแน่"

     

    เอลวิสถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ในน้ำเสียงนั้นไม่ได้แฝงความอยากรู้อยากเห็นหรือการขอร้องในนั้น

     

    การถามนี่ไม่ใช่การขอร้องแต่คือการข่มขู่และบังคับแบบนึง การที่ผู้หญิงในชุดคลุมคนนี้หยุดลงก็เพราะรู้ว่าไม่สามารถหนีจากเขาได้พ้น อีกทั้งการที่เธอหยุดไม่ได้จู่โจมทันทีแปลว่าเธอไม่มั่นใจในพลังของเขาเช่น หากคิดจะเล่นตุ๊กติ๊กเขาก็ไม่รังเกียจที่จะต้องต่อสู้กับเธอ

     

    "นี่นายไม่รู้งั้นหรอ?" เธอถามอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นแววตาที่เย็นชาของเอลวิสเธอก็รีบพูดต่อทันทีว่า

    "เรื่องมันเกิดเมื่อสองเดือนก่อน ที่เผ่าพันธุ์อื่น...."

    .

    .

    .

    "ทั้งหมดมันก็ประมาณนี้ นายยังมีเรื่องอะไรที่สงสัยอีกไหม ไม่งั้นฉันจะไปแลัว"

     

    เอลวิสไม่ได้ห้าม เขาได้ขัอมูลที่สำคัญตามที่เขาต้องการแล้ว ผู้หญิงในชุดคลุมดำก็ไม่รอช้าเมื่อเห็นเอลวิสไม่มีปฏิกิริยาห้ามหรือมีคำถามอะไร เธอกระโจนหายไปในความมืดมิดนั้นและหลอมรวมกับมัน จนเอลวิสไม่สามารถตามเธอไปได้อีก

     

    เอลวิสเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะตามไป เขาหาที่นั่งเป็นเก้าอี้แถวๆนั้น เพื่อที่เขาจะได้สามารถจัดเรียงความคิดได้มากยิ่งขึ้น จากที่ฟังมาเรื่องมันเกิดจาการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ขดงเขาถูกเผ่าพันธุ์อื่นๆบุกรุกเข้าโจมตี

     

    แต่มันไม่ใช่การโจมตีธรรมดาๆ แม้การบุกรุกนี้จะไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์ระดับกลางที่มีทวยเทพอาศัยอยู่ แต่ก็การบุกรุกนี้คือการรวมมือของเผ่าพันธุ์ระดับต่ำสิบเผ่าพันธุ?

     

    แต่ละเผ่าพันธุ์มีแรงค์Sอย่างน้อยคนนึง รวมสิบเผ่าพันธุ์แล้วมีแรงค์ S นับสิบคน

     

    นี่อาจเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดของมหาทวีป หากนับในระดับที่ต่ำกว่าเทพลงมา ทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ มนุษย์ทุกคนในอาณาจักรอครีเวียถูกไล่ให้ไปอยู่ชายขอบของอาณาจักรข้างเคียง ซึ่งตอนนี้กำลังพยายามทำให้ผู้คนอพยพได้มากที่สุด

     

    แม้มนุษย์จะต่อสู้กันเองภายในยามสงบ แต่ยามมีภับภายนอกรุกรานก็ร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างน่าพอใจ

     

    ในส่วนของผู้แข็งแกร่งแต่ละคนตอนนี้พวกเราเลือกที่จะทิ้งเมืองส่วนใหญ่รวมถึงเมืองหลวงและไปรวมกันในที่ที่เดียวเพื่อรักษากองกำลังไว้ให้ได้มากที่สุด

     

    แรงค์ A หลายสิบคน และแรงค์ S ทั้งสามคนที่เป็นตำนานมารวมตัวกันบริเวณเทือกหมื่นสรรหาที่เป็นบริเวณเขตแดนติดต่อระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่น

     

    และยังมีแรงค์ S และแรงค์ A บางส่วนที่จะไม่ได้ร่วมสงครามครั้งนี้ แต่มารวมตัวเพื่อรักษาให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังมีต่อไป

     

    ซึ่งที่ที่ต่อสู้จะอยู่ห่างออกไปสามพันกิโลเมตรจากจุดที่เอลวิสอยู่ มันอาจดูห่างไกลแต่ความน่ากลัวของการปะทะกันของแรงค์ S จำนวนมากจะทำให้พื้นที่รัศมีหลายร้อยกิโลเมตรกลายเป็นพื้นที่แห้งแล้งและทุรกันดารทันที ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาจมีผู้ทรงพลังบางส่วนลอบมาทำลายมนุษย์ที่ไม่ได้ร่วมสงคราม

     

    เพราะงั้นมนุษย์ทุกคนถึงต้องมารวมตัวกันเพื่อความปลอดภัย และเพื่อเผ่าพันธุ์

     

    นี่คือวิกฤตแห่งการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์!

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×