ด้วยความที่เราต่างยังไม่ได้ผละออกไปไหน ริมฝีปากจึงสัมผัสกันไปมาในทุกครั้งที่ทราวิสขยับปากพูด ข้าหัวเราะในลำคอเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “เก็บคำขอบคุณของเจ้าไว้เถอะ แม้แต่ข้าเองยังประหลาดใจเลยที่ยอมฝ่าฝืนคำสาบานของตัวเองเพื่อซ่อมดาบให้เจ้า...ทั้งที่ข้าก็ไม่ใช่คนสนใจความรู้สึกคนอื่นขนาดนั้น”
หากจะให้พูดตามตรงคือความจริงแล้วข้าไม่ได้เพื่อทราวิส แต่ทำเพื่อตัวข้าเองเสียมากกว่า เพราะการได้เห็นอีกฝ่ายเศร้าโศกเสียใจที่สูญเสียของรักไป มันทำให้ข้ารู้สึกหดหู่ไปด้วย ข้าจึงตัดสินใจซ่อมดาบให้เขาเพื่อที่ทราวิสจะได้กลับมาร่าเริงสดใสเหมือนเดิมและข้าก็จะได้เลิกรู้สึกเหี่ยวเฉาแบบเมื่อคืนด้วย เรียกได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
แต่ให้ตายเถอะ...คนอย่างข้าใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้อนี้ข้าไม่เข้าใจจริงๆ
“เจ้าเป็นคนห่วงใยคนรอบข้างมากกว่าที่เจ้าคิด เจเดน” ทราวิสเอ่ยโดยที่ริมฝีปากเรายังคงสัมผัสกันไปมา ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เริ่มกลับมาส่องประกายสดใสอีกครั้ง “เจ้าแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง”
“..เจ้าพูดราวกับรู้จักข้ามากกว่าที่ข้ารู้จักตัวเองอย่างไรอย่างนั้น” ข้าแกล้งงับริมฝีปากล่างที่บวมเจ่อแล้วดึงจนมันยืดติดมาตามแรง ก่อนจะปล่อยให้ริมฝีปากตรงหน้าเป็นอิสระในที่สุด
“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ถูกนัก” ทราวิสหัวเราะคิกคักแล้วจูบเบาๆที่ปลายคาง “แต่พึงรู้ไว้ ว่าถึงแม้เจ้าจะดูเห็นแก่ตัวและไม่สนโลกในสายตาคนอื่น แต่สำหรับข้า...เจ้าเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมากที่สุดคนหนึ่งเลยล่ะ”
“ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน หืม?”
“เอาเป็นว่าข้าเคยเห็นมุมน่ารักๆของเจ้ามาหลายครั้งก็แล้วกัน” อีกฝ่ายยักคิ้วให้ด้วยรอยยิ้มกวนประสาทจนข้าต้องฟาดเบาๆบริเวณบั้นเอวอีกฝ่ายเพื่อเป็นการเอาคืน ทราวิสหัวเราะออกมาจนดวงตาหยีลงเป็นรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว
ภาพตรงหน้าดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูกจนทำให้ข้ายิ้มบางๆออกมาโดยอัตโนมัติ...และเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างไม่รู้ตัว
บางทีข้าก็สงสัยนะ...ว่าทราวิสมีเวทมนตร์ที่จะทำให้คนรอบข้างหุบยิ้มไม่ได้หรือเปล่า เพราะถ้าใช่ ตอนนี้ข้าก็กำลังตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาปของเขาแล้วล่ะ
“นี่..” คนเป็นเจ้าชายเอ่ยขึ้น ฝ่ามือนุ่มลูบไปมาบริเวณแผลเป็นบนโหนกแก้มซ้ายของข้าไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “ต่อไปเมื่อเจ้าจะหาคู่ครอง เจ้าต้องเลือกคนที่รักเจ้าเหมือนที่ข้ารักมาเป็นภรรยานะ”
ข้าขมวดคิ้ว “ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องนี้”
“ข้าก็แค่อยากแน่ใจ...แน่ใจว่าสตรีคนนั้นจะทำให้เจ้ามีความสุขและไม่มีวันทำให้เจ้าเสียใจ” ทราวิสเอ่ยก่อนย่นจมูกอย่างไม่พอใจ “ไม่งั้นข้าจะไปตัดหัวมันแล้วเอาไปให้เดซี่กินแทนแครอทซะ”
“..นึกว่าเจ้าจะอยากเป็นภรรยาเสียเองซะอีก”
อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง “ก็อยากนะ อยากมากๆเลยล่ะ แต่กระนั้นข้าก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงที่ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไม่สามารถเป็นไปตามที่ข้าต้องการได้หมดหรอก”
“.............”
“ข้าไม่อยากคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่าคงไม่มีวันเป็นคนในใจเจ้า” เจ้าตัวส่งยิ้มละมุนให้จนคนมองหัวใจพองโต “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าสงสารหรือรู้สึกแบบเดียวกับข้าหรอก...แค่ได้เห็นเจ้ามีความสุขก็เพียงพอแล้ว”
โดยทั่วไปเมื่อมนุษย์หลงรักใครสักคน คนเรามักจะแอบคาดหวังไว้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ความรักของทราวิสมันมาจากใจที่บริสุทธิ์ เป็นรักที่ไม่มีเงื่อนไขและไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้ว่ามันจะเป็นความรักชั่วคราวที่เกิดขึ้นเพราะยาของพ่อมดงี่เง่า...แต่ข้าก็เริ่มจะรู้สึกซาบซึ้งกับมันเสียแล้ว
สักวันหนึ่ง...ข้าจะสามารถรักใครได้แบบนี้ไหมนะ
เวลาผ่านไปสามวัน..
ตลอดสามวันที่ผ่านมาพวกเราเดินทางกันอย่างปลอดภัย...ถ้าไม่นับว่าโดนฝูงไลแคนท์ไล่ฆ่ากับโดนกระทิงปีศาจไล่ขวิดอยู่หลายครั้งน่ะนะ เมื่อวานก็เกือบจะโดนพวกมันฉีกเป็นชิ้นๆแล้วหากไม่หนีไปได้ทัน...และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องวิ่งหนีจางจุกตูดมาหลบอยู่ในถํ้ามืดๆแบบนี้ จากนั้นเราต่างก็หมดสติกันไปอย่างหมดสภาพทันทีหลังจากที่วิ่งมาเป็นเวลานาน
คำเดียวสั้นๆ เหนื่อย!!!!
