ที่นี่คือที่ไหน?
นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวข้า
ราวกับประสาทการมองเห็นของข้าถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ในที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาหนาทึบจนทุกสิ่งทุกอย่างดูเลือนรางไปเสียหมด ข้ารู้เพียงว่ากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หรือแม้แต่แสงไฟเล็กๆจากเปลวเทียน ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใดก็เจอแต่ความมืดมิดสีดำสนิทที่ถูกแต่งแต้มด้วยไอหมอก ลมหายใจอุ่นร้อนถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากเป็นควันสีขาวเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ ฉับพลันข้าก็รู้สึกเหมือนหายใจติดขัดเมื่อกลิ่นเหม็นเน่าบางอย่างที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณลอยเข้ามาแตะจมูก
และก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้ารู้สึกได้ว่ารองเท้าบูทของตัวเองนั้นได้เปียกชื้นไปเกือบครึ่งราวกับกำลังยืนอยู่ในแอ่งนํ้า มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกเฉอะแฉะจนน่าอึดอัด คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจหลุบตาตํ่าลงเพื่อมองว่าตนกำลังเหยียบอะไรอยู่
และข้าก็ได้รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง..
ก้อนเนื้อในอกแทบจะหยุดเต้นไปในทันที ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัวราวกับถูกแช่แข็งจนไม่สามารถขยับตัวหรือเปล่งเสียงใดๆออกมาได้ ลมหายใจเข้าออกแรงฟังดูติดขัดไม่เป็นจังหวะเหมือนคนถูกบีบคอ ดวงตาสีมรกตเบิกโพลงถึงขีดสุดจนเห็นเส้นเลือดสีแดงรอบเม็ดตาขาว
แม้ว่าพื้นด้านล่างจะถูกไอหมอกหนาปกคลุมไว้ แต่ข้าก็สามารถมองเห็นได้ชัดว่ากำลังยืนอยู่บนแผ่นอกของชายคนหนึ่งที่กำลังนอนแน่นิ่ง ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้เลือดฝาดจนเป็นสีขาวราวหิมะ ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมายังข้าอยู่ตลอดเวลาโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่หนเดียว
นั่นก็เพราะวิญญาณไม่ได้อยู่ในร่างเขาอีกต่อไปแล้ว
ข้างๆร่างของชายคนนี้ มีศพของหญิงสาวที่เน่าเฟะจากการถูกไฟเผาไปครึ่งตัวนอนหงายอยู่อย่างไม่เป็นท่า แม้จะตายไปแล้วแต่สีหน้าของนางกลับแสดงออกชัดเจนถึงความหวาดกลัวและทรมาน ใบหน้าสะสวยเหมือนสตรีทั่วไปบิดเบี้ยวจากการถูกไฟเผาอย่างน่าสยดสยองจนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ ริมฝีปากของนางอ้าออกกว้างแต่กลับไม่มีเสียงกรีดร้องใดๆออกมา ท่อนแขนเรียวข้างหนึ่งที่ผุพังยกขึ้นชี้ฟ้าราวกับพยายามจะคว้าอะไรบางอย่างไว้ ใต้ศพของชายหญิงสองคนนี้ก็มีศพอีกนับร้อยที่วางซ้อนทับถมกันอยู่เป็นชั้นๆอีกทีหนึ่ง รวมถึงด้านข้างของพวกเขาก็มีร่างไร้วิญญาณอีกนับหมื่นที่นอนแน่นิ่งกันอย่างกลาดเกลื่อน
ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนหรือเดินไปทางใด ข้าก็เจอแต่ซากศพของมนุษย์มากหน้าหลายตาที่นอนซ้อนทับกันจมกองเลือดอยู่ราวกับทะเล ไม่ว่าจะเป็นเด็กแบเบาะ วัยรุ่นชายหญิงที่กำลังอยู่ในช่วงคึกคะนอง ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังไปจนถึงวัยชราที่แก่เฒ่า ศพนับหมื่นของพวกเขานอนตายเกลื่อนกันอย่างน่าสังเวช ร่างกายของพวกเขาส่วนใหญ่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี เด็กบางคนศรีษะหลุด ชายหญิงบางคนแขนขาขาดไปข้าง บ้างก็ลูกตาหลุดออกจากเบ้าอย่างน่าสยดสยอง โลหิตสีแดงของพวกเขาไหลท่วมรวมกันจนกลายเป็นแอ่งนํ้าขนาดใหญ่ที่เกือบท่วมรองเท้าบูทของข้า
..มันคือภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา
ขาแข็งแรงก้าวถอยหลังโดยอัตโมัติ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าเผลอไปเหยียบร่างไร้วิญญาณของเด็กชายคนหนึ่งที่น่าจะมีอายุไม่เกินสิบขวบ เขาดูเป็นเด็กน้อยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาท่ามกลางความน่ากลัวโหดร้ายรอบตัว กลางแผ่นอกเล็กๆของเขาทะลุเป็นรูโหว่แต่เด็กคนนี้กลับมีรอยยิ้มไร้เดียงสาประดับไว้บนใบหน้าแม้จะตายไปแล้วต่างจากศพอื่นๆโดยสิ้นเชิง —ดูเหมือนว่าจะถูกฆ่าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ข้าเห็นภาพนี้แล้วได้แต่หลับตาหันหน้าไปทางอื่นอย่างทนดูไม่ได้ จริงอยู่ที่ข้าหาได้กลัวศพ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังเวชเมื่อได้เห็นศพของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายเกลื่อนอย่างอนาถเช่นนี้ ยิ่งอยู่ที่นี่นานขึ้นข้าก็ยิ่งรู้สึกวิงเวียนเพราะกลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นศพที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนกลายเป็นอากาศเน่าเสียทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ข้าส่ายใบหน้าไปมาอย่างแรงเพื่อไล่ความเวียนศรีษะนี้ออกไป หากแต่เมื่อหันหน้าไปอีกทาง...ข้ากลับต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าเดิม
ศพของอัศวินหลายพันนายนอนกระจัดกระจายกันปะปนกับฝูงชน พวกเขาสวมเกราะเงินที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืดมิด ชายชาตรีเหล่านี้สิ้นชีพได้อย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะอัศวินผู้ปกป้องราษฎรแม้จะดูไร้ค่าเพราะประชาชนของพวกเขาล้วนตายหมดทุกคน ดาบอาบเลือดที่ผุพังยังอยู่ในมือของเหล่าอัศวินพร้อมกับโล่ที่แตกหักไม่เหลือชิ้นดี
ข้าแทบจะหยุดหายใจไปในเสี้ยววินาทีที่ได้มองเห็นโล่เหล่านั้นชัดๆ มันมีสัญลักษญ์รูปมังกรดุร้ายที่หันหน้าไปทางซ้ายโดยมีดาบสองเล่มไขว้ทับมันไว้
..มันคือตราสัญลักษณ์ที่ข้าไม่เคยลืม สัญลักษณ์ของอาณาจักรบ้านเกิดข้าเอง
เช่นนั้นศพหลายแสนที่กองระเนระนาดอยู่รอบตัวข้า...ก็คือชาวเฮอร์เรนเดล
ข้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีสีหน้าเช่นไรหรือทำหน้าแบบไหนอยู่ ดวงตาสีมรกตค่อยๆกวาดมองไปบนซากศพที่กองทับถมกันจนไม่เห็นพื้นดินอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะชะงักไปในบัดดลเมื่อเสียงบางอย่างดังขึ้น
'ครืดดด...'
