คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 มุมานะฝึกฝน
หลังจากพลังเวทย์รอบตัวเริ่มถูกเกาะเกี่ยว และค่อยๆถูกชักนำเข้าสู่ร่างของเองวิสแล้วเขาก็บังคับให้มันโคจรไหลผ่านทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านทุกอวัยวะภายใน
ที่ต้องทำให้ไหลผ่านเพื่อให้ร่างกายซึมซับและทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์มากขึ้น
ใช่แล้ว! เขากำลังทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์มากขึ้น โดยใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเสมือนผ้าเช็ดสิ่งสกปรก
ร่างกายเขาซึมซับพลังงานที่แตกต่างกันหลายประการ
พลังเวทย์หนึ่งอณูมีพลังธาตุประกอบอยู่
ลม ไม้ ไฟ น้ำ ถูกดูดซึมด้วยร่างกายและตีกันเองจากภายใน
คุณสมบัติที่แตกต่างและขัดแย้งกันทำให้เอลวิสรู้สึกเหมือนมีระเบิดอยู่ภายใต้ผิวหนัง ต้องทรมานอย่างถึงที่สุด เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขาสามารถระเบิดได้ตลอดเวลา
แต่เอลวิสยังคงตั้งสติให้มั่น นำพลังเวทย์ที่ถูกทำให้บริสุทธิ์มากขึ้นแลัวชักนำเข้าสู่ตันเถียน เขาบังคับให้มันพุ่งทะลุทะลวงทุกเส้นเลือดหรือเส้นปราณ
บรึมมมม~~!~!
เสียงเหมือนระเบิดเปิดทางในถ้ำหิน เหมือนการพังทลายของถ้ำที่จะถล่ม ภายในตันเถียนถูกพลังเวทย์เจาะทะลวงจนเข้าไปสู่ภายใน พลังเวทย์รอบกายก็ถูกตันเถียนที่เปิดออกดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง พลังเวทย์ถูกทำให้บริสุทธิ์ผ่านร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าจนเอลวิสถึงขีดกำจัด
สติของเขาดับวูบลง ราวกับมีคนปิดสวิตซ์ ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีดำสนิท
.
.
.
.
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดเอลวิสก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมกุมหัวที่ยังปวดอยู่เล็กน้อย บวกกับร่างกายที่แม้จะพักผ่อนไปบ้างแล้วแต่ก็ยังอ่อนล้าถึงขีดสุด มันยังรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายอยู่บ้างเลย
เอลวิสไม่ได้สนความปวดตามร่างกายมากนัก แค่ยังไม่ตายก็ดีมากแล้ว เขาจึงเพ่งสมาธิไปยังตันเถียนทันที
มันไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้เต็มไปด้วยความมืดมิดที่เป็นอนันต์อีก
มันมีก้อนพลังงานที่รวมกันเป็นทรงกลมอยู่ภายในนั้น
ก้อนทรงกลมนั้นดู สว่าง สะอาด และบริสุทธิ์ ไม่มีอณูธาตุใดปนทั้งสิ้น
มันส่องกระกายสีขาวนวลยิ่งกว่าสีใดจะนวลตาได้มากกว่านี้ น่าเสียดายที่มันไม่ได้รวมเป็นหยดน้ำ หรือสิ่งใดอื่น มันเป็นแค่กลุ่มก้อนพลังงานเปล่าๆที่ดูอ่อนจางราวกับปุ้ยฝ้ายเท่านั้น
แต่เท่านี้ก็มากพอ รอยยิ้มของเอลวิสเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ มันช่างเป็นการยิ้มที่ดูเอ่อ...โง่งมเล็กน้อย
แต่ที่เอลวิสต้องยิ้มเพราะเขารู้ว่าเขาทำสำร็จแล้ว เป็นผู้เริ่มแรกในการเดินทางสายนี้ เป็นปฐมบรรพบุรุษของผู้ฝึกฝนแห่งเส้นทางนี้
ตอนนี้เขาสัมผัสพลังเวทย์ในอากาศได้ชัดเจนขึ้น ไม่จำเป็นต้องเพ่งสมาธิมากขนาดนั้นอีกแล้ว เขาแค่มีสติก็รับรู้ถึงพวกมันได้
'เอ๊ะ นี่ร่างกายข้า.....'
เอลวิสประหลาดใจ เขาพึ่งสังเกตุว่าร่างกายของเขาแปลกไป หากมองจากไกลๆคงไม่รับรู้อะไรเลย แต่หากอยู่ใกล้ๆแล้วเป็นคนช่างสังเกตุสักหน่อย คงมองเห็นได้อย่างง่ายดาย
ร่างกายมันแผ่พลังธาตุสามประการออกมาอย่างเบาบาง
ลม ไม้ และน้ำ
ให้ความรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นผืนป่าที่ร่มเย็น แต่แข็งแรงและยากจะทำลายได้
หลังจากคิดไปมาเอลวิสได้ข้อสรุปกับร่างกายเขาว่า
ตอนนี้พลังเวทย์ของเขาเป็นไร้ธาตุ ไม่มีธาตุใดเจือปน แต่ร่างกายของเขากลับมีพลังเวทย์ที่มีคุณสมบัติธาตุไหลเวียนอยู่ถึงสามอย่าง
เรียกว่าแปลกประหลาดอย่างแท้จริง
เอลวิสคาดเดาว่าธาตุไฟคงถูกธาตุอื่นชะล้างจนหายไป ส่วนสาเหตุที่พลังธาตุพวกนี้เข้าตันเถียนกลายเป็นพลังเวทย์ไม่ได้ก็คงเป็นเพราะมันเป็นคนละชนิดกัน
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือ พลังเวทย์ของเขาไร้ธาตุ แต่ร่างกายมีธาตุสามอย่าง
เอลวิสไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เป็นแบบนี้ ดีซะอีกที่ร่างกายของเขาแข็งแรงมากขึ้น ทั้งยังได้คุณสมบัติธาตุมาโดยไม่เสียอะไร
แต่นึกย้อนกลับไปเขายังต้องขำแห้งๆให้ความกล้าหาญของตัวเอง
หากมีขั้นตอนไหนผิดพลาดนิดเดียว เขาจะตัวระเบิดตายกลายเป็นฝุ่นในพริบตา
เอลวิสไม่ได้ฝึกฝนต่อ แต่เลือกจะนอนหลับพักผ่อนแทน
.