ภายในถํ้าลึกสุดลูกหูลูกตาที่มีทางเดินคดเคี้ยววังเวง กองไฟที่ถูกก่อขึ้นเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้ถํ้าอันมิดมิดเริ่มจะมอดลง หากไม่รีบจุดไฟ ค้างคาวผีดิบที่ซ่อนอยู่ในถํ้าอาจจะมาจู่โจมแบบเมื่อคืนอีกก็ได้ ทราวิสจึงใช้ด้ามดาบทุบไปบนผนังถํ้าที่ขรุขระเพื่อกะเทาะก้อนหินลงมาสองก้อน ก่อนจะใช้ก้อนหินพวกนั้นกระทบเสียดสีกันไปมาเรื่อยๆอย่างเงอะงะตามประสาชนชั้นสูงที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ผ่านไปครู่ใหญ่มันก็เกิดประกายไฟเล็กๆขึ้นมาแต่กลับไม่มีท่าทีว่าไฟจะติดไปมากกว่านั้น เจ้าตัวย่นจมูกแบบที่ชอบทำเวลาถูกขัดใจ ก่อนจะปาก้อนหินออกไปไกลๆเมื่อไม่สามารถจุดไฟได้ การกระทำเหมือนเด็กๆทำให้ข้าที่นั่งชันเข่าพิงผนังถํ้าอยู่อมยิ้ม
หึ...หน้างอเหมือนแมวหน้าบึ้งเลย
“ใช้หินกระทบกันแบบนั้น มีโอกาสน้อยมากนะที่ไฟจะติด”
องค์ชายพรูลมหายใจออกมาก่อนทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามข้าโดยมีกองไฟกั้นกลางระหว่างเรา “แล้วจะให้ข้าทำไงล่ะ...เศษฟืนในถํ้าก็ใช้ไปหมดแล้ว จะหาของมาสุมไฟก็ไม่มี”
ข้าไม่พูดอะไรต่อนอกจากมองชุดคลุมสีฟ้าประจำตัวของทราวิสที่เริ่มจะขาดวิ่นจนเผยให้เห็นต้นแขนข้างขวา อักขระสาปบนนั้นขยายใหญ่ขึ้นไปตามกาลเวลาจนตอนนี้ลุกลามมาถึงศอก และอีกไม่กี่วันก็คงจะลามไปทั่วทั้งแขน
พิษของอักขระสาปสูบเรี่ยวแรงของทราวิสไปมากพอสมควร ยิ่งมันรุนแรงขึ้นร่างกายเขาก็ยิ่งทรุดลง สองสามวันมานี้ที่ต้องใช้แรงต่อสู้และหนีเอาตัวรอดไปเยอะพอสมควรทำให้ทราวิสเพลียหนักกว่าเดิม ใบหน้าของเขาซีดลงกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้าตัวกลับไม่เผยสีหน้าหรือท่าทางที่แสดงออกถึงความทรมานให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีบ้างที่ข้าแอบสังเกตเห็นทราวิสกำชุดคลุมแน่นจนเนื้อผ้าแทบขาดราวกับกำลังกัดฟันทนความเจ็บปวดอยู่
..คงไม่อยากใช้ยาเพราะคิดว่าเปลืองอีกล่ะสิท่า
คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา แม้ว่าเขาจะเป็นคนย้ายพิษอักขระสาปไปไว้บนร่างกายเพื่อช่วยข้าด้วยตัวเอง...แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายต้องมาทนเจ็บแบบนี้
ข้าควรจะทำอะไรสักอย่างกับมันอย่างจริงจังเสียที..
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้วหลังจากที่เราเข้ามาในโลกของปีศาจ เสบียงกับยารักษาที่พกมาค่อยๆลดหายลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา ยิ่งอยู่ไปเรื่อยๆก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
ข้าไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาใช้ชีวิตในสถานที่อันตรายเช่นนี้ ชีวิตข้าก็ไม่เคยปลอดภัยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...แต่สำหรับคนที่ไม่เคยลำบากอย่างทราวิสมันไม่ใช่แบบนั้น
เชื้อพระวงศ์เติบโตมาท่ามกลางความสะดวกสะบาย เกิดมาก็มีคนรองมือรองเท้า ชี้นิ้วสั่งอะไรได้ตามต้องการราวกับเสกได้ ชีวิตไม่เคยเข้าใกล้คำว่าลำบาก มันจึงทำให้ข้าประหลาดใจไม่น้อยที่ทราวิสมีความอดทนสูงถึงเพียงนี้ แม้จะต้องทนอดมื้อกินมื้อเพื่อประหยัดเสบียง ต้องนอนบนพื้นดินแข็งๆที่สกปรก ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่มีหยุดตลอดทาง ซํ้ายังต้องมาทนแผลอักขระสาปบ้านี่อีก แต่ทราวิสก็ไม่เคยปริปากบ่นสักคำที่ต้องมาทนลำบากกับข้าเช่นนี้
หากนี่เป็นทราวิสจอมหยิ่งคนเดิม...ป่านนี้คงตรอมใจตายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในป่ามรณะแล้ว
เสียงลมเย็นๆที่พัดเข้ามาในถํ้าชวนให้ขนลุกทำเอาทราวิสกระชับเสื้อคลุมสีฟ้าแน่น ลมหายใจถูกพ่นออกมาเป็นควันสีขาวขุ่นลอยในอากาศ เจ้าตัวก้มหน้าถูฝ่ามือไปมาเพื่อสร้างแรงเสียดสีให้มืออุ่นขึ้น เห็นแบบนั้นข้าจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือไปอย่างกล้าๆกลัวๆหมายจะจับมืออีกฝ่ายเพื่อช่วยให้อุ่นกว่าเดิม
ให้ตายเถอะ! กับแค่จับมือกับผู้ชายอีกคนเอง ทำไมข้าต้องประหม่าด้วยนะ
แต่ก่อนที่มือข้าจะได้แตะมือเรียวนุ่มๆตรงหน้า เสียงฝีเท้าของอะไรบางที่ดังออกมาจากปากถํ้าที่กำลังวิ่งเข้ามาในนี้ก็ทำให้ข้าชักมือกลับแทบจะในทันที เราสองคนลุกขึ้นพรวดอย่างว่องไวตามสัญชาตญาณ ทราวิสตั้งท่าจะวิ่งหนีลึกเข้าไปในถํ้าเพื่อหลบซ่อนแต่โดนข้าหยุดไว้
“ฟังจากเสียงฝีเท้าที่มีนํ้าหนักไม่มาก...ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ปีศาจที่ยากจะจัดการหรอก”
ทราวิสฟังข้อสันนิษฐานของข้าแล้วมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ เขาใช้มือกำด้ามดาบที่เสียบไว้ตรงเอวแน่นเพื่อรอเวลาปะทะกับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา ส่วนข้าก็หยิบลูกศรสีดำในกระบอกธนูที่สะพายหลังไว้ออกมาพร้อมกับคว้าคันธนูสีเดียวกันที่วางบนพื้นขึ้นมาด้วย ข้าพาดศรไปบนคันธนูแล้วออกแรงง้างสายธนูค้างไว้ ปลายลูกศรคมกริบที่ได้มาจากโรงตีดาบวันนั้นเล็งไปยังปากถํ้าเพื่อรอเวลาปล่อยตัว
แต่แล้วสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นก็ดันเกิดขึ้นจนได้..
สิ่งที่เข้ามาในถํ้านี้ไม่ใช่ค้างคาวผีดิบ ไม่ใช่ไลแคนท์ ไม่ใช่เสือดำแมงป่อง ไม่ใช่อสูรอัปลักษณ์ ไม่ใช่กระทิงปีศาจน่ากลัว แต่เป็น..
“โฮ่ง!!!!!”
..อะไรที่น่าสยองกว่านั้นมาก
ข้ารู้สึกว่าขนบนผิวหนังตามทุกซอกทุกมุมของร่างกายตั้งชันขึ้นมาในบัดดล มือที่กำลังง้างธนูสั่นระริกไปมา เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาจากกรอบหน้าทั้งที่อุณภูมิเย็นจัด ข้าเข้าใจความรู้สึกอยากกรี๊ดแบบผู้หญิงขึ้นมาทันใด ดวงตาสีเขียวเบิกค้างตาไม่กะพริบเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง ในขณะที่ทราวิสทำเพียงผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสุนัขสีดำตาแดงวิ่งเข้ามา ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อะไรกัน...ก็แค่น้องหมาเอง โล่งอกไปที”
นั่นมันสิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุกที่สุดในโลกเชียวนะ มันน่าโล่งอกตรงไหนกัน!!!?
