ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Elvis Magic world) เซียนต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 13 คำถามไร้ผู้ตอบ

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 66



    มันถึงเป็นตำนาน แต่เอลวิสสงสัยเขาไปปรารถนาในความรู้ตั้งแต่ตอนไหนกัน?

     

    เอลวิสได้แต่คิดแล้วสงสัยอยู่ภายใน แต่เขาก็ไม่ได้เดินจากไป

     

    โอกาสและวาสนาแบบนี้ ไม่ใช่จะมาเสิร์ฟถึงกน้าประตูบัานทุกวัน

     

    ปราชญ์บางคนปรารถนาจะเข้าในที่หอสมุดนี้มาชั่วชีวิตของพวกเขา แต่น่าเสียที่มีคนเหล่านั้นนับไม่ถ้วนต้องตายจากไปโดยความฝันไม่เป็นจริง

     

    เผ่าพันธุ์ระดับต่ำนับหมื่นหากนับประชากรทั้งหมด คงมากกว่าล้านล้านชีวิต มหาโลกเซเลนเทียเองก็ยิ่งใหญ่พอจะรองรับทุกเผ่าพันธุ์ได้ ภายในล้านล้านชีวิตไม่รู้มีกี่ชีวิตที่อยากเข้าไปภายในหอนมุดนี้แต่ไร้โอกาส

     

    ตอนนี้สถานที่ที่เป็นดั่งความฝันเปิดประตูต้อนรับเขาอยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่ให้เขารับโชควาสนานี้ได้อย่างไร หากเขาเดินจากไปตอนนี้เกรงว่าเหล่าปราชญ์คงก่นด่าและสาปแช่งเขาจนตระกูลของเขาพังพินาศก็ได้

     

    เอลวิสย่ำเท้าเดินไปหอสมุดอย่างไม่เร่งรีบมันสวยงามอย่างยิ่งให้ความรู้สึกโบราณและยิ่งใหญ่ มันโบราณเสียยิ่งกว่าวงแหวนเวทย์ที่ใช้ทดสอบคุณสมบัติเวทย์มนต์ของราชวังซะอีก

     

    เอลวิสเดินไปหยุดยืนหน้าประตูทางเข้าที่เป็นเหมือนเถาวัลย์ มันพันเกี่ยวไปมาแต่ไม่รกหูรกตา ให้ความรู้สึกราวกับเป็นชิ้นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง

     

    เขาเดินเข้าไปภายในเถาวัลย์นั้น ทันทีที่เท้าของเขาก้าวข้ามเขตเถาวัลย์ไป มันเหมือนเปลี่ยนโลกทั้งใบ เหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ในมหาโลกเซเลนเทียอีกแล้ว พลังเวทย์ที่นี่ก็เบาบางกว่ามาก มันเทียบไม่ได้กับถิ่นทุรกันดารของมหาโลกด้วยซ้ำ

     

    แต่ถึงพลังเวทย์ที่นี่จะเบาบางมาก แต่ภาพฉากที่เอลวิสเห็นมันก็ชวนให้ผู้คนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

     

    ภาพฉากที่เห็นคือ หอสมุดที่กว้างใหญ่อย่างไร้จุดสิ้นสุด ชั้นหนังสือแต่ละชั้นสูงเฉียดฟ้ามองไม่เห็นปลายสุดของมัน แล้วถ้ากะด้วยสายตาหนังสือของที่นี่ตัองมากกว่าร้อยล้านเล่ม มันมากเกินกว่าที่เผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งจะศึกษาทั้งหมดด้วยซ้ำ ต่อให้ทั้งเผ่านั้นจะร่วมแรงร่วมใจกันก็ตาม

     

    เอลวิสมองเห็นหู้คนเหาะเหินบนท้องฟ้าอย่างไร้ข้อจำกัด ผู้คนที่เขาเห็นนั้นทั้งหมดล้วนไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกทั้งในระยะสายตายังเห็นเพียง7~8คนเท่านั้น ซึ่งมีทั้งเผ่าหมึกยักษ์ เผ่ามด หรือเผ่าแปลกๆที่เอลวิสไม่รู้จัก

     

    ที่จริงหากมองไปใต้เท้าของเขาเองตอนนี้เอลวิสก็กำลังลอยอยู่เช่นกัน!! 