.
.
กลางดึกมาถึง เอลวิสตื่นขึ้น เขารู้สึกตัวทันทีว่ารถม้าไม่ได้เคลื่อนไหวอาจเป็นเพราะทุกคนพักผ่อนอยู่ มอร์แกนก็ไม่ได้มาปลุกเขา อาจจะเพราะที่สิ่งเขาบอกไว้ก่อนหน้านี้
แต่นั้นก็ดีเขาจะได้ทดสอบความแข็งแกร่งในปัจจุบัน
เขาเช็คสภาพแวดล้อมภายนอกผ่านทางหน้าต่างปรากฎว่ามันคือสภาพแบบคืนก่อน คือยังอยู่ในป่านั้นเอง
เอลวิสเปิดประตูออกไป เห็นชามข้าวอาหารแบบคืนก่อนวางอยู่พร้อมมีฝาครอบที่ทำอย่างง่ายๆจากวัสดุใกล้ๆนี้
เขาเลือกจะกินมัน ก่อนเดินหายเข้าไปในป่าให้ลึกขึ้นเพื่อไม่ปลุกคนอื่นโดยไม่จำเป็น
.
.
.
เดินมาได้ครู่นึง เมื่อเห็นว่าคงออกไกลมากพอแล้ว
เอลวิสเริ่มทดสอบสิ่งต่างๆทันที
อย่างแรกประสาทสัมผัส
มันเฉียบคมมากขึ้น ดวงตามองเห็นตอนกลางคืนได้ แม้จะยังสลัวเลือนลางอยู่บ้าง หูก็ได้ยินเสียงลมที่พัดหวีดวิวอย่างเบาๆตลอดเวลา
ประสาทสัมผัสพอใช้ได้ เอลวิสหยักหน้าอย่างพอใจ
ต่อมาเขากำหมัดขึ้น ต่อยลงไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างๆตน
ต้นไม้ไม่ได้หัก แต่ฝากรอยแผลไว้บนมือของเขา
สีหน้าของเอลวิสเหยเก เขาสบัดมือออกอย่างเจ็บปวดพร้อมมองดูเสี้ยนที่ติดตามมืออย่างช่วยไม่ได้
หลังจากดึงเสี้ยนไม้ออกหมดแล้ว เขาสังเกตุรอยที่เขาต่อยไป มันเป็นรอยหมัดที่มีความลึกราว1ซม.จากที่อื่นๆ
เขาหยักหน้าอีกครั้งอย่างพอใจ ถึงแม้มันจะแค่หนึ่งเซนติเมตร แต่ถ้าให้คนธรรมดามาต่อยมือของพวกเขาคงหักทันที อีกอย่างนี่เขาพึ่งจะเริ่มฝึกฝนได้ไม่ถึงวันเท่านั้น
เอลวิสยืดเส้นยืดสายทำท่าเหมือนนักกรีฑาที่เตรียมวิ่ง
เขาออกตัวอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไปสิบวินาทีเขาพบว่าตัวเองเคลื่อนที่ได้ราวหนึ่งร้อยเมตร
ถึงจะดูเร็วมากแต่อย่าลืมว่านี่คือเกือบจะเป็นสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดของเอลวิส ทั้งยังได้เตรียมตัวล่วงหน้า ไม่มีศัตรูขัดขวาง
หากเป็นสถานการณ์จริงคงวิ่งได้ช้ากว่านี้ แต่เท่านี้ก็น่าพอใจ เพราะที่วิ่งไปเมื่อกี้เอลวิสรู้สึกว่าเขายังไม่เหนื่อยมากนัก หากให้วิ่งจนหมดแรงเขาคงได้ระยะทางสัก 2 กิโลเมตรภายในเวลา5นาที
แต่ก่อนที่เขาจะได้พักเหนื่อย กลิ่นสาบของสัตว์ พร้อมกลิ่นสาบของเลือดลอยมาเตะที่จมูกของเขา
ความคิดของเอลวิสหยุดชะงักความเหนื่อยเล็กน้อยที่วิ่งมาก่อนหน้านี้หายจนหมดสิ้น
ถึงจะไม่รู้ว่ามันคือสัตว์อะไร แต่การจะไปสู้กับมันนั้น ดูเป็นความคิดที่หาเรื่องตายชัด
และคงมีแต่คนโง่ที่จะทำแบบนั้น และเอลวิสไม่ใช่คนโง่ เขาหันหลังกลับ ในหัวมีเพียงคำเดียวเท่านั้น
'วิ่ง!'
ความคิดเห็น