เสียงของมันเบาหวิวเลือนรางมากเสียจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่เมื่อต้องตกอยู่ในสถานที่เงียบสนิทที่มีแต่คนตายเช่นนี้ โสตประสาทของข้ากลับได้ยินอย่างชัดเจนว่ามันคือเสียงโซ่ตรวนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ข้าตัดสินใจเดินฝ่าไอหมอกหนาทึบท่ามกลางความมืดมิดไปตามเสียงนั้น ฝ่าเท้าภายใต้รองเท้าบูทสีดำค่อยๆยํ่าไปบนร่างไร้วิญญาณทั้งหลายอย่างไม่มีทางเลือกเพราะมันทับถมกันจนไม่เหลือพื้นดินธรรมดาเป็นทางเดินให้อีกแล้ว ในใจนึกขอโทษชาวเฮอร์เรนเดลเหล่านี้ที่กลายมาเป็นพื้นให้ข้าเหยียบ โลหิตสีแดงสดที่เจิ่งนองบนพื้นสั่นไหวเป็นระลอกคลื่นในทุกจังหวะการก้าวเดิน ข้าเดินต่อไปในความมืดมิดอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งสามารถมองเห็นเงาบางอย่างได้ในระยะไม่ไกลนัก
มันคือร่างของมนุษย์คนหนึ่งนั่งพิงกำแพงหินสีดำสนิทอยู่บนพื้นในท่าคุกเข่า ข้อมือทั้งสองข้างถูกตรึงไว้กับโซ่ตรวนที่ติดอยู่กับกำแพง เขาสวมเสื้อผ้าที่เน่าเปื่อยดูมอมแมมของเขาเปียกชุ่มไปด้วยคราบเลือด คนผู้นี้กำลังก้มหน้าลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรงจนเรือนผมสีแดงยาวรุงรังปรกลงมาบดบังใบหน้าจนมิด
ณ วินาทีนี้ สัญชาตญาณบางอย่างได้สั่งให้ข้ารีบหนีออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด หากแต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ราวกับว่าเท้ามีนํ้าหนักเพิ่มขึ้นมากะทันหันจนไม่สามารถยกได้อีก
อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง ใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้หลังเรือนผมสีแดงเพลิงค่อยๆเงยขึ้นมา ก่อนที่ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่จะประสานกันในที่สุด
ราวกับโลกถูกหยุดเวลาเอาไว้เสียเดี๋ยวนี้ ข้าเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ริมฝีปากเป็นกระจับที่สั่นระริกอ้าออกเล็กน้อยแต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ราวกับมีก้อนบางอย่างจุกไว้ในลำคอ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างส่งผลให้หัวใจเต้นแรงจนหายใจไม่ทั่วท้อง
สตรีที่ข้าเฝ้ารอมาตลอดเก้าปี บุคคลหนึ่งเดียวบนโลกที่ข้ารักยิ่งกว่าสิ่งใด คนที่เป็นสาเหตุให้ข้าอยากมีชีวิตรอดต่อไปจนต้องดิ้นรนมาจนถึงบัดนี้ ครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่ข้ามี หญิงสาวที่ข้ายอมแม้กระทั่งถวายชีวิตแลกกับการได้พบนางอีกครั้ง...บัดนี้นางได้อยู่ตรงหน้าข้าแล้ว
..สตรีผู้นี้คือซาฟีร่า เกรโนเวอร์ —มารดาของข้าจริงๆ
ผู้เป็นแม่เองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อย ใบหน้างดงามที่ไม่ได้เห็นมานานดูซีดเซียวไม่ต่างจากศพที่กองเกลื่อนอยู่บนพื้น ดวงตาสีเขียวขจีปรือขึ้นมามองหน้าบุตรชายอย่างประหลาดใจ “เจเดน..”
เสียงไพเราะที่ข้าไม่มีวันลืมเอ่ยชื่อลูกชายเพียงคนเดียวอย่างแผ่วเบาด้วยความอ่อนแรง มันทำให้ดวงตาสีมรกตของคนเป็นลูกแดงกํ่าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากหยักเม้มหากันแน่น คำพูดทุกอย่างตีขึ้นมาจุกไว้ในลำคอจนไม่สามารถเอ่ยอะไรออกไปได้แม้จะมีเป็นหมื่นคำที่อยากจะพูดออกมาจากใจ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา...การได้เจอสตรีคนนี้อีกครั้งเป็นเพียงความฝันและเป้าหมายหนึ่งเดียวในชีวิตข้า —และตอนนี้นางก็อยู่ตรงหน้าข้าแล้ว
..กว่าจะรู้ตัวอีกทีสองขาก็วิ่งเข้าไปหามารดาอย่างสุดฝีเท้าโดยไม่สนแล้วว่าจะเหยียบหน้าใครไปบ้าง สิ่งเดียวที่ข้าสนในตอนนี้คือแม่ที่คิดถึงและโหยหามานานแสนนาน ร่างของเด็กน้อยผมแดงที่ได้เติบใหญ่กลายเป็นชายชาตรีวิ่งโผเข้าหามารดาแบบเดียวกับที่ชอบทำตอนยังเป็นเด็ก
'หมับ!'
วงแขนแข็งแรงคว้าร่างอันบอบชํ้าเข้ามากอดไว้แน่นราวกับกลัวว่าหากคลายอ้อมกอดลงแล้วแม่จะหายไปอีก แม้ว่าคราบเลือดสีแดงสดของนางจะเปรอะเปื้อนไปทั้งตัวข้าก็ไม่สนอีกแล้ว นํ้าตาลูกผู้ชายเกือกกลิ้งไปมาในดวงตาจนไม่เหลือคราบบุคคลอันตรายจอมเจ้าเล่ห์ของวอลธีเรียแต่เป็นเพียงเด็กน้อยขี้งอแงเพราะคิดถึงมารดา “ท่านแม่...ท่านแม่จริงๆด้วย”
เสียงใสหัวเราะในลำคอเบาๆโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา หากแต่แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับข้า รอยยิ้มแห่งความสุขประดับไว้บนใบหน้าข้าอย่างตื้นตันใจ
ในที่สุด...ข้าก็ได้พบแม่เสียที
การรอคอยของข้าได้สิ้นสุดลงแล้ว
“โตขึ้นเยอะเลยนะ เด็กดีของแม่”
ข้าหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ให้นานที่สุดอย่างตื้นตันใจ ในตอนนี้มันช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขจนอยากจะหยุดเวลานี้ไว้ ก่อนที่ร่างหนาของคนเป็นลูกจะค่อยๆผละออกมาสำรวจร่างที่โชกเลือดของมารดาด้วยสีหน้าลนลาน “..ใครทำให้ท่านตกอยู่ในสภาพนี้”
แม่ข้าหาใช่สตรีอ่อนแอ ชายชาตรีนับสิบคนไม่สามารถเอาชนะนางคนเดียวได้ แม่เป็นคนสอนทักษะการต่อสู้ให้ข้าก่อนจะมาฝึกกับเหล่าอัศวินเสียด้วยซํ้า หากว่ากันตามตรงนางเป็นสตรีที่มีฝีมือเทียบเท่าแม่ทัพอัศวินอย่างออกัสท์เลยก็ว่าได้ แล้วปีศาจพรรค์ไหนกันที่จะสามารถทำให้นางตกอยู่ในสภาพยับเยินเช่นนี้
ไม่สิ...ปีศาจตนใดกันที่จับแม่ข้ามาทรมานเช่นนี้
ดวงตาสีมรกตที่เหมือนกับข้าราวกับส่องกระจกมองมาด้วยสายตาเย็นชาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “..เทียร่า”
“..หืม?”