เจ้าสุนัขขนาดไม่เล็กใหญ่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำร้ายเรา มันทำเพียงวิ่งเข้ามาดมฟุดฟิดบริเวณรองเท้าบูทหนังของทราวิส ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วส่งยิ้มให้มนุษย์ตรงหน้าอย่างเป็นมิตรด้วยเขี้ยวแหลมๆน่าสยองของมัน ดวงตาสีแดงฉานเรืองแสงในที่มืดจนดูน่ากลัวกว่าเดิม
“โห...น่าเอ็นดูจัง”
น่าเอ็นดูบ้านบิดาเจ้าสิ!!!
ทราวิสย่อตัวลงมาใช้ฝ่ามือเรียวนุ่มลูบไปมาบนศรีษะของสุนัขปีศาจด้วยรอยยิ้มสี่เหลี่ยม เห็นแบบนั้นไอ้หมาดำนั่นก็ยิ่งได้ใจจนกระดิกหางไปมาอย่างอารมณ์ดี
“ทราวิส..” ข้ากดเสียงตํ่าลงกว่าเดิมเพื่อพยายามไม่แสดงออกว่ากำลังกลัวจนไข่สั่น “อย่าไปยุ่งกับมัน”
คนถูกสั่งหันมามองตาแป๋ว เจ้าตัวอุ้มสุนัขสีดำขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะใช้มือเกาคางมันจนเจ้าหมาหลับตาพริ้ม “แต่เจ้านี่ไม่มีท่าทีว่าจะทำร้ายข้าเลยนะ ดูสิ...น่ารักจะตาย”
“ไม่!! ห้ามใช้คำนั้นกับสุนัขเด็ดขาด มันน่าขนลุก!” ข้าตวาดเสียงแข็งจนเสียงดังก้องในถํ้า “พวกมันไม่ใกล้เคียงคำนั้นเลยสักนิด ทีนี้ก็ปล่อยมันลงได้แล้ว!”
รอยยิ้มกว้างจนตาหยีหุบลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทราวิสเบะปากลงแบบที่เจ้าตัวชอบทำเวลาโดนดุจนหงอย หากแต่เจ้าตัวสีดำๆในอ้อมแขนกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ดวงตาสีแดงน่ากลัวค่อยๆหันมามองข้าพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่
และก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้ารู้ตัวว่าซวยแล้ว..
“กรรรรร์!!”
“เฮ้ย!!!!”
สิ่งมีชีวิตน่าเกลียดน่ากลัวกระโจนเข้าใส่ข้าจนต้องหลุดร้องออกมาด้วยดวงตาที่เบิกโตอย่างไม่ทันตั้งตัว วินาทีนั้นเส้นผมสีแดงบนหนังหัวแทบตั้งชันขึ้นมาด้วยความกลัว สัญชาตญาณป้องกันตัวที่สั่งสมมานานทำให้ข้าใช้คันธนูฟาดไปบนศรีษะมันในจังหวะที่กระโจนเข้ามาหาทันที เจ้าหมาดำกระเด็นออกไปไกลจากแรงที่ไม่น้อย ก่อนจะโดนเตะเสยคางซํ้าอีกทีจนมันร้องเอ๋งแล้วล้มลงไปกองกับพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงไม่ถึงวินาทีทำให้ทราวิสได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆด้วยตาที่เบิกโพลงอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“เจเดน!! เจ้าทำแบบนั้นทำไม!?” พอตั้งสติได้เจ้าตัวก็เริ่มโวยวายทันที เขาไม่ได้ใช้นํ้าเสียงที่แข็งกร้าวที่ดูโกรธ แต่ทราวิสโวยวายด้วยเสียงเหมือนเด็กงอแงเสียมากกว่า องค์ชายคนเล็กแห่งวอลธีเรียรีบสาวเท้าไปนั่งยองเพื่อตรวจดูอาการของสุนัขปีศาจที่นอนลิ้นห้อยอยู่อย่างไม่เป็นท่า ก่อนที่มันจะค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยขาทั้งสี่ข้างอย่างโซซัดโซเซ มันสะบัดหน้าไปมาอย่างแรงอยู่สามสี่ครั้งเพื่อไล่อาการมึนออกไป ทันทีที่กลับมาทรงตัวได้เหมือนเดิม ดวงตาสีแดงก็จ้องมายังข้าอย่างอาฆาตพยาบาท เสียงคำรามของมันทุ้มตํ่ากว่าเดิมจนเหมือนเสียงราชสีห์มากกว่าหมาธรรมดา
เอาแล้วไง...หาเรื่องใส่ตัวชัดๆเลยเจเดนเอ๊ย
เจ้าสุนัขหรือก็คือสิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแห่งการสูญพันธุ์ร้องคำรามเตรียมจู่โจม ข้าจึงใช้ลูกศรเหนี่ยวสายธนูทันทีพร้อมกับจ้องมันกลับเพื่อเป็นการบอกว่าสู้ทั้งที่หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว เป็นจังหวะนั้นที่มันกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เจเดน! อย่ายิงนะ!!”
'ฉึก!'
แต่ก่อนที่ทราวิสจะห้ามได้ทัน ศรสีดำก็ถูกปล่อยออกจากคันธนูแล้วพุ่งไปหาสุนัขปีศาจอย่างแรงจนมองตามไม่ทัน ลูกศรปักลงตรงลำคอด้านหน้าของมันพอดี ทราวิสเบิกตากว้างเตรียมแหกปากกรีดร้อง หากแต่แทนที่เจ้าหมาสีดำที่โดนยิงจะสลายหายไปเป็นควัน มันกลับก้มหน้าลงแล้วใช้ฟันคมๆงับลูกธนูที่ทำจากเหล็กออกจากคอ ก่อนจะเคี้ยวลูกศรดังกรุบกรับแล้วกลืนลงคอราวกับกินแครกเกอร์
“.............”
ข้ากับทราวิสได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ความจริงเราสามารถชักดาบออกมาตัดหัวมันได้ภายในเวลาไม่นาน ข้าเองก็สังหารตัดชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ใหญ่ หากแต่ตอนนี้ร่างกายข้าเหมือนถูกแช่แข็งไปทุกส่วนจนไม่สามารถขยับตัวได้เพียงเพราะน้องหมาตัวเดียว
ให้ตายเถอะ...ชีวิตข้าจะมีอะไรน่าอับอายไปกว่านี้อีกไหม!?
หลังจากที่เจ้าหมาเลวกลืนลูกธนูเหล็กเข้าไปแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอใจ สีขาค่อยๆย่องเข้ามาหาข้าเรื่อยๆในขณะที่ข้าเองก็ก้าวถอยหลังหนี ทราวิสได้แต่กะพริบตาปริบๆมองมนุษย์กับสุนัขที่กำลังทำสงครามกันผ่านสายตา เจ้าหมาเฮงซวยก้าวเข้ามาหาเรื่อยๆโดยที่ข้าก็เดินถอยหลังต่อไป ก่อนที่จะเร่งมันความเร็วขึ้นจนกลายเป็นว่าตอนนี้ข้ากำลังถูกหมาไล่กัดก้นอยู่
“ไอ้หมาเฮงซวย!! ไอ้สัตว์เดรัจฉาน! บอกให้หยุดตามไง!” แม้ว่าขาจะออกแรงวิ่งลึกเข้าไปในถํ้ามืดๆอย่างแรงดีไม่มีตก ข้าก็ไม่วายหันไปตวาดใส่สิ่งมีชีวิตที่เกลียดแสนเกลียดด้านหลัง มันยังคงเห่าใส่ไม่หยุดโดยมีทราวิสคอยวิ่งตามอยู่ด้านหลัง เจ้าตัวพยายามตะโกนเรียกหมาเฮงซวยเพื่อหยุดมันไว้แต่ก็ไม่เป็นผล
“เฮ้!! หยุดไล่เขาซะที นั่นว่าที่สามีข้านะ!!”