     

    การบินหรือเหาะเหินคืออภิสิทธิ์ที่มีเพียงผู้ครองตรามรกต(แรงค์ A) เท่านั้นถึงจะทำได้!!

     

    การที่เขากำลังบินอยู่ไม่ใช่เพราะเอลวิสไปถึงแรงค์ A อย่างแน่นอน แต่ที่เขาบินได้นั้นเพราะ "กฎ" ของที่นี่ทำให้สามารถทำแบบนั้นได้ และผู้ที่จะเข้าแทรกแซงหรือเปลี่ยนกฎได้คงมีแต่ "ทวยเทพ" เท่านั้น

     

    เห็นได้ชัดว่าเทพที่สร้างที่นี่นั้นมีเมตตาอย่างมหาศาล ถึงขั้นเปลี่ยนกฎในที่แห่งนี้ให้เพื่อที่จะให้เผ่าพันธุ์ต่างๆสามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างสะดวกที่สุด

     

    เอลวิสบินไปมาอย่างสนุกสนานการได้มีความรู้สึกของการบินบนท้องฟ้าช่างเป็นประสบการณ์ที่ชวนอภิรมย์จริงๆ มันให้ความรู้สึกอิสระและหลุดพ้นจากบ่วงของความเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ

     

    บินไปมาอยู่ครู่นึงเอลวิสเจอรูปปั้นรูปหนึ่งถูกสร้างไว้ในจุดที่คาดว่าจะเป็นกึ่งกลางของที่แห่งนี้

     

    มันเป็นรูปปั้นของผู้กญิงที่งดงามราวกับหลุดมาจากความฝัน เธอคนนั้นมีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบเกลี้ยงเกลา มือข้างนึงถือหนังสือที่ดูเก่าแก่โบราณ แต่ก็ดูขลังไปด้วยพลังอำนาจ อีกข้างทำมือชี้ไปทิศทางหนึ่งราวกับกำลังโปรดเวไนยสัตว์ที่อ้อนวอนขอร้อง

     

    เอลวิสคาดเดานี้คงเป็น "เทพแห่งปัญญา โซเฟีย" ตามจริงไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อทวยเทพอย่างพร่ำเพรื่อ แม้จะเป็นชื่อของเทพที่อ่อนแอที่สุดก็ตาม 

     

    ทวพเทพคือเทพ เป็นเทพที่แท้จริงทรงพลังเกินกว่าสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าจะประมาณถึง  แค่การเอ่ยถึงชื่อของตัวตนเหล่านั้นก็สามารถรับรู้ได้

     

    ชื่อของเทพหลายองค์จึงไม่ปรากฏ แต่เรียกขานเพียงฉายา เหมือนรูปปั้นแห่งนี้ที่เรียนกันว่า เทพแห่งปัญญา เป็นหนึ่งในเทพระดับสูง และนั้นก็ยังเป็นอีกเหตุผลดัวยว่าทำไมหอสมุดแห่งนี้ยังไม่ถูกทำลาย

     

    ไม่มีเทพคนไหนอยากหาเรื่องเทพระดับสูงเพื่อทำลายสิ่งที่ไม่มีนัยยะนี้ 

     

    แทนที่จะเสียเวลากับการมาทำลายที่แห่งนี้ ทั้งยังตัองผิดใจกับเทพระดับสูง มิสู้เอาเวลาไปเสพสุขกับชีวิตชั่วนิจนิรันดร์ไม่ดีกว่าหรอ

     

    ใช่แล้วชีวิตชั่วนิรันดร์! เหล่าทวยเทพต่างไม่มีอายุไข หรือมี แต่แค่ไม่มีใครรู้ขีดกำจัดนั้น และไม่มีใครเคยไปถึงขีดกำจัดนั้น ส่วนว่าทำไมเทพที่ไม่มีอายุไขเหล่านี้ถึงมีการสืบทอดนะหรอ? ในเมื่อพวกเขาไม่มีวันตายตราบเท่าไม่ถูกดับสังหาร ถ้างั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีผู้สืบทอดนะสิ

     

    ในส่วนคำตอบของคำถามนี้นั้น ไม่มีคำตอบ ไม่มีใครรู้ อาจจะมีแค่ทวยเทพเท่านั้นที่รู้ แต่พวกเขาก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยมันออกมา อาจต้องรอถึงวันที่ไปถึงระดับเทพด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ได้

     