“รัชทายาทลำดับที่สองแห่งวอลธีเรีย เจ้าหญิงเทียร่า”
ข้าเบิกตาขึ้นอย่างไม่เชื่อหู องค์หญิงเทียร่าเป็นน้องสาวขององค์ชายเนวิลล์และเป็นพี่สาวของทราวิส จริงอยู่ที่นางหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลานานนับห้าปีแล้ว...แต่ข้าก็ไม่คิดมาก่อนว่านางจะหายไปฝักใฝ่มนตร์ดำ
นางเป็นสตรีที่เลอโฉมงดงามยิ่งกว่าผู้ใดในอาณาจักร แต่ความกระหายเลือดขององค์หญิงเทียร่าทำให้ไม่มีชายหน้าไหนอยากเข้าใกล้เจ้าหญิงองค์นี้เลยแม้แต่น้อย พื้นฐานนิสัยของนางเลือดเย็นอำมหิตไม่ต่างจากบิดา และเป็นคนบ้าระหํ่ามากพอจนเกือบสังหารพี่ชายตัวเองไปแล้ว นางจะสังหารประชาชนของตัวเองทิ้งทุกครั้งที่โมโหราวกับชีวิตของคนเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า เคยแม้กระทั่งจับทราวิสผู้เป็นน้องชายแท้ๆกดนํ้าลงไปในบ่อต่อหน้าสาธารณะชนหมายจะทรมานให้ตาย หากไม่ได้องค์ชายเนวิลล์มาช่วยไว้ได้ทันเวลา ทราวิสอาจตายไปแล้วก็เป็นได้
พูดง่ายๆก็คือ...เจ้าหญิงเทียร่าเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไร้บารมีที่สุดในประวัติศาสตร์รองจากพระบิดา
ชาววอลธีเรียส่วนใหญ่ต่างสันนิษฐานกันว่านางได้เข้าไปในป่ามรณะจนถูกมนตร์ดำครอบงำไปแล้ว เพราะเจ้าหญิงองค์นี้เป็นสตรีที่หลงใหลในอำนาจมืดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยส่วนตัวข้าเองก็ไม่เคยสนใจข่าวลือพวกนั้นเลยสักนิด แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้แปลกใจเสียเท่าไหร่ที่นางกลายเป็นพันธมิตรของปีศาจอย่างที่ใครเขาว่ากันจริงๆ ซํ้ายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจับตัวท่านแม่มาทรมานเช่นนี้อีกด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ...ผู้หญิงคนหนึ่งจะเลวได้ถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย
“นังแพศยาคนนั้นโหดร้ายกว่าที่เจ้าคิดไว้มากนัก จงระวังตัวให้ดีและอย่าได้ประมาทนางเป็นอันขาด” สีหน้าและนํ้าเสียงจริงจังเรียกสติให้ข้าหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ ข้ากะพริบตาถี่ๆสองสามครั้งเพื่อเรียกสติที่เริ่มจะลอยล่องไปไกล ก่อนจะยอมพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างหนักแน่นเป็นเชิงรับปากโดยไม่ได้ทักท้วงอะไร
คนตรงหน้าพยายามขยับตัวเข้ามาใกล้แต่กลับถูกโซ่ตรวนรั้งไว้แน่นจนไม่สามารถขยับไปไกลกว่านี้ได้อีก แต่กระนั้นสีหน้าของท่านแม่ก็ยังคงจริงจังเสียยิ่งกว่าครั้งไหน
“ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา...นางทำให้ข้ารู้ว่าการถูกจองจำอยู่ที่นี่นั้นช่างทรมานเสียยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก” ดวงตาสีมรกตของคนเป็นแม่ค่อยๆอ่อนลงอย่างสื่อความหมาย มันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนบีบหัวใจข้าไปด้วย “แม่สาบานได้ว่าไม่ได้อยากทิ้งเจ้าไปเลยเจเดน ไม่มีมารดาหน้าไหนต้องการทิ้งลูกตัวเองไว้ให้เผชิญกับความโหดร้ายตามลำพังหรอก —สำหรับข้า...สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคือการต้องพรากจากเจ้าไปอย่างไม่มีทางเลือก”
“ท่านแม่...” ข้ารู้สึกเหมือนคำถามทุกอย่างที่มีอยู่ในใจได้หายไปหมด จากที่ตั้งใจจะถามว่าใยท่านแม่ถึงได้ใจร้ายทิ้งข้าไว้ให้เผชิญกับโหดร้ายตามลำพังได้ลงคอ ที่ผ่านมาเคยมีใจคิดถึงข้าบ้างไหม ทราบบ้างหรือไม่ว่าข้าต้องเผชิญกับความยากลำบากถึงเพียงใด และเคยรับรู้ไหมว่ามันทรมานแค่ไหนตอนข้าต้องทำใจยอมรับว่าคนที่ข้ารักเพียงหนึ่งเดียวได้จากไปแล้ว กลายเป็นว่าคำถามเหล่านี้ได้ถูกทำลายออกไปจากหัวจนหมดสิ้น เพียงแค่ประโยคนั้นของมารดาก็ได้คลายความสงสัยให้ข้าได้หมดแล้ว ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา...ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวที่คิดถึงโหยหานาง “องค์หญิงเทียร่า...นางจับท่านมาเพื่ออะไรกัน”
คนเป็นแม่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อยด้วยเสียงเย็นยะเยือกอย่างแผ่วเบาแต่ข้ากลับได้ยินอย่างชัดเจน “การฆ่าล้างชาวเฮอร์เรนเดลอย่างเรา...มันอยู่ในสายเลือดราชวงศ์ของวอลธีเรียไปแล้ว พวกมันทุกคนล้วนเลวเหมือนๆกันหมด”
..และก็เป็นตอนนี้เองที่ใบหน้ายิ้มแย้มอันประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างสดใสร่าเริงขององค์ชายคนสุดท้องแห่งวอลธีเรียปรากฏขึ้นมาในหัวข้าโดยอัตโนมัติจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ ข้าจึงได้แต่เม้มปากแน่นอย่างกระอักกระอ่วนโดยไม่พูดอะไรต่ออีก
อันที่จริงตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน ชาวเฮอร์เรนเดลเองก็เคยเข่นฆ่าชาววอลธีเรียในสงครามไปมหาศาลเหมือนกัน ซํ้ายังเคยเอาเปรียบทางด้านผลประโยชน์ทางการค้าอยู่หลายคราเพื่อเป็นการซํ้าเติมว่าตนเหนือกว่า ไม่แปลกที่พระราชาองค์ก่อนแห่งวอลธีเรียจะแก้แค้นด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นเช่นนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัวข้ามองว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครดีและไม่มีใครชั่ว แค่ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองก็เท่านั้น —นี่แหละมนุษย์
ข้าฉุดตัวเองออกมาจากห้วงความคิด ก่อนจะพบว่าดวงตาสีเขียวขจีของมารดากำลังถูกส่งมาด้วยสายตาอ้อนวอนเป็นเชิงขอร้อง “ลูกแม่...เจ้าจะมาที่เฮอร์เรนเดลได้หรือไม่ มาช่วยข้าออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่”
ข้าเงียบไปสักพักโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ไม่ใช่เพราะลังเลแต่เป็นเพราะความแปลกใจเสียมากกว่า ข้าสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ถึงกระนั้นก็ยอมรับปากไปอย่างไม่อิดออด
“..ข้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อท่าน”
ฟังจบผู้เป็นแม่ก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นมาบางเบาอย่างอ่อนแรง ดวงตาสีเขียวมรกตสองคู่ประสานกันอย่างสื่อความหมาย แม้จะไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแต่เราต่างเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร
“แม่จะรอเจ้านะเจเดน แต่ตอนนี้เจ้าต้องออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
ข้ากลับส่ายหน้าไปมาอย่างหนักแน่น “ไม่ ข้าจะอยู่กับท่านที่นี่!”
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า พึงระวังตัวไว้ให้ดี...เทียร่ากำลังจับตาดูเจ้าอยู่” ท่านแม่กำชับเสียงแข็งอย่างหนักแน่น แต่ไม่ทันที่ข้าจะได้ตอบโต้หรือคัดค้านอะไรก็ต้องชะงักไปเสียก่อนเมื่อรู้สึกว่าแผ่นดินใต้ร่างกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อนที่พื้นดินจะสูบตัวข้าลงไปด้านล่างทันทีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างของข้าร่วงหล่นลงไปในความมืดมิดที่มีทะเลลาวาสีแสดลุกโชนเดือดปุดๆรออยู่ด้านล่าง ความร้อนที่ต่างจากอากาศด้านบนโดยสิ้นเชิงแผดเผาผิวกายข้าจนแทบหลอมละลายไปเสียเดี๋ยวนั้น ข้าส่งเสียงร้องครํ่าครวญออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสกับลาวาร้อนระอุ และ..
“เจเดน! ได้ยินข้าไหม!? ตื่นสิ!!”
'เฮือก!'
เปลือกตาสีขาวนวลเบิกโพลงขึ้นมาพร้อมกับร่างหนาที่ลุกขึ้นนั่งอย่างพรวดพราด แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหอบหายใจรุนแรงราวกับเพิ่งไปว่ายนํ้าข้ามมหาสมุทรมา เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาตามผิวหนังจำนวนมากทั้งที่อากาศเย็นเฉียบเข้ากระดูก มือหนายกขึ้นมากุมศรีษะตัวเองไว้ สติที่เพิ่งกลับมาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความสับสน
เมื่อกี้...ข้าฝันงั้นหรือ
ไม่สิ มันสมจริงมากเกินกว่าจะเป็นแค่จินตนาการ
“เจเดน...เป็นยังไงบ้าง เจ้าฝันร้ายหรอ” นํ้าเสียงกังวลเชิงเป็นห่วงที่ดังขึ้นใกล้ๆทำให้ข้าหันไปมอง พบว่าไอ้กิ้งก่าหัวทองกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านข้างอย่างใกล้ชิดพร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยเป็นห่วงสุดฤทธิ์มาให้
ดวงตาสีมรกตจ้องทราวิสด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก่อนจะเบ้หน้ากัดฟันพร้อมกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดเมื่อความเจ็บบริเวณน่องขาด้านซ้ายกลับมาเล่นงานอีกครั้ง มันทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ข้าโดนพิษของปีศาจเสือแมงป่องต่อยจนสลบไป นั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทราวิสดูกระวนกระวายเช่นนี้
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด...ถึงแม้เสือดำมรณะตนนั้นจะถูกสังหารได้ไม่ยากนัก หากแต่พิษของมันคงสามารถฆ่าคนได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
เหอะ...นี่เพิ่งจะได้เริ่มเดินทางเอง ข้าก็โดนพิษน่ารำคาญเสียแล้วหรือนี่
“ยังเจ็บอยู่อีกไหม” เมื่อเห็นว่าข้ายังไม่ตอบเสียที คนข้างกายจึงเดินหน้าถามต่อไปอย่างสงสัยใคร่รู้ด้วยความเป็นห่วงที่แสดงออกมาชัดเจนทางสายตา
นอกจากจินที่เป็นดั่งพี่ชาย...ก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนมองข้าด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน
หากแต่ข้าก็ไม่ได้ชอบการที่มีคนมาสงสารเวทนาเช่นนี้แต่อย่างใด จึงเลือกที่จะไม่ตอบเจ้าชายชุดฟ้าแล้วกัดฟันยกขาข้างซ้ายที่โดนพิษขึ้นมาชันเข่าไว้ ก่อนจะถกขากางเกงขึ้นเพื่อตรวจดูแผลที่โดนต่อย
บริเวณรอบรอยแผลมีโลหิตสีดำสนิทไหลซึมออกมาจากน่องขาขาวเป็นทางยาว แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คืออักขระสาปสีดำที่ปรากฎขึ้นบริเวณที่โดนต่อย
มันคือตัวอักษรต้องสาปของปีศาจที่มนุษย์อย่างข้าไม่สามารถอ่านได้ และไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามันจะมีผลข้างเคียงกับตัวข้าแค่ไหนหรือจะสามารถรักษาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคงทำได้เพียงกัดฟันทนมันไปก่อนจะหาวิธีรักษาได้ก็แล้วกัน เพราะมันไม่ใช่พิษธรรมดาอย่างพิษงูเห่าในโลกมนุษย์แน่นอน
ข้ายกมือขึ้นมานวดบริเวณขมับเมื่อรู้สึกว่าเริ่มไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัดอีกแล้ว เปลือกตาสีขาวนวลปิดแน่นพร้อมกับคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกวิงเวียน แม้จะไม่ได้ส่องกระจกแต่ข้าก็รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าหล่อๆของตัวเองคงซีดลงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ความปวดร้าวบริเวณน่องขาด้านซ้ายยังคงแล่นไปทั่วร่างอย่างไม่มีสิ้นสุดจนปวดไปทั่วทั้งร่าง
“ข้าหมดสติไปนานแค่ไหน” กัดฟันทนความเจ็บแล้วหันไปถามคนข้างกายที่กำลังจ้องอักขระสาปบนตัวข้าอย่างไม่วางตา ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เรียบเฉยเสียจนยากจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าชายที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางจำเป็นยังคงเหม่อลอยจนข้าต้องหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจนิดๆ
“ไม่ได้ยินหรือไง ข้าถามว่า..”
นํ้าเสียงแกมดุค่อยๆเหือดหายไปในลำคอ เมื่อฝ่ามือสีนํ้าผึ้งเอื้อมมาแตะลงบนรอยอักขระสาปบนท่อนขาอย่างแผ่วเบาแต่ก็ทำให้ข้าเผลอหลุดร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย!!! ทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย!?”
ทราวิสสะดุ้งโหยงที่ได้เห็นเช่นนั้น องค์ชายที่เคยหยิ่งยโสมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมานของข้าด้วยความลนลานและเป็นห่วง ก่อนจะพยุงให้ข้าไปนั่งพิงต้นไม้ข้างๆเขา ทราวิสฉีกจัดการเสื้อคลุมสีฟ้าราคาแพงของตัวเองออกแล้วนำมาใช้ซับเหงื่อกาฬที่ไหลซึมออกมาตามกรอบหน้าข้าเบาๆ คนถูกกระทำบ่ายเบี่ยงเล็กน้อยตามประสาคนไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัว แต่สุดท้ายก็ยอมให้อีกฝ่ายซับเหงื่อให้แต่โดยดีเนื่องจากหมดแรงจะหนีแล้ว
“ในย่ามเจ้าพอจะมีอะไรที่สามารถยับยั้งพิษปีศาจได้บ้างไหม”
ข้าเหลือบไปมองกระเป๋าย่ามที่มีของวิเศษบรรจุไว้ด้านในที่วางอยู่ใกล้ๆแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนแรง “..ยาทิพย์มีจำกัด เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจะดีกว่า”
ทราวิสเหมือนอยากจะอ้าปากคัดค้านเต็มทนแต่ก็หยุดตัวเองไว้ เขากลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอแล้วได้แต่ใช้ผ้าซับเหงื่อให้ข้าอย่างเงียบๆด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก เราต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรอีกเลยหลังจากนั้น แม้จะอยู่ใกล้กันแต่ก็เหมือนอยู่ไกลเพราะต่างคนต่างจมดิ่งอยู่กับห้วงความคิดของตน ปล่อยให้ความเงียบสนิทอย่างผิดปกติของป่ามรณะปกคลุมไปทั่งบริเวณ มีเพียงเสียงลมหายใจของมนุษย์สองคนผสมกับเสียงฝูงกาที่บินว่อนอยู่บนท้องนภาสีเข้มเท่านั้นที่ยังดังอย่างต่อเนื่อง
“..เป็นเพราะข้าแท้ๆ” นํ้าเสียงแผ่วเบาของคนข้างกายทำให้ดวงตาสีมรกตหันไปมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย พบว่าองค์ชายคนสุดท้องแห่งวอลธีเรียกำลังก้มหน้าเป็นหมาหงอยอีกแล้ว เขาเม้มปากแน่นเหมือนพยายามสะกัดกลั้นนํ้าตาเอาไว้สุดฤทธิ์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นระริก “ที่เจ้าต้องมาเจ็บก็เพราะข้าเข้าไปยุ่งกับแมงป่องตัวนั้น...ข้านี่มันตัวซวยจริงๆ”
ข้าเพียงกระตุกมุมปากขึ้นมายิ้มนิดๆก่อนจะหหน้ากลับไปตามเดิม “..แล้วเจ้าคิดว่าการมานั่งโทษตัวเองอยู่เช่นนี้มันจะทำให้ข้าหายดีหรือไงกัน”
“ทำผิดพลาดแล้วเอาแต่โทษตัวเองแบบนี้นั้นเป็นการกระทำที่โง่เขลายิ่งกว่าสิ่งใด แทนที่จะเอาเวลาอันมีค่าไปหาวิธีแก้ไขความผิดพลาดของตนเอง กลับเอาแต่จมอยู่กับความคิดในแง่ลบบั่นทอนจิตใจตัวเองที่จะไม่มีวันทำให้อะไรดีขึ้น เจ้าคิดว่าการกระทำนี้มันคุ้มกับการที่ข้าต้องมาทนเจ็บแล้วหรือ...ทราวิส”
คนฟังได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ข้าไม่ได้หันไปมองหน้าเขาแต่ก็รู้สึกได้ว่าทราวิสรับฟังข้าในทุกประโยคอย่างตั้งใจ ดวงตาสีมรกตเหลือบขึ้นไปมองท้องฟ้าสีดำทมิฬที่มีดวงจันทร์ประดับเคียงข้างกับหมู่ดาวแล้วได้แต่สบถในใจ
หลังจากที่โดนพิษเสือแมงป่องจนสลบไป...ข้าก็หมดสติไปเกินครึ่งวันเลยรึ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ช่วยกรุณารักษาแผลบนหน้าอกเจ้าด้วย...หากไม่อยากให้มันติดเชื้อจนกลายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่นี่” ข้าเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะคว้ากระเป๋าย่ามโยนให้อีกฝ่ายแล้วเอนตัวลงนอนโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ทราวิสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนจับได้ว่ายังไม่ได้รักษาแผลที่โดนปีศาจเสือดำข่วนแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ข้าจึงใช้มือทั้งสองรองไว้ใต้ศรีษะแล้วยกขาข้างที่ไม่โดนพิษขึ้นมานอนไขว้ห่างแบบที่ทำประจำ ปลายเท้ากระดิกไปมาเป็นจังหวะก่อนที่เปลือกตาสีไข่มุกจะปิดลง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าอีกแล้ว นอนต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“..เจ้าพูดถูก”
เสียงทุ้มหวานที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้ข้าต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้หันไปมองแต่อย่างใด ไม่นานนักทราวิสก็พูดต่อ
“ข้าควรเอาเวลาไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง...ไม่ใช่เอาแต่จมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดเช่นนี้”
หลังจากนั้นเราต่างก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย ต่างฝ่ายต่างเงียบเสียจนบรรยากาศอันมืดมิดในป่ามรณะดูน่ากลัว ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจเล่าถึงจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้พร้อมกับความฝันที่ข้าได้เห็นซากศพของบรรพบุรุษและได้พบเจอมารดาอย่างไม่คาดคิดให้ทราวิสฟัง
แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้เล่าเรื่องเจ้าหญิงเทียร่าเลยแม้แต่น้อย
“..ในมุมมองข้า ข้าคิดว่านั่นเป็นกับดัก” ทราวิสเอ่ยพลางกัดปากแน่น เขาใช้มือแตะปลายคางไปด้วยอย่างครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง “พวกปีศาจคงจะรู้ว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาแม่ เลยใช้โอกาสนี้สร้างคาถาลวงตาขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้เจ้าไปที่เฮอร์เรนเดลแล้วฆ่าทิ้งซะ”
“อาจเป็นไปได้ แต่สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นไม่ค่อยจะดูมีเหตุผลเสียเท่าไหร่” ข้าเอ่ยด้วยเสียงเนิบนาบตามประสาคนง่วงนอนก่อนจะอธิบายต่อ “ปีศาจพวกนั้นจะเสียเวลาหลอกล่อข้าให้ไปเฮอร์เรนเดลทำไมกัน ในเมื่อข้าก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้วตั้งแต่แรก —ช่างเป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด”
ทราวิสได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยู่ปาก “..ข้าไม่ได้ฉลาดเหมือนเจ้าเสียหน่อย”
เสียงหัวเราะทุ้มตํ่าในลำคอดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ “ข้าก็ไม่ได้ฉลาดหรอก เจ้าแค่โง่เท่านั้นเอง”
“.............”
เช้าวันต่อมา..
ข้าตื่นมาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ความเจ็บบริเวณรอยแผลที่โดนพิษได้หายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าพิศวง เมื่อถกขากางเกงขึ้นก็ต้องตกใจเข้าไปอีกที่อักขระสาปได้หายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
แม้แต่พิษงูในโลกมนุษย์ยังไม่สามารถหายได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แล้วข้าที่โดนพิษของปีศาจแต่กลับหายภายในหนึ่งวันโดยปราศจากการรักษามันไม่แปลกไปหน่อยหรือ
ประหลาด...นี่มันประหลาดชะมัด
“เจเดน...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” นํ้าเสียงอ่อนแรงของทราวิสดังขึ้นข้างๆทำให้ต้องหันไปมองโดยอัตโนมัติ ทราวิสยังคงนั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเป็นห่วง ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์มองมาอย่างเป็นกังวลราวกับข้ากำลังจะตายเสียอย่างไรอย่างนั้น
และถ้าไม่ได้ตาฝาดไป ข้ารู้สึกว่าใบหน้าของเขาซีดลงกว่าเดิม
“เจ้ายังเจ็บอยู่อีกหรือไม่ ตอบข้าสิ!!”
ข้ามองท่าทีกระวนกระวายปนลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายอย่างพิจารณาด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึก ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้าๆเป็นคำตอบ
“ไม่เจ็บแล้ว”
เพียงแค่สามคำสั้นๆนี้ก็ทำให้ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เป็นประกายดีใจขึ้นมาในบัดดล ก่อนที่รอยยิ้มสี่เหลี่ยมจะปรากฎขึ้นบนใบหน้าของคนเป็นองค์ชายด้วยความปิติยินดีอย่างถึงที่สุด
'หมับ!'
“ขอบคุณพระเจ้า..”
ร่างโปร่งในชุดคลุมสีฟ้าโผกอดข้าทันทีจนเราทั้งคู่เสียหลักหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น หากแต่ทราวิสกลับกอดแน่นขึ้นโดยไม่ได้หุบยิ้มกว้างลงแต่อย่างใด และถ้าสังเกตดีๆ...ข้ารู้สึกว่าภายในดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ที่กำลังหยีลงจากรอยยิ้มนั้นมีนํ้าตาซึมอยู่เล็กน้อย
..อะไรจะดีใจขนาดนั้น
จากตอนแรกที่ข้าตั้งใจจะผลักเขาออกไปให้พ้นทางก็ได้แต่ปล่อยให้คนด้านบนกอดตามใจชอบ กลิ่นตัวของทราวิสที่หอมละมุนเหมือนกุหลาบลอยขึ้นมาแตะจมูกทำให้ข้าเผลอสูดดมเข้าไป ก่อนที่รอยยิ้มเอ็นดูจะปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของคนผมแดงอย่างไม่รู้ตัว..
เราทั้งคู่เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้งหลังจากที่กินมื้อเช้าไปบางส่วน ทราวิสเดินตามหลังข้าต้อยๆไม่ต่างจากครั้งที่ผ่านมา แต่ที่เพิ่มมาก็คือการที่ข้าให้องค์ชายผู้สูงศักดิ์แห่งวอลธีเรียต้องแบกกระเป๋าย่ามมาตลอดทาง ซํ้ายังต้องคอยเอาอกเอาใจข้าตลอดเวลาประดุจทาสรับใช้
เหอะ...สมนํ้าหน้า อยากตามมาเองนัก ทนความลำบากให้ได้ก็แล้วกัน
“ทราวิส มาซับเหงื่อให้ข้าที” เอ่ยสั่งอีกฝ่ายพลางผิวปากไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ทั้งๆที่อากาศเย็นจัดเสียจนไม่มีเหงื่อสักเม็ดปรากฎออกมาให้เห็น หากแต่ทราวิสก็ได้แต่เดินคอตกเหมือนหมาหงอยมาซับเหงื่อให้ตามคำสั่งอยู่ดีอย่างคัดค้านไม่ได้
มันช่างเป็นภาพที่น่าขันนัก เจ้าชายจอมหยิ่งยโสที่ไม่เคยทำงานหนักต้องมาใช้แรงงานเช่นนี้ ทั้งที่มีท่าทีเหมือนไม่เต็มใจแต่ก็ยอมทำตามคำขอของข้าอย่างขัดอะไรไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะได้สัญญากันไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้วว่าเขาจะต้องทำตามคำสั่งข้าทุกประการ แต่อันที่จริงเหตุผลหลักก็คือทุกครั้งที่ทราวิสบ่นอุบอิบเหมือนไม่อยากทำ ข้าก็จะพูดด้วยสายตาออดอ้อนว่า..
'ไหนว่าเจ้ารักข้าไม่ใช่หรือไง..'
แล้วทราวิสก็จะยอมทำตามทุกสิ่งที่ข้าสั่งอย่างไม่อิดออด
“ทราวิส ข้าหิวนํ้า”
คนถูกสั่งอีกรอบยู่ปากเล็กน้อยก่อนจะยื่นถุงหนังสัตว์ที่บรรจุนํ้าไว้ด้านในมาให้ ข้าเพียงปรายตามองมันเล็กน้อยอย่างหยิ่งยโสแล้วส่ายหน้าไปมา
“ไม่เอา ข้าอยากลองดื่มนํ้าในป่ามรณะดูสักครั้ง เจ้าไปหามาให้หน่อยสิ”
“โธ่เจเดนที่รัก ข้าจะไปทำแบบนั้นได้อย่างไร ตั้งแต่เราเดินมายังไม่เจอแหล่งนํ้าเลยด้วยซํ้า!” คนรับใช้จำเป็นบ่นอุบอิบพร้อมเบะปากกระทืบเท้าเร่าๆไปด้วยเหมือนเด็กงอแงจนข้าอดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้ ก่อนที่จู่ๆสองขากำยำจะหยุดยืนอยู่กับที่ในบัดดล
“..จะบอกได้หรือยังว่าปิดบังอะไรข้าอยู่”
ทราวิสเองก็หยุดเดินเช่นกัน ข้าค่อยๆหันหน้าไปหาเขาด้วยใบหน้านิ่งสนิทจนไม่สามารถเดาความรู้สึกได้ คนถูกถามถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกสติให้กลับมาดังเดิม
“ปิดบัง? เจ้ากำลังพูดถึงอะไร...ข้าไม่เข้าใจ” ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ล่อกแล่กไปมาอย่างกระวนกระวาย ทราวิสก้มหน้าลงจนคางชิดคอพลางเม้มปากแน่นเพื่อหลบสายตาข้าอย่างถึงที่สุด ท่าทีของเขาดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัดจนข้าต้องหรี่ตาลง
'ตึง!'
ก่อนจะผลักอีกฝ่ายให้ชนกับต้นไม้สีดำทมิฬทันที..
แผ่นหลังของคนเป็นองค์ชายกระแทกเข้ากับต้นไม้จนเจ้าตัวเบ้หน้าด้วยความเจ็บ แต่ไม่ทันจะได้ร้องโวยวายอะไร ทราวิสก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อถูกข้าใช้แขนกักตัวเขาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้
ใบหน้าของเรามีระยะห่างอันใกล้เสียจนสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของกันและกัน พวงแก้มกลมสีนํ้าผึ้งขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุกจนน่ากัดให้จมเขี้ยว ลมหายใจของทราวิสติดขัดไม่เป็นจังหวะจากอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นแรงอย่างบ้าคลั่งจนข้ารู้สึกได้
ดวงตาสีมรกตมองคนที่ยืนสั่นระริกเป็นลูกนกตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา ก่อนจะกลับมาสบตากับสายตาตื่นตระหนกอีกครั้ง
“อ๊ะ..” ทราวิสเผลอส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อโดนมือหนาที่เย็นเฉียบจากอากาศหนาวลูบข้างพวงแก้มเนียนอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากสีพีชอ้าออกเหมือนคนสติหลุดแต่ข้าก็หาได้สนใจไม่ มือหนาเลื่อนตํ่าลงมาลากผ่านบริเวณลาดไหล่สีนํ้าผึ้งภายใต้ชุดคลุมสีฟ้าอย่างเบามือจนคนถูกกระทำตัวสั่นระริก
'หมับ!'
มือหนาคว้าท่อนแขนเรียวข้างขวาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีฟ้าขึ้นมา ก่อนจะถกแขนเสื้อของเขาขึ้นภายในพริบตาจนมองตามไม่ทัน ทราวิสเบิกตาโพลงอย่างสุดฤทธิ์ทันทีที่ข้าทำเช่นนั้น ท่อนแขนสีนํ้าผึ้งพยายามดิ้นให้หลุดออกจากมือหนาสุดแรงแต่ก็ไม่เป็นผล
ร่างหนาตัวแข็งทื่อไปทั้งตัวเหมือนถูกแช่แข็ง ดวงตาสีมรกตจ้องอักขระสาปบริเวณโคนแขนของทราวิสอย่างไม่วางตา มันเป็นรอยอักขระแบบเดียวกับที่ข้าเคยมีอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ต่างกันตรงที่รอยอักขระสาปของทราวิสมีขนาดใหญ่กว่าของข้าเล็กน้อยเท่านั้น
ฉับพลันข้าก็รู้สึกเหมือนอารมณ์โทสะได้หลั่งไหลไปทั่วร่าง อารมณ์ขุ่นมัวที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นในตัวชายเจ้าเล่ห์ได้ถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ดวงตาคมสีเขียวแข็งกร้าวขึ้นโดยอัตโนมัติพร้อมกับมือหนาที่กำข้อมือเรียวของอีกฝ่ายแน่นราวกับจะบีบกระดูกให้แตก
“เจ้าไปทำอะไรมา..” เสียงทุ้มตํ่ากว่าปกติเอื้อนเอ่ยออกมาจากไรฟัน สายตาที่เย็นชาแต่กราดเกรี้ยวทำเอาคนใต้ร่างสะดุ้งเบาๆด้วยความกลัว “ข้าถามว่าเจ้าไปทำอะไรมา!!?”
ใบหน้าตื่นตระหนกหันไปด้านข้างอย่างไม่กล้าสบตา ดวงตาสีฟ้าใสเหมือนอัญมณีเทอร์ควอยซ์หลุบตํ่าลงอย่างเศร้าหมอง เปลือกตาบางปิดลงสนิทพร้อมกับปากที่เม้มหากันแน่นราวกับอยากหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ให้พ้นๆ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนสายตากดดันของข้าได้แล้วยอมคายความจริงออกมาแต่โดยดี
“อักขระสาปบนตัวเจ้า...หากปล่อยไว้นานมันจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆไปตามกาลเวลา จนในที่สุดก็จะกัดกินเจ้าไปทั้งตัวจนตายภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน”
คิ้วหนายกสูงขึ้นข้างหนึ่ง “..เมื่อคืนเจ้าก็เลยแอบฉวยโอกาสตอนข้าหลับในการย้ายพิษอักขระสาปไปไว้บนตัวเจ้าแทนงั้นสินะ”
ทราวิสเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อหู ริมฝีปากสีพีชอ้าออกด้วยความประหลาดใจถึงที่สุด “จ..เจ้ารู้ได้ยังไง”
ข้าใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มด้วยรอยยิ้มมุมปาก นับว่าทราวิสสามารถทำมันได้อย่างแนบเนียนทีเดียวเพราะเมื่อคืนข้าไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามีคนมาวุ่นกับร่างกายตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นความฉลาดและช่างสังเกตของข้าไปได้หรอก
ใบหน้าคมเลื่อนตํ่าลงไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นด้วยสายตาเชือดเฉือน “..คิดหรือว่าเจ้าจะเก็บความลับจากข้าได้”
ทราวิสได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เม้มปากแน่น ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์สั่นระริกไปมาก่อนจะหลุบตํ่าลงไปมองรองเท้าบูทของเราที่อยู่ใกล้กันแทนอย่างไม่กล้าสบตา ในขณะที่ข้าหลับตาเสยผมสีแดงขึ้นอย่างพยายามข่มอารมณ์
ข้าไม่ชอบให้ใครหน้าไหนต้องมาเสียสละเพื่อข้าเช่นนี้ หนึ่งการเสียสละเท่ากับการติดหนี้บุญคุณหนึ่งแต้ม เพราะชีวิตคนเรามีค่ามากเกินกว่าจะมายอมทรมานแทนให้กันง่ายๆ แล้วเหตุใดทราวิสจึงต้องยอมทำเพื่อข้าถึงขนาดนี้ด้วย
ยาห่าเหวอะไรนั่นที่ทราวิสกินไป...มันส่งผลให้เขารักข้ากระทั่งยอมเจ็บแทนได้ขนาดนี้เชียวหรือ
“เจ้าทำแบบนี้ไปทำไมกัน” เอ่ยถามพร้อมกับพรูลมหายใจออกมาอย่างละเหี่ยใจ “อักขระสาปก็อยู่บนตัวข้าอยู่ดีๆ มันจะทรมานยังไงก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าจะย้ายมันไปอยู่บนตัวเจ้าให้ทรมานตัวเองไปทำไมกัน —งี่เง่าสิ้นดี”
ทราวิสนิ่งไปสักพักโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาสีเขียวที่มองอยู่ก่อนแล้วอย่างสื่อความหมาย
“..ข้าไม่สามารถทนเห็นเจ้าทุกข์ทรมานได้” คนที่เกลียดข้ายิ่งกว่าสิ่งใดเอ่ยขึ้นพร้อมส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ใบหน้าที่ซีดเซียวจากพิษอักขระสาปดูหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของข้าราวกับต้องการสื่อความรู้สึกภายในออกมาให้ข้าได้รู้
ข้าได้แต่หลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ “ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้ มันช่างเป็นการกระทำที่—”
“ไม่แปลกที่คนไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อนเยี่ยงเจ้าจะคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า” ทราวิสยังคงมองข้าด้วยสายตาแบบเดิม มือเรียวถือวิสาสะมาจับมือหนาแล้วนำไปวางทาบบริเวณอกซ้ายของเขา ข้าถึงกับตกใจเมื่อรู้สึกได้ว่าก้อนเนื้อในอกของทราวิสกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งราวกับจะหลุดออกมาจากอก
นี่มันไม่ต่างอะไรจากครั้งก่อนตอนที่ข้าเผลอใจเต้นให้กับเขาเลยสักนิด..
ดวงตาสีเขียวเลื่อนกลับไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่มองอยู่ก่อนแล้ว ทราวิสระบายยิ้มออกมาบางเบาก่อนจะพูดต่อ “แต่สำหรับข้าที่ตกหลุมรักใครบางคนไปแล้วอย่างหมดหัวใจ...หากข้าสามารถตายแทนเขาได้ ข้าก็จะทำ”
เราได้แต่สบตากันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ข้าจะเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างทำตัวไม่ถูก
สายตาคู่นั้น...มันมองมายังข้าราวกับจะสื่อว่าข้าคือโลกทั้งใบของเขา และแน่นอนว่านอกจากแม่ตัวเองแล้ว ข้าก็ไม่เคยได้รับสายตาแบบนี้จากใครหน้าไหนมาก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาววอลธีเรีย
แต่เจ้าชายองค์นี้ที่คอยกลั่นแกล้งข้าเสมอมาราวกับเกลียดชังนักหนากลับเป็นคนมองข้าด้วยสายตาที่มีแต่คำว่ารัก...แล้วจะไม่ให้ข้ากระอักกระอ่วนได้อย่างไรกัน
ข้ามองทราวิสที่กำลังก้มหน้ามองเท้าด้วยสายตาอ่านไม่ออกแล้วถอนหายใจออกมาอย่างกระอักกระอ่วน มือหนาที่หยาบกร้านตามประสาคนฝึกการรบมาตั้งแต่เด็กจะเอื้อมไปหมายจะลูบศรีษะอีกฝ่าย
ท่านแม่มักจะลูบหัวข้าเช่นนี้เสมอ มันจึงเป็นการกระทำแสดงความอ่อนโยนเพียงหนึ่งเดียวที่ข้ารู้จัก และข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าข้ากำลังจะทำมันกับคนที่เกลียดตัวเองเข้าไส้
หากแต่สุดท้ายแล้วข้าก็ชักมือกลับก่อนจะได้สัมผัสหัวทุยๆของทราวิสก่อนที่เขาจะรู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้ารู้สึกว่าตัวเองช่างขี้ขลาดตาขาวผู้ไม่กล้าแม้แต่จะแตะเนื้อต้องตัวบุรุษด้วยกัน
ให้ตายสิ...เป็นอะไรของข้ากันนะ
“แม้ว่าเจ้าจะช่วยชีวิตข้าไว้...อย่างไรเสียเดิมทีแล้วอักขระสาปเฮงซวยนั่นก็เคยเป็นของข้ามาก่อน” นํ้าเสียงเนิบนาบเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน ดวงตาสีมรกตตวัดไปมองคนตรงหน้าอย่างเรียบเฉยแต่แฝงความหมายเอาไว้ “เพราะฉะนั้นข้าจะรับผิดชอบแผลนี้ของเจ้าเอง และจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายเพียงแค่โดนพิษห่วยแตกเช่นนี้หรอก”
ทราวิสกะพริบตาปริบๆเหมือนเด็กน้อยที่พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด ก่อนที่รอยยิ้มน่าเอ็นดูจะค่อยๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างสดใสร่าเริงอีกครั้ง
'หมับ!'
“เจเดนของข้าน่ารักที่สุดเลย!”
ร่างโปร่งในชุดคลุมสีฟ้าโผเข้ากอดอย่างเต็มรัก ข้าชักจะรู้สึกชินกับการโดนเจ้าชายองค์นี้จู่โจ่มผ่านอ้อมกอดเสียแล้วเลยไม่ได้เสียหลักล้มลงแต่อย่างใด ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นนิดๆอย่างบางเบาจนแทบมองไม่เห็น ก้อนเนื้อในอกซ้ายของข้าเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจนรู้สึกเจ็บหน้าอกไปหมด ข้ากระแอมไอสองสามครั้งแล้วหันใบหน้าแดงๆไปทางอื่นอย่างทำตัวไม่ถูกพร้อมกับคำถามในหัว
ไอ้องค์ชายเฮงซวย...นี่เจ้าทำอะไรกับหัวใจข้ากันแน่
TBC.
TALK :
เจดี้ไม่เคยรักใครเลยนอกจากแม่ นางเลยโคตรจะไม่ประสีประสาเรื่องความรักผิดกับวิสซี่ ตอนนี้ก็เรียกได้ว่ากำลังโดนวิสซี่จีบอยู่เนืองๆนั่นเอง5555555555
อ้อๆ แม่เจดี้กับพี่สาววิสซี่เนี่ยจะเป็นตัวแปรหลักสำคัญของเรื่องและอาจกระทบไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเจเดนกับทราวิสด้วย จับตาดูพวกนางให้ดีๆนะคะ :)
แต่เหนือสิ่งอื่นใด...บังทันจะคัมแบ็คพรุ่งนี้แล้วนะคะคุณพวกเทออว์ อ๊าาาาก!@#$%^&*+)(*^%$#R^&*# อย่าลืมไปช่วยกันปั่นวิวให้หนุ่มๆกันนะคะ!! อาร์มี่สู้ๆ! ><
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และแท็กสกรีม #JourneyKV ที่เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ขอบคุณรีดๆทุกคนที่ติดตามผลงานของเราค่ะ I purple you <3
ไม่ได้เจอฟิคที่โดนใจแบบนี้มานานแล้ว ชอบเรื่องนี้มากๆ สู้นะคะไรท์
ทราวิสรักเจเดนมัากไเลย เจเดนเองก็เริ่มรักวิสแล้วใช่มั้ย
ฉากที่ทราวิสบอกรักเจเดน นี่คือจิกหมอนแล้วค่ะ เกือบปาโทรศัพท์ มันเป็นเขินมากๆเลย ฮื่ออออ /แต่นี่ว่ายาที่ทราวิสโดนมันน่าจะเป็นยาที่เผยความในใจ เผยความรู้สึกมากกว่าอะ จุดประสงค์ของฮิวโก้ที่ให้ยานี้กับทราวิสเพราะอยากให้ทราวิสเผยความจริงว่าทราวิสเป็นคนขโมย วางแผนเรื่องดาบศักดิ์สิทธิ์เองหรือไม่ก็อาจจะแบบทำไมทราวิสถึงแกล้งเจเดน แต่ความจริงในใจของทราวิสก็คือน้องตกหลุมรักเจเดนเลยคอยแกล้งตลอดงี้ เรื่องดาบก็เป็นแผนน้องเพื่อที่จะให้ได้ใกล้ชิดซัมติงรึเปล่านะ แงงง้ เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่ก็คือเราขอเก็บเศษหน้าไปเงียบๆแล้วกันนะคะ อย่าสนใจกันเลย //เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ เนื้อเรื่องน่าติดตามจริง สู้ๆนะคะ