ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Elvis Magic world) เซียนต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ปฐมบทเรื่องราว

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 66



    ในบรรยากาศแห่งท้องฟ้าที่มืดมิดประหนึ่งวันโลกาวิบัติ

     

    ผู้คนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวของพวกเขา หากมองด้วยสายตาแล้ว หมู่เมฆดูจะรวมตัวกันมากกว่ารัศมีที่สายตาจะมองเห็นได้ มันมืดมิดจนกลบจากเดิมที่เป็นเวลากลางวันกลายเป็นเวลากลางคืนในฉับพลัน เหมือนว่าวันนี้คือวันที่มวลชีวิตทััั้งหมดมาถึงกาลสิ้นสุด

     

    หากเป็นผู้ที่สายตาดีหน่อย จะเห็นได้ว่าในหมู่เมฆเหล่านั้นนอกจากจะมีสีดำสนิทแล้ว ยังมีสายฟ้าแล่นไปตามแนวขอบของเมฆ พวกมันส่อแววประกายสายฟ้าน่ากลัวเป็นที่สุด มันเหมือนกำลังร้องคำรามทั่วทั้งท้องฟ้า บดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หรือแม้กระทั่งแสงสว่างจากทวยเทพก็ส่องผ่านมาไม่ได้

     

    เสียงฟ้าผ่าพร้อมบรรยากาศที่น่าหวาดหวั่นพาให้ผู้คนธรรมดาทั่วไปหลบเข้าไปในบ้านพร้อมสวดอธิษฐานต่อเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ สรรพสัตว์หมอบคลานอยู่กับพื้นดินไม่กล้าส่งเสียงหรือวิ่งหนี พวกมันตัวสั่นสะท้านเพราะรู้สึกไร้กำลังต่อสวรรค์ที่กำลังอาละวาด

     

    มันเป็นวันที่น่าหวาดกลัวที่สุดในชีวิตของหลายคน มันจะถูกจดจำและเป็นตำนานเรื่องเล่าขานอีกนานเท่านาน หมู่เมฆรวมตัวยาวนานสามวันสามคืนก่อนจะปล่อยปะจุพลังงานมหาศาลพร้อมส่งสายฟ้าที่อันตรายสุดขั้วออกมา

     

    "เปรี้ยง!!"

     

    เสียงสายฟ้ากระทบกับบางสิ่งในโลกที่ไม่อาจรู้สถานที่แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตามทันทีที่สายฟ้าถูกปลดปล่อยพลังงานในหมู่เมฆก็หายไปหมดสิ้น พวกมันแยกตัวสลายออกไปด้วยความเร็วที่ตาเปล่าก็สามารถรับรู้ได้ มันเร็วจนเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น

     

    สามวันนั้นสร้างความหวาดกลัว หวาดวิตก ระแวง และฉงนสงสัยแก่ผู้คนทั้งหมดในโลก อย่างไรก็ดีไม่มีใครรู้คำตอบ ไม่รู้ว่าสายฟ้าฟาดลงที่ใด ไม่รู้ว่าพวกมันรวมตัวด้วยเหตุผลอะไร บ้างก็ว่าเหล่าทวยเทพโกรธแค้น บ้างก็ว่าตักเตือน หรือกระทั่งมีคนกล่าวว่าได้มีทวยเทพลงมาจุติ แต่แท้จริงไม่มีใครรู้บทสรุปนั้น

    .

    .

    .

    10 ปีผ่านไปแล้ว เหมือนชั่วพริบตาจากช่วงเวลานั้น

     

    ชายหนุ่มนามเอลวิส ก็มีอายุอานามได้ 10 ปีพอดี ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เขาจะได้รับการตรวจสอบคุณสมบัติทางเวทย์มนต์ว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติธาตุหรือไม่ 

     

    เอลวิสคือเด็กหนุ่มผู้เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง รูปร่างผอมแต่ไม่มากเกินไป หน้าตาจัดว่าอยู่ในระดับสูง ผมสีเทาผสมกับดวงตาสีมรกตดูน่าหลงไหล ปู่ของเขาเป็นเอิร์ลให้กับอาณาจักรอครีเวีย ภักดีต่อราชวงศ์หนึ่งเดียวที่มีนามว่า ครีเวีย