    เอลวิสเหม่อมองรูปปั้นหญิงสาวที่งดงามเกินกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆได้ แค่จ้องมองรูปปั้นก็ให้ความรู้สึกอยากเคารพบูชากราบไหว้แล้ว

     

    แต่ทันทีที่เขาเหม่อมองไปอยู่นั้นอยู่ๆก็มีคำถามหนึ่งเกิดผุดขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่มา

     

    ทำไมเหล่าเทพถึงคงรูปลักษณ์เป็นมนุษย์หล่ะ? ทำไมถึงไม่มีใครบันทึกถึงเรื่องนี้? แล้วทำไมไม่มีใครสังเกตุถึงความแปลกนี้ออก? มันแปลกมากๆ หากมองย้อนกลับไปในมหาโลกเซเลนเทียนั้น ผู้แข็งแกร่งก็ล้วนมีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบครึ่งมนุษย์ หรือเป็นคนที่เหมือนมนุษย์ไปเลยก็มี เพียงแต่พวกเขาจะลักษณะเด่นเฉพาะของพวกเขา เช่นเขา หาง หรือแขน

     

    เอลวิสตั้งข้อสงสัย ทำไมก่อนหน้านี้เขาไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้เลย มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไปจากที่อื่นในตอนนี้คือ....

     

    สถานที่!!

     

    หอสมุดนี้คือที่ที่เทพได้เปลี่ยนแปลงกฎบางอย่าง ทำให้กฎในมหาโลกไม่ได้ส่งผลในนี้แห่งนี้

     

    แต่แล้วถ้างั้นมหาโลกจะมีกฎนี้ไว้ทำไม เหล่าเทพทั้งหมดต่างร่วมกันปกปิดความลับที่เกี่ยวข้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่หรือเปล่า?

     

    แต่ก่อนที่เอลวิสจะคิดไปไกลกว่านี้ ตอนนั้นโลกทั้งหมดหยุดนิ่งลง หนังสือที่กำลังถูกพลิก ปากกาขนนกที่กำลังร่วงหล่นก็หยุดกระทันหัน เศษฝุ่นที่ปลิวไปมาก็หายไป ปรากฎร่างหญิงสาวที่เหมือนกับรูปปั้นทุกประการลอยออกมาจากที่ไหนไม่รู้ เธอมาพร้อมกับร่างที่โปร่งแสงแต่ก็ให้ความรู้ศักดิ์สิทธิ์

     

    เอลวิสลงไปคุกเข่าทันที ความคิดของเขาขาดสะบั้นลงไม่อาจขบคิดได้อีกต่อไป 

     

    ความเคารพ ความกลัว และความรู้สึกไร้กำลังพวยพุ่งออกมาจากสัญชาตญาณอย่างไม่อาจห้ามได้  มันคือความรู้สึกจำยอมต่อตัวตนที่เหนือกว่า มันฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุดของสายเลือด เซลล์ทุกเซลล์ในร่างโดนสยบเพียงการปรากฎตัวนี้ นี้คือสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง 

     

    เหงื่อของเอลวิสไหลออกมาท่วมแผ่นหลัง ตัวสั่นคุกเข่าบนพื้นเหมือนลูกแมวที่กำลังหวาดกลัว รู้สึกราวกับว่าหากเพียงตัวตนตรงหน้าหายใจอย่างแผ่วเบาร่างกายและวิญญาณของเขาจะสูญสลายอย่างไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีก เพียงการสบัดมือของเธออาจทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์

     

    หญิงสาวร่างโปร่งแสงนั้นเพียงยิ้มทีนึง ลอยเข้าไปกระซิบช้างร่างกายที่สั่นเทาของเอลวิสอย่างเชื่องช้า 

     

    "เด็กน้อยเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะแตะต้องความลับนี้"

     

    พูดจบร่างของเธอเลือนหายไปจากที่ตรงนั้น เวลาทั้งหมดกลับมาไหลเวียน ทุกอย่างที่ควรเป็นกลับมาดำเนินตามครรลองเดิม โลกดำเนินตามที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง

     

    สติของเอลวิสกลับมา เหงื่อที่หลังหายไปแล้ว ความกลัวและทุกความรู้สึกก็หายไปด้วย

     

    เขาแสดงสีหน้างุนงง

     

    "เมื่อกี้ข้ากำลังคิดอยู่นะอะไรนะ......"



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×