ถึงจะอยากด่าใจแทบขาด...แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่จะไปทำอะไรแบบนั้น
ในขณะที่กำลังสับขาวิ่ง เจ้าหมางี่เง่าก็แยกร่างแตกหน่อออกเป็นสองตัว จากสองแตกเป็นสาม จากสามเป็นสี่ จากสี่เพิ่มเป็นห้า จนตอนนี้มีสุนัขสีดำที่ไล่ตามข้าทั้งสิ้นสิบเอ็ดตัวแล้ว
แม่เจ้า...นี่มันฝันร้ายชัดๆ
เสียงฝีเท้าของมนุษย์สองคนและสุนัขปีศาจสิบกว่าตัวดังกึกก้องถํ้า ยิ่งวิ่งลึกเข้าไปในถํ้าก็ยิ่งมีเส้นทางที่คดเคี้ยวกว่าเดิม มันมีหลายเส้นทางและแต่ละทางก็คดโค้งจนข้าเวียนหัว แต่ตอนนี้ข้าก็ดันคิดอะไรไม่ออกนอกจากวิ่งหนีไปให้ไกลเจ้าหมาเฮงซวยนี่ให้ไกลที่สุด ความกลัวผสมแตกตื่นทำให้สมองไม่สามารถคิดแผนใดๆออกมาได้ทั้งที่ปกติฉลาดเป็นกรด
เหนือคนทั่วไปยังมีข้า...เหนือข้ายังมีสุนัข
นี่เป็นสาเหตุที่ข้าเก็บเรื่องจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวนี้เป็นความลับจากทุกคนมาเป็นเวลาสิบกว่าปี...เพราะไม่งั้นคงมีใครใช้หมามากำราบข้าเป็นแน่ และก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะเป็นทราวิสผู้หยิ่งยโสคนนั้น
ข้าพยายามหลับตาตั้งสติโดยที่ไม่ได้ชะลอฝีเท้าลง ก่อนที่เปลือกตาสีไข่มุกจะเปิดขึ้นด้วยสายตาที่เรียบนิ่งกว่าเดิม ถ้าข้ายิงธนูใส่อีกก็คงจะเป็นการป้อนอาหารไปให้พวกมันเสียเปล่าๆ ถ้าหันหลังกลับไปใช้ดาบสู้กับพวกมันก็คงจบ...แต่ทราวิสจะโกรธไหมนะหากข้าฆ่าเจ้าพวกนี้ เจ้าตัวยิ่งถูกใจหมาเฮงซวยนี่เป็นพิเศษอยู่ด้วย
แต่เอ๊ะ...แล้วข้าจะกังวลทำไมว่าจะโดนทราวิสงอนหรือเปล่า เขาจะรู้สึกยังไงมันก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้าอยู่แล้วนี่
ข้าสะบัดไล่ความคิดนั้นออกไปก่อนจะตั้งสมาธิอีกครั้ง ดวงตาสีมรกตเหลือบขึ้นไปมองเพดานถํ้าที่มีหินย้อยงอกลงมาจำนวนมากแล้วคิดแผนได้ทันที ข้าเร่งความเร็วในการวิ่งจนทิ้งระยะห่างมาอีกนิด ก่อนจะเบรคหยุดยืนกะทันหันแล้วหันหลังกลับไปประจันหน้ากับสิ่งที่ไม่ค่อยอยากจะเห็นเท่าใดนัก
ข้าหยิบศรออกมาจากกระบอกธนูแล้วนำมาง้างกับสายธนูอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว มือขวาเหนี่ยวสายธนูค้างไว้อย่างนั้นเพื่อรอจังหวะ ลมหายใจถูกสูดเข้าเต็มปอด ข้าพยายามรักษาสีหน้าให้เรียบนิ่งเพราะครั้งนี้จะยิงพลาดไม่ได้ ดวงตาสีมรกตหรี่ลงข้างหนึ่งเพื่อเล็งเป้าหมาย ปลายศรเหล็กสีดำชี้ไปยังหมาบ้าตัวหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยว ดวงตาสีแดงของมันดูจะดุร้ายกว่าเดิมเมื่อโดนลูกศรเล็งอีกครั้ง
แต่ใครบอกล่ะว่าข้าจะยิงหมา..
ศรถูกปล่อยตัวออกจากสายธนูอย่างว่องไวจนมองตามไม่ทัน ลูกธนูเหล็กแหวกอากาศไปด้วยความเร็วสูงก่อนจะปักลงบนชายชุดคลุมสีฟ้าภายในเสี้ยววินาที ทราวิสเบิกตากว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ศรแหลมคมทะลุชุดคลุมจนเป็นรูแล้วปักลงบนผนังถํ้าข้างตัว ส่งผลให้ทราวิสไม่สามารถวิ่งต่อไปได้เพราะชุดคลุมถูกยึดติดไว้กับผนังหิน เขาไม่ได้ถูกศรปักลงบนผิวหนังจึงไม่ได้เจ็บอะไรแต่ตกใจมากกว่า เจ้าตัวมองหน้าข้าอย่างไม่เข้าใจแต่ข้าก็ไม่ได้มีเวลาอธิบาย
ลูกศรสามดอกถูกหยิบออกมาง้างกับสายธนูในคราเดียว ครั้งนี้ข้าออกแรงเหนี่ยวสายธนูมากกว่าเดิมเพื่อที่ศรจะได้ออกตัวแรงกว่าครั้งก่อน ข้าง้างสายธนูที่กำลังชี้ลูกศรไปยังสุนัขปีศาจไว้เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกมัน ฝูงสัตว์สี่ขานับสิบกว่าตัววิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆในทุกวินาที มือหนาออกแรงดึงสายธนูเข้าหาตัวเองอีกนิดเพื่อเตรียมจู่โจม สีหน้าเรียบนิ่งจริงจังกว่าเดิมในขณะที่ข้าเริ่มนับถอยหลังในใจ
สาม...สอง...หนึ่ง
ข้ายกคันธนูขึ้นสูงแล้วยิงลูกศรเหล็กสามดอกใส่เพดานถํ้าทันที อุโมงค์ถํ้าถึงกับสั่นสะเทือนโดยมีสะเก็ดหินร่วงลงมา ไม่นานนักหินงอกหินย้อยบนเพดานถํ้าจำนวนมากก็ร่วงหล่นลงมาทับสุนัขปีศาจสิบเอ็ดตัวที่กำลังวิ่งมาได้ถูกจังหวะอย่างพอดิบพอดี พวกมันถูกหินหนักๆทับจนค่อยๆสลายหายไปทีละตัว ก่อนจะเหลือเพียงตัวเดียวหรือก็คือร่างหลักของมันที่กำลังนอนสลบอยู่ในกองหิน
หมาหรือควายเนี่ย...ทำไมอึดชะมัด
เศษหินเศษดินจากผนังถํ้าที่ร่วงลงมาลอยฟุ้งเป็นฝุ่นควัน ข้าหอบหายใจจนแผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลซึมบริเวณหน้าผากออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรงจนก้นกระแทกพื้นหินหลังจากที่วิ่งมานาน
ข้ายกมือข้างที่ไม่ได้ถือคันธนูขึ้นมาแบไว้ ไม่นานนักลูกศรสี่ดอกที่ได้ใช้ไปก็ลอยกลับมาอยู่ในมือข้าตามเดิมในพริบตาราวกับมีชีวิต สาเหตุที่เมื่อครู่ข้ายิงทราวิสให้ติดกับผนังไว้ก็เพื่อไม่ให้เขาวิ่งเข้ามาโดนลูกหลงจนต้องถูกหินทับไปด้วย หากตะโกนบอกให้เขาหยุดวิ่งก็อาจทำให้พวกหมาเฮงซวยอ่านเกมออก ข้าไม่ค่อยอยากประมาทสติปัญญาของพวกมันเท่าไหร่ ฉะนั้นการยิงธนูใส่เสื้อคลุมให้ยึดติดกับผนังเพื่อเป็นการหยุดเขาไว้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ดวงตาสีมรกตมองลูกศรกับคันธนูในมือแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในใจนึกขอบคุณมารดาที่สอนข้าให้ยิงธนูจนชำนาญยิ่งกว่าฟันดาบ ไม่อย่างนั้นคงไม่แม่นขนาดนี้ และถ้าเกิดเมื่อกี้ยิงพลาดขึ้นมา...คนที่เจ็บก็ต้องเป็นทราวิสอีกตามเคย
ข้าไม่อยากเห็นเขาเจ็บเลย..
“..มนุษย์หรอ”
เสียงหวานที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ข้ากระชากจี้ดาบออกมาแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะใช้ดาบชี้ไปยังบุคคลด้านหลังที่โผล่มาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงตามสัญชาตญาณ
ทว่าบุคคลที่อยู่ด้านหลังข้าไม่ใช่อสุรกายหรือสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด แต่กลับเป็นสตรีหน้าตางดงามสะสวยผิดมนุษย์ที่กำลังเอียงคออย่างสงสัย ดวงตาสีเทาพายุของนางจ้องเข้ามาในดวงตาข้าอย่างไม่สะทกสะท้านแม้จะโดนดาบจ่ออยู่ที่คอ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนและกำลังถือตะเกียงไว้ในมือเรียวข้างหนึ่ง เส้นผมหยักศกสีคาราเมลปลิวสะบัดเล็กน้อยตามแรงลมเย็นๆ นางก้มลงมองปลายดาบที่จ่ออยู่บนคอขาวแล้วระบายยิ้มออกมา
“กราดเกรี้ยวเชียวนะพ่อคนงาม”
“..ขออภัยที่ล่วงเกิน มันเป็นไปตามสัญชาตญาณ” ข้าเคาะดาบสองสามครั้งก่อนที่มันจะย่อส่วนกลับไปเป็นเพียงจี้สร้อย มือหนาผูกมันเข้ากับสร้ายสร้อยที่คอตามเดิม ก่อนจะนิ่งงันไปเมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้อง จึงเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย “หน้าข้ามีอะไรติดงั้นหรือ”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆด้วยเสียงแหลมสูง “นับว่าเจ้าเป็นมนุษย์ที่หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ”
“แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” ทราวิสที่โผล่มาตอนไหนไม่รู้กอดแขนข้าไว้แน่นพร้อมส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้ฝ่ายหญิงสุดฤทธิ์ นางทำเพียงปรายตามองเขาเล็กน้อยแล้วเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง
“เรื่องของข้าหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับพระองค์เช่นกันองค์ชายทราวิส....ใช่ไหมเจเดน เกรโนเวอร์” ประโยคแรกนางพูดกับทราวิส ส่วนประโยคหลังนางหันมาเอ่ยกับข้าด้วยรอยยิ้มจนคนเป็นองค์ชายหงุดหงิดกว่าเดิม ในขณะที่ดวงตาสีมรกตทำเพียงมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา
เพียงแค่มองปราดเดียวนางก็รู้แล้วว่าพวกเราเป็นใคร...ลักษณะแบบนี้มันคล้ายกับผู้ใช้เวทมนตร์ยิ่งนัก
“เจ้าเป็นใคร”
นางนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มมุมปาก “ในเมื่อเจ้ากล้าถามตรงๆ...ข้าก็จะตอบตามสัตย์จริง”
“.............”
“นามของข้าคือเอเวอร์ลีน...เป็นแม่มดดำ” นางเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลไป เวทมนตร์ข้าไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น...และข้าก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบนำเนื้อมนุษย์มาแล่กินหรอก”
“ใครว่าเรากลัวเจ้ากัน” ทราวิสยังคงมองค้อนใส่นางไม่เลิกจนข้าถอนหายใจ ในขณะที่เอเวอร์ลีนทำเพียงหัวเราะในลำคอเบาๆ
“พวกเจ้าคงจะเหนื่อยกันมาก สนใจไปพักในกระท่อมข้าก่อนไหม”
ข้าผงะไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะชวนกันแบบนี้ ดวงตาสีเขียวเลื่อนไปมองคนข้างกายโดยอัตโนมัติ ทราวิสส่ายหน้าให้รัวๆจนผมปลิว จริงอยู่ที่เราไม่ควรจะไว้ใจใครก็ตามในป่าแห่งนี้ มันเต็มไปด้วยปีศาจผู้ประสงค์ร้ายจนไร้ซึ่งความปลอดภัย ในที่แห่งนี้ไม่มีใครคิดเป็นมิตรกับมนุษย์ มันจึงมีโอกาสสูงมากแม่มดตนนี้จะหลอกเราไปฆ่า ข้าใช้เวลาชั่วครู่ในการคิดทบทวนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ และไม่ว่าจะคิดอีกกี่ครั้งเอเวอร์ลีนก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
แต่ถึงกระนั้น...ข้าก็ตอบไปว่า
“ไปสิ”
ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เบิกโพลงทันทีอย่างไม่เชื่อหู “เจเดน!!”
ข้าไม่ได้สนใจคนข้างกายที่กำลังร้องโวยวาย นัยน์ตาสีเขียวจ้องแม่มดตรงหน้าอย่างไม่วางตา ดูเหมือนว่าคำตอบของข้าจะถูกใจเอเวอร์ลีนเป็นอย่างมาก นางฉีกยิ้มกว้างก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือตะเกียงมาถือวิสาสะจับมือข้าไว้
“ตามข้ามาเลย”
ภายในกระท่อมหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากถํ้า ข้ากับทราวิสนั่งข้างกันอยู่บนเก้าอี้ไม้ ตรงหน้าของเราคือโต๊ะอาหารน่ากินสารพัดอย่างชวนนํ้าลายสอแต่เรากลับไม่มีท่าทีว่าจะแตะมันเลยสักนิด แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้กินอะไรแบบนี้มาหลายวันมากแล้วแต่ก็ไม่อยากประมาทกินของที่อาจใส่ยาพิษเข้าไป เรื่องวางยานั้นขึ้นชื่อว่าเป็นของถนัดอันดับหนึ่งของแม่มดสายดำอยู่แล้ว
ข้ากวาดสายตามองรอบบ้าน สมุนไพรหน้าตาแปลกๆกับขวดยาวางเรียงรายอยู่บนตู้ไม้ หม้อปรุงยาขนาดใหญ่ถูกแขวนไว้เหนือเตาผิงที่ทำให้อุณหภูมิในบ้านอบอุ่น โครงกระดูกของสัตว์ประหลาดนานาชนิดแขวนไว้บนกำแพงเหมือนเครื่องประดับ บรรยากาศในนี้ไม่ค่อยต่างจากกระท่อมของฮิวโก้เสียเท่าไหร่ ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คงจะเป็นการที่กระท่อมหลังนี้เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังคล้ายไว้บูชาซาตาน
พ่อมดแม่มดขาวจะชำนาญเรื่องเสก...ในขณะที่พ่อมดแม่มดดำจะชํ่าชองเรื่องสาป พวกเขาตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ข้าเลื่อนสายตาหันมามองคนข้างๆ ทราวิสนั่งเท้าคางกับโต๊ะพลางใช้มืออีกข้างหมุนส้อมไปมาเป็นวงกลม ริมฝีปากสีพีชเบะลงเล็กน้อย เจ้าตัวทำหน้าเบื่อโลกก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ข้าก็เลือกที่จะถามไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก “เป็นอะไรของเจ้า”
นั่นทำให้ทราวิสกระแทกส้อมลงบนโต๊ะแล้วกอดอกอย่างถูกขัดใจ “ข้าไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าถึงไว้ใจนังนั่น”
ข้ายิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะยกแขนขึ้นมาเท้าคาง ใบหน้าหันไปหาอีกฝ่ายเพื่อสบตากันตรงๆ “ข้าก็ไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องอคติกับนางถึงเพียงนี้ด้วย”
“ก็ข้าไม่ชอบนางไง เห็นหน้าแล้วอยากเหยียบให้จมดิน”
“ทำไม? เพราะนางเป็นแม่มดหรอ”
“ไม่ใช่แต่ก็ไม่เชิง” เจ้าตัวพรูลมหายใจยาวออกมา แววตาที่แข็งกร้าวอ่อนลงเล็กน้อย “ไม่รู้สิ...นางทำให้ข้านึกถึงพี่สาว”
“เจ้าหญิงเทียร่าน่ะหรือ”
ทราวิสพยักหน้า “เทียร์เป็นผู้หญิงประหลาดที่ฝักใฝ่มนตร์ดำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คาถาย้ายพิษคำสาปแบบที่ข้าทำกับเจ้าวันนั้น...ข้าก็ไปแอบเรียนมาจากตำราของนาง”
ไปแอบเรียนคาถางี่เง่าแบบนั้นมา...มันน่าตียิ่งนัก
ข้าอยากจะเอ่ยปากถามต่อเกี่ยวกับพี่สาวทราวิสเพื่อคลายความสงสัยในตัวนาง หากแต่เอเวอร์ลีนก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเสียก่อน นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่นางใช้คาถาหายตัวไปมากะทันหันแบบนี้ นางนั่งลงฝั่งตรงข้ามข้าก่อนจะส่งยิ้มมาให้ในแบบเดิม “ทำไมไม่กินกันเสียทีล่ะหนุ่มๆ รอข้าอยู่งั้นหรือ”
“รอให้เจ้าไปตายเสียมากกว่า”
“ทราวิส!!” ข้าหันไปตวาดเสียงแข็งโทษฐานเสียมารยาทจนเจ้าตัวหงอยลงอีกครั้ง คนผมแดงส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาก่อนจะตวัดสายตากลับมามองอาหารน่ากินบนโต๊ะด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ความเป็นไปได้มีอยู่สองแบบ หนึ่งคือมันเป็นอาหารที่ใส่ยาพิษ สองคือเป็นภาพลวงตา เพราะบางทีของพวกนี้อาจเป็นเพียงเศษดินเศษใบไม้แต่ข้าอาจถูกคาถาลวงตาให้มองเห็นมันเป็นอาหารก็ได้
ข้าเลื่อนสายตาขึ้นมามองสตรีตรงหน้า แม่มดยังคงเท้าคางมองข้าด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม นางเฝ้ารอปฏิกริยาข้าอย่างใจเย็น เห็นแบบนั้นข้าจึงตัดสินใจหยิบขนมครัวซองต์ที่วางอยู่บนจานเข้าปาก
“แค่ก...แค่กๆ!” แต่แล้วก็ต้องสำลักออกมาจนหน้าแดงไปหมด ข้าไอจนตัวงอในขณะที่ทราวิสเบิกตาโพลง เจ้าตัวลูบหลังข้าไปมาด้วยสายตาเป็นห่วงสุดฤทธิ์
“เจเดน!!! —นังแพศยา!! เจ้าวางยาคนรักของข้าจริงๆด้วย!”
เอเวอร์ลีนปรายตามองคนโมโหจนตาแดงเถือกพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “คนแอบรักข้างเดียวเยี่ยงพระองค์...มีสิทธิ์มาอ้างว่าเขาเป็นคนรักได้ด้วยหรือ”
“เจ้า...!!”
แม้ว่าตอนนี้ทราวิสจะเป็นห่วงข้าแค่ไหน แต่คำพูดนั้นทำให้เขาจุกไม่น้อย เจ้าตัวได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อโดยที่ไม่สามารถเถียงอะไรได้ เอเวอร์ลีนแบมือออกแล้วแก้วนํ้าก็ปรากฎขึ้นมาบนฝ่ามือนาง
“หยุด!! อย่าแม้แต่จะคิด!” ทราวิสดันแก้วนํ้าที่เอเวอร์ลีนจะส่งให้ข้าออกไป แม่มดจึงได้แต่ทำหน้าเอือมระอาเล็กน้อยอย่างสุดจะทน
“พระองค์จะปล่อยให้เจเดนสำลักตายหรือไง จิตใจพระองค์ทำด้วยอะไรกัน”
“ข้ามีวิธีของข้า” ว่าจบทราวิสก็คว้าแก้วนํ้ามาจากนางแล้วกระดกขึ้นดื่ม วินาทีนั้นทำให้ข้ารู้แทบจะในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
โอ้พระเจ้า...ไม่เอานะ
แต่ก่อนที่ข้าจะได้ทันขัดขืนหรือทำอะไร เจ้าตัวก็ขึ้นมานั่งคร่อมบนตักแกร่งแล้วป้อนนํ้าให้...ด้วยวิธีแบบเดียวกับที่ข้าป้อนลูกอมให้วันก่อน
ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ทราวิสก็หาได้สนใจไม่ นี่เป็นจูบแรกในรอบสามวันหลังจากครั้งล่าสุด ฝ่ามือนุ่มประคองใบหน้าข้าไว้แล้วใช้ลิ้นหยอกล้อกันไปมาในโพรงปาก เจ้าตัวเริ่มจะจูบเก่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว รสชาติหวานของครัวซองต์ที่เพิ่งกลืนเข้าไปจนติดคอทำให้รสจูบหวานกว่าเดิม นํ้าเปล่าที่ถูกป้อนค่อยๆไหลลงคอข้าจนไม่เหลือสักหยด และก็เป็นตอนนั้นเองที่ทราวิสผละออกมาแล้วไปนั่งที่เดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่มีท่าทีเขินอายสักนิดที่ต้องจูบต่อหน้าคนอื่น
หน้าด้านสมกับเป็นทราวิสที่ข้ารู้จักจริงๆ..
เอเวอร์ลีนกะพริบตาปริบๆมองเราสองคนสลับกันไปมาด้วยสายตาอ่านไม่ออก ก่อนจะเอ่ยถาม “รสชาติเป็นไง”
ข้ากระแอมไอสองสามครั้ง มือหนาเช็ดนํ้าสีใสที่ไหลออกจากมุมปากเพราะกิจกรรมเมื่อครู่ออก “อร่อยดี”
“หมายถึงครัวซองต์หรือริมฝีปากข้า”
สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาอย่างกวนประสาททำเอาข้ากลอกตาในใจ แต่กระนั้นก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “ทั้งสองอย่าง”
ทราวิสผงะไปแทบจะในบัดดล ริมฝีปากสีพีชอ้าพะงาบๆอย่างไม่อยากเชื่อว่าข้าจะตอบแบบนั้น
แกล้งมาแกล้งกลับ...เอาให้หมอนี่เขินตายไปเลย
หลังจากนั้นเราก็เริ่มสวาปามอาหารตรงหน้ากันต่อเมื่อพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย บทสนทนาระหว่างข้ากับแม่มดสาวก็ดำเนินไปเรื่อยๆโดยมีใครบางคนนั่งแผ่รังสีทมิฬออกมาตลอดเวลา
“หมาตัวนั้นเป็นของเจ้าหรือเปล่า”
นางเลิกคิ้วขึ้น “หมายถึงตัวที่โดนหินทับเมื่อกี้น่ะเหรอ จะว่างั้นก็ใช่”
“ขอโทษด้วยที่ข้าต้องใช้กำลังกับมัน...แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
เอเวอร์ลีนหัวเราะเสียงแหลมสูง “ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ดีว่าเจ้ากลัว”
ยิ่งคุยกันไปข้าก็ยิ่งรู้สึกว่านางหยั่งรู้ไปเสียหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นชื่อพ่อแม่ข้าไปจนถึงความลับสุดยอดหรืออะไรก็ตาม เช่นเดียวกับฮิวโก้ที่เวลาเขาใช้เวทมนตร์อ่านประวัติและความทรงจำของผู้คน ทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้นดวงตาจะกลายเป็นสีเทาหม่น หลังจากนั้นก็จะกลับไปเป็นสีเปลือกไม้ตามปกติ ฮิวโก้เคยบอกว่าหากใช้เวทมนตร์ประเภทนี้นานๆจะสูญเสียพลังไปมาก หากแต่เอเวอร์ลีนกลับมีดวงตาสีเทาพายุอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่านางสามารถใช้เวทย์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
..นางคงไม่ใช่แม่มดธรรมดาแบบที่เจ้าตัวบอกไว้แน่นอน
“เจ้ากลัวสุนัขหรอ” ทราวิสหันมาขมวดคิ้วใส่ตาแป๋วอย่างไม่เชื่อหู เขากะพริบตาปริบๆ “ข้าคิดว่าข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้าแล้วนะ...แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“..หากเจเดนใส่ใจเจ้าเพียงสักนิด เขาคงบอกเจ้าไปแล้ว”
ประโยคนี้ของเอเวอร์ลีนมีความหมายโดยนัยแฝงไว้ หรือก็คือมันเป็นการพูดว่า 'เจเดนไม่สนใจเจ้า' ทางอ้อม และทราวิสก็ดูจะเข้าใจดีแต่กลับเก็บอาการไว้ เจ้าตัวไม่ได้โวยวายหรือด่าสวนกลับเหมือนอย่างเคย เพียงแค่ตีสีหน้าเรียบนิ่งแล้วกัดก้อนขนมปังหอมกรุ่นในมือต่อไปอย่างข่มอารมณ์
“รู้ไหม..” แม่มดว่าพลางกัดริมฝีปากล่าง นางขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด “ข้าว่า...ข้าอยากรู้จักพวกเจ้ามากกว่านี้ใจแทบขาดเลยล่ะ”
แม้ว่านางจะใช้คำว่า 'พวกเจ้า' แต่สายตานางกลับมองแค่ข้าและข้าเท่านั้นจนอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกขนลุกซู่ในใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าโดนสตรีเกี้ยวพาราสี และก็จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จะปฏิเสธ
คนหล่อก็แบบนี้แหละนะ...ชีวิตจะน่าปวดหัวหน่อยๆ
หากแต่เมื่อปรายตามองคนข้างๆที่ทำเป็นไม่สนใจก็ทำให้ข้ารู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทราวิสกำก้อนขนมปังแข็งๆในมือแน่นจนมันแทบหัก ริมฝีปากหยักจึงยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันมาเอ่ยกับแม่มดต่อ
“ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน...แม่คนงาม”
'พรูดดดดด!!'
ทราวิสพ่นนํ้าในปากออกมาใส่เอเวอร์ลีนเต็มๆจนใบหน้ากับเรือนผมของนางเปียกโชก ทั้งที่แม่มดไม่ได้นั่งฝั่งตรงข้ามเขา แต่ทราวิสก็ยังอุตส่าห์เอี้ยวตัวมาพ่นใส่ใบหน้าของนาง ข้าอ้าปากพะงาบๆมององค์ชายแห่งวอลธีเรียโหมดเกรี้ยวกราดที่กำลังมีสีหน้าเรียบนิ่ง
“ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
ใช่...ไม่ค่อยตั้งใจเลย ไม่เล๊ยยยยยย
ทราวิสกระแทกก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจ้าตัวหยิบก้อนขนมปังขึ้นมากัดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่นํ้าบนใบหน้าของเอเวอร์ลีนค่อยระเหยหายไปในชั่วพริบตาด้วยเวทมนตร์ของแม่มด นางยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าแม้จะเพิ่งถูกกลั่นแกล้ง
“พระองค์จัดได้ว่าเป็นชายรูปงามคนหนึ่งนะองค์ชาย แต่เหตุใดถึงได้มีมารยาททรามเช่นนี้” นางเอ่ยโดยไม่ได้มองหน้าทราวิสแม้แต่น้อย มือเรียวของแม่มดเอื้อมมาวางบนหลังมือข้าเบาๆด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ทราวิสพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ คิดจะหาเรื่องกันหรือไง” เสียงทุ้มหวานตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะหันมองคู่สนทนา ข้าจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วแอบยิ้มมุมปาก
ไม่อยากจะคิดแบบนี้หรอกนะ แต่เวลาทราวิสโกรธ...เจ้าตัวดูน่ารังแกมากเลย
“ว่าแต่...เจ้าจะว่าอะไรไหมหากพวกเราจะนอนค้างที่นี่คืนนี้”
ทราวิสหันขวับมาในทันที ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เบิกโพลงอย่างตกใจ “ข้าไม่—”
“ข้าก็ตั้งใจจะชวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เจ้าของบ้านกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มแบบเดิม ฝ่ามือบางกระชับมือข้าที่วางอยู่บนโต๊ะแน่นขึ้น “ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย”
ร่างโปร่งกลอกตาขึ้นฟ้าให้กับคำพูดนั้นอย่างสมเพช “เหอะ หญิงแพศยาเยี่ยงเจ้าจะมีปัญญาดูแลใครได้...นอกจากอ่อยผู้ชายไปวันๆ”
ข้ากดเสียงตํ่า “ทราวิส...ระวังคำพูดด้วย”
แต่แทนที่อีกฝ่ายจะรับฟัง ทราวิสกระแทกขนมปังลงบนจานแล้วหันมาประจันหน้ากับข้าด้วยสายตาขุ่นเคืองอย่างไม่พอใจ ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์และขุ่นมัว
มันเป็นสายตาที่ข้าไม่ได้เห็นจากทราวิสมานานแล้ว...และก็ไม่อยากจะเห็นอีก
“ทำไมข้าจะต้องให้เกียรติคนอย่างนาง —บอกตามตรงนะเจเดน ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ตามนางมาที่นี่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแม่มดไม่น่าไว้ใจแต่เจ้าก็ไม่มีท่าทีจะระแวงนางเลยสักนิด” เจ้าชายเอ่ยเสียงแข็งโดยไม่สนเลยว่าเอเวอร์ลีนก็นั่งอยู่กับเราด้วย ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ไม่มีท่าทีจะอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากสีพีชค่อยๆยกยิ้มอย่างขมขื่น “ที่ข้ายอมตามมาด้วยโดยไม่ขัดอะไร...นั่นก็เพราะข้าเชื่อใจเจ้า เชื่อใจว่าเจ้าคงจะมีแผนจะฆ่านางถึงได้ทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด ที่แท้สาเหตุที่เจ้ายอมมาที่นี่ก็เป็นเพียงเพราะเจ้าหลงเสน่ห์นาง อยากขึ้นเตียงกับนางนักล่ะสิถึงได้ปกป้องกันขนาดนี้!”
“พอซะที!!!!” เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นพร้อมกับเสียงตวาดอย่างเดือดดาลจนอีกฝ่ายสะดุ้ง ข้าหอบหายใจแรงเพราะอารมณ์ขุ่นมัวภายในที่ทำให้เลือดสูบฉีด เปลือกตาบางปิดลงเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้ระเบิดอารมณ์พร้อมกับกดเสียงตํ่า “..ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีปัญญามากพอที่จะพูดจาดีๆได้ ก็หุบปากเน่าๆของเจ้าซะ”
ทราวิสอึ้งไปในบัดดล ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ที่แข็งกร้าวสั่นไหวไปมาเล็กน้อยคล้ายโมโหจนพูดไม่ออก ก่อนที่ริมฝีปากสีพีชจะเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาสีเขียวที่เรียบเฉยจนแข็งกระด้าง ในขณะที่สายตาของทราวิสที่แข็งกระด้างเมื่อครู่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นน้อยใจ ใบหน้าของคนโดนดุหันกลับไปก้มมองตักตัวเอง ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากเขาอีก
ทราวิสรู้ดีว่าข้าไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน ปกติไม่ว่าเขาจะกลั่นแกล้งรังแกข้าสักแค่ไหน...ข้าก็ไม่เคยมีท่าทีโกรธขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยมีสักครั้งที่ข้ามองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองแบบตอนนี้
ข้าถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมานวดบริเวณหว่างคิ้ว “เอเวอร์ลีน ข้าขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
แม่มดที่นั่งเท้าคางฟังบทสนทนาเงียบๆมานานเลิกคิ้วขึ้น ก่อนที่นางจะระบายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
หญิงสาวหันไปยิ้มอย่างผู้ชนะใส่ทราวิสอย่างเย้ยหยัน ฝ่ามือบางกระชับมือข้าแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย แล้วเราทั้งสองก็หายตัวไปจากโต๊ะอาหารในทันที ทิ้งให้ใครบางคนนั่งร้องไห้อยู่ในกระท่อมตามลำพัง..
เอเวอร์ลีนพาข้ามาโผล่ที่หลังกระท่อมของนาง แม้ว่ามันจะมีแต่ต้นไม้หน้าตาแปลกๆสีดำที่ข้าเห็นมาหลายวันจนชินตา แต่บรรยากาศบริเวณนี้กลับทำให้ป่ามรณะดูงดงามขึ้นเพราะมีสระนํ้าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ นํ้าในสระมีสีเขียวมรกตที่ใสเหมือนกระจก ภาพสะท้อนบนผิวนํ้าชัดแจ๋วราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ข้ามองเงาสะท้อนของตัวเองในนั้นแล้วเม้มปากแน่น ปล่อยให้ความคิดต่างๆนาๆแล่นในหัวอย่างไม่มีสิ้นสุด
ยอมรับว่าเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้ข้าไม่อยากเห็นหน้าทราวิสไปอีกสักพัก
“..เจ้าคงรำคาญเขามากล่ะสิ” เสียงหวานของแม่มดที่ยืนอยู่ข้างกายทำให้ข้าหลุดจากภวังค์ ดวงตาสีมรกตแบบเดียวกับนํ้าในสระตวัดไปมองอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
“จะว่างั้นก็ไม่เชิง”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีบางอย่างจะพูดกับข้า” นางเผยรอยยิ้มแบบเดิมอย่างรู้ทัน “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“..เจ้าคิดว่าอะไรทำให้ข้ายอมมากับเจ้า ยอมเสี่ยงกินอาหารที่เจ้าให้กิน...ทั้งที่แม่มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด”
สตรีตรงหน้าเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบมาด้วยรอยยิ้มบาง “นั่นยังคงเป็นปริศนา แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าคนฉลาดอย่างเจ้ามีจุดประสงค์บางอย่างถึงได้ทำแบบนี้”
“ถูกต้อง และสาเหตุที่ทำให้ข้าทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะ..” ข้าก้มหน้าเม้มปากแน่นอย่างครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อทบทวนการตัดสินใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาสีเทาพายุแล้วเอ่ยออกมาในที่สุด “..ข้ามีเรื่องบางอย่างจะขอให้เจ้าช่วย”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่ได้คาดคิดว่าข้าจะพูดแบบนี้ “ทำไมข้าจะต้องเสียเวลาไปทำแบบนั้นให้มนุษย์อย่างเจ้าด้วย”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้าช่วยโดยไร้สิ่งตอบแทนเสียหน่อย” รอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ถูกยกมาประดับไว้บนใบหน้าอีกครั้ง “ข้ามีของที่เจ้าและแม่มดดำทุกตนปราถนา”
นางหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้ใจ “..แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้กำลังหลอกใช้ข้า”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังโดนเจ้าหลอกมาฆ่าหรือเปล่า” เจ้าของดวงตาสีมรกตตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ข้าสบตากับนางตรงๆด้วยสายตาที่ไม่มีความล้อเล่นอยู่เลยสักนิด “เราต่างเสี่ยงกันคนละครึ่งทาง ยุติธรรมดีออกจะตาย”
เอเวอร์ลีนนิ่งไปพักใหญ่ เราต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม ข้ามองอีกฝ่ายอย่างใจเย็นเพื่อรอคำตอบ ก่อนที่นางจะถอนหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างจำยอม “ข้าจะช่วยหรือไม่นั้น...ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่เจ้าจะขอเป็นเรื่องยากแค่ไหน”
ข้ายกยิ้มในใจที่แผนการสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าแม่มดตรงหน้า ข้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายที่เบิกตาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของข้าเรียบเฉยจริงจังแบบที่เห็นได้ไม่บ่อย
“ข้าขอร้องล่ะ..” คำพูดที่ไม่เคยออกจากปากข้าแม้สักครั้งได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ดวงตาสีเขียวแฝงความวิงวอนเอาไว้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ช่วยรักษาอักระสาปบนตัวของทราวิสให้ที”
ดวงตาสีเทาพายุของแม่มดเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่เชื่อสายตา
ข้ารู้ดีว่ามันโง่...ที่อุตส่าห์เสี่ยงไว้ใจแม่มดแปลกหน้าและยอมคุกเข่าขอร้องให้นางช่วยเพื่อที่ทราวิสจะได้ไม่ต้องทนเจ็บอีกต่อไป
แต่ข้าไม่อยากเห็นเขาทรมานอีกแล้ว...ถึงได้ยอมทำแบบนี้โดยไม่นึกเสียดาย
นึกแล้วก็น่าขัน...นับวันทราวิสยิ่งทำให้ข้าทำสิ่งเหนือความหมายเพื่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่...แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตข้าไปแล้วล่ะ
TBC.
แม่ของเจเดนเป็นนายหญิงคนนั้นแน่ๆ อาจจะร่วมมือกับเทียร่า หรือที่เทียร่าหายไปก็อาจจะเพราะแม่ของเจเดนก็ได้ แต่บอกตามตรงว่าเขินฉากบรรยายตอนจูบมากค่ะ มันแบบอุแงงงㅜㅡㅜ