     

    ตอนนี้เขากำลังถูกแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยสง่างามสมกับเป็นบุตรหลานแห่งชนชั้นสูง ซึ่งคนที่แต่งตัวให้คือมารดาของเขาเอง เธอมีชื่อว่าดาเรีย ภายในห้องไม่ได้ดูสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้ดูย่ำแย่ขนาดไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ มันประกอบไปด้วยเตียงธรรมดา ตู้เก็บเสื้อผ้า และของใช้ที่พึงจะใชั  ผนังถูกทับด้วยสีขาวปนทองมีลวดลายดูงามสง่าเล็กน้อย หากแต่ขาดซึ่งมณีเพชรพลอยตกแต่งให้ดูส่อประกายเฉกเช่นชนชั้นสูงอื่นๆ

     

    แต่เอลวิสไม่ได้สนใจมากนัก เขาดูโตเกินกว่าวัย เข้าใจในทุกสิ่งได้ง่ายดาย เรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้อย่างแท้จริง

     

    แต่อันที่จริงแล้วเขามีความลับที่ไม่เคยบอกใคร แม้แต่กับมารดาของเขาเองก็ตาม

     

    เอลวิสหรือนามเดิมมู่เฟิง ผู้ฝึกตนที่กำลังศึกษาการฝึกเพื่อเป็นเซียนในอีกโลกหนึ่ง และที่ใช้คำว่า"กำลัง" เพราะเขายังไม่ได้เริ่มฝึกเลยนะสิ กำลังนั่งอ่านตำรับตำราอยู่ในหอสมุดของสำนัก แต่อยู่ๆมีอุกกาบาตพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้าที่ไหนไม่รู้ มันมีขนาดเท่าก้อนหัวแม่มือเท่านั้น แต่กลับพุ่งทะลุหัวของเขาตายคาที่ทันที

     

    ช่างเป็นการตายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าสลดเวทนา แถมเขายังตายตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งยังไม่ได้เริ่มกระทำตามความฝันของตนเอง นั้นคือการเป็นเซียนนั้นเอง

     

    อย่างไรก็ดีเมื่อแปดปีก่อนเขาพบว่าตัวเองเริ่มมีสติขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนพึ่งตื่นจากการนิทราที่เป็นนิรันดร์ แต่เขากลับพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเด็กสองขวบ ถ้ากล่าวตามจริงมันไม่ใช่การสิงร่าง หรือยึดร่าง แต่เป็นเพราะเขาพึ่งจะได้สติมากกว่า ความทรงจำเดิมไม่มี ไม่มีวิญญาณอื่นในร่าง ร่างนี้เป็นของเขาอย่างแท้จริง

     

    มู่เฟิงยอมรับตัวตนใหม่ในฐานะ "เอลวิส"

     

    ตายไปแล้วก็ช่างมัน แต่ชาตินี้ต้องเริ่มใหม่ เมื่อยังมีชีวิตทำได้แค่เดินหน้าเท่านั้น

     

    ต้องรู้ก่อนว่าในโลกแห่งนี้เวทย์มนต์มีคุณสมบัติธาตุเป็นของตัวเอง คนส่วนใหญ่จะครอบครองเพียงหนึ่งธาตุเท่านั้น 

     

    ซึ่งธาตุทั่วไปของเวทย์มนต์มี ไม้ ลม น้ำ และไฟ 

     

    และมีธาตุพิเศษคือ ธาตุแสง และธาตุแห่งความมืด ซึ่งหาผู้ครอบครองได้ยากที่สุด

     

    วันนี้เป็นที่เอลวิสจะได้รู้ธาตุของตน แต่ก่อนจะทดสอบเด็กหนุ่มอดถามคนที่อยู่ข้างๆของตนไม่ได้

     

    "ท่านแม่หากข้าไม่ได้มีคุณสมบัติสมบัติธาตุใดเลย ข้าจะสามารถฝึกฝนพวกมันได้รึเปล่า"

     

    "ได้สิจ๊ะ ในโลกนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ถูกเลือก และไม่ใช่ทุกคนจะได้รับคุณสมบัติแสนวิเศษ แต่ละคนได้ธาตุของพวกเขามาแตกต่างกัน บางคนพลังธาตุเกิดมาพร้อมพวกเขา ซึ่งคนเหล่านี้เป็นผู้ถูกเลือกให้แข็งแกร่งและยืนอยู่เหนือผู้อื่น แต่กลับบางคนไม่มีธาตุติดตัวมาเลยก็มีมาก พวกเขาใช้หลายวิธีในการให้ได้มาซึ่งพลังธาตุ บางคนก็อ้อนวอนต่อทวยเทพ บัางก็บูชาแลกกับบางสิ่ง"

     

    "แล้วพลังของพวกเขาละครับ ท่านแม่"

     

    "แข็งแกร่งอ่อนแอตัดสินไม่ได้ บ้างก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ บ้างก็อ่อนแอจนแทบทำอะไรไม่ได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง"

     

    มารดาของเอลวิส หรือมาเรีย ลูบหัวบุตรชายอย่างอ่อนโยน แววตาส่งไปบอกว่าไม่ต้องกังวลมากเกินไป และเธอเชื่อว่าบุตรชายของเธอเข้าใจสายตานี้

     

    เอลวิสหยักหน้าตอบ เขาเข้าใจที่แม่ของเขาพยายามจะบอก จึงไม่ได้ซักไซร้เพิ่มเติม

     

    เท่าที่เขาอ่านหนังสือมาตลอดช่วง3-4ปีมานี้ อัตราส่วนของคนที่ใช้เวทย์มนต์ได้คือ 1:10 หรือในสิบคนจะใช้ได้หนึ่ง และผู้ที่ใช้ได้นั้นจะมีธาตุประจำตัวไหมคือ  50:50 หรือครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งตามการวิจัยของราชวงศ์ ยิ่งพ่อแม่หรือสายเลือดของเขาเก่งหรือมีพลังมาก่อน รุ่นลูกรุ่นหลานโอกาสในการเป็นผู้ใช้เวทย์จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

     

    ชนชั้นสูงจึงกุมอำนาจมาตลอด และจะยิ่งกุมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะสายเลือดของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เพราะได้รับโอกาส และการฝึกสอนที่ดีกว่าคนทั่วไป

     

    ยิ่งราชวงศ์นั้น โอกาสการเป็นผู้ใช้เวทย์ของสายเลือดราชวงศ์คือ 100% ทำให้ราษฎรในอาณาจักรนับถือเสมือนพวกเขาคือทวยเทพลงมาจุติแล้วด้วยซ้ำ เป็นเหมือนตัวตนที่เหล่าประชาชนเคารพบูชา 

     

    ช่างสูงส่งและไกลเกินเอื้อมถึง

     

    ซึ่งสถานที่ที่เอลวิสต้องไปในการตรวจสอบพลังธาตุคือราชวังนั้นเอง 

     

    เพราะในอดีตทางราชสำนักได้ประกาศกฎนี้เมื่อสามสิบปีที่แล้วว่า

     

    "บุตร หรือบุตรี ของชนชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรอครีเวีย ตั้งแต่บรรดาศักดิ์บารอนขึ้นไป ต้องส่งบุตรหลานผู้มีความสามารถในการใช้เวทย์มนต์มารับการตรวจสอบพลังธาตุที่ราชวังเมื่ออายุครบสิบปีบริบูรณ์ หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษถอดยศบรรดาศักดิ์ ริบทรัพย์สมบัติทั้งหมด"

     

    ในช่วงแรกชนชั้นสูงหลายตระกูลไม่พอใจ แต่หลังเหตุการณ์"กวาดล้างตระกูลเอิร์ล" ผู้คนตายทั้งตระกูลไม่เว้นแม้เด็กหรือคนชรา ก็ทำให้ตระกูลอื่นๆสงบไป

     

    หลายคนคาดการณ์ว่าที่ราชวงศ์ทำแบบนี้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่วนกฎนี้มีไว้ทำไม ครั้งนึงเคยมีผู้อาวุโสจากตระกูลดยุคกล่าวว่าเป็นการป้องกันตระกูลต่างๆซ่องซุ่มกำลังคนโดยไม่บอกทางราชวงศ์ หรือกล่าวโดยสรุปว่าป้องกันการถูกทรยศนั้นเอง